แนะนำสำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ++------++บทที่ 14ธีระตื่นมาด้วยอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวและเวียนหัว เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นและพบว่ามีแสงอาทิตย์ส่องลอดผ้าม่านเข้ามารางๆ ซึ่งหมายความว่าเข้าสู่วันใหม่แล้ว เขาค่อยๆ กลอกตาไปรอบตัวอย่างเชื่องช้า และพบว่ามีบางสิ่งแปลกไปจากทุกครั้งที่มาค้างที่นี่ปกติเขาต้องตื่นมาเจอว่าคุณกฤตกอดเขาอยู่จนอึดอัด หรือไม่ก็กำลังพยายามลักหลับจนเขานอนต่อไม่ได้สิ แล้ววันนี้หายไปไหน... เด็กหนุ่มพลิกตัวนอนตะแคง แล้วก็ให้ปวดกล้ามเนื้อบนบ่าจนต้องยกมือขึ้นบีบ แต่เมื่อปลายนิ้วสัมผัสโดนเสื้อยืดก็ต้องก้มลงมองตัวเองด้วยความแปลกใจ เพราะปกติแล้วกฤตภาสจะชอบบังคับเขาไม่ให้ใส่เสื้อผ้านอนในเมื่อยังไงก็ต้องโดนถอด แต่นี่นอกจากเขาจะใส่เสื้อผ้ามิดชิดแล้วก็ยังไม่ใช่เสื้อผ้าของตัวเองอีก จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขายังอยู่ในห้องของฝ่ายนั้นหรือโดนลักพาตัวไปที่อื่นกันแน่กี่โมงแล้วล่ะเนี่ย...สิบเอ็ดโมงครึ่ง...หรือว่าคุณกฤตออกไปข้างนอก?ธีระคิดขณะยันตัวลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง รสชาติฝาดเฝื่อนในคอทำให้รู้ว่าเมื่อคืนตนหลับไปโดยไม่แปรงฟัน จึงลุกเดินโซเซเข้าห้องน้ำไปทำธุระและแปรงฟันล้างหน้า เสียงฝีเท้าซึ่งดังมาจากทางห้องนั่งเล่นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว จึงหันไปหยิบผ้าขนหนูมาซับน้ำบนหน้าแล้วก็เดินออกไปจากห้องนอนตื่นแล้วเหรอ?กฤตภาสซึ่งกำลังนั่งดูข่าวโทรทัศน์บนโซฟาหันมาถาม นัยน์ตาคมวาวคู่นั้นมองสำรวจเขาขึ้นลงรอบหนึ่ง ธีระจึงตอบอย่างประดักประเดิดเพราะเพิ่งตระหนักได้ว่าเมื่อคืนนี้กฤตภาสคงช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เอ่อ...ครับเด็กหนุ่มรู้สึกวางตัวไม่ถูก เพราะทุกครั้งเขามักจะตื่นมาเจออีกฝ่ายยั่วโมโหอยู่บนเตียง เลยค่อนข้างชินกับการปะทะคารมกันตั้งแต่เช้ามากกว่าพูดคุยกันเฉยๆ แบบนี้ งั้นก็พอดีเลย ไปชงกาแฟมาให้ฉันใหม่ที ใส่น้ำตาลแค่ช้อนเดียวพอนะนั่นไง...เพิ่งจะแปลกใจได้ไม่ทันไรก็เข้าอีหรอบเดิมแล้ว คนเพิ่งตื่นปุ๊บก็ชี้นิ้วใช้งานปั๊บเลย คนบ้าอะไร...ก็ได้ครับธีระตอบด้วยใบหน้าที่มุ่ยหน่อยๆ ป่วยการจะพร่ำรำพันว่าเขายังเมาค้างแถมมีไข้อ่อนๆ ด้วย ที่เมื่อคืนนี้กฤตภาสมาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นี่คงเป็นความกรุณาอย่างใหญ่หลวงแล้ว ถ้าหากเจ้าตัวลุกมาอุ้มเขาไปนั่งแล้วคอยพะเน้าพะนอสิคงจะน่าขนลุกกว่าเด็กหนุ่มฉวยแก้วแล้วก็เดินลงส้นเข้าครัวโดยที่เจ้าของห้องหัวเราะในคอ แต่รอจนนานสองนานแล้วก็ยังไม่ได้กาแฟที่สั่ง กฤตภาสจึงลุกตามเข้าไปเพื่อพบว่าธีระกำลังนั่งดื่มโอวัลตินกับขนมปังอยู่ที่โต๊ะ ส่วนแก้วกาแฟอันว่างเปล่าวางอยู่หน้ากระติกน้ำร้อน"ไหนล่ะกาแฟของฉัน?"ชายหนุ่มกอดอกพิงกรอบประตูพลางเอ่ยถาม ฝ่ายคนที่นั่งอยู่เหลือบมองเขาด้วยหางตาแล้วก็หันไปฉีกขนมปังกินต่อ บ่งบอกเป็นนัยว่า 'อยากได้ก็รอไปก่อนสิ' อย่างไรอย่างนั้นกฤตภาสแสร้งทำเป็นถอนหายใจพลางเดินไปชงกาแฟเอง ทว่ามุมปากกลับหยักยิ้มเมื่อหันหลังให้กับคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ความจริงแล้วเมื่อกี้เขาแกล้งออกคำสั่งเพราะอยากรู้ว่าคนป่วยจะแสดงอาการออดอ้อนแบบที่ทำเมื่อคืนอีกหรือไม่ก็เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ผิดคาดเพราะธีระไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้เห็นจริงๆ ทั้งที่แค่จะเดินให้ตัวตรงก็ยังทำไม่ได้หรือเพราะตอนนี้หายเมาแล้ว ก็เลยรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ 'พี่รงค์' ที่เคารพรักนักหนาคนนั้น ถึงได้ไม่อยากออดอ้อนออเซาะแบบตอนที่ไม่มีสติกัน...พอคิดถึงตรงนี้กฤตภาสก็มุ่นคิ้ว จริงอยู่ว่าเขาไม่ชอบเวลาได้ยินชื่อคนอื่นจากปากเด็กหนุ่มระหว่างอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็เหมือนไปกวนตะกอนในใจให้ลอยฟุ้ง เขาจึงปัดความคิดทิ้งแล้วหยิบแก้วกาแฟไปนั่งข้างๆ ธีระที่โต๊ะเอาเถอะ...