Group Blog
 
All blogs
 
ตอนที่ 8 : Enigma Threatening

คำขู่ปริศนา

หลังจากรอดพ้นอุบัติเหตุจากรถบรรทุกอ้อย มาอย่างหวุดหวิด รถยนต์ก็ดับสนิทและไม่มีร่องรอยเฉี่ยวชนแม้เล็บข่วน

อาจารย์สาวผู้ทำหน้าที่คนขับสำรวจตัวเอง และพบว่าอาการยังครบสามสิบสองหันมาดูเพื่อนสาวและคนนำทางที่เบาะด้านหลังเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นกันก็ดีใจแม้ในเรื่องร้ายๆก็ยังไม่มีเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจไปมากกว่านี้

มาฆวรัตน์มองไปรอบๆตัว สภาพเบื้องหน้าเป็นป่าทึบแวดล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่มันใหญ่มากขนาดสิบคนโอบหรือกว่านั้นเห็นจะได้ แต่ละต้นตั้งตระหง่านสูงสุดลูกหูลูกตาบริเวณโดยรอบแทบจะไม่มีเค้าลางของสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่เลยไม่มีแม้แสงแดดที่ส่องถึง

ในตอนนี้เสมือนพวกหล่อนอยู่ในอีกมิติหนึ่ง แน่นอน ชิออนผู้ซึ่งได้ศึกษาถึงเรื่องลี้ลับนี้สามารถสัมผัสและรับรู้ได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่โลกที่เธอคุ้นเคย หรือว่า...อาจจะเป็นอย่างที่หลวงตาท่านได้บอกเอาไว้

สามสาวตั้งสติได้และเป็นชิออนที่หันมาพูดกับสองนารีที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน

“เก๋ น้ำผึ้ง ตั้งใจฟังดีๆนะฉันคิดว่าเรากำลังมาอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่โลกของเรา ไม่สิอาจจะเป็นโลกของเรา แต่คนละมิติกัน”

คำพูดที่จริงจังกับสถานการณ์ตรงหน้าทำให้มาฆวรัตน์ตั้งสติได้เช่นกันแม้ในใจจะหวั่นวิตกอยู่ไม่น้อยส่วนน้ำผึ้งที่นั่งอยู่ด้านหลังยังยกมือไหว้ปลกๆ ตัวสั่นงันงก เพราะความเป็นเด็กสาวที่ยังไร้ประสบการณ์

“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดี?”

อาจารย์สาวหันมาปรึกษาเพื่อนรักและเอี้ยวตัวไปที่เบาะหลังหวังปลอบใจสาวน้อยเอื้อมมือเรียวไปลูบที่หัวเบาๆ

“ไม่ต้องกลัวนะคะ เราจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้”

สาวรุ่นดูเหมือนจะได้ยินแต่ไม่ได้ฟังหรือยังคงอกสั่นขวัญหายอย่างไรมิทราบได้ เธอยังคงนั่งสั่นอยู่อย่างนั้นนี่ไม่ใช่เวลามาปลอบอกปลอบใจ เก๋ตัดสินใจหันกลับมาประจำการที่ตำแหน่งของตัวกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เท้าเหยียบไปที่คันเร่ง

“บรืน บรืน บรืน”

เก๋ สตาร์ทรถอีกครั้ง แม้ข้างหน้าจะมีต้นไม้ใหญ่ขวางกั้นอยู่แต่มันคงไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้อีกแล้ว หล่อนเหยียบคันเร่งจนมิดและเบาใจเมื่อเครื่องยนต์ยังทำงานอาจารย์สาวตัดสินใจออกรถด้วยการดันเกียร์ไปที่ตัว D และเหยียบคันเร่งย้ำอีกครั้ง

แต่โชคร้ายยังไม่หมดไป รถคันใหญ่ไม่ขยับ เหมือนตกหลุมอะไรสักอย่างหล่อนเหยียบคันเร่งจนมิด เสียงเครื่องยนต์ดังก้องไพรอาจารย์สาวเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์เป็นตัว R ลองถอยหลังดูแต่การก็กลับเป็นเช่นเดิมรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อไม่สามารถเคลื่อนไปได้แม้ข้างหน้าหรือข้างหลังหญิงสาวตัดสินใจเปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์โลว์ หรือเกียร์สโลว์ ‘Slow’

