สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ++------++เล่ห์ลวงใจ บทที่ 35"ตี้! ฉันคิดถึงแกที่สุดเลยยยย!!!"เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นทันทีที่ธีระก้าวเข้าไปในบ้าน จากนั้นเขาก็ถูกเพื่อนสาวที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งแต่ปิดเทอมดึงตัวเข้าไปกอดแน่น "ซันมาได้ยังไงเนี่ย? ทำไมไม่เห็นรู้เลยว่ากลับมาเมืองไทยแล้ว?"ธีระถามอย่างดีใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเพื่อนสนิทที่น่าน ศันสนีย์จึงถอยออกนิดหนึ่งแล้วก็ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์"ฉันอยากให้เซอร์ไพรส์ไงเลยแอบบอกวันกลับกับอีเมธคนเดียว โชคดีที่แกเคยถ่ายรูปร้านพี่ปิ๊กแล้วส่งมาให้ดู อีเมธมันเลยเสิร์ชหาเบอร์ติดต่อแล้วก็โทรมาบอกพี่ปิ๊กไว้ว่าพวกฉันจะมาเยี่ยม แล้วก็ขอให้ช่วยกันปิดเรื่องนี้ไม่ให้แกรู้เด็ดขาด เซอร์ไพรส์ใช่มั้ยล่า""อ้าว เมธก็มาด้วยเหรอ โหยยย อะไรกัน พี่ปิ๊กปิดซะเงียบเลย"ธีระเอ่ยเมื่อเห็นสุเมธยืนยิ้มอยู่หลังศันสนีย์ ส่วนปิยพลที่นั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะกลางห้องนั่งเล่นหันมาหัวเราะ"ช่วยไม่ได้นี่ เพื่อนๆ ตี้บอกว่าอยากมาเซอร์ไพรส์ พี่ก็ไม่อยากขัดน่ะสิ"เด็กหนุ่มหัวเราะอีก พลันก็นึกขึ้นได้ว่าคเชนทร์เดินตามมาด้วย พอหันกลับไปด้านหลังก็เห็นเด็กหนุ่มร่างโย่งกำลังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ จึงหันกลับไปแนะนำกับเพื่อนทั้งสองคน"เอ้อ ทุกคน นี่ขลุ่ยนะ บ้านอยู่ใกล้ๆ กันนี่แหละ""สวัสดีครับ"คเชนทร์ยกมือขึ้นไหว้เพื่อนๆ ของธีระ ทั้งศันสนีย์และสุเมธทำตาโตขณะยกมือขึ้นรับไหว้ ฝ่ายปิยพลที่ดื่มชาหมดแก้วแล้วก็ลุกขึ้นมาถาม"ตี้หิวรึยัง? พอดีซันกับเมธบอกว่าอยากกินอาหารพื้นเมือง พี่ก็เลยว่าจะรอตี้กลับมาก่อนจะได้ออกไปด้วยกัน ไหนๆ ก็มีรถตู้ทั้งที""ก็ได้นะเพราะตี้ก็หิวแล้ว ถ้างั้นขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จริงสิ ขลุ่ยจะไปด้วยกันมั้ย? ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกันนี่นา""เอ๊ะ ให้ขลุ่ยไปด้วยได้เหรอ?""อื้ม เอาสิ ไปกันหลายๆ คนก็ดี จะได้สั่งกับข้าวมากินหลายๆ อย่าง"ปิยพลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย คเชนทร์จึงยิ้มอย่างดีใจ"ถ้างั้นพี่ปิ๊กจะไปร้านไหน ขอขลุ่ยกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวค่อยขับมอเตอร์ไซค์ตามไปก็ได้""ฮื้อ แค่กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาที่นี่ก็พอ เดี๋ยวจะได้นั่งรถตู้ไปด้วยกันทีเดียว อีกอย่างพี่ว่าขลุ่ยน่าจะอาบเสร็จแล้วกลับมาถึงนี่ก่อนตี้จะอาบน้ำเสร็จแหงๆ""พี่ปิ๊กอ้ะ!"