Group Blog
 
All blogs
 
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 24


สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++



เล่ห์ลวงใจ บทที่ 24


งานเปิดตัวโน้ตบุ๊คครั้งนี้มีโจทย์จากลูกค้าว่าต้องการบรรยากาศที่เรียบหรูแต่ก็ทันสมัย แนวทางการตกแต่งจึงถูกกำหนดให้เป็นสีดำและสีทอง บางจุดก็จะใช้ดอกไม้ แก้วคริสตัลและขนนกแซมบ้างเพื่อไม่ให้ทึบทึมเกินไป ส่วนเวทีนั้นปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำและต่อแคทวอล์คมาถึงกลางห้องสำหรับให้นางแบบเดินโชว์สินค้า

ตอนที่ธีระแยกตัวกลับไปเมื่อคืนก่อนนั้นสภาพห้องจัดงานยังไม่ค่อยเรียบร้อย แต่เมื่อเขาเดินทางมาถึงโรงแรมในตอนแดดร่มลมตกของวันนี้ก็พบว่าทุกอย่างถูกรังสรรค์ได้สมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ

"อ้าวตี้ มาแล้วเหรอ?"

อรรณพเอ่ยทักเมื่อเห็นธีระเดินเข้ามาในห้องจัดงาน เด็กหนุ่มมองอย่างชื่นชมไปรอบๆ แล้วก็ยิ้มให้

"ห้องสวยมากเลยครับพี่อาร์ท เมื่อคืนอยู่กันถึงกี่โมงเนี่ย?"

"กี่โมงเหรอ...น่าจะเกือบๆ ตีสองมั้ง พอพี่กลับถึงบ้านก็งีบนิดนึงก่อนจะออกมาอีกทีตอนเก้าโมง โชคดีว่างานเราจัดตอนเย็นก็เลยมีเวลาให้เตรียมตัวกันเยอะหน่อย"

หนุ่มรุ่นพี่อธิบายขณะเดินนำไปยังห้องพักซึ่งตั้งเยื้องกับห้องจัดงาน ภายในห้องมีเพื่อนร่วมงานบางคนกำลังกินข้าว บ้างก็จับกลุ่มคุยกันหรือโทรศัพท์ติดต่องาน ธีระเข้าไปวางกระเป๋าไว้บนชั้นวางของแล้วก็เดินกลับไปหาอรรณพอีกครั้ง

“งั้นตอนนี้มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ?”

“ถ้าตอนนี้ก็ยังไม่มีหรอก พี่ว่าระหว่างนี้ตี้รีบกินข้าวรองท้องไว้ก่อนดีกว่า อ้อ...ส่วนนี่วอของตี้ พี่จูนให้เป็นช่องสำหรับทีมพวกเราโดยเฉพาะแล้ว ถ้าเสียงดังหรือเบาไปก็หมุนปรับวอลุ่มตรงนี้ เดี๋ยวพอคนอื่นจะออกไปหน้างานก็ค่อยตามเขาออกไปก็ได้”

“โอเคครับ”

เด็กหนุ่มเสียบวิทยุไร้สายไว้กับเข็มขัดและยกหูฟังขึ้นเสียบหู หลังจากปรับความดังของเสียงให้พอดีแล้วก็เดินไปหยิบข้าวกล่องแล้วนั่งกินที่โต๊ะเดียวกับพวกรุ่นพี่ ทุกคนล้วนอยู่ในชุดเตรียมพร้อมสำหรับงานคืนนี้ซึ่งก็คือเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำปักโลโก้สีทองของบริษัทกับกางเกงสีเข้ม ส่วนรองเท้านั้นต้องเป็นรองเท้าหุ้มส้นที่ดูสุภาพแต่ก็คล่องตัว

"เห็นว่าพวกนายแบบนางแบบมาแต่งตัวกันตั้งแต่บ่ายแล้วใช่มั้ย? แล้วนิกกี้ล่ะ?"