ใช่ว่าเขาจำเป็นจะต้องขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับพี่รงค์นั่น เพราะเท่าที่ฟังอีกฝ่ายเพ้อเมื่อคืนก็มากพอจะช่วยให้เขาคลายข้อสงสัยแล้ว อีกอย่างเขาก็ไม่อยากกลายเป็นนักจิตบำบัดด้วยการขอให้เด็กคนนี้เล่าความหลังสุดรันทดกับหมอนั่นให้ฟังหรอกธีระลอบมองคนข้างตัวซึ่งนั่งจิบกาแฟไป นัยน์ตาจดจ่อกับตัวเลขในตลาดหุ้นผ่านทางหน้าจอไอแพดไปโดยระวังไม่ให้โดนจับได้ เสี้ยวหน้าที่หันข้างให้เขานั้นมีไรเคราขึ้นเขียวเป็นปื้น ดูแล้วให้ภาพลักษณ์อันตรายแต่ก็ดึงดูดสายตา ซึ่งเขาไม่แปลกใจว่าทำไมรุ่นพี่ถึงเคยเล่าว่าเจ้านายคนนี้ได้ควงหญิงสาวในวงการมากหน้าหลายตานักทั้งที่ฐานะการงานก็ดี รูปโฉมหรือก็มีพร้อม จะเข้าหาใครก็คงจะยากหาคนปฏิเสธ เขาจึงไม่เข้าใจเลยว่าคนคนนี้คิดอะไรตอนที่มาตั้งเงื่อนไขให้เขาต้องเป็นคู่ขาด้วยตั้งสามเดือนเมื่อผู้สูงวัยกว่าพับฝาไอแพดในมือ ธีระก็รีบเบนสายตาลงและบิขนมปังส่งเข้าปาก ก่อนจะเหลือบตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถาม"จะไปหาหมอมั้ย?""เอ๊ะ?"ธีระอุทานอย่างงุนงง แล้วดวงตากลมโตก็ยิ่งฉายแววประหลาดใจเมื่อกฤตภาสยื่นมือมาทาบบนหน้าผาก "ตัวเธอร้อนยิ่งกว่าเมื่อคืนอีกนะ ไม่ไปหาหมอแล้วจะหายเองได้รึไง?"กฤตภาสเอ่ยเรียบๆ หลังจากไล่หลังมือลงอังบนซอกคอของเขา แต่เด็กหนุ่มฟังไม่ออกว่าคู่สนทนาจะถามหรือจะดุกันแน่ จึงตัดบทพลางจับมือใหญ่ออกจากตัว"เดี๋ยวคุณไปส่งผมลงแถวๆ หอก็ได้ หน้าปากซอยมีคลินิกอยู่ เดี๋ยวผมแวะหาหมอแล้วจะได้กลับเข้าห้องเลย"คราวนี้กฤตภาสขมวดคิ้ว ร่างสูงใหญ่ยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแล้วก็ลุกขึ้น"คงปล่อยให้กลับไม่ได้หรอก ระหว่างที่ยังไม่หายก็นอนห้องฉันนี่แหละ ไปเปลี่ยนชุดซะแล้วเดี๋ยวฉันจะพาไปหาหมอ""หา?"ธีระครางเสียงสูงอย่างงุนงง แต่ดูเหมือนกฤตภาสจะไม่พอใจปฏิกิริยาตอบรับอันเชื่องช้า จึงเลื่อนเก้าอี้ที่เขานั่งออกแล้วก็ช้อนตัวเด็กหนุ่มขึ้นมาอุ้มตัวร้อนยิ่งกว่าเมื่อคืนจริงๆ ด้วย เด็กนี่เป็นพวกไม่รู้ตัวเวลาป่วยหรือไงกัน? "คุณกฤต! ผมเดินเองได้!"ธีระร้องพลางตะเกียกตะกายจะลงยืน แต่กฤตภาสกลับอุ้มเขาเข้าไปในห้องนอนแล้วถึงค่อยปล่อยลงหน้าประตูห้องน้ำ "ไม่ต้องอาบน้ำ แค่เช็ดเนื้อตัวหน่อยแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าก็พอแล้ว ถ้าใช้เวลานานกว่าสามนาทีฉันจะจับเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง เร็วๆ เข้า ฉันไม่อยากไปรอคิวตรวจนาน"เด็กหนุ่มยิ่งอ้าปากหวออย่างไม่อยากเชื่อว่าได้ยินอะไร พอเห็นท่าทางเป็นเบื้อใบ้ของเขา กฤตภาสก็เหลือบมองนาฬิกาที่แขวนบนผนัง"ผ่านไปห้าวิแล้ว ถ้ายังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไปทั้งชุดนี้แล้วกัน"ธีระปิดปากและทำหน้าเบ้ทันที เด็กหนุ่มหันไปหยิบเสื้อผ้าที่พาดบนราวแขวนแล้วก็กระโจนเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบ เสียงสวบสาบซึ่งเล็ดลอดออกมาเรียกรอยยิ้มจากกฤตภาสขณะเดินไปเปิดตู้เพื่อเปลี่ยนชุดบ้างนานๆ ที...เป็นผู้ปกครองพาเด็กไปหาหมอก็น่าสนุกดีเหมือนกัน...++------++ธีระผิดคาดอีกครั้งที่กฤตภาสไม่ได้พาเขาไปโรงพยาบาลเมื่อออกมานอกคอนโด ธีระถึงเพิ่งรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวมากกว่าเดิม โชคดีว่าเขาเลือกใส่เสื้อยืดแขนยาวออกมาเลยพอจะทนแอร์เย็นๆ ในรถของกฤตภาสได้ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพามาที่คลินิกซึ่งอยู่ในซอยที่ลึกและวกวนจนชวนให้เวียนหัวคลินิกนั้นจัดว่าไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก ตัวอาคารชั้นเดียวดูสะอาดเอี่ยมด้วยสีขาวล้วนและกระจกใส เมื่อเข้าไปด้านในก็พบกับพนักงานต้อนรับซึ่งยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เมื่อเหลือบไปเห็นป้ายชื่อคลินิกถนัดตา ธีระก็รู้สึกเหมือนไข้จะขึ้นสูงกว่าเดิมเสียให้ได้'คลินิกแพทย์ศุภวัฒน์ รักษาโรคเด็ก'นี่เห็นเขาอายุห้าขวบรึไงกัน!"เฮ้ๆ คนไม่สบายจะไปไหน? มาถึงที่แล้วก็ต้องให้หมอตรวจสิ"กฤตภาสเอ่ยพลางหันมาคว้าต้นแขนเขาไว้ เด็กหนุ่มจึงหันไปถลึงตาใส่นี่เขาอายุยี่สิบเอ็ดแล้วนะ! จะพาไปหาหมอทั้งทีก็พาไปหาหมอทั่วไปสิ!"