ธีระทำหน้ามุ่ยจนเรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อยแล้วเขาจึงขึ้นห้องไปอาบน้ำ เมื่อเสร็จก็แต่งตัวลงมาหาทุกคนที่นั่งรออยู่ชั้นล่าง โชคดีว่าคเชนทร์มาถึงหลังจากที่เขาเตรียมตัวพร้อมแล้ว ไม่อย่างนั้นคงจะถูกเพื่อนๆ ล้อไม่หยุดตลอดทั้งคืนแน่เนื่องจากรถตู้นั้นถูกเช่าแบบเหมาเอาไว้เพื่อให้สามารถพาไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลา ปิยพลจึงบอกทางให้คนขับพาไปร้านอาหารริมแม่น้ำซึ่งเป็นคนละร้านกับที่แนะนำให้ณรงค์กับไรอันเมื่อสัปดาห์ก่อน มื้ออาหารนั้นเป็นมื้อที่ครึกครื้นที่สุดเท่าที่ธีระได้ร่วมโต๊ะมาในรอบหลายเดือน หลังจากเสร็จสิ้นมื้อค่ำแล้วศันสนีย์กับสุเมธก็คะยั้นคะยอให้เขาไปนอนที่รีสอร์ตด้วยกัน ดังนั้นหลังจากที่คนขับรถไปส่งปิยพลกับคเชนทร์ที่บ้าน พวกเขาสามคนก็แวะซื้อขนมกับเครื่องดื่มก่อนจะกลับที่พักซึ่งอยู่นอกตัวเมืองออกไปเล็กน้อย รีสอร์ตแห่งนี้เป็นของญาติห่างๆ ของศันสนีย์ ลักษณะเป็นบังกะโลซึ่งตั้งแยกกันเป็นหลังๆ แต่ละหลังมีระเบียงพร้อมด้วยโต๊ะและเก้าอี้หวายสำหรับให้นั่งชมทิวทัศน์ของป่าและเทือกเขาที่ตั้งอยู่ห่างออกไป พอทั้งสามเก็บกระเป๋าเข้าห้องแล้วจึงชวนกันหิ้วถุงขนมกับเครื่องดื่มออกมานั่งเล่นที่ระเบียง ถึงแม้คืนนี้พระจันทร์จะไม่เต็มดวง แต่แสงดาวระยิบระยับท่ามกลางผืนฟ้าไร้เมฆหมอกก็ให้ความรู้สึกเย็นตาชวนมองไม่แพ้กัน"อากาศเย็นดีเนอะแถวนี้ แถมไม่มียุงด้วย ไม่งั้นคงต้องเข้าไปนั่งคุยกันในห้อง อุดอู้ตายชัก"สุเมธเอ่ยหลังจากทั้งสามออกมานั่งรับลมตรงระเบียงได้ครู่ใหญ่ เขาหันไปหยิบขวดค็อกเทลพร้อมดื่มออกจากถุงแล้วก็หันไปถามเพื่อนทั้งสองคน"ยายซัน ตี้ จะดื่มรสอะไรกัน แต่ฉันจองรสสตรอเบอร์รี่แล้วนะ""ย่ะ! งั้นฉันเอารสองุ่นก็ได้ ตี้ล่ะจะเอาอะไร มีโค้กกับสไปรท์ด้วยนะ""เอ...เมื่อกี้เห็นเมธซื้อรสมะนาวมาด้วยนี่นา งั้นเราเอารสนั้นก็ได้"เด็กหนุ่มเอ่ยพลางยิ้มอ่อนๆ ส่วนสุเมธกับศันสนีย์ได้แต่มองหน้ากัน ก่อนที่ศันสนีย์จะหยิบค็อกเทลรสมะนาวมายื่นให้เพื่อนอย่างแปลกใจ"ตายละ ฉันรู้สึกเหมือนไม่เห็นแกดื่มแอลกอฮอลล์มานานมากเลย นี่พวกฉันมาทำแกใจแตกรึเปล่าเนี่ย?"ธีระหัวเราะขณะรับขวดค็อกเทลมาเปิดฝา "แค่จู่ๆ ก็อยากดื่มขึ้นมาบ้างน่ะ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงตรงนี้ก็มีพวกเราอยู่กันแค่สามคนเองนี่นา"เด็กหนุ่มเอ่ยพลางยกขวดเครื่องดื่มสีเขียวอ่อนขึ้นจิบนิดหนึ่ง จากนั้นนัยน์ตากลมโตก็หันไปทอดมองผืนฟ้าที่มีม่านดวงดาวทอแสงอยู่ลิบๆ แสงไฟสีส้มบริเวณระเบียงตกต้องลงบนใบหน้าของเขา เผยให้เห็นแววตาที่กระจ่างใส กระนั้นก็ยังดูคล้ายมีความนัยที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างลึกล้ำ"จริงสิ น้องขลุ่ยนั่นไปยังไงมายังไงน่ะ? หน้าตาน่ากินอยู่นะแก"สุเมธกระเซ้าพลางยื่นมือมาตีไหล่เพื่อนเบาๆ แต่เป็นเบาในความรู้สึกของเจ้าตัว เพราะธีระทำหน้ามุ่ยขณะยกมือขึ้นลูบบริเวณที่โดนตี"ก็ไม่ยังไง พอดีคุยกันถูกคอก็เลยไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างก็เท่านั้น""หืมมมม ฉันว่าไม่ใช่แค่นั้นละม้าง เห็นว่าก่อนกลับบ้านก็เพิ่งไปเล่นน้ำด้วยกันมาไม่ใช่เหรอ ร้ายนะยะ อายุสิบเจ็ดนี่กำลังกรุบกรอบเลย เดี๋ยวเข้ามหา'ลัยเมื่อไหร่ฉันว่าเนื้อหอมแน่ๆ""แต่เราไม่ได้คิดกับขลุ่ยอย่างนั้น...""