Group Blog
 
All Blogs
 

วัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวัง



วันนี้เป็นวันอาทิตย์ มีเวลาว่าง ช่วงกลางวันได้ไปไหว้พระและชมความงามของวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวัง ผมไม่ได้มาที่นี่ไม่ต่ำกว่า 4-5 ปีแล้ว ทีแรกคิดว่าวันหยุด คนไทยจะเยอะ แต่พอถึงคนไม่เยอะมาก คงเป็นเพราะเป็นวันเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ด้วย ส่วนนักท่องเที่ยวต่างประเทศก็มาจากหลากหลายเชื้อชาติ ได้ยินไกด์คนไทยพูดรัสเซีย, อังกฤษ, เยอรมัน, สเปน ฯลฯ

ที่เลือกมาวันนี้เพราะรู้สึกช่วงวันสองวันนี้อากาศดีมาก เย็นสบาย ขนาดตอนกลางวันเดินกลางแดด ยังไม่รู้สึกร้อน บรรยากาศแบบนี้เหมาะกับการเดินอ้อยอิ่ง ชื่นชมความงามของสถาปัตยกรรม ผมเดินวนไปเวียนมา สวยจริงๆ อย่างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานความเป็นไทยกับยุโรปได้อย่างงดงาม

เห็นอาคารก่อสร้างสวยๆในอดีต ทำให้นึกถึงศิลปะ-สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในปัจจุบัน Theodore Dalrymple คอลัมนิสต์คนโปรดผมเพิ่งเขียนบทความ "Beauty and the Best" เขาเขียนถึงศิลปะตะวันตกสมัยใหม่ที่ไร้ซึ่งความงาม โดยวิเคราะห์ปัญหานี้ว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความรู้ศิลปะในอดีต ผมนึกถึงศิลปินในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาค้นหาแรงบันดาลใจจากยุคกรีก-โรมันคลาสสิค พวกเขาศึกษางานศิลปะในอดีต แต่ปัจจุบันนักศึกษาศิลปะสนใจศึกษา "Roy Liechtenstein"

ถ้าพูดจำกัดมาที่สถาปัตยกรรมตะวันตก ผมมองว่าในอดีตสถาปนิกไม่ได้ถูกฝึกมาทางสถาปนิก ทว่าโดยพื้นฐานพวกเขาเป็นประติมากรมาก่อน อัจฉริยะอย่างมิเคลันเจโล, แบร์นินี่, บรูเนลเลสคี ที่สร้างสิ่งก่อสร้างอันงดงามมากมายในโรมและฟลอเรนซ์ไม่ได้เป็นสถาปนิกโดยอาชีพ ซึ่งแตกต่างกับโลกในปัจจุบันเหลือเกิน

ไม่ว่าจะเป็นศิลปะตะวันออกหรือตะวันตก ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบอดีตมากกว่าปัจจุบัน




 

Create Date : 11 มกราคม 2552    
Last Update : 11 มกราคม 2552 19:27:13 น.
Counter : 848 Pageviews.  

Allan Bloom on Nietzsche | Nabokov & Trilling on Lolita



คลิปนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินน้ำเสียงของ Allan Bloom ผู้เขียนหนังสือชื่อดัง “The Closing of the American Mind”

เขาพูดถึงนิตช์เช่ ถ้าใครที่อ่าน “The Closing of the American Mind” คงจะรู้ว่าในหนังสือทั้งเล่มเต็มไปด้วยแนวคิดนักปรัชญาเยอรมัน ทั้งนิตช์เช่, เฮเกล, คานท์, ไฮเดกเกอร์ ฯลฯ

ส่วนคลิปนี้เป็นภาพคลาสสิค หาดูยาก มาจากรายการทีวีของแคนาดา ซึ่งสนทนาเกี่ยวกับหนังสือ “Lolita” ผู้ร่วมรายการคือ ตัวผู้ประพันธ์ “นาโบคอฟ” และนักวิจารณ์วรรณคดีชื่อดัง “ทริลลิง” ผมเพิ่งรู้ว่าตัวจริงทริลลิงสูบจัดมาก เขาพูดประโยคหนึ่งที่น่าสนใจ "You can't trust a creative writer to say what he has done." ^o^




 

Create Date : 09 มกราคม 2552    
Last Update : 9 มกราคม 2552 12:19:34 น.
Counter : 949 Pageviews.  