สวัสดีค่า...ไม่ทราบคนป่วยอยู่ไหนเอ่ย?"หญิงสาวหน้ากลมท้วม สวมแว่นกรอบกลมหนาดูใจดีลุกขึ้นยืนพลางเอียงคอถามอย่างเป็นมิตร น้ำเสียงที่ใช้ราวกับกำลังพยายามหลอกล่อเด็กน้อยซึ่งกำลังเล่นซ่อนแอบ กฤตภาสจึงตอบยิ้มๆ โดยไม่ปล่อยมือที่ดึงแขนเด็กหนุ่มไว้"เด็กคนนี้แหละครับ ผมโทรมานัดไว้แล้วเมื่อเช้า ชื่อธีระ พัฒนกิจน่ะครับ""เอ๊ะ? อ๋า..."หญิงสาวกะพริบตาปริบขณะเบนสายตามาทางเจ้าของชื่อ แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรอีกขณะก้มลงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากลิ้นชัก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นยิ้มแย้มเสมือนไม่มีอะไรแปลก "งั้นเดี๋ยวกรอกเอกสารสำหรับผู้ป่วยใหม่ก่อนนะคะ เสร็จแล้วเดี๋ยวพาไปให้คุณหมอตรวจค่ะ"ไอ้เหวินรู้จักเลือกพนักงาน...กฤตภาสยิ้มขณะเดินตามธีระและหญิงสาวไปทางห้องตรวจหลังจากกรอกเอกสารเสร็จ พนักงานต้อนรับสาวเอากระดาษใบนั้นเข้าไปวางบนโต๊ะให้คุณหมอแล้วก็หันมาเปิดประตูให้พวกเขา ฝ่ายนายแพทย์หนุ่มก้มลงอ่านชื่อในแผ่นกระดาษแล้วก็เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น พลันรอยยิ้มนั้นก็แข็งค้างไปเมื่อเห็นคนทั้งคู่คุณหมอคงจะงงที่คนไข้โตป่านนี้แล้วยังจะมาตรวจที่คลินิกเด็กอีกล่ะสิ คุณกฤตนี่ก็เล่นพิเรนทร์ไม่เข้าเรื่อง...ธีระคิด แต่แล้วก็ได้แปลกใจกับประโยคที่หลุดจากปากนายแพทย์ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะ"คุณชายกฤต? มึงมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?"ธีระกะพริบตาปริบขณะหันไปมองคนที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง ฝ่ายกฤตภาสเพียงยิ้มมุมปากแล้วก็ยกมือขึ้นวางบนไหล่ของเขา"พาคนไข้มาให้ตรวจไง คุณหมอเหวินรีบๆ ตรวจเข้าสิ"เด็กหนุ่มหันกลับไปมองชายหนุ่มในชุดกาวน์ซึ่งมีนัยน์ตาเรียวแบบคนเชื้อสายจีนอีกครั้ง ฝ่ายนั้นเหมือนค่อยรู้สึกตัวว่าตนอยู่ในหน้าที่ จึงรีบยิ้มแล้วผายมือให้เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ โต๊ะ ส่วนกฤตภาสนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ปกติเอาไว้ให้ผู้ปกครองนั่ง"คุณ...ธีระ มีอาการเป็นยังไงบ้างครับ?" นายแพทย์หนุ่มก้มลงอ่านชื่อของเขาอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นถาม ธีระจึงตอบไปตามตรงด้วยเสียงค่อนข้างแหบและเบา"เอ่อ...มีไข้ แล้วก็ปวดเมื่อยเนื้อตัวครับ""เด็กนี่เริ่มไอตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วก็ออกไปตากฝน ส่วนเมื่อวานนี้ก็ออกไปตากแดดทั้งวันก่อนจะกินเหล้าเยอะจนเมาค้าง"ธีระหน้าแดงก่ำเมื่อคนข้างๆ ช่วยสาธยายอาการเพิ่มเติมให้อย่างเอื้อเฟื้อ เขาได้แต่นึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง ไม่เช่นนั้นคงได้ยื่นมือไปหยิกคนพูดให้เนื้อเขียวศุภวัฒน์กลอกตามองคนทั้งคู่เร็วๆ สลับกัน ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง"ถ้างั้นอ้าปากให้หมอดูหน่อยนะครับ"หมอหนุ่มวัดอัตราการเต้นหัวใจและอุณหภูมิของเขาด้วย จากนั้นก็สอบถามโรคประจำตัวและยาที่แพ้ก่อนจะเขียนใบสั่งยาให้"เท่าที่ดูแล้วน่าจะเป็นหวัด ยังไงช่วงนี้อย่าออกไปตากแดดตากฝน พยายามนอนแต่หัวค่ำ ดื่มน้ำมากๆ แล้วก็กินยาตามที่หมอสั่ง ถ้าหากอีกสัปดาห์ยังไม่ดีขึ้นก็กลับมาหาหมออีกที มีอะไรอยากถามไหมครับ?"เขาหันไปยิ้มขณะให้คำแนะนำกับเด็กหนุ่มที่นับได้ว่าหน้าตาน่ารักทีเดียว แล้วก็ให้เสียวสันหลังวูบเมื่อเห็นสายตาเขม่นของเพื่อนแวบๆ"ไม่มีครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ"ธีระยิ้มและพนมมือไหว้ขอบคุณ ศุภวัฒน์มองแล้วก็คิดว่าถ้าเป็นผู้ป่วยทั่วไปเขาคงยื่นมือไปลูบผมหรือตบบ่าไปแล้ว แต่เพราะเด็กคนนี้มากับกฤตภาส เขาจึงสังหรณ์ว่าถ้ายังอยากมาทำงานที่คลินิกได้อีกนานๆ ก็เก็บไม้เก็บมือไว้ดีกว่า"งั้นเดี๋ยวเอาใบนี้ไปรับยาที่ด้านหน้าได้เลยครับ"ธีระเดินออกจากห้องตรวจพร้อมกับกฤตภาสเพื่อไปรับยาจากพนักงานต้อนรับคนเดิม หลังจากเห็นบิลค่ายาแล้วเขาก็ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมานับเงิน แต่กลับถูกกฤตภาสกดมือลงแล้วเอ่ยเรียบๆ"เด็กที่ยังไม่มีเงินเดือนน่ะไม่ต้องจ่ายหรอก"คนฟังได้ยินแล้วนึกอยากกระทืบเท้าโวยวายเสียให้ได้ที่วันนี้ถูกย้ำว่าเป็นเด็กๆ อยู่นั่น แต่ขืนทำแบบนั้นคงได้ดูเหมือนเด็กจริงๆ จึงทำได้เพียงข่มใจ เขามองกฤตภาสหยิบบัตรเครดิตออกมาจ่ายค่ายาให้ เมื่อเสร็จแล้วทั้งสองก็เดินออกมาจากคลินิกด้วยกันโดยธีระถือถุงยาเอง แต่ยังก้าวไปไม่ถึงที่รถก็ได้ยินเสียงร้องเรียกจากด้านหลัง "เฮ้ยกฤต! รอแป๊บๆ!"