Slow แปลว่า ช้า นั่นก็คือเกียร์ที่มีอัตราทดกำลังที่มากกว่าเกียร์ทั่วๆไปเพื่อที่จะใช้งานในลักษณะเฉพาะนั่นคือ ไต่ขึ้นบนเนินชันๆหรือขึ้นเขาซึ่งต้องอาศัยการทดกำลังที่เยอะกว่าเกียร์ธรรมดาทั่วๆไป และเกียร์สโลว์นั้นก็จะมีแต่ในรถขับเคลื่อน4 ล้อเท่านั้น คำว่า เกียร์สโลว์, เกียร์4wd, เกียร์ฝาก, เกียร์ขับสี่ล้วนแต่เป็นชื่อเดียวกันทั้งสิ้น

อาจารย์สาวลองเกียร์อยู่อย่างนั้นร่วมนาทีโยกพวงมาลัยซ้ายขวาไปมาแต่ทว่าก็ดูเหมือนยังห่างไกลความสำเร็จจนเพื่อนรักที่ร่วมชะตากรรมเห็นว่ายิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งจมลึก

“พอแล้วแก รถคงติดหล่ม ยิ่งเร่งก็จะยิ่งจม”

ชิออนเตือนสติเพื่อนรัก เก๋ถอนคันเร่งพร้อมๆกับการถอนหายใจยาวเอามือทุบเข้าที่พวงมาลัยแบบหมดหวัง

อาจารย์สาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เป็นไปอย่างที่คาด ไม่มีสัญญาณหล่อนกดจีพีเอสที่หน้าจอตรงคอนโซลแต่เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์กลับระบุตำแหน่งไม่ได้

“ระบุตำแหน่งไม่ได้ ก็หมายความว่า ดาวเทียมหาพิกัดไม่ได้ก็หมาย...หมายความว่า เราอยู่นอกโลก!!”

อาจารย์สาวพยายามหาเหตุผลอธิบายเรื่องลี้ลับในเชิงวิทยาศาสตร์

“ใช่เพื่อน เอาล่ะ ในเมื่อรถไปต่อไม่ได้ เราก็ต้องเดินเท้าเอา”

ชิออนสรุป คว้ากระเป๋าคู่ใจและทำท่าจะเปิดประตูรถออกแต่ทันใดนั้นเอง...

“ตุบ ตุบ ตุบ!!”

“ว้าย!!”

“กรี๊ด!!”

สามอนงค์หวีดร้องกันลั่นรถเมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังทุบมาที่ตัวรถอย่างแรง

“ตุบ ตุบ ตุบ!!”

เสียงทุบรถยังคง ดัง แรง และถี่ขึ้นบ่งบอกว่ามีมากกว่าหนึ่งที่กระทำการดังกล่าว

“อะไรอ่ะ แก ฉันกลัว”

เก๋สติแตกไม่แตกต่างจากน้ำผึ้งที่ทรุดตัวไปนั่งหลบอยู่ที่ที่วางเท้า

“พ่อจ๋า แม่จ๋าช่วยน้ำผึ้งด้วย ว้าย!!”

เสียงกรีดร้องตกใจดังเป็นจังหวะแข่งกับเสียงทุบทั้งตัวถังและกระจกที่ยังดังอย่างต่อเนื่อง

“ว้าย!!”

อยู่ๆก็มีรอยมือที่เปื้อนโคลนเลนปาดป่ายมาที่กระจกรถด้านที่ชิออนนั่งอยู่หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง เบี่ยงหน้าหลบมาอีกทาง ในตอนนี้แม้คนที่จิตแข็งที่สุดอย่างเธอก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

“พรืดดดดด พรืดดดด”

“พรืดดดดด พรืดดดด”

รอยมือที่เปื้อนโคลนเลนหลายสิบรอย ยังปาดป่ายรอบๆตัวรถสามสาวส่งเสียงหวีดร้องและร้องไห้ระคนกัน

เป็นชนารดีที่พอจะตั้งสติได้หล่อนนึกถึงหน้าหลวงตาแก้ว มือขวาก็เกาะกุมเข้าที่เขี้ยวเสื้อที่ห้อยไว้ตรงบริเวณหน้าอกบริกรรมคาถาปลุกเสือที่ได้มาจากพระเถระ