I want to live in an intellectual atmosphere



“I want to live in an intellectual atmosphere.” สาวน้อย Susan Sontag เขียนประโยคนี้ในบันทึกส่วนตัวของเธอขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี

หนังสือเล่มใหม่ของเธอ Reborn : Journals and Notebooks, 1947-1963 เป็นการรวบรวมสมุดบันทึกส่วนตัวที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน หนังสือเพิ่งออกวางจำหน่าย สามารถอ่านรีวิวจากนิตยสารต่างๆดังนี้ครับ Chronicle Review, Slate, New York Magazine, New Yorker, Literary Review

น่าอ่านทีเดียวสำหรับหนังสือเล่มนี้ คงทำให้เรารู้โลกส่วนตัวของซอนแท็กมากขึ้น



เห็นบทความ “Reasons to look at secondhand books again” ของ Robert McCrum ใน Guardian ตรงใจคนชอบร้านหนังสือมือสองและหนังสือเก่า เพิ่งรู้ว่าในวัยหนุ่ม McCrum พกหนังสือ “War and Peace” ขณะที่ตระเวนท่องยุโรปด้วย

“..Anyway, I'll be heading off any moment to the Gloucester Road Bookshop to see what I can find. Part of the pleasure of the excursion is that you've no idea beforehand what will float into your net - but whatever you emerge with, it's a safe bet that it will have cost less than a tenner (or even a fiver: like many good secondhand shops, Gloucester Road has a shelf of battered paperbacks for 50p each). Away with "Best Novels of 2009", farewell to "the new faces of the new year": I shall be enjoying "the best novels of the 19th century" and the new faces of Edwardian England. Seriously, how many authors today are writing better than Forster, Conrad, JM Barrie, Henry James, Ford Madox Ford or even PG Wodehouse at their best?

The other joy of the old book is that you return to it like an old friend. I have an OUP edition of War and Peace in the Louise and Aylmer Maude translation, printed on India paper, which accompanied me, aged 17, across Europe on a winding road to the isles of Greece in the late 1960s. Holding that magenta covered edition, with its odd stains, swollen binding and scuffed corners, triggers a wave of teenage memories of late nights and idealism. No doubt there are newer and technically superior Tolstoy translations, but what do I care?

Every secondhand book reader has his or her favourites; the books they would rescue from a burning building. One thing, however, is certain: nothing in the new year's literary pages can compete with this library. Who wants a new novel by AS Byatt? Hasn't Martin Amis written his masterpiece three times already? Can someone not persuade Philip Roth to call it a day?

Out with the new book, and in with the old: that's my statement for this week.”




 

Create Date : 08 มกราคม 2552    
Last Update : 8 มกราคม 2552 12:39:52 น.
Counter : 801 Pageviews.  

ตามหาโปสเตอร์และหนังสือประวัติ “แฮร์มันน์ เฮสเส” (Hermann Hesse) ในเยอรมนี



ก่อนปีใหม่ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน

“ต้วน” เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่สวนกุหลาบ มาแยกกันตอนเรียนต่ออุดมศึกษา เขาไปเรียนเศรษฐศาสตร์ ส่วนผมเลือกเรียนวิศวะ

ตอนนี้เขากำลังเรียนในระดับปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ อยู่ในช่วงเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อสำเร็จการศึกษา

ผมคุยถูกคอกับเพื่อนเก่าคนนี้มาก เพราะรู้มาตั้งแต่ตอนเรียนว่าชอบวรรณกรรม ดนตรี ภาพยนตร์ กีฬา เหมือนกัน เราสามารถคุยกันได้หลากหลาย ตั้งแต่วรรณกรรมรัสเซีย ภาพยนตร์ญี่ปุ่น ไปจนถึงฟุตบอลกัลโช่

เขาหลงใหลในงานเขียนของเฮสเสอย่างมาก ได้อ่านหนังสือทุกเล่มของเฮสเสที่แปลเป็นไทย เล่มโปรดของเขา คือ “Siddhartha” (ซึ่งต่างจากผมที่เทใจให้กับ “Steppenwolf”)

เขาบอกว่าเพิ่งกลับมาจากการไปอบรมวิชา “เศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับการคอรัปชั่น” ที่เมือง Passau ประเทศเยอรมนี 1 เดือนเต็ม

“หัวข้ออบรมน่าสนใจดี เราคิดว่าไม่มีวันล้าสมัยเลยนะ” ผมพูดไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ

ต้วนไม่สนใจที่จะเล่าเรื่องการอบรม แต่กลับพูดเรื่องเฮสเสทันที “นายรู้มั้ย พอพูดชื่อเฮสเสไป หนุ่มสาวเยอรมันที่อยู่ในคณะเศรษฐศาสตร์รู้จักและเคยอ่านหนังสือกันทั้งนั้น อย่างน้อยก็หนึ่งเล่มล่ะ เล่มที่ทุกคนพูดถึงคือ The Glass Bead Game ส่วน Narcissus and Goldmund คนเยอรมันเขาไม่เรียกชื่อเต็ม เขาเรียกแค่โกลด์มุนด์”

“ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องวรรณกรรมเยอะเลยสิ” ผมถามกลับ

“สุดยอด คนที่นี่อ่านหนังสือกันมาก แต่เราเดินหาโปสเตอร์เฮสเสตามร้านหนังสือ แล้วหาไม่เจอเลย”

“เจอคาฟคาใช่มั้ย เราว่าเฮสเสดังในเมืองไทยเพราะมีหนังสือของเขาแปลออกมามาก แต่คาฟคามีอิทธิพลและคนรู้จักมากกว่าแน่นอน”

“ใช่ ใช่ คาฟคามีเพียบเลย เราเห็นหนังสือประวัติเฮสเสเป็นภาษาเยอรมัน รูปเล่มสวยงามมาก อยากได้ แต่อ่านไม่ออก พอถามคนขาย เขาบอกว่าไม่มีฉบับภาษาอังกฤษ เสียดายแย่”

หลังจากคุยเรื่องเฮสเสสักพักหนึ่ง ก็คุยเรื่องท่องเที่ยวต่อ ผมคิดว่าตัวเองชอบเที่ยวแบบ Slow Travel พอได้ยิน “ต้วน” บอกว่า พออบรมที่ Passau เสร็จ ก็มาอยู่เที่ยวมิวนิคอย่างเดียว 7 วัน คงต้องบอกว่านี่เป็น Slow Travel ตัวจริง

ปิดท้ายของการพูดคุย ว่าที่ด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์คนนี้ยังคงบ่นเสียดาย ที่ไม่ได้โปสเตอร์และหนังสือประวัติเฮสเสติดมือกลับมาด้วย ^o^




 

Create Date : 07 มกราคม 2552    
Last Update : 7 มกราคม 2552 9:22:31 น.
Counter : 1488 Pageviews.  

Hong Kong, Then and Now

"Hong Kong is our era exemplified—historically, ethnically, architecturally, socially, economically, aesthetically and, above all, sensually. It is a place you feel. Founded by Europeans, developed by Asians, governed by Chinese, designed and run by entrepreneurs, architects, economists, and adventurers from the four corners of the world, in its streets and waterways you may sense the turning of the Earth itself." - Jan Morris

ผมเป็นคนชอบดูภาพเมืองเก่าๆในอดีต และฮ่องกงเป็นเมืองหนึ่งที่ชอบดูภาพในยุคก่อน ดูแล้วอดที่จะคิดไม่ได้ว่า เมืองนี้ช่างเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ ผมชอบอาคารสถานที่ของฮ่องกงในสมัยก่อน มีอาคารตะวันตกสไตล์วิคตอเรียสวยๆหลายแห่ง ผสมผสานบ้านเรือนแบบจีน กลายเป็นเสน่ห์เอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน น่าเสียดายในปัจจุบันอาคารตะวันตกในอดีตถูกทำลายไปเกือบหมดแล้ว (ที่เหลืออยู่ เช่น Legislative Council Building)

ตอนเดิมชมพิพิธภัณฑ์ Hong Kong Museum of History มีรูปภาพเก่าๆให้ชมมากมาย แต่ไม่ได้เห็นภาพเปรียบเทียบกับปัจจุบันแบบช็อตต่อช็อต พอได้เห็นเว็บนี้แล้วชอบใจมากครับ





ใน YouTube มีคลิปภาพในอดีตที่น่าสนใจหลายอัน นี่เป็นเพียงบางส่วน

- Hong Kong 1949 strolling from mid-level to downtown เป็นคลิปวิดีโอคลาสสิค สมัยยังไม่มีบันไดเลื่อนตรง mid-level อาคารตอนท้ายสุดของคลิป ได้นำภาพนิ่งมาต่อท้ายไว้ด้วย

- ภาพย่าน Central ในปี 1962

- ภาพเรือเข้าเทียบท่าฮ่องกงในทศวรรษ 50-60s จะเห็นว่าฝั่งฮ่องกงยังไม่มีตึกระฟ้า

- ภาพ The Peak ในปี 1964 ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีหมอกควันมลพิษเหมือนในปัจจุบัน



สำหรับคนที่อยากหาหนังสืออ่านเกี่ยวกับฮ่องกง แนะนำหนังสือ “Hong Kong” เขียนโดย Jan Morris มอร์ริสเป็น Travel Writer ชื่อดัง เขียนหนังสือเล่มนี้ได้อย่างน่าอ่าน ผสมผสานเกร็ดประวัติศาสตร์ ผมอ่านแล้วเพลิน ได้ความรู้เพิ่มขึ้นครับ




 

Create Date : 05 มกราคม 2552    
Last Update : 5 มกราคม 2552 16:54:02 น.
Counter : 723 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

BlueWhiteRed
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add BlueWhiteRed's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.