"ก็แต่งตัวอยู่ในห้องที่จองให้เขาแหละ เห็นว่าคืนนี้จะมีเซเลบมาร่วมงานหลายคน ทางลูกค้าคงอยากอวดว่าตัวเองจ้างมาได้เรทถูกกว่าเราล่ะมั้ง"

รุ่นพี่ที่โต๊ะคุยซุบซิบกันแบบไม่เก็บเสียงนัก แต่ก็ไม่น่าแปลกเพราะถึงอย่างไรทุกคนในบริษัทต่างก็รู้เรื่องนี้ ฝ่ายธีระได้แต่นั่งกินข้าวเงียบๆ เพราะไม่อยากออกความเห็น เขาตั้งใจว่าหลังจากกินข้าวเสร็จจะออกไปสำรวจหน้างานอีกสักทีก่อนที่กฤตภาสจะมาถึง

นี่เรากลายเป็นคนเอาการเอางานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นชะมัดจะได้เลิกห่วง

เด็กหนุ่มยิ้มให้กับความคิดที่ผุดขึ้นมา เขาตระหนักดีว่าเมื่อก่อนตัวเองชอบทำตัวจับจด การเรียนก็ไม่ได้ดีนักแถมยังเอาแต่ผลาญเงินไปกับการเที่ยวเล่นและซื้อข้าวของ ไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนนี้เขากลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน น่าจะเป็นเพราะได้มาฝึกงานช่วงปิดเทอมนี้กระมัง

พอคิดถึงตรงนี้เรียวคิ้วของธีระก็มุ่นเข้าหากัน เพราะถึงแม้เขาจะภูมิใจกับความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันการมาฝึกงานก็ทำให้เขาต้องเจอกับคนอย่างกฤตภาส เขายอมรับว่าตอนแรกที่ถูกยื่นเงื่อนไขแย่ๆ ให้นั้นเขาเกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำ แต่ไม่รู้เพราะความเคยชินหรือว่าทัศนคติที่เปลี่ยนไปหลังจากรู้ว่ากฤตภาสไว้ใจเขาในหลายๆ เรื่องมากกว่าคนอื่นที่บริษัท ตอนนี้เขาจึงไม่กล้าถามตัวเองให้ลึกซึ้งว่าคิดอย่างไรกับผู้ชายคนนั้นกันแน่

"ตี้ เดี๋ยวพวกพี่จะออกไปที่หน้างานกันแล้วนะ จะไปด้วยกันหรือเปล่า?"

เสียงของรุ่นพี่คนหนึ่งดึงธีระออกจากวงจรความคิดอันสับสน เขามองทุกคนที่พร้อมจะออกไปปฏิบัติงานแล้วถึงเพิ่งรู้ตัวว่ากินข้าวไปได้แค่นิดเดียว

"ไปด้วยครับ ขอตี้กินน้ำแป๊บนึง"

"ไม่ต้องรีบก็ได้นะ จริงๆ ยังพอมีเวลาอีกหน่อย ตี้กินข้าวให้หมดแล้วค่อยตามไปก็ได้"

"ไม่เป็นไรครับ ออกไปพร้อมกันเลยดีกว่า ตี้ยังไม่ค่อยหิวด้วย"

พวกเขาออกจากห้องพักของทีมงานแล้วก็ต่างกระจายตัวไปตามจุดที่ต้องรับผิดชอบ ฝ่ายที่ต้องคุมคิวการแสดงก็เข้าไปในห้องจัดงาน ฝ่ายที่ต้องต้อนรับแขกก็ไปดูแลความเรียบร้อยหน้าทางเข้า ส่วนธีระนั้นไม่มีหน้าที่อะไรเป็นพิเศษ เขาจึงมาช่วยต้อนรับแขกด้วยเพราะจะได้เห็นเวลาที่กฤตภาสเดินเข้ามา

"สงสัยวันนี้รถไม่ติดแฮะ ลูกค้ามาถึงกันเร็วเชียว"

รุ่นพี่คนหนึ่งหันมากระซิบกับธีระที่พยักหน้ารับ ตามกำหนดการแล้วงานเลี้ยงจะเริ่มตอนหนึ่งทุ่ม แต่ยังไม่ทันจะหกโมงดีก็มีลูกค้าทยอยกันมาลงทะเบียนไม่ขาดสาย แขกเหรื่อหลายคนเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการ แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์มือถือของสื่อมวลชนที่ได้รับเชิญมาทำข่าวจึงวูบวาบไปทั่วบริเวณ

เสียงฮือฮาจากมุมหนึ่งของงานดึงดูดนักข่าวให้หันกล้องไปทางเดียวกัน ธีระและเพื่อนร่วมงานจึงหันตามและพบว่าผู้ที่เดินออกมาก็คืออรณิชซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์หลักของงานคืนนี้ ดาราสาวอยู่ในชุดเกาะอกผ้าซาตินที่ประดับด้วยขนนกและคริสตัล กระโปรงทรงสุ่มของเธอสั้นเหนือเข่าที่ด้านหน้าแต่ชายด้านหลังยาวกรุยกรายระพื้น บนเรือนผมที่เกล้าเป็นมวยสูงประดับด้วยดอกไม้และขนนก ความสง่าและโดดเด่นขับรัศมีให้เธอกลายเป็นจุดเด่นของงานได้ไม่ยาก