“นะโมตัสสะ ภควโต อรหัตโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ ภควโต อรหัตโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ ภควโต อรหัตโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
โอม พยัคโฆ พยัคฆา สุญญา ภัพพะติอิติ ฮำ ฮึม ฮึม”

แสงสีเหลืองทองวาบขึ้นมาที่เขี้ยวเสือชนารดีรู้สึกร้อนวูบวาบที่มือ หล่อนยังคงภาวนาไม่เว้นระยะหายใจ

“โอม พยัคโฆ พยัคฆา สุญญา ภัพพะติ อิติ ฮำ ฮึม ฮึม”

เสียงที่ทุบรถค่อยๆจางลงตามบทคาถาที่ท่องจนกระทั่งเงียบไป รอยมือเปื้อนโคลนที่เห็นก็หยุดลงเช่นกัน

เมื่อเห็นเช่นนั้นรอยยิ้มจางๆเริ่มปรากฎบนใบหน้าของชนารดี เจ้าตัวหยุดบริกรรมคาถาเมื่อแน่ใจแล้วว่าสิ่งน่ากลัวตรงหน้าจะไม่ปรากฎออกมาอีกครั้งซ้ำสอง และหันมามองที่เพื่อนรัก

“แกพวกมันไปกันหมดแล้ว”

เก๋เหลียวมองดูรอบๆหลังมั่นใจว่าสิ่งที่เพื่อนพูดเป็นความจริง เพราะเสียงน่ากลัวที่ว่าก็หายไปสิ้นและหันมาถามเพื่อนรัก

“แล้วเราจะกลับไปในที่ของเรายังไงแก?ขืนออกจากรถก็มีหวังได้โดนเจ้าพวกผีป่าฉีกออกเป็นชิ้นๆแน่”

สองเพื่อนสาวมองหน้าสบสายตาและส่ายหัวไปพร้อมๆกันอย่างจนปัญญา

“ก็รอดูสักพักถ้าไม่มีอะไรแปลกๆโผล่มาอีกก็ค่อยออกจากรถกัน ยังไงฉันก็ไม่ยอมตายซากอยู่ในรถแบบนี้แน่อย่างไรเสียก็ต้องลองดูสักตั้ง”

ชิออนตอบกลับน้ำเสียงและสีหน้ามุ่งมั่น

“วูบบบบบ!!!”

เสียงลมที่พัดผ่านมาแรงจนรถคันใหญ่ยังโอนเอนเสียงนี้มาพร้อมๆกับเงาตะคุ่มมหึมา

ไม่มีอะไรที่จะสร้างความตระหนกตกใจให้กับสองสาวอีกต่อไป น้ำผึ้งยังคงมุดอยู่ตรงที่เดิมไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

ชนารดีและมาฆวรัตน์มองดูที่นกยักษ์รูปร่างประหลาดสีดำสยายปีกยาวกว่าสิบเมตรที่ยืนจังก้าอยู่หน้ารถท่ามกลางป่าดงดิบตัวเป็นนกหัวเป็นคนอย่างกับหลุดออกมาจากในนิยายล่องไพร

มาฆวรัตน์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าถือหยิบปืนพกส่วนตัวออกมา อาวุธคู่กายชิ้นเดียวที่พอจะต่อกรกับสัตว์ประหลาดตัวเขื่อง

“ก๊าาาาาาา”

นกยักษ์ ร้องเสียงแผดก้องพนาไพรและเปลี่ยนเป็นเสียงของมนุษย์ผู้หญิงอันดังกังวาน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าเป็นตัวแทนของเทพเจ้าป่าพนาสวรรค์ใครก็ตามที่บังอาจล่วงล้ำ ค้นหาความลับของจักรวาลในป่าแห่งนี้จักต้องมีอันเป็นไปสิ้น พวกเจ้าจงล้มเลิกความตั้งใจซะบัดนี้ มิฉะนั้นแม้แต่ชีวิตในโลกหน้าของพวกเจ้าทั้งสามก็จะหาไม่”

เมื่อสิ้นเสียงของนกยักษ์ตนนั้น แสงขาววาบก็กลับสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้งจนอาจารย์สาวต้องยกมือมาบังความเจิดจ้าและหรี่ม่านตาลงอย่างอัตโนมัติ

ปริ้นนนน!!!!