วุ้ย! แกไม่คิดอยู่คนเดียวน่ะสิ ฉันเห็นเวลาเขามองแกก็รู้แล้ว ไม่คบเป็นแฟนซะเลยล่ะ มีแฟนเด็กก็กระชุ่มกระชวยดีออก""อีเมธ แกจะพูดถึงน้องเขาอีกนานมั้ย? ที่พากันมาถึงน่านเพราะอยากถามตี้เรื่องคุณกฤตไม่ใช่เหรอยะ?"ศันสนีย์หันไปเอ็ดเพื่อนเมื่อเห็นว่าไม่ชวนเข้าประเด็นเสียที แต่ธีระเกือบจะทำขวดเครื่องดื่มในมือหล่นเมื่อได้ยินชื่อที่พยายามไม่นึกถึงมานาน เขารีบวางขวดลงบนโต๊ะแล้วถามเสียงแห้ง"...ทำไมซันถึงรู้เรื่องคุณกฤตด้วยล่ะ?""ทำไมน่ะเหรอ ก็อีเมธถ่ายรูปข่าวในหนังสือพิมพ์ส่งไปให้ดูน่ะสิ แถมมันยังบอกอีกว่าหลังข่าวนั้นตีพิมพ์ได้ไม่กี่วันตี้ก็ขึ้นมาน่านเลย ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นน่ะ บริษัทที่ไปฝึกงานก็บริษัทของเขาไม่ใช่เหรอ?"คำถามของศันสนีย์ทำให้ธีระยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างอ่อนใจ จริงอยู่ที่เมื่อตอนบ่ายเขาเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้คเชนทร์ฟัง กระนั้นก็มีรายละเอียดบางส่วนที่เขาตัดสินใจเก็บเงียบไว้ เพราะถึงแม้จะอยากระบายความอัดอั้นตันใจแค่ไหน เขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่กฤตภาสโดนยิงหรือว่าเรื่องข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์เลยสักคำ แต่เขารู้ว่าคงปิดเรื่องนี้กับศันสนีย์และสุเมธไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรทั้งคู่ก็เห็นภาพข่าวไปแล้วถึงกระนั้น...กับเรื่องบางเรื่องที่ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งปวดใจ เขาก็อ่อนล้าเกินกว่าจะฟื้นฝอยมันขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงแม้ว่าเพื่อนทั้งสองจะคอยอยู่เคียงข้างมาตั้งแต่ก่อนจะเจอกฤตภาสก็ตาม "ไม่มีอะไรหรอกซัน มันไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่หรอก""หา? ถ้าไม่สำคัญจริงๆ แล้วทำไมจะต้องเลิกฝึกงานกลางคันด้วยล่ะ? หรือว่าคุณกฤตกลัวตัวเองจะเสียชื่อเสียงก็เลยบังคับให้แกเลิก?""เปล่า...เขาไม่ได้บังคับ" ตรงกันข้ามด้วยซ้ำไป...เขายังจำได้แม่นว่าน้ำเสียงของกฤตภาสบ่งบอกว่าโมโหแค่ไหนตอนที่ได้คุยโทรศัพท์กันเป็นครั้งสุดท้าย"ตี้ แกชักจะทำให้ฉันหงุดหงิดแล้วนะ เห็นอยู่ทนโท่ว่าเขาทำให้แกเสียศูนย์ขนาดนี้ แล้วทำไมถึงยังพูดเหมือนพยายามปกป้องเขาอยู่อีก?"น้ำเสียงของศันสนีย์เริ่มมีกังวานไม่พอใจ สุเมธจึงรีบไกล่เกลี่ยเพราะเห็นท่าไม่ค่อยดี"ใจเย็นๆ สิหล่อน! ถ้าเพื่อนไม่อยากเล่าแล้วแกจะไปง้างปากมันได้ยังไง นี่ตี้...