ชายหนุ่มหันกลับไปมองเพื่อนในชุดกาวน์ซึ่งสาวเท้าเร็วๆ ตามออกมา แล้วก็หันไปกดรีโมทเปิดประตูรถให้คนป่วย"ไปนั่งรอในรถก่อน ฉันขอคุยกับเพื่อนเดี๋ยว"ธีระเหลือบมองนายแพทย์หนุ่มแล้วก็เดินขึ้นไปนั่งบนรถโดยไม่เอ่ยอะไร ส่วนกฤตภาสเดินเอามือล้วงกระเป๋ากลับไปหาเพื่อนซึ่งยืนรออยู่หน้าคลินิก "อะไรของมึง? จะทวงเงินค่าเหล้าเมื่อเดือนก่อนหรือไง? กูต้องจ่ายเท่าไหร่ล่ะ?""เออใช่! ถ้ามึงไม่ทักกูก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย แต่เงินแค่นั้นช่างมันเถอะ กูแค่เพิ่งนึกขึ้นได้...ว่าเด็กนั่นใช่คนที่มึงนั่งมองที่ผับคืนนั้นรึเปล่าวะ?"เขามัวแต่แปลกใจตอนที่กฤตภาสเดินเข้าไปในห้องตรวจพร้อมกับเด็กหนุ่มเมื่อครู่ แต่พอคล้อยหลังทั้งสองก็ให้นึกได้ว่าเคยเห็นหน้าธีระในคืนที่เพื่อนๆ นัดสังสรรค์กันเมื่อเดือนที่ผ่านมา"ใช่ แล้วยังไง? นั่นน่ะยี่สิบเอ็ดแล้วนะ ไม่ใช่สิบเจ็ด""เออ...กูรู้ว่ามึงไม่ได้พรากผู้เยาว์ กูก็อ่านประวัติคนไข้นะเว่ย เพียงแต่...อะไรของมึงวะเนี่ย? กูตกข่าวอะไรไปรึเปล่า?"กฤตภาสมองกลับไปทางรถของตัวเอง น่าเสียดายที่เขาติดฟิล์มกระจกไว้เข้มเกินไป จึงไม่รู้ว่าธีระกำลังมองมาทางพวกเขาอยู่หรือไม่"ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เขาบังเอิญมาฝึกงานที่บริษัทกูช่วงปิดเทอมนี้ แล้วตอนนี้ไม่สบายก็เลยพามาให้มึงตรวจเท่านั้นแหละ ไม่ดีรึไงที่พาลูกค้ามาให้"ศุภวัฒน์ฟังแล้วก็ทำหน้าปั้นยาก "ลูกค้าเรอะ ถึงกูจะตรวจโรคทั่วไปได้แต่แกล้งพาน้องเขามาคลินิกเด็กแบบนี้ไม่ดีมั้ง ว่าแต่...พอเห็นหน้ามึงวันนี้กูเลยนึกถึงเรื่องที่ยายหวานเพิ่งเล่าให้ฟังได้ ก็เลยคิดว่าน่าจะบอกมึงสักหน่อย น้ำหวานคือชื่อเล่นของน้องสาวคนเดียวของศุภวัฒน์ กฤตภาสจึงเลิกคิ้วอย่างสงสัย "เรื่องอะไร?""เอ...จริงๆ มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของกูหรอกนะ เล่าไปอาจไม่ดีก็ได้""งั้นก็แปลว่าไม่ได้สำคัญอะไรมาก กูกลับล่ะ""เฮ้ยๆๆ!! แหม...พอคบเด็กล่ะกลายเป็นวัยรุ่นใจร้อนเลยนะไอ้คุณชาย ก็กูไม่รู้นี่หว่าว่ายายหวานต่อยไข่ใส่สีเอามันส์รึเปล่า เอาเป็นว่า...กูจะเล่าให้ฟังตามที่ได้ยินมาเป๊ะเลยก็แล้วกัน"ศุภวัฒน์เอ่ยแล้วก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะที่กฤตภาสเพียงแต่ยกมือขึ้นกอดอกแล้วรอฟังอย่างอดทน เพราะรู้ดีว่านอกจากเพื่อนที่คบกันมานานคนนี้จะเป็นหมอแล้วก็ยังพ่วงตำแหน่ง เจ้ากรมข่าว อย่างชนิดที่น่าจะไปทำเป็นอาชีพเสริมด้วยธีระไม่รู้ว่าตัวเองนั่งรออยู่นานแค่ไหน แต่ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับก็เห็นกฤตภาสก้าวเข้ามานั่งในรถ เขาจึงขยับนั่งตัวตรงขณะที่อีกฝ่ายถอยรถออกจากลานจอดและทิ้งคลินิกไว้เบื้องหลังกฤตภาสไม่ได้ชวนเขาพูดคุยสักคำ ใบหน้าที่บัดนี้ไรเคราเขียวชัดเจนขึ้นกว่าเดิมยังคงดูสงบ ทว่าธีระกลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไปจากเมื่อเช้านี้คุณหมอพูดอะไรกับคุณกฤตนะ คงไม่ใช่เรื่องของเราหรอกมั้ง...ธีระคิดท่ามกลางความรู้สึกวิงเวียน เขาพยายามดึงแขนเสื้อให้ลงมาปิดถึงมือแล้วก็กอดอกเพื่อบรรเทาความหนาวจากแอร์ในรถ ไม่นานกฤตภาสก็เลี้ยวรถเข้าจอดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง"ลงไปกินข้าว"ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเรียบๆ ขณะเปิดประตูลงจากรถ ธีระได้แต่มองตามอย่างงุนงงก่อนจะลงจากรถบ้าง เขารีบสาวเท้าตามกฤตภาสที่ก้าวยาวๆ ไปรออยู่หน้าทางเข้าร้านแล้ว แต่พอเดินมาถึงกลับโดนขมวดคิ้วใส่"ยาที่ไอ้เหวินให้มาล่ะ?""เอ๊ะ?"เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคนที่กำลังทำหน้าดุอย่างไม่เข้าใจ กฤตภาสจึงพ่นลมหายใจแล้วเดินกลับไปที่รถ จากนั้นก็หยิบถุงใส่ยาที่ได้จากคลินิกแล้วเดินตรงเข้าไปในร้านโดยไม่พูดอะไรอีก แผ่นหลังของคนที่เดินนำลิ่วโดยไม่รอทำให้ธีระใจแป้วอารมณ์เสียอะไรมา...นี่เขาไม่สบายอยู่นะ...จะให้มีปฏิกิริยาตอบรับว่องไวเหมือนปกติได้ยังไงกัน...ธีระคิดขณะเดินตามร่างสูงใหญ่อย่างช้าๆ เข้าไปด้านในห้องอาหาร เขาหยิบยาในถุงซึ่งกฤตภาสวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาดูว่ามีอะไรบ้าง จากนั้นก็หยิบยาที่ต้องกินก่อนอาหารขึ้นมาใส่ปากเองโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายบอกมื้ออาหารยามบ่ายนั้นผ่านไปอย่างอึมครึม ใช่ว่าพวกเขาจะมีเรื่องต้องพูดคุยกันมากอยู่แล้วเวลาทานข้าวแต่ละมื้อด้วยกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ธีระสัมผัสได้ถึงรังสีของความไม่พอใจที่แผ่ออกมาจากตัวกฤตภาสอย่างเข้มข้น ความอึดอัดซึ่งมาพร้อมกับความไม่สบายตัวทำให้เขายิ่งทานอะไรไม่ลงมากขึ้นไปอีก"กินแค่นั้นจะไปพอได้ยังไง หรือนอกจากเป็นหวัดแล้วยังอยากเป็นโรคกระเพาะเพิ่ม?"กฤตภาสถามเสียงดุเมื่อเห็นธีระรวบช้อนส้อมทั้งที่กินข้าวไปไม่ถึงครึ่งจาน แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้าขณะหยิบยาที่ต้องทานหลังอาหารออกมาเทใส่มือ"ผมคงไม่ซวยซ้ำซ้อนขนาดนั้นหรอกครับ อีกอย่างผมเจ็บคอจนจะกลืนอะไรไม่ลงอยู่แล้ว"เขาเอ่ยแล้วก็หยิบยาเข้าปากก่อนจะดื่มน้ำตาม ความรู้สึกเหมือนมีหนามในคอทำให้เด็กหนุ่มนิ่วหน้าแม้ขณะที่กลืนน้ำเปล่า ท่าทางของเขาคงทำให้กฤตภาสเริ่มตระหนักได้ว่ากำลังพาลกับคนป่วย ผู้สูงวัยกว่าจึงเบนความสนใจกลับไปที่อาหารตรงหน้าแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีกหลังจากทั้งสองทานมื้อแรกของวันอย่างเป็นกิจลักษณะเสร็จ นาฬิกาก็บอกเวลาบ่ายคล้อย กฤตภาสจ่ายเงินค่าอาหารแล้วก็เดินนำออกจากร้านโดยมีเด็กหนุ่มเดินตามไปอย่างอ่อนแรงสายตาของธีระซึ่งทอดลงต่ำมองไปยังมือที่แกว่งอยู่ข้างกายของกฤตภาส แม้จะไม่ได้นึกพิศวาสอีกฝ่ายทั้งที่ถูกโอบกอดมาก็หลายครั้ง แต่เวลานี้เขากลับเกิดความคิดพิลึกพิลั่นว่าอยากสอดมือไปให้อีกฝ่ายจูงเดินเหลือเกิน เพราะเขารู้สึกว่าทั้งศีรษะและร่างกายหนักอึ้งจนอยากทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้นอยู่แล้วเด็กหนุ่มไม่ได้ทำตามที่คิดและเพียงแต่กัดฟันเดินตามไปจนถึงรถ ตอนที่กฤตภาสกดรีโมทปลดล็อกรถ เขาก็ยังรวบรวมเรี่ยวแรงเปิดประตูเพื่อก้าวขึ้นไปนั่งด้วยตัวเอง ถึงแม้จะต้องใช้ความพยายามถึงสองครั้งเพราะครั้งแรกนั้นมือลื่นก็ตามกฤตภาสสตาร์ทรถแล้วก็ขับออกมาจากลานจอดของร้านทันที ไอเย็นจากช่องแอร์ที่ลอยอวลทำให้ธีระเริ่มคัดจมูกจนหายใจลำบาก จึงถือวิสาสะยื่นมือไปปรับลดแอร์ลงด้วยตัวเอง"หรี่แอร์ทำไม?"นี่เพิ่งสังเกตว่าเขาอยู่ในรถด้วยหรือไง...ธีระนึกเหน็บแนมแต่ก็ตอบเสียงเบาไปตามตรง"ผมหายใจไม่ออกครับ"กฤตภาสเหลือบมองเด็กหนุ่มนิดหนึ่ง จากนั้นก็ปิดแอร์แล้วเปิดกระจกหน้าต่างลงราวหนึ่งในสี่ อากาศธรรมชาติซึ่งถ่ายเทเข้ามาในรถทำให้ธีระค่อยหายใจได้ปลอดโปร่งขึ้น"...ขอบคุณครับ""อืม"กฤตภาสตอบรับในคอเรียบๆ แต่ธีระก็ยังสัมผัสได้ถึงความขุ่นมัวของอารมณ์ที่อีกฝ่ายแผ่ออกมา จึงลองถามดูเพราะไม่ชอบบรรยากาศอึดอัดที่กำลังดำเนินอยู่เอาเสียเลย"มีเรื่องอะไรเหรอครับคุณกฤต?""เรื่องอะไร? หมายความว่ายังไง?"หากธีระไม่ได้ป่วยจนศีรษะหนักอึ้ง เขาอาจฉุกคิดได้แล้วว่าไม่ควรถามต่อ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้สมองของเขาไม่อาจคิดวิเคราะห์ได้ฉับไวเท่าไรนัก"เมื่อเช้าคุณยังอารมณ์ดีๆ อยู่เลย แต่พอออกจากคลินิกมาก็อารมณ์เสียตลอด เป็นเพราะผมรึเปล่า? ถ้าหากผมไปทำอะไรให้ล่ะก็...""ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ" กฤตภาสตัดบทฉับ "เมื่อเช้าเป็นยังไงตอนนี้ก็เป็นยังงั้น ไม่ต้องห่วงหรอก ทีฉันยังไม่ถามเลยว่าทำไมเธอไม่เลิกเพ้อถึงพี่รงค์นั่นสักที"เด็กหนุ่มหน้าซีดขณะหันไปมองกฤตภาสซึ่งกำลังบังคับรถด้วยท่าทีสงบนิ่ง เป็นไปได้อย่างไรกัน...เขาไม่เคยเล่าเรื่องของณรงค์ให้คนที่บริษัทรู้เลยนี่นา แล้วคุณกฤตไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน...ธีระฝืนกลืนน้ำลายลงคอที่ทั้งเจ็บและตีบตันก่อนจะถามเสียงโหย "คุณรู้เรื่องพี่รงค์ได้ยังไง?""หึ...ดูท่าจะเก็บหมอนั่นไว้ลึกสุดใจเลยสิถึงได้ไม่รู้ตัวว่าพร่ำเพ้อถึงบ่อยแค่ไหน ฉันได้ยินชื่อนี้ตั้งแต่ได้เธอครั้งแรกแล้ว แถมเมื่อคืนนี้ตอนเธอเมาก็เอาแต่เพ้อหาหมอนั่นเป็นชุด มาตู่เรียกฉันว่าพี่รงค์ๆ อยู่นั่น อยากรู้มั้ยว่าเธอละเมอเพ้อพกว่าอะไรบ้าง ฉันจะได้เล่าให้ฟังให้ครบทุกเม็ด""คุณกฤต! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!!"ความโกรธที่ผุดพลุ่งทำให้ธีระไม่สนใจว่ากฤตภาสกำลังขับรถ เด็กหนุ่มหันไปทุบตีไหล่หนาอย่างแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว ถึงแม้จะไม่ถึงกับทำให้รู้สึกเจ็บ แต่ก็ทำให้คนขับเกือบบังคับรถไปเบียดชนรถที่วิ่งอยู่อีกเลนจนถูกบีบแตรเสียงดังไล่ สุดท้ายกฤตภาสจึงต้องเบี่ยงรถเข้าจอดข้างทางแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน"เธอนั่นแหละหยุดบ้าเดี๋ยวนี้! อยากให้รถชนตายกันทั้งคู่รึไง!!"ร่างสูงใหญ่หันไปตวาดเสียงดังใส่จนธีระสะดุ้ง มือทั้งสองข้างที่เพิ่งรัวทุบอีกฝ่ายถูกมือใหญ่จับยึดเอาไว้ หยาดน้ำร้อนๆ ซึ่งกบขอบตาก็พลันไหลลงตามปราการที่อ่อนแอของร่างกายไปด้วย "ก็คุณกฤต...ทำไมวันนี้ต้องใส่อารมณ์กับผม...ทำไมต้องเอาแต่พูดจาไม่ดีกับผมตลอด...ทั้งที่ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลยสักคำ...คุณมันแย่ที่สุดเลย..."เสียงสะอื้นที่มาพร้อมกับใบหน้าเหยเกทำให้กฤตภาสรู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบหัว ถ้าหากไม่นับเมื่อคืนที่ธีระเมา นี่ก็เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาเห็นเด็กหนุ่มร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้า"อย่าร้องไห้สิ เป็นลูกผู้ชายไม่ใช่รึไง""ผมจะร้องแล้วจะทำไม! คนนิสัยไม่ดี! เอาแต่ใจ! คนเขายังไม่ได้ทำอะไรให้ก็ยังมาดุมาว่า นึกว่าตัวเองโมโหเป็นคนเดียวงั้นเหรอ! ผมก็โมโหเป็นเหมือนกันนะ!"ธีระพยายามยื้อมือทั้งสองข้างออกเพื่อจะทุบกฤตภาสอีก แต่คราวนี้ผู้สูงวัยกว่ารวบตัวเขาเข้าไปกอดไว้แน่น ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะพยายามดิ้นรนยังไงก็ขยับตัวให้เป็นอิสระจากอ้อมแขนแกร่งไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงได้แต่นั่งหอบหายใจจนตัวโยน"ผมเกลียดคุณกฤต""เธอไม่ได้เกลียดฉันหรอก"กฤตภาสเอ่ยพลางแนบริมฝีปากลงบนกระหม่อมชื้นเหงื่อของคนในอ้อมแขน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ถ้าธีระเกลียดเขาจริงก็คงไม่ใส่ใจถามหรอกว่าทำไมเขาถึงอารมณ์แปลกไป เมื่อคิดได้เช่นนี้ หมอกสีดำที่รบกวนจิตใจก็ดูจะสลายไปเล็กน้อยเสียงเคาะกระจกดึงความสนใจเขากลับไปด้านหลัง และพบว่ามีตำรวจยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับใบหน้าแสดงความสงสัย"ไม่ทราบรถเสียหรือเปล่าครับ?"ชายหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่าตนจอดรถอยู่บริเวณข้างถนนที่ไม่ได้มีร้านค้าหรือผู้คนเดินผ่าน จึงเพียงยิ้มบางและตอบอย่างสุภาพ"ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมทะเลาะกับแฟนนิดหน่อย แต่ตอนนี้ดีกันแล้วครับ"ธีระฟังแล้วก็ยิ่งซุกหน้าเข้าหาอกกฤตภาสมากขึ้น ความจริงเขาเหลือบเห็นตั้งแต่ตอนได้ยินเสียงเคาะกระจกแล้วว่าคนข้างนอกเป็นใคร ความเขินอายทำให้ได้แต่พยายามก้มหน้าลงให้มากที่สุดเพราะไม่อยากให้ใครเห็นสภาพเขาตอนนี้ "ถ้างั้นก็แล้วไปครับ"นายตำรวจคนนั้นขยับหมวกเล็กน้อยแล้วก็เดินกลับไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งมอเตอร์ไซค์คันนั้นขับจากไปแล้ว ธีระจึงค่อยดันตัวเองออกจากอ้อมแขนที่โอบรัดตนไว้"นี่ครั้งที่สองแล้วนะ เลิกบอกใครต่อใครว่าผมเป็นแฟนคุณเสียทีเถอะ"เด็กหนุ่มสูดน้ำมูกพลางใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดน้ำตา กฤตภาสมองใบหน้าด้านข้างของธีระที่ไม่ได้แดงเพราะพิษไข้เท่านั้น แล้วก็หยิบกล่องทิชชู่จากเบาะหลังยื่นให้"เป็นแฟนฉันไม่ดีเหรอ?""