รถกลับมาอยู่ที่จุดเดิมบนถนนเส้นเดิม เก๋เบิกตาโพลง นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนจะเข้าไปในดินแดนสุดแสนประหลาด หล่อนกำลังจะหักหลบรถที่แล่นสวนมา

และในตอนนี้ภาพตรงหน้าเป็นรถบรรทุกอ้อยกำลังจะพุ่งชนพวกเธอแล้ว!!

ไม่มีเวลาแม้เพียงเสี้ยววินาทีให้คิดเวิ่นเว้อ ว่าอะไรเป็นอะไร

มาฆวรัตน์ นึกถึงคุณพระหักพวงมาลัยจนสุดเหยียบคันเร่งหลบไปอีกทางพร้อมๆกับรถที่สวนมา

“ฟุบบบบบ”

สำเร็จ!!

อย่างน้อยที่สุดการมีสติในช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งยวดทั้งสามนารีรอดพ้นอุบัติเหตุ หลบรถบรรทุกอ้อยได้อย่างเฉียดฉิว

พอพ้นอันตราย เก๋จึงเลี้ยวรถกลับมาทางเดิมไม่ปงไม่ไปมันแล้วเส้นเลียบแม่น้ำเมื่อเข้าเส้นทางหลักและเจอจุดแวะพักรถคือปั๊มน้ำมัน มาฆวรัตน์จึงตัดสินใจแวะพักทั้งคนและรถ

หลังจากเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าและทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย สามอนงค์จึงมานั่งพักอารมณ์ที่ร้านกาแฟในสถานบริการน้ำมันแห่งนั้นเอง ชิออนจิบโกโก้ร้อนเหลือบดูนาฬิกาข้อมือแล้วยกให้เพื่อนรักดู เข็มสั้นชี้ไปที่เลขสาม

“จำได้ไหม เมื่อตอนเราออกมาประมาณสิบเอ็ดโมง แต่ตอนนี้บ่ายสาม” ชิออนชี้ให้เห็นถึงประเด็น

“แล้วเมื่อกี้เราอยู่ตรงนั้นประมาณกี่นาที ถึงครึ่งชั่วโมงมั้ย?”เก๋ย้อนถามกลับ

มธุบิณฑ์นั่งดูดกาแฟเย็นแต่ไม่เย็นใจหล่อนยังไม่หายตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังอยากรู้อยู่ดีเธอตั้งใจฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน

“ใช่ แสดงว่าเมื่อกี้ เวลาบนโลกของเราหายไปราวสามชั่วโมงเศษ” ชิออนสรุปความ

สองสาวจิบเครื่องดื่ม เงยหน้าขึ้นมาและแทบจะพูดพร้อมๆกัน

“เราต้องกลับไปหาหลวงตาแก้ว”

สาวชาวกรุงฉวยแก้วกาแฟและลุกพรวดออกมา อย่างไม่รอรีน้ำผึ้งไม่เข้าใจในความในเร็วด่วนได้ของชาวกรุง แต่ก็รีบจ้ำตามมาที่รถ

ราวชั่วโมงเศษทั้งหมดก็มาถึงวัดป่าที่เดิม เก๋และ ชิออนแทบจะวิ่งขึ้นเขาเลยทีเดียวทิ้งระยะห่างจากสาวเชียงคานอยู่พอสมควร

เมื่อขึ้นมาถึงยอดเนินเขา ก็แทบช๊อคกับภาพตรงหน้าสองเพื่อนสนิทเห็นชาวบ้านอยู่สองคนกำลังจะคลุมผ้าสีเหลืองบนร่างของพระเถระที่นอนนิ่งไม่ไหวติงและไร้ลมหายใจ

หลวงตาละสังขารไปอย่างสงบเมื่อเช้านี้เอง!!