ไม่ใช่ว่าพวกฉันอยากละลาบละล้วงนะ แต่มันแปลกที่ปกติแกมีอะไรก็จะเล่าให้พวกฉันฟัง แต่ครั้งนี้แกดันอมพะนำท่าเดียว ถ้าหากเป็นเพราะแกตั้งใจจะลืมเขาก็เลยไม่อยากพูดถึงก็แล้วไป แต่ฉันกลัวจะกลายเป็นว่ายิ่งแกเก็บเงียบไว้ แกจะยิ่งหยุดคิดถึงเขาไม่ได้มากกว่านะ""ไม่หรอกเมธ" ธีระนึกขอบคุณเพื่อนที่พยายามให้กำลังใจ ขณะเดียวกันก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ถูกเซ้าซี้เรื่องนี้อีก "เราเคยลืมพี่รงค์ได้มาแล้ว ครั้งนี้เราก็ต้องลืมคุณกฤตได้ ซัน...ไม่ใช่ว่าเราอยากปกป้องเขาหรอกนะ เพียงแต่การพูดถึงเขาตอนนี้มันทำให้เราเหนื่อย เหนื่อยมาก เพราะฉะนั้นสู้ไม่พูดถึงเลยน่าจะดีกับสุขภาพจิตเรามากกว่า"อย่างน้อยมันก็จะได้ทำให้เขามองไปข้างหน้ามากกว่าจ่อมจมกับความทรงจำที่ผ่านมาด้วย ใครจะรู้ว่าขณะที่เขากำลังปรับทุกข์กับเพื่อนๆ อยู่ตรงนี้ กฤตภาสอาจลืมเขาไปแล้วและกำลังฆ่าเวลาอยู่กับใครสักคนก็เป็นได้ ใครคนนั้นที่อาจไม่ยี่หระกับการเป็นเพียงคู่ขาบนเตียง ยิ่งตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้...ธีระก็ยิ่งรู้สึกเหมือนความว่างเปล่าในจิตใจขยายพื้นที่จนอัดหัวใจให้เล็กลีบแววตากลมโตที่ทอดมองไปในความเวิ้งว้างยามค่ำทำให้ทั้งศันสนีย์และสุเมธเงียบไป พวกเขาเคยเห็นช่วงเวลาที่ธีระใช้น้ำตาระบายความช้ำใจตอนที่เลิกกับณรงค์มาก่อน หากเทียบกันแล้วครั้งนี้เจ้าตัวควบคุมอารมณ์ได้ราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ทว่าความราบเรียบของน้ำเสียงกับคำที่เลือกใช้กลับทำให้คนฟังสะท้อนใจยิ่งกว่า"ตี้ เข้าใจแล้ว ฉันไม่ถามอีกก็ได้ ขอโทษนะ ถ้าแกไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ปล่อยให้มันเป็นอดีตแล้วก็ลืมๆ ไปนั่นแหละดีแล้ว"ศันสนีย์ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ แล้วก็ยื่นแขนมากอดเขา ฝ่ายสุเมธก็พยักหน้าเห็นด้วย"จริงด้วย ไม่เป็นไรหรอกแก อายุแค่นี้ยังต้องเจอคนอีกเยอะ เอางี้ ต่อไปนี้ถ้าฉันเห็นหนุ่มคนไหนท่าทางดูดี ฉันจะพยายามไม่เข้าไปจีบแล้วยกให้แกพิจารณาก่อนก็แล้วกัน ถ้าไม่ใช่แกฉันไม่ยอมให้ขนาดนี้หรอกนะ"ธีระหัวเราะออกเมื่อได้ยินคำปลอบใจของสุเมธ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาคิดว่าตนเองโชคดีที่มีเพื่อนสนิทที่มักจะรู้วิธีพูดให้เขาสบายใจได้เสมอ ไหนยังจะครอบครัวและญาติอย่างปิยพลที่ให้ความรักความเอ็นดูโดยไม่เคยดูถูกเขาอีก ด้วยกำลังใจจากคนเหล่านี้ ถึงแม้เขาจะพานพบเรื่องย่ำแย่แค่ไหนมา ไม่นานเขาก็คงเข้มแข็งพอที่จะก้าวผ่านมันไปได้เขาเชื่อจริงๆ ว่าหากมีวันใดวันหนึ่งที่โชคชะตาเล่นตลกให้ต้องโคจรไปพบกฤตภาสอีกครั้ง เขาจะมั่นคงพอที่จะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ และเมื่อวันนั้นมาถึง เขาก็คงจะไม่เกิดความรู้สึกโหยหาหรือเจ็บแสบในใจยามที่สบตากับนัยน์ตาสีนิลคู่นั้นได้อย่างแน่นอน เขาเชื่อว่าสักวันเขาจะต้องทำได้++------++"นายรุ่งภพ อินประภัสร์"กฤตภาสลุกขึ้นเมื่อได้ยินเจ้าหน้าที่ประกาศชื่อคนที่เขามารอเยี่ยม ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังห้องสำหรับเยี่ยมผู้ต้องขังภายในบริเวณทัณฑสถาน โดยก่อนจะเข้าไปนั้นต้องฝากของทุกอย่างให้กับเจ้าหน้าที่ เมื่อเขาเดินผ่านทางเดินไปจนถึงบริเวณเยี่ยมก็พบว่าคนที่เขามาหานั้นนั่งรออยู่อีกฝั่งของห้องยาวซึ่งมีกระจกและลวดตาข่ายกั้นไว้ บริเวณด้านข้างที่นั่งของรุ่งภพมีโทรศัพท์เช่นเดียวกับที่ฝั่งผู้มาเยี่ยมก็มีเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเคยมาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก แต่กฤตภาสก็รู้โดยไม่ต้องให้ใครบอกว่าต้องทำอย่างไร จึงเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่"แปลกดีนะที่คนมาเยี่ยมฉันคือแก อยากมาเห็นด้วยตาตัวเองล่ะสิว่าตอนนี้สภาพฉันเป็นยังไง"หลังจากตั้งสติได้เมื่อความแปลกใจผ่านไป รุ่งภพก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยันทว่าแหบแห้ง ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยสะอาดสะอ้านและดูเรียบร้อยอ่อนโยน บัดนี้หยาบกร้านและมีไรเคราที่ไม่สม่ำเสมอเนื่องจากการโกนอย่างลวกๆ ร่างกายที่เคยกำยำดูซูบผอมจากคืนที่ได้เจอกันที่ผับไปมาก"แกจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ฉันไม่ได้มาถึงที่นี่เพื่อสมน้ำหน้าแกหรอกนะ เมฆ"กฤตภาสรู้ว่าเขามีเวลาในการเยี่ยมจำกัดจนไม่ควรเสียเวลากับการต่อปากต่อคำ และสิ่งที่เขาเพิ่งเอ่ยก็เป็นความจริง จุดประสงค์ที่เขามาเยี่ยมรุ่งภพในวันนี้หาใช่เพื่อซ้ำเติมรุ่งภพเงียบไป ชายหนุ่มชำเลืองมองผู้คุมที่อยู่ในบริเวณห้องเยี่ยมผู้ต้องขังด้วยแล้วก็ถอนหายใจ นัยน์ตาที่ลึกโหลคล้ายคนนอนไม่เต็มอิ่มสักคืนหลุบลงก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ"ฉันรู้ความจริงทุกอย่างจากคุณลุงกับคุณโกเมทแล้ว ทำไมแกถึงไม่บอกฉันตั้งแต่ตอนแรกที่เนตรท้อง?""เพราะฉันรู้ว่าแกจะไม่เชื่อ ตอนนั้นสำหรับแกแล้วไม่มีคำพูดของใครมีน้ำหนักเท่ากับเนตร แต่เนตรก็รู้พอๆ กับที่ฉันรู้ว่าถ้าความแตกแกคงตามไปล่วงเกินพ่อของเด็กตัวจริงแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นตำแหน่งงานของคุณลุงจะได้รับผลกระทบและแกเองก็อาจจะโดนเก็บ เนตรเลยเลือกที่จะหักหลังฉันมากกว่าปล่อยให้พ่อกับแกเดือดร้อน เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่าแกจะกล้าเอาปืนมาไล่ยิงฉันถึงที่บ้าน""กระทั่งหลังจากเนตรแท้งแกก็ยังไม่มาบอกความจริงกับฉัน ยอมให้ฉันหาเรื่องแกไปเรื่อยๆ จนแทบเปิดบริษัทไม่ได้?"รุ่งภพยังคงไม่เหลือบตาขึ้นมองเขา กฤตภาสพลันรู้สึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาติดหมัด"ฉันไม่ใช่สุภาพบุรุษหรืออยากเล่นบทพระเอกอะไรหรอก อีกอย่างตอนนั้นเนตรก็แท้งไปแล้ว การบอกว่าพ่อของเด็กไม่ใช่ฉันมีแต่จะทำให้แกคิดว่าฉันพยายามปัดความรับผิดชอบ อีกอย่างแกเองมีธุรกิจที่ต้องดูแล ฉันก็มีบริษัทของฉันที่ต้องพยายามสร้างให้เป็นรูปเป็นร่างเหมือนกัน ตอนนั้นฉันคิดว่าถ้าเวลาผ่านไปแกคงปล่อยวางแล้วเลิกตอแยฉันไปเอง แต่แกไม่เลิก...