นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
ขอขอบคุณภาพจาก มติชนออนไลน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (18 ก.พ.) ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่นางไสว ภู่สุวรรณ พร้อมพวกรวม 7 คน เป็นโจทก์ยืนฟ้อง บริษัทสุภัทรา จำกัด บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร และกรมเจ้าท่า เป็นจำเลยที่ 1-4 เรียกค่าเสียหาย ว่ากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากอุบัติเหตุโป๊ะล่มบริเวณท่าเรือพรานนก เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2538 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 29 ราย และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
โดยก่อนหน้านี้ ทางบริษัทสุภัทรา และบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา ได้ชดใช้ให้กับผู้เสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่ง จนมีการถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และ 2 ต่อมาศาลยกฟ้องกรมเจ้าท่า จึงเหลือเพียงกรุงเทพมหานคร ที่ต่อสู้มาจนถึงชั้นศาลฎีกา
ล่าสุด ศาลฎีกา พิพากษาให้กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลท่าเรือ ให้เกิดความปลอดภัย ประมาทเลินเล่อ ไม่ดูแล จนเกิดอุบัติเหตุมีประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต ถือเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลย ต้องจ่ายเงินชดใช้แก่ผู้เสียหายรวม 12 ราย เป็นเงินกว่า 18 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง เมื่อปี 2539
ทั้งนี้ เหตุการณ์โป๊ะล่มที่ท่าเรือพรานนก เกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 07.15 น. ของวันที่ 14 มิถุนายน 2538 ขณะที่เรือด่วนนนทบุรี-ถนนตก กำลังเข้าเทียบท่า ก็เกิดการกระแทกกับโป๊ะอย่างแรง ทำให้โป๊ะเกิดล่มตกลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีผู้โดยสารที่ยืนรอร่วม 100 ชีวิต ทั้งๆ ที่โป๊ะดังกล่าวรับน้ำหนักคนได้เพียง 60 คนเท่านั้น ท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตระหนกของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งชาย หญิง เด็กนักเรียน
หลังเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีการกวดขัน เรื่องความปลอดภัยของท่าเทียบเรือมากยิ่งขึ้น และห้ามไม่ให้มีหลังคาโป๊ะอย่างเด็ดขาด เนื่องจากก่อนเกิดเหตุสลด โป๊ะท่าเรือพรานนกมีหลังคา เมื่อเกิดเหตุหลังคาได้ครอบร่างของผู้โดยสารที่จมน้ำเอาไว้ จนหาทางออกไม่ได้