แต่ในภาวะความขัดแย้ง-แบ่งขั้วการเมือง ซึ่ง“ถวิล เปลี่ยนสี”ออกตัวชัดเจนว่าอยู่ข้างกลุ่มการเมืองขั้วตรงข้ามพรรคเพื่อไทย เชื่อว่าการตัดสินใจคืนตำแหน่งให้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก่อนครบกำหนด 45 วันที่ศาลยุติธรรมออกคำสั่งไว้ ต้องคิดอย่างหนัก เพราะการให้คนที่มีความคิดขั้วตรงข้าม นั่งในตำแหน่งที่ใกล้ชิดระดับวงใน ครม. อาจจะเป็นภัยมากกว่าประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมาความหวาดวิตกเรื่องนี้ สะท้อนออกมา ผ่าน“ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ศรส.)” ว่าไม่ไว้ใจให้ทำงานร่วมด้วย

                         ในประเด็นนี้ “ถวิล” ยอมรับว่าความไม่สบายใจต่อการทำงานร่วมกับคนที่มีความเห็นไม่ตรงกันอาจเกิดขึ้นได้ แต่การเข้ามาทำหน้าที่ข้าราชการยืนยันว่าจะทำงานอยู่บนฐานของความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และทำหน้าที่อย่างเป็นกลางทางการเมืองแน่ แม้จะอีกฐานะ คือ ประชาชน จะมีเสรีภาพในการแสดงออก

                         “การแสดงจุดยืนทางการเมืองของผม ถือเป็นสิทธิ์ที่ชอบและทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่ต้องไม่ลืมว่าผมนั้นมี 2 ฐานะ คือประชาชน และข้าราชการ ต้องแยกกันให้ออก เมื่อไรก็ตามที่ผมเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ผมแยกได้ว่าต้องเป็นกลางทางการเมือง คือ หมายถึงต้องไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์ หรือ เป็นโทษต่อการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เขากำลังแข่งขันกันอยู่ และในงานที่ผมรับผิดชอบ ที่เป็นงานด้านความมั่นคงของประเทศ และประชาชน ต้องทำหน้าที่รับใช้และดูแลผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง รวมถึงประชาชนเช่นกัน แต่หากงานที่ทำไปเกิดประโยชน์กับฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายต่อต้านรัฐบาลถือเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ กรณีของท่านเฉลิมนั้น ผมขอฝากเรียนท่านว่า ผมไม่ได้เข้ามาทำงานเพื่อผลประโยชน์ของใคร ไม่ได้มุ่งทำงานเพื่อรับใช้ใคร หากท่านจะไม่ไว้วางใจก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของผม”

                         และหาก “ครม.” มีมติคืนหน้าที่การงานให้กับ “ถวิล” ตามคาด เจ้าตัวได้วางแผนการกลับเข้าไปทำงานในอาชีพ ทั้งงานด้านความแตกแยกในสังคมขณะนี้, ปัญหาภาคใต้, การหมิ่นสถาบัน, ความเหลื่อมล้ำในสังคม, ผู้หลบหนีเข้าเมือง, ยาเสพติด, ความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน  ส่วนปัญหาการเมืองในพื้นที่กทม. หากมีส่วนที่จะเสนอแนะความเห็นได้ตามความรับผิดชอบ พร้อมจะดำเนินการ แต่ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามหรือไม่  เพราะเชื่อว่ารัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าต้องปฏิบัติตามอย่างไร

                         กระนั้นก็ดีความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบัน มีสิ่งที่ทำให้สังคมหวาดวิตก และต่างชาติกำลังจับตา คือ การก่อความรุนแรงในพื้นที่ การใช้อาวุธสงครามก่อเหตุ จนทำให้คนบริสุทธิ์-คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองไทยได้รับผลกระทบ ต่อประเด็นนี้ “ข้าราชการผู้คร่ำหวอดในสายความมั่นคงกว่า 30ปี” มองว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น หน้าที่การดูแลความสงบ เรียบร้อย คงหนีไม่พ้น “รัฐบาล” ไม่ว่าเกิดผลกับฝ่ายใดก็ตาม แต่ตอนนี้เข้าใจว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันมี 2 สถานะ คือ ฝ่ายตรงข้ามกับผู้ชุมนุม และ ฝ่ายดูแลความสงบ เรียบร้อย 