สามสาวพูดคุยกับลูกศิษย์คนสนิทของหลวงตาและได้ทราบว่าหลวงตามรณภาพไปเมื่อเช้าตรู่ หลังจากโยมอุปัฏฐากได้เข้ามาปฏิบัติหลวงตาเพื่อถวายอาหารเช้าแต่กลับพบหลวงตาไร้ซึ่งลมหายใจ ท่านจากโลกนี้ไปในท่านั่งสมาธิ

จากนี้จะเคลื่อนศพลงไปที่วัดด้านล่างเพื่อเป็นการสะดวกแก่ญาติโยมและศิษยานุศิษย์ในการเดินทางมาเคารพศพ

มาฆวรัตน์ ชนารดีและมธุบิณฑ์เข้ามากราบเคารพศพพระเถระผู้มากซึ่งอภิญญาและรู้สึกเศร้าเสียใจที่พระศาสนาต้องสูญเสียเกจิอาจารย์ที่ดีไปอีกรูปหนึ่ง แต่ที่เสียใจกว่านั้นคือทั้งสามเหมือนกับหมดที่พึ่งพิงเดินคอตกไร้เรี่ยวแรงลงมาจากเนินเขา ต่างจากขาขึ้นลิบลับ

เรื่องราวประหลาดและอุบัติภัยยังคงเกิดขึ้นกับสามนารีอย่างต่อเนื่อง

“โอ้ย!!”

เก๋และชิออนหันกลับมาทางต้นเสียงและเห็นสาวเชียงคานทรุดนั่งลงไปกับพื้นทางลง มือน้อยๆกุมเข้าที่ข้อเท้า สีหน้าแสดงอาการเจ็บปวดอาจารย์สาวและนักเขียนชื่อดังรีบวิ่งเข้ามาดู

“น้ำผึ้งโดนงูกัดค่ะ”

สาวรุ่นบอกกับสองนายจ้างหน้าเหย ใจเสียทั้งยังเจ็บอีกต่างหาก

เก๋รีบเอามือของเจ้าตัวออกจากข้อเท้าเมื่อเห็นว่าเป็นแค่รอยถากก็เป่าปากโล่งอก

‘เฮ้อ! เกือบซวยแล้วมั้ยล่ะยัยเก๋ ขืนพาลูกเขามาเป็นอะไรจะมีปัญญาทำใช้ได้อย่างไรกันสวยขนาดนี้ปั๊มกี่ที่คงไม่ใกล้เคียง’

อาจารย์สาวคิดในใจ และหันมาปลอบคนโชคร้าย

“ไม่เป็นไรนะคะ แค่งูไม่มีพิษ เจ็บปวดนิดหน่อยเดี๋ยวไปถึงรถแล้วเอายามาทาก็จะดีขึ้น แล้วก็รีบไปคลีนิกเพื่อล้างแผลฆ่าเชื้อเสียหน่อยทนนิดนะคะ”

สาวรุ่นเมื่อได้รับฟังดังนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายบวกกับท่าทีห่วงใยและน้ำเสียงหวานๆก็ทำเอาเคลิ้มตาม

‘ดูๆไป พี่เขาก็น่ารักนะนี่ คุณนายชาเย็นของเรา’

หญิงสาวแก้มแดงระเรื่อ ลืมความเจ็บปวดในบัดดล ชิออนเห็นดังนั้นก็เข้าล็อค

“ถูกงูกัดที่เท้าแล้วทำไมหน้าแดงคะ?”ลูกครึ่งสาวถามทำทีเป็นไม่รู้เรื่อง

“เอ่อ...นั่นสิคะ ทำไมพี่เก๋รู้ว่าไม่ใช่งูพิษที่กัดล่ะคะ”

สาวรุ่นหาทางไปไม่เจอ เบี่ยงเบนประเด็นไปโน่น ชิออนยิ้มปลาบปลื้มแม่สื่ออย่างหล่อนตาแหลมเสมอ

ส่วนคนโดนจับคู่กลับไม่รู้ความ แถมไม่สานงานต่อ

“เมื่อถูกงูพิษกัด เราจะเห็นรอยเขี้ยวเป็นจุด 2 จุด ทะลุผิวหนังลงไป ต่อจากรอยเขี้ยวอาจเห็นรอยถลอก เป็นทางที่เกิดจากฟันของมันรอยเขี้ยวอาจมีเลือดไหลซึมออกมาได้ บริเวณรอบๆ รอยเขี้ยวอาจเห็นเป็นสีเขียวคล้ำแต่นี่ดูสิ แผลของหนูน่ะเป็นแค่รอยถลอกจากฟัน ไม่มีรอยเขี้ยวเลยนี่แสดงว่าเป็นแค่งูธรรมดา”