ไม่ดี ไม่เห็นจะมีข้อดีตรงไหนเลย"เด็กหนุ่มหยิบกล่องทิชชู่ไปวางบนตักก่อนจะดึงแผ่นทิชชู่ออกมาสั่งน้ำมูก ส่วนกฤตภาสเพียงแต่หัวเราะหึแล้วก็ออกรถ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกตลอดทางจนกระทั่งกลับไปถึงคอนโด แม้แต่ตอนที่เข้าไปในลิฟต์ด้วยกันก็ยังไม่มีใครเอ่ยชวนใครคุย ธีระรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นเมื่อมาถึงที่ห้อง เขาเดินตามกฤตภาสที่เปิดประตูให้แล้วก็เดินตรงไปทิ้งตัวที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น ศีรษะที่หนักอึ้งราวมีก้อนโลหะถ่วงทำให้เขานั่งตัวตรงไม่ไหว สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ เอนตัวลงนอนและม่อยหลับไป จึงไม่ได้รู้ตัวว่าใครอีกคนกำลังยืนจุดบุหรี่สูบและมองเขาเงียบๆ ด้วยแววตาครุ่นคิดเมื่อธีระปรือตาขึ้นมาอีกครั้งภายในห้องที่มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟ สิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในสายตาและการรับรู้ครึ่งหลับครึ่งตื่นคือลายสักรูปแมงป่องบนหัวไหล่กำยำ ภายใต้ไออุ่นที่โอบล้อมและเตียงหนานุ่มที่รองอยู่ข้างใต้ เขาค่อยๆ รับรู้ทีละน้อยว่าบนร่างกายไม่มีเสื้อผ้าติดอยู่เลยสักชิ้นเด็กหนุ่มพยายามผงกศีรษะขึ้นอย่างอ่อนแรง เขาพยายามกะพริบตาถี่เพื่อขับไล่หมอกแห่งความง่วงงุนให้จางหาย และพบว่ากฤตภาสกำลังคลอเคลียยอดอกของเขาด้วยปลายลิ้นดุจผีเสื้อที่กำลังระเริงกับแหล่งน้ำหวาน"คุณกฤต...จะทำอะไร..."เสียงของธีระทั้งแผ่วทั้งแหบ เขาพยายามจะผลักไหล่หนาที่คร่อมทับตัวเองออกอย่างไร้ผล พลันริมฝีปากที่ครอบลงบนยอดอกแล้วดูดอย่างแรงก็ทำให้เด็กหนุ่มแอ่นอกจนแผ่นหลังลอยขึ้นจากเตียง "เธอคงไม่ลืมนะว่าระหว่างวันหยุดฉันมีสิทธิ์ทำอะไร?"กฤตภาสเอ่ยพลางเลื่อนมือลงเคล้าคลึงแก่นกายของธีระอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มพยายามหุบขาหนีแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะคนเบื้องบนใช้ขาของตัวเองกันไว้ แถมกฤตภาสยังใช้มือซ้ายสอดสอดประสานกับมือขวาของเขาแล้วกดมันลงบนเตียง ส่งผลให้ธีระเหลือแขนซ้ายเพียงข้างเดียวที่เป็นอิสระ และมันมีประโยชน์เพียงแค่ใช้จิกลงบนต้นแขนแกร่งเพื่อระบายความรุ่มร้อนจากการถูกโลมเล้าเท่านั้น"คุณกฤต...ผมไม่สบายอยู่นะ..."ธีระเอ่ยทั้งที่เกลือกหน้าบนหมอนเพราะความเสียวซ่าน แม้จะรู้ดีว่าคำพูดของตนขัดแย้งกับการแสดงออกของร่างกายอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักฐานที่กำลังแสดงตัวอยู่ในอุ้งมือซึ่งโอบกระชับ "ฉันไม่เคยได้ยินใครบอกสักคนว่าห้ามมีเซ็กส์เวลาไม่สบาย ตัวร้อนๆ แบบนี้แหละทำให้มีอารมณ์ง่ายกว่าตั้งเยอะ"ริมฝีปากอุ่นพรมจูบลงบนริมฝีปากและแก้มของเขา ลมหายใจผ่าวร้อนของกฤตภาสรดลงบนผิวหน้าของธีระ แต่บางทีนั่นอาจเป็นลมหายใจของเขาเองที่สะท้อนกลับมาก็เป็นได้"ฮึ...อ๊ะ!"เด็กหนุ่มกำมือขวาลงบนมือที่ถูกกฤตภาสกดไว้แน่น ขณะที่มือซ้ายก็จิกเล็บลงบนต้นแขนแกร่งมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายแทรกร่างเข้ามาระหว่างเรียวขาของเขา ร่างสูงใหญ่ขบฟันกับอุณหภูมิสูงจัดที่โอบรัดความแข็งแกร่งของตน แรงบีบของช่องทางเล็กแคบราวกับมีมนต์หลอมละลายความยับยั้งชั่งใจที่ยังหลงเหลือให้ปลิดปลิว"สุดยอด..."เสียงแหบต่ำริมหูจุดไอร้อนให้ลามเลียบนใบหน้าของธีระ มือที่เมื่อครู่จิกบนต้นแขนกฤตภาสเปลี่ยนเป็นกำขึ้นทุบทันที แต่แล้วการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับเขามากขึ้นก็ทำให้มือข้างนั้นต้องเลื่อนลงทึ้งผ้าปูเตียงแทนเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บ ความจริงแล้วกฤตภาสไม่ได้ทำรุนแรงกับเขาเลยสักนิด ทว่าความแกร่งร้อนที่แทรกเข้ามาลึกล้ำมากขึ้นก็ทำให้เด็กหนุ่มหอบหายใจแรงดุจคนขาดอากาศ"อ๊ะ...อ๊ะ..."จนกระทั่งร่างสูงใหญ่เป็นหนึ่งเดียวกับเขาโดยสมบูรณ์และเริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย ธีระก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้กรีดร้องครวญครางไปตามความหฤหรรษ์ที่เอ่อท้นได้อีกต่อไป ลมหายใจของเขาขาดห้วงไปตามจังหวะกระแทกกระทั้นที่บางครั้งก็เนิบหน่วง แต่บางคราก็ดุดันและยั่วเย้า จวบจนพายุอารมณ์ที่พวยพุ่งโถมท่วมจากศีรษะจรดปลายเท้า นัยน์ตาของเด็กหนุ่มก็พร่าเบลอไปตามความอ่อนล้าที่ลามไปถึงปลายนิ้ว ฮึก...