                         ดังนั้นหากเกิดเหตุแล้วมีอาการดีใจ หรือ สะใจที่ผู้ชุมนุมถูกกระทำ ก็ทำได้ในแง่ส่วนตัว แต่ในฐานะรัฐบาลสะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องในการดูแลความสงบ ส่วนประเด็นการแพร่ระบาดของอาวุธสงคราม มองว่ามีการลักลอบขนอาวุธมาจากพื้นที่แนวชายแดน เพื่อก่อเหตุปทุษร้ายต่อกัน ถือเป็นเรื่องที่ควบคุม ดูแลยาก แต่ประเทศไทยมีประชาคมข่าวกรอง ที่ประกอบด้วย สำนักข่าวกรองแห่งชาติ, สันติบาล  ฐานะข่าวกรองฝ่ายตำรวจ, หน่วยข่าวกรองของทหาร หากเอาจริงเอาจัง และทำงานมีประสิทธิภาพมากพอเชื่อว่าจะป้องปรามได้

                         “ถ้าหน่วยงานทำงานตามหน้าที่ เต็มศักยภาพ ไม่ทำแบบลูบหน้าปะจมูก เชื่อจะลดเหตุร้ายได้ แต่วันนี้อย่างที่สาธารณชนเข้าใจ คือ มีการแบ่งฝ่าย มีการลูบหน้าปะจมูก ทำให้การทำงานไม่เต็มที่ในบางเป้าหมายต้องแก้ไข หากตำรวจทำแบบตรงไปตรงมา เอาใจใส่ทุกเรื่อง ทุกคดีเชื่อว่าจะลดเหตุได้”

                         ส่วนมือปืนป๊อปคอร์นที่ถูกจับตัว “ถวิล” ออกตัวไม่ทราบว่าเป็นตัวจริง หรือ ตัวปลอม เมื่อเชื่อในฝีมือตำรวจไทย แต่มุมสะท้อนที่เกิดขึ้นกังวลจะเป็นชนวนทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้น เพราะคนร้ายที่ไม่เห็นหน้าที่แท้จริงสามารถจับกุมได้ แต่คนร้ายที่เห็นภาพหน้าชัดเจนกลับจับไม่ได้ ดังนั้นผู้ชุมนุม ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำอาจจะรู้สึกว่าไม่รับการดูแลเท่าที่ควร และมองไกลไปถึงกลไกราชการรับใช้ฝ่ายการเมืองมากเกินไป

                         เขามองด้วยว่า กลไกข้าราชการ โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงควรเน้นการทำงานแบบมืออาชีพ ที่มุ่งดูแลความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่มุ่งทำงานเพื่อตอบสนองงานให้เฉพาะรัฐบาลใดรัฐาลหนึ่ง แม้กลไกทางราชการจะแยกกับฝ่ายบริหารไม่ได้ ต้องมีการทำงานร่วมกัน แต่ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ชาติ บ้านเมืองเป็นหลัก

                         ในข้อสงสัยที่หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า หาก “ถวิล” คืนรัง สมช. และมีหน้าที่ดูแลความสงบบ้านเมือง กับสถานการณ์การชุมนุม กปปส. ที่ส่อว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคง จะทำอย่างไร ในบรรทัดนี้เขาพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า 

                         “การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ที่ศาลแพ่งรับรองว่าทำได้ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ คงจะไปห้ามไม่ให้เขาจัดการชุมนุมไม่ได้ ดังนั้นในประเด็นนี้ ฝ่ายรัฐบาล หรือ ฝ่ายมั่นคงที่เกี่ยวข้อง ต้องให้หลักประกันกับเขาว่าจะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเขาได้ ส่วนประเด็นของการใช้กฎหมายเข้ามาดูแล อย่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร แทน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องไม่ใช่การไปลดมาตรการป้องกันเหตุที่ฝ่ายทหารทำไว้ดีอยู่แล้ว ส่วนตัวในสถานการณ์แบบนี้ที่เขาชุมนุมในสวนลุมพินีใช้กฎหมายระดับปกติก็เพียงพอ แต่หากผู้ชุมนุมออกไปทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไปกีดขวางการจราจร ไปปิดกั้น ไปบุกรุกสถานที่ เจ้าหน้าที่รัฐต้องดำเนินการตามตามกฎหมาย”