ทีเรื่องทางวิชาการล่ะเก่งนักชิออนส่ายหน้าเซ็งๆที่เพื่อนสาวไม่ต่อยอด แต่ที่ไหนได้อาจารย์สาวเขาก็รู้งานอยู่หรอกน่า

เก๋ประคองคนถูกงูกัดให้ยืนขึ้น

“ไหวไหมคะ กลั้นใจหน่อยนะ อีกนิดเดียวก็ถึงรถแล้ว”

สาวรุ่นพยักหน้ารับมาฆวรัตน์ประคองร่างเล็กเดินลงมาจากเนินเขาอย่างช้าๆสาวเชียงคานเริ่มหวั่นไหวกับคุณนายชาเย็นเข้าเสียแล้ว

“โชคดีนะเนี่ย ถ้าน้ำผึ้งเป็นอะไรไปพี่แย่แน่ๆ”

ประโยคนี้ทำให้คนฟังใจเต้นตูมตาม เลือดสาวสูบฉีดทั่วร่าง รวบรวมความกล้าถามเอาความต่อ

“แย่ยังไงคะ?”

“ก็ฉันจะเอาหน้าไปบอกกับพ่อแม่ของเธอยังไง”

‘กรรมเวร ไม่พูดเสียยังดีกว่า คนกรุงนี่ล้ำลึกแท้หนอ เค้าอุตส่าห์แอบลุ้นที่แท้ก็ห่วงตัวเอง’

สาวรุ่นหน้างอไม่พูดอะไรต่อเก๋เห็นเป็นแบบนั้นก็รู้ว่าตัวเองพูดผิดหูไปหน่อย รีบแก้ตัวพัลวัน

“อีกอย่าง พี่ก็ห่วงเรานะ จริงๆ”

อาจารย์สาวหยุดฝีเท้า และหันมาสบตากับสาวรุ่นน้ำผึ้งพอได้ยินดังนั้นก็อายเกินกว่าที่จะสู้สายตา แต่จะให้หันหนีไปทางไหนล่ะสาวเมืองเลยตัดสินใจสู้หน้า ค้นหาความจริงจาก แม่ชาเย็นชาวกรุง

ชิออนรีบเดินลงมาที่รถไม่อยากจะอยู่เป็นสิ่งกีดขวางทางสายตา อย่างน้อยๆในวันที่อะไรมันแย่ๆขอให้เพื่อนรักได้มีความสุขก็ยังดีอีกอย่างเธออยากชื่นชมผลงานของตนก่อนจะกลับกรุงเทพฯ

อาจารย์สาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้คนหน้ามนกำลังจะทำอะไรบางอย่าง...

“อุ๊ย! พี่ชิออนเดินไปโน่นแล้ว น้ำผึ้งว่าเราไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวค่ำมืดพี่เก๋จะตกรถเอา”

สาวเชียงคานตัดบท หล่อนยังไม่อยากหวั่นไหวไปมากกว่านี้อาจารย์สาวก็แอบๆนอยด์ พอจะรวบรวมความกล้าได้บ้างแม่กลอยใจเจ้าก็เพลย์บอดี้ขึ้นมาซะอย่างนั้น

เมื่อลงมาถึงพื้นราบ เก๋ประคองให้สาวรุ่นไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่สามสาวนั่งล้อมลง พวกหล่อนต้องสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนที่จะตัดสินใจ

“แกจะเอายังไงต่อ ชิออน”

มาฆวรัตน์ถามเพื่อนสาว ส่วนหล่อนนั้นมีคำตอบในใจอยู่แล้ว

สาวลูกครึ่งนิ่งไปสักสิบวินาทีแหงนมองไปบนท้องฟ้าสีครามและหันมาพูดกับเพื่อนสนิท

“ฉันข้ามน้ำข้ามทะเลเดินทางมาแล้วค่อนโลกด้วยตัวคนเดียวกว่าสามปีแล้วนอนกลางดินกินกลางทรายก็ผ่านมาหมดแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องเพียงเท่านี้”

น้ำเสียงและแววตาที่มุ่งมั่นบ่งบอกถึงคำตอบ ลูกครึ่งสาวล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบปิ่นทองขึ้นมาไว้ในมือ ชนารดีมองมันและพูดต่อ

“อีกอย่าง ฉันต้องเอาเจ้าสิ่งนี้ไปคืนเจ้าของเดิม เขารออยู่เนิ่นนานเหลือเกินแล้ว”

“ดี งั้นทุกอย่างเป็นไปตามแผนเดิม แล้วเราล่ะ แม่ตาหวาน”อาจารย์สาวหันมาเอาคำตอบกับแม่กลอยใจ

“เอ่อ...”

