แถลงการณ์ 7 ข้อของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณที่ทหารจะแทรกแซงทางการเมืองอีกครั้ง ด้วยเงื่อนไขแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ทั้งกรณีใช้อาวุธสงครามก่อเหตุร้ายรายวัน และสถานการณ์การเมืองที่หดแคบลงทุกขณะ มีความเสี่ยงที่มวลชน 2 ฝ่ายจะเผชิญหน้าได้ทุกเมื่อ 

แต่สัญญาณส่งตรงจากผู้บัญชาการทหารบกครั้งนี้ ถูกจับตาไปที่การประกาศใช้กฏอัยการศึก มากกว่าการรัฐประหาร เพราะบทเรียนจากปี 49 และแรงกดดันจากนานาชาติ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่กองทัพจะเคลื่อนกำลังออกมายึดอำนาจเหมือนในอดีต

ทั้งนี้ โดยข้อเท็จจริงกฎอัยการศึก ไม่ต่างอะไรกับการยึดอำนาจ เพราะเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจทหารสูงสุด แม้จะมีศักดิ์เทียบเท่าเพียงพระราชบัญญัติ แต่เมื่อใดถ้าได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก บรรดาพระราชบัญญัติหรือกฎหมายใดๆ ซึ่งรวมถึงรัฐธรรมนูญ หากขัดแย้งต่อกฎอัยการศึก กฎหมายนั้นต้องถูกระงับและให้ใช้กฏอัยการศึกแทน

กฎอัยการศึกฉบับปัจจุบัน ถูกตราขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2457 ในรัชกาลที่ 6 สาระสำคัญแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกอำนาจและเงื่อนไขในการประกาศ ระบุเมื่อมีเหตุจำเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อย และเมื่อมีสงครามหรือจลาจลขึ้น ผู้บังคับบัญชาทหาร ณ ที่นั้น ซึ่งมีกำลังอยู่ใต้บังคับบัญชาไม่น้อยกว่า 1 กองพัน มีอำนาจประกาศกฎอัยการศึกเฉพาะในเขตอำนาจหน้าที่ของกองทหารนั้นได้ แต่ต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วที่สุด 

ส่วนที่สองว่าด้วยอำนาจเจ้าหน้าที่ทหาร มีอำนาจเหนือฝ่ายพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธและระงับปราบปราม สามารถตรวจค้น/สั่งห้าม/ยึดและทำลายบรรดาสิ่งที่เห็นว่าเป็นจำเป็นต่อการรักษาความสงบเรียบร้อย 

รวมทั้งอำนาจควบคุมตัวบุคคลไว้ไม่เกิน 7 วัน โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่สามารถฟ้องร้องเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ทหารได้

//news.voicetv.co.th/democracycrisis/105988.html