ฉันยอมรับว่าฉันโมโหมากตอนที่รู้ว่าพ่อคิดจะเทคโอเวอร์บริษัทของแก เพราะตอนที่กู้เงินพ่อมาทำบริษัทช่วงแรกๆ ฉันไม่เคยอาศัยชื่อพ่อในการหาลูกค้าเลย ฉันอยากให้แกรู้ว่าเคยทำให้ฉันลำบากไว้แค่ไหนกว่าจะลืมตาอ้าปากได้ก็เลยไปห้ามพ่อเอาไว้ แต่ฉันยอมรับว่าไม่ได้ติดตามข่าวของเนตร เลยไม่รู้เรื่องที่เธอป่วยจนสุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย สำหรับเรื่องนั้น...ฉันเสียใจ บางทีฉันอาจจะผิดเองตั้งแต่แรกที่ไม่บอกความจริงว่าพ่อของเด็กไม่ใช่ฉัน บางทีตอนนี้พวกเราคงไม่ต้องมานั่งคุยกันผ่านกระจกแบบนี้"กฤตภาสเอ่ยจบก็ระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ นี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจจะมาพูดกับรุ่งภพหลังจากใช้เวลาคิดมาหลายวันนับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล จริงอยู่ว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ป่วยหนักหนาสาหัส แต่เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นลูกโซ่ทำให้กฤตภาสเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับคนรอบตัว และรุ่งภพคือปมแรกที่เขาต้องการจะคลาย"ถ้าหากรู้ว่าพ่อของเด็กตัวจริงคือใครตั้งแต่ตอนนั้น ฉันคงผลีผลามทำอะไรจนโดนสั่งเก็บไปแล้วก็ได้ แกพูดถูก...ฉันหุนหันเกินไป ไม่ว่าเนตรพูดอะไรก็พร้อมจะเชื่อทั้งที่ส่วนลึกในใจก็สงสัยว่าแกน่ะเหรอจะหักหลังฉัน แต่เพราะแกไม่ปฏิเสธ ฉันก็เลยปักใจเชื่อว่ามันคือความจริง""ฉันรู้ว่าถึงพูดตอนนี้ก็คงสายเกินไปแล้วและแกอาจจะไม่อยากได้ยินคำนี้จากฉันก็ได้ แต่ว่า...ฉันขอโทษ"รุ่งภพกะพริบตาปริบก่อนจะเหลือบมองกฤตภาสอย่างประหลาดใจ ตลอดช่วงเวลาที่รู้จักกันนั้นเขาไม่เคยได้ยินกฤตภาสเอ่ยคำว่าขอโทษกับใครโดยที่เต็มใจหรือหมายความตามที่พูดจริงๆ เลยสักครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่น้ำเสียงและแววตาของอีกฝ่ายล้วนสะท้อนความรู้สึกเดียวกับคำที่เอ่ยอย่างเต็มเปี่ยมคนตรงหน้าเขายังคงเป็นกฤตภาส ศิตานนท์ที่รู้จักกันมาตลอดเวลาร่วมสิบกว่าปี แต่มีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่าอะไรบางอย่างในตัวเพื่อนของเขาได้เปลี่ยนไป และแม้แต่เจ้าตัวเองก็อาจไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เลยด้วยซ้ำ"ช่างมันเถอะ พวกเราต่างคนต่างก็ทำตัวเอง ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปจะส่งผลยังไงต่ออนาคต แกเองก็คงไม่ทันคิดเหมือนกันว่าการปล่อยให้เนตรโกหกฉันจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ตามมา