ฉากสำหรับถ่ายรูปที่หน้างานคลาคล่ำไปด้วยแขกที่อยากถ่ายภาพร่วมกับอรณิชและบรรดานางแบบคนอื่นๆ ขณะเดียวกันแสงไฟที่แขวนประดับโดยรอบก็เริ่มวอมแวมกลบแสงอาทิตย์ที่สลัวลงทุกที ยิ่งเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งใกล้เวลางานมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่ธีระกำลังคิดว่าจะโทรตามกฤตภาส สายตาของเขาก็ทอดไปประสานเข้ากับอนุชิตที่กำลังยืนจิบไวน์อยู่อีกมุมหนึ่งพอดี

ชายหนุ่มชูแก้วขึ้นทักทายแต่ไม่เดินเข้ามาหา ทว่ารอยยิ้มที่ประดับบนมุมปากและแววตาก็ทำให้ธีระนึกฉุนอยู่เลาๆ เพราะราวกับเขากำลังโดนล้อเลียนว่า 'นายใหญ่ไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ?' ไม่มีผิด

"ทีมนักแสดงข้างในพร้อมแล้ว ถ้าคุณกฤตมาเมื่อไหร่พวกข้างหน้าบอกให้รู้ด้วยนะ เปลี่ยน"

เสียงของอรรณพดังมาตามวิทยุไร้สายที่ทีมงานทุกคนมีติดตัว แต่ละคนลอบมองกันไปมาเพราะถึงแม้จะเตรียมการพร้อมแค่ไหนก็เริ่มงานไม่ได้ถ้ากฤตภาสยังมาไม่ถึง รุ่นพี่ที่ยืนข้างๆ คนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบถามธีระอย่างเป็นกังวล

"ตกลงคุณกฤตจะมากี่โมงน่ะตี้? ไหนส่งข้อความบอกทุกคนเมื่อตอนบ่ายว่าจะมาตั้งแต่หกโมงนี่นา"

"เดี๋ยวตี้ลองโทรหาอีกทีนะครับ อ๊ะ! คุณกฤตมาแล้วครับ!"

เด็กหนุ่มลืมตัวส่งเสียงดังจนสายตาหลายคู่หันไปมองตาม และพบว่าคนที่ทุกคนรออยู่กำลังเดินผ่านหัวมุมล็อบบี้มาพร้อมกับศุภวัฒน์โดยมีผู้จัดการโรงแรมเดินนำเข้ามา สีหน้าท่าทางของเจ้าตัวไม่บ่งบอกถึงความอิดโรยที่จะทำให้ใครๆ สงสัยว่ากำลังบาดเจ็บอยู่เลยสักนิด

ในที่สุดก็มาเสียที...

ธีระระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งใจ วันนี้กฤตภาสสวมเสื้อสูทสีดำไม่กลัดกระดุมทับเสื้อเชิ้ตแบะปกสีครีม ส่วนศุภวัฒน์ซึ่งมาด้วยกันสวมสูทที่สุภาพกว่าเพราะกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตทุกเม็ดและผูกเนคไท พอมาถึงทางเข้างานแล้วกฤตภาสก็เดินตรงมายังโต๊ะลงทะเบียนที่ธีระกับลูกน้องคนอื่นยืนอยู่ทันที

"โทษทีรถติดไปหน่อยเลยมาช้า ทุกคนพร้อมสำหรับพิธีเปิดงานกันหรือยัง?"

ชายหนุ่มถามไถ่โดยไม่สนใจแขกเหรื่อและสื่อมวลชนที่ออกันอยู่อีกมุม แต่ยังไม่ทันจะมีใครได้ตอบคำถาม อนุชิตก็เดินเข้ามาตบบ่าซ้ายของกฤตภาสอย่างสนิทสนม

"มาจนได้นะครับคุณกฤต"

ธีระนิ่วหน้าเมื่อเห็นมือของอนุชิตวางทับบนแผลของกฤตภาสซึ่งอยู่ใต้เสื้อสูทพอดี แต่ตัวคนเจ็บเพียงแต่ปรายตามองคนที่ทักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"สวัสดีครับคุณอิน"

"ผมนึกว่าคืนนี้จะต้องเริ่มงานโดยไม่มีคุณกฤตซะแล้ว ไหนๆ มาแล้วก็ขอยืมตัวไปถ่ายรูปกับนิกกี้หน่อยนะครับ ทีมพีอาร์ของผมจะได้ดีใจที่มีรูปให้ส่งไปลงแม็กกาซีนเพิ่ม"

แวบหนึ่งที่ธีระเห็นคิ้วของกฤตภาสย่นเข้าหากัน แต่เพียงชั่วพริบตาคิ้วคู่นั้นก็คลายออก

"ก็ได้ครับ ถ้างั้นทุกคนไปเตรียมประจำที่ไว้ ถ้าฉันให้สัญญาณเมื่อไหร่จะได้เริ่มงานกันเลย"

"คุณกฤตครับ...เอ่อ..."