ธีระครางแผ่วเมื่อกฤตภาสถอยกายที่ยังรุ่มร้อนออกจากช่องทางที่ยังบีบรัด เขารู้ว่าอีกฝ่ายยังไปไม่ถึงปลายทางของการร่วมอภิรมย์ แต่ก็พยายามท้วงเมื่อถูกจับให้นอนคว่ำบนข้อศอกที่ชันขึ้นคุณกฤตครับ พอเถอะ...วันนี้ผมไม่ไหวจริงๆ...อื๊อออเด็กหนุ่มยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่สอดใส่เข้ามาอีกครั้ง ร่างเพรียวกระตุกเมื่อกฤตภาสสอดนิ้วเข้ามาในปากของเขา บังคับให้ต้องดูดดุนนิ้วนั้นและไม่อาจเอ่ยคำปฏิเสธได้อีกไม่พอหรอก ยังไงก็ไม่พอเสียงทุ้มพร่าจากเพลิงปรารถนากระซิบริมหู ก่อนที่ธีระจะสะดุ้งอีกครั้งเมื่อกฤตภาสก้มลงกัดต้นคอด้านหลังจนเขามั่นใจว่าพรุ่งนี้ต้องมีรอยฟันหลงเหลือแน่ ช่องทางอ่อนไหวเบื้องล่างบีบรัดผู้รุกรานที่โถมกายเข้าหาไม่หยุดหย่อนทั้งที่เขาเพลียจนแทบจะทรงตัวไม่ไหวอื๊อ...อื๊อราวกับรับรู้ว่าธีระไม่มีแรงแม้แต่จะยันกายขึ้นจากเตียง กฤตภาสจึงถอนนิ้วออกจากริมฝีปากของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งโดยรั้งเอวของคนในอ้อมแขนให้ซ้อนทับลงบนตักท่านี้ยิ่งทำให้ธีระรับรู้ถึงอุณหภูมิอันผ่าวร้อนของกฤตภาสมากขึ้นกว่าเมื่อครู่ แผ่นอกตึงแน่นแนบชิดกับแผ่นหลังที่สั่นสะท้านของเขาขณะที่มือใหญ่จับเอวผอมเพรียวให้ขยับโยก คุณกฤต...พอ...หยาดน้ำตาไหลซึมจากหางตากลมโตอย่างห้ามไม่ได้ ซึ่งเป็นผลจากความเหนื่อยและเพลียจากไข้ที่ขึ้นสูง รวมกับความน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่ฟังคำทัดทานของเขาเลยฉันรู้ว่าเธอยังไหว เด็กดี...ทนอีกนิดไม่เอาแล้ว...ฮือ...พอ...เสียงร้องไห้ของเด็กหนุ่มขาดช่วงตามจังหวะการเคลื่อนไหวที่ร่างสูงใหญ่กำกับ กฤตภาสไล้ปลายลิ้นออกเลียหยาดน้ำตาที่ไหลปนเหงื่อบนผิวแก้มเนียน กระนั้นหยาดน้ำอุ่นก็ยังไหลลงจากหางตากลมโตไม่หยุดชายหนุ่มตระหนักดีว่าตอนนี้คนในอ้อมแขนไม่ได้รู้สึกถึงความสุขหรือมีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ภาพที่ธีระร้องไห้หน้าเหยเกบนตักของเขากลับยิ่งโหมกระพือไฟปรารถนาให้โชติช่วงจนไม่อาจหักห้ามตัวเองได้ความเสียวซ่านที่เขาคุ้นเคยเริ่มปะทุดุจกิ่งไม้ที่ดีดตัวยามถูกเปลวเพลิงโลมเลีย แต่ละกิ่งส่งต่อไฟกันไปจนความร้อนรุ่มแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ชายหนุ่มจับร่างบนตักให้เร่งขยับตัวอย่างกระแทกกระทั้นเพราะรู้ว่าตนกำลังจะถึงที่หมายในไม่ช้า และแล้วท่ามกลางการบีบรัดอันร้อนระอุของช่องทางที่กระชับรอบแก่นกาย กฤตภาสก็คำรามเสียงพร่าเมื่อความหฤหรรษ์ที่เฝ้ารอโถมกระหน่ำลงมาในที่สุดธีระได้ยินเสียงของร่างสูงใหญ่ที่ดังข้างหู แต่มันกลับฟังดูเหมือนล่องลอยมาจากที่อันไกลแสนไกล อ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับเขาแนบแน่นทั้งที่ร่างกายของทั้งสองเหนียวเหนอะไปด้วยเหงื่อ ในม่านหมอกแห่งความอ่อนล้าที่ผูกมัดแขนขาจนเขาขยับตัวไม่ไหว เด็กหนุ่มคล้ายจะเห็นรอยสักรูปแมงป่องบนไหล่ขวาของกฤตภาสมีชีวิตขึ้นมาในห้วงสัมปชัญญะที่เลือนรางจนไม่มีอะไรให้ไขว่คว้าอีกต่อไป ความคิดสุดท้ายของธีระก่อนที่จะหมดสติอย่างสิ้นเชิง คือความสงสัยว่าเขาถูกแมงป่องตัวนี้พันธนาการจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองโดยสมบูรณ์ไปแล้วหรือยัง... ++---TBC---++A/N: คาดว่าคะแนนที่ตากฤตได้จากตอนที่แล้วคงลดฮวบอีกครั้งในตอนนี้ ความติสท์ของคุณชายเธอนี่ทำเอาคนเขียนยังเหวอเลยค่ะ ส่วนน้องตี้คงยิ่งเหวอกว่าเพราะต้องรับมือกับอาการวัยทองของคุณชายด้วยตัวเอง เขียนไปก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ภูมิคุ้มกันตากฤตของน้องอัพเลเวลขึ้นเร็วๆ เฮ้อ
อะไรกันๆๆๆๆๆๆ
อย่ามาอารมณ์เสียใส่น้องตี้นะ
คือบางทีก็เหมือนคุณกฤตจะเป็นตัวของตัวเองสุดๆ แบบไม่รักษาภาพพจน์เวลาอยู่กับน้องตี้
ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี (ที่คิดเอาเอง)
แต่คือน้องป่วยอยู่ไง อย่าเอาแต่ใจนักสิ
ปล. ชอบตอนน้องตี้โวยวายกลับแล้วตากฤตเหวอนิดๆเหมือนกันนะ ฮาาา