ตอนนี้พวกเราก็ได้แต่ต้องก้มหน้าชดใช้สิ่งที่ทำลงไปเท่านั้น"กฤตภาสไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขารู้สึกคล้ายกับว่าในที่สุดความยอกแสยงในใจคล้ายมีหนามแหลมทิ่มแทงเพราะเรื่องของรุ่งภพและเนตรนภาก็ถูกยกออกไปเสียที และคำพูดของรุ่งภพในวันนี้ช่างคล้ายกับคำพูดที่พ่อของเขาเอ่ยเมื่อวันที่เข้าโรงพยาบาลไม่มีผิด 'เราไม่รู้หรอกว่าการตัดสินใจในวันนี้จะส่งผลต่อความสุขในอนาคตแค่ไหน'ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังและรู้ว่าเวลาในการเยี่ยมใกล้จะหมดลงแล้ว ฝ่ายรุ่งภพไม่ได้หันไปมองตามแต่ก็พอจะเดาได้ คนที่อยู่อีกฝั่งของกระจกและลวดตาข่ายจึงเอ่ยขึ้น"กฤต""หือ?"กฤตภาสส่งเสียงรับในคอผ่านหูโทรศัพท์ เขาดึงสายตากลับมามองเพื่อนอีกครั้ง แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นนัยน์ตาลึกโหลของรุ่งภพมีรอยยิ้ม ถึงแม้ยิ้มนั้นจะไม่ได้แผ่ไปถึงส่วนอื่นของใบหน้าก็ตาม"ขอบใจมากนะที่มาเยี่ยมวันนี้ ถึงแม้จะเสียใจที่ผู้หญิงที่ฉันรักจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่อย่างน้อยฉันก็ดีใจที่ได้เพื่อนกลับมา""อืม""ใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว ฉันรู้ว่าแกงานยุ่ง แกไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมฉันบ่อยๆ หรอก เพียงแต่ฉันขอร้องอะไรสักอย่างได้ไหม?"กฤตภาสสูดหายใจพลางกระชับมือที่ถือหูโทรศัพท์แน่นขึ้น "ว่ามาสิ""ฉันคงไม่มีวันได้พบเจอหรือรักใครอีก ฉันเคยฝันมาตลอดตั้งแต่ตอนที่หมั้นกับเนตรว่าสักวันฉันจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ให้ซ้ำรอยชีวิตตัวเองตอนเด็กที่บ้านแตกสาแหรกขาด ตอนนี้ฉันไม่มีวันที่จะทำความฝันนั้นให้เป็นจริงอีกแล้ว แต่ฉันยังมีแก...แกจะมีความสุขแทนฉันได้ไหม จะมีใครสักคนที่แกยินดีจะรักและทุ่มเทชีวิตให้เขา ทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุขเหมือนที่ฉันเคยอยากทำให้เนตรได้ไหม""เมฆ...""ฉันรู้ ที่ผ่านมาแกไม่เคยรักใคร แต่ละคนที่เข้ามาก็อยู่กับแกได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น ยังไม่เคยมีใครเข้าถึงหัวใจแกได้ แต่แปลกนะ...ที่ฉันสังหรณ์ว่าการที่แกมาหาฉันวันนี้เพราะใครบางคนทำให้แกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้นึกถึงมิตรภาพที่พวกเราเคยมีกันมาแค่ไหน คนอย่างคุณชายกฤตภาสก็ไม่มีวันจะยอมมาเหยียบเรือนจำแน่ๆ""นี่แกเห็นฉันแย่ขนาดนั้นเลยรึ"กฤตภาสเอ่ยพลางหัวเราะเสียงต่ำในคอ ทว่ารอยยิ้มเบาบางที่อยู่บนริมฝีปากของเขาหาใช่รอยยิ้มหยัน และรอยยิ้มเดียวกันก็สะท้อนอยู่บนใบหน้าของรุ่งภพที่นั่งอยู่อีกฟากของกระจก"สัญญาสิกฤต แกจะใช้ชีวิตข้างนอกนั่นแทนฉัน แกจะมีความสุขแทนฉัน แกไม่ต้องมาเยี่ยมฉันอีกหรือพาคนรักของแกมาหาฉันก็ได้ แต่อย่างน้อยแกจะรักใครสักคนและใช้ชีวิตเพื่อเขา...