สาวรุ่นยังตัดสินใจไม่ได้ แต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อ เก๋คว้ามือน้อยๆมากุมไว้

“พี่เข้าใจค่ะ ว่ามันเป็นการเสี่ยงและไม่ใช่กงการอะไรของเราแค่ที่ผจญภัยกันมาขนาดนี้พวกพี่ก็ซาบซึ้งในน้ำใจอย่างที่สุดแล้วถ้าน้ำผึ้งจะไม่ไปกับพี่ เราก็จะไม่กล่าวโทษอันใดเลย แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะคะค่าจ้างที่ตกลงกันไว้พี่จะให้ครบทุกบาททุกสตางค์”

สาวเชียงคานก็อดชื่นชมในความเป็นคนใจสู้ที่ดูขัดกับหน้าตาของทั้งสองนายจ้างไม่ได้มีไอดอลที่เพอร์เฟ็กแบบนี้มาอยู่ข้างกายไหนเลยจะไม่อยู่ช่วยเหลือใครเขารู้จะว่าเอาได้ว่าเธอ ป๊อดและแล้งน้ำใจ

“พี่ทั้งสองว่าอย่างไรหนูก็ว่าตามนั้นล่ะค่ะแม้จะขี้กลัวและตัดสินใจอะไรไม่ได้แต่หนูก็พร้อมจะไปทุกๆที่กับพี่ค่ะ”

สาวรุ่นตอบจริงใจสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าที่อ่อนล้าของสาวสวยทั้งสองจนรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

“เอาล่ะ งั้นเรากลับไปเชียงคานกันแวะคลีนิกล้างแผลฆ่าเชื้อกินมื้อเย็นกันเสียหน่อยแล้วค่อยส่งแกขึ้นรถ”

อาจารย์สาวสรุป ชิออนพยักหน้ารับ และพยุงร่างเล็กให้ยืนขึ้นทั้งหมดกลับไปที่ตัวอำเภอเชียงคานแวะคลีนิกและทานมื้อค่ำแบบง่ายๆเดินเล่นที่ถนนคนเดินและมาส่งชนารดีขึ้นรถทัวร์

น้ำผึ้งยกมือไหว้ร่ำลาลูกครึ่งสาว รู้สึกใจหายเล็กๆแม้ว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงน้อยนิด แต่ก็รู้สึกว่าผูกพันกับทั้งคู่มาแสนนาน

เมื่อใกล้เวลา สองเพื่อนสาวยืนกอดกันกลมที่ท่ารถ ผลัดกกันหอมแก้มซ้ายขวาจนคนรอบๆสถานีต้องเหลียวมอง

“ดูแลตัวเองและน้ำผึ้งให้ดีๆนะแกข้ามไปฝั่งโน้นเลนมันเปลี่ยนก็ขับรถให้มันระวังๆนะ มีอะไรก็ไลน์มาฉันจะรีบไปรีบกลับ”

ชิออนและเก๋คลายอ้อมกอดแต่ยังจับมือกันแน่นบ่งบอกถึงมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แม้น้ำผึ้งจะชินกับภาพตรงหน้าก็มิวายยังขุ่นเคืองเล็กๆอยู่ดี

‘แต่ทำไมเราต้องรู้สึกวุ่นวายใจแบบนี้ทุกครั้งไปนะ น้ำผึ้งเอ๋ย’

สาวรุ่นรำพันกับตัวเอง เดินมาไกลจากคู่ซี้เพราะทำใจไม่ได้กับภาพบาดตา

“แกก็เหมือนกันนะชิออน ดูแลตัวเอง มีสติ แล้วก็ขอให้เดินทางปลอดภัยไปเถอะแก พนักงานเขาเรียกขึ้นรถแล้ว”