แทนในส่วนที่ฉันกับเนตรทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว สัญญาสิ" หมดเวลาเข้าเยี่ยมแล้ว กฤตภาสมองแผ่นหลังของรุ่งภพที่เดินหายไปหลังประตูอีกฟาก จากนั้นก็ระบายลมหายใจยาวก่อนจะเดินออกมาจากห้องเยี่ยมผู้ต้องขัง เขาเดินสวนผู้คนในทัณฑสถานออกมาจนกระทั่งถึงรถที่จอดเอาไว้ เมื่อเปิดโทรศัพท์ก็เห็นรายการมิสคอลโดยที่สายล่าสุดคือพ่อของเขาเอง จึงกดโทรกลับเผื่อว่าอีกฝ่ายมีธุระด่วน "ฮัลโหล?""กฤตรึ ไปไหนมา พ่อโทรเข้าบริษัทก็เห็นเขาบอกว่าไม่อยู่""ผมมาเยี่ยมเมฆน่ะครับ"ปลายสายอึ้งงันไป ก่อนที่ผู้สูงวัยจะทวนคำด้วยน้ำเสียงแปลกใจสุดขีด"ไปเยี่ยมเมฆ? ไปทำไมกัน!?""มีบางเรื่องที่ผมอยากจะเคลียร์น่ะครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อ ตอนนี้ผมกับเมฆ...ไม่มีอะไรติดค้างในใจกันอีกแล้ว"น้ำเสียงสงบนิ่งของกฤตภาสค่อยทำให้คู่สนทนาวางใจ โกเมทถอนหายใจยาวอย่างนึกปลง จากนั้นจึงค่อยวกกลับเข้าประเด็นที่โทรหาในตอนแรกถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว จริงสิ แล้วคุณมุกได้โทรมาหาหรือยัง?แม่เหรอครับ? พอดีผมเพิ่งเปิดเครื่องเมื่อกี้แล้วเห็นมิสคอลล่าสุดมาจากพ่อก็เลยโทรมาก่อน สงสัยก็คงจะอยู่ในรายการมิสคอลล่ะมั้งกฤตภาสตอบอย่างแปลกใจ แม่ของเขาไม่ค่อยได้โทรมาหาบ่อยนักยกเว้นว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ และเท่าที่จำได้นั้นอีกฝ่ายไม่เคยโทรหาพ่อของเขาเลยนับตั้งแต่หย่าขาดจากกัน จึงค่อนข้างแปลกใจที่ครั้งนี้พ่อกลับรู้ว่าแม่โทรมาหาเขาถ้าอย่างนั้นก็โทรกลับไปหน่อยก็แล้วกัน พอดีคุณยายของแกโทรมาถามพ่อว่าติดต่อแกได้รึเปล่า เพราะว่าคุณมุกกำลังจะกลับมาเมืองไทยอาทิตย์หน้า คงอยากจะนัดให้แกไปรับล่ะมั้ง"แม่จะกลับมาอาทิตย์หน้า? เข้าใจแล้วครับ งั้นเดี๋ยวผมโทรหาแม่เองชายหนุ่มทวนคำอย่างแปลกใจ เพราะรู้ดีว่าปกติแล้วแม่ของเขาไม่ค่อยอยากกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดถ้าไม่มีธุระจำเป็น ครั้งสุดท้ายที่กลับมาก็เพื่อมาร่วมงานศพของญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเมื่อสี่ปีก่อน ดังนั้นหากไม่ใช่เพราะมีเรื่องสำคัญจริงๆ คงไม่บินกลับมาปุบปับโดยไม่เกริ่นกับเขาล่วงหน้าเช่นนี้แน่หลังจากวางสายแล้วกฤตภาสก็สตาร์ทรถ เขาพยายามครุ่นคิดว่ามีเรื่องใดที่ทำให้แม่ของเขาต้องกลับมาในช่วงนี้หรือไม่แต่ก็นึกไม่ออก สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจขับรถกลับบริษัทก่อน เพราะว่าด้วยสภาพอารมณ์ในตอนนี้...เขายังไม่อยากคุยกับผู้ให้กำเนิดอีกคนในเวลานี้เท่าไรนัก ++---TBC---++ A/N: ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาหลังเขียนตอนนี้จบก็คือ...นี่เป็นนิยายที่ยาวที่สุดที่เคยเขียนมาเลยแฮะ แต่สำหรับคนอ่านคงอยากรู้มากกว่าว่าเมื่อไหร่ตากฤตกับน้องตี้จะได้เจอกันซักที
แต่พอคุณกฤตโผล่มาก็ได้แต่ถอนหายใจพลางนึกว่า....อ้าาา ยังคนเดิมสินะ //โดนคุณกฤตฆ่า//
คุณกฤตเปลี่ยนไปหน่อยๆแล้ว ได้เวลาแก้แค้นแล้วสินะน้องตี้ 555+