สองนารีละมือออกจากกัน ชิออนยื่นหน้ามากระซิบเข้าที่ข้างหูเพื่อนรัก

“รีบจีบๆแม่สาวตาหวานนี่ให้ได้นะ โอกาสทองฝังเพชรแบบนี้ ถ้าแกทำไม่สำเร็จเจอกันคราวหน้าฉันจะเสียบ”

ลูกครึ่งสาวทิ้งท้ายทำหน้าทะเล้น เล่นเอาอาจารย์สาวหน้าแดงก่อนจะเดินลิ่วๆไปที่รถ และหันกลับมาโบกมือสวยอีกครั้ง

เก๋มองเพื่อนสาวจนรถทัวร์เคลื่อนไปลับตาและเหลียวซ้ายแลขวาเดินมองหาสาวสวย

“พี่สองคนนี่สนิทกันมากเลยนะคะ”

เสียงหวานๆแต่แฝงนัยยะตัดพ้อเล็กๆ แว่วมาจากด้านหลังเก๋หันไปเจอสาวรุ่นกำลังถือสายไหมสีชมพูก้อนใหญ่น่ากินและยื่นให้

“ค่ะ ก็อย่างที่น้องเห็น เราทั้งคู่เข้าใจกันมากที่สุดที่สำคัญเราไม่เคยทิ้งกันไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์”

อาจารย์สาวตอบตามจริง แต่สาวรุ่นยิ่งเข้าใจไปว่าทั้งคู่นั้นลึกซึ้งกัน

“เรากลับกันเถอะค่ะ ดึกแล้วเดี๋ยวพ่อเป็นห่วง”

น้ำเสียงเศร้าๆ ทำให้คนตรงหน้าเดาได้ไม่ยากว่าหญิงสาวน่าจะเข้าใจผิดถึงความสัมพันธ์

แต่ช่างปะไรตอนนี้และสถานที่นี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาปรับความเข้าใจกัน ยังมีเวลาเหลือเฟือเพราะจากนี้ไป แม่กลอยใจต้องอยู่แนบชิดกับเธอตลอดเวลา

“ขอบคุณนะคะ หวานมากเลย”

อาจารย์สาวฉวยโอกาสเดินจูงมือสาวเชียงคานกลับไปที่รถ

‘เชอะ เจ้าชู้ไม่เบา ลับหลังจากคนรักได้มิทันชั่วเคี้ยวหมากแหลกก็กลับมาหยอดเอากับเราแล้วคืนนี้จะแกล้งเสียให้หลาบจำ คิดว่าสาวบ้านนอกอย่างเราเป็นเพียงของเล่นคอยดูฤทธิ์น้ำผึ้งขมบ้างเถอะคุณนายเย็นชา’

แม่สาวตัวดีหาทางแกล้งนายจ้างแล้วก็ยิ้มออกมาส่วนเก๋กลับไม่รู้ชะตากรรมตนเองเลย คิดไปเสียว่าแม่หน้ามนช่างสุดแสนใจดี




Create Date : 17 เมษายน 2558
Last Update : 17 เมษายน 2558 12:57:32 น. 0 comments
Counter : 497 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

writer_k toon
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งค่ะ ที่อยากเป็นคนดี
และเป็นคนเก่งขึ้นทุกๆวัน

ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ โปรดสุดก็ Starbucks หากอยู่ในฤดูงบน้อย อะไรที่เป็นกาแฟดำ ได้หมด

ชอบอ่านหนังสือ แนวHowto และนิยายของคุณทมยันตี จนวันหนึ่งเกิดอยากจะเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านบ้าง โดยมีคุณทมยันตีเป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ

เริ่มต้นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ลงท้ายจะเป็นอย่างไร แต่หวังไว้ว่ามันจะดีกว่าที่หวัง

จะคุยได้นานกับคนที่มีฝัน มีเป้าหมายในชิวิต รักครอบครัว และคิดบวก

แอบหวังว่าคนที่เข้ามาที่Blogนี้จะออกไปอย่างมีความสุขนะคะ

Loveๆทุกคนค่ะ

ปล.ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อความและรูปภาพทั้งหมดใน blog นี้ตามกฎหมาย ห้ามนำไปใช้หรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตนะคะ

New Comments
Friends' blogs
[Add writer_k toon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.