ธีระอยากเอ่ยอะไรสักอย่างเผื่อว่าอนุชิตจะปล่อยมือจากแขนกฤตภาสเสียที แต่คนที่เขาเรียกเพียงแค่หันกลับมาสบตา จากนั้นก็หยักมุมปากขึ้นแล้วเดินตามอนุชิตไปทางจุดถ่ายรูป

แววตาคู่นั้นราวจะปลอบเขาโดยไม่เปล่งเสียงว่า 'ไม่ต้องเป็นห่วง'

"ไม่เป็นไรหรอก"

เด็กหนุ่มหันไปด้านหลังก็เห็นศุภวัฒน์ที่กำลังยิ้มอ่อนๆ ให้ ส่วนเพื่อนร่วมงานคนอื่นต่างแยกย้ายไปประจำที่ของตัวเองกันแล้ว บริเวณนั้นจึงเหลือพวกเขาเพียงสองคน

"ทำไมล่ะครับหมอ?"

"กฤตมันโดนฉีดยาชาไว้แล้วน่ะ แต่นั่นก็ตั้งแต่ตอนที่หว่านล้อมหมอเจ้าของไข้จนเขายอมให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อตอนบ่ายล่ะนะ ถ้าคืนนี้มันไม่ซ่ามากไปก็น่าจะพอทนจนจบงานได้"

นายแพทย์หนุ่มเอ่ยพลางบุ้ยคางไปทางเพื่อนสนิทที่กำลังยืนอยู่กลางวงล้อมของสื่อมวลชนร่วมกับเหล่านางแบบ ท่าทางผ่อนคลายของเจ้าตัวบ่งบอกว่าไม่ได้กำลังฝืนจริงๆ แต่หลังจากยืนดูกฤตภาสยิ้มให้กล้องถ่ายรูปเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แถมบางรูปยังยืนเสียชิดกับพรีเซนเตอร์หลักของงานที่ใครๆ ก็รู้ว่าคบกันอยู่ เขาก็นึกหมั่นไส้อย่างอดไม่ได้

"ดูคุณกฤตไม่เขินกล้องเลยนะครับ ทั้งที่ไม่ได้เป็นตัวเอกของงานคืนนี้แท้ๆ"

"โอ๊ะโอ๋...อย่าบอกนะว่าหึงไอ้กฤตมันน่ะ?"

"ไม่ใช่ครับ! ผมแค่สงสัยเพราะงานของลูกค้าครั้งก่อนคุณกฤตแทบไม่ออกมาหน้างานเลยต่างหาก!"

ธีระเห็นแววตาล้อเลียนของศุภวัฒน์ก็หน้าร้อนซู่ อย่างเขานี่น่ะเหรอจะหึงกฤตภาส? ถ้าจะมีใครหึงคนแบบนั้นลงก็อย่ามานับรวมเขาเข้าไปด้วยเลย!

"เอาน่าๆ ที่ถ่ายรูปกับมันอยู่นั่นก็แค่ดอกไม้ข้างทางเท่านั้นล่ะ อย่างน้อยตอนนี้เป้าหมายมันก็อยู่แถวๆ นี้มากกว่าล่ะนะ ว่าแต่เดี๋ยวหมอขอไปตักอะไรกินก่อนก็แล้วกัน ไปช่วยรับมันมาจากโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนบ่าย ท้องร้องจะแย่"

ศุภวัฒน์เอ่ยแล้วก็เดินเลี้ยวเข้าไปในห้องจัดงาน ทิ้งให้ธีระมองตามด้วยแววตาสับสนอยู่คนเดียว แต่เมื่อเขาหันกลับไปทางทิศที่นักข่าวรุมถ่ายรูปอีกครั้งก็พบว่าพิธีกรเอ่ยเชิญทุกคนให้เข้าห้องจัดงานแล้ว

อรณิชและเหล่านางแบบถูกพาไปเข้าประตูด้านหลังเวทีเพราะต้องขึ้นแสดง ส่วนธีระนั้นไม่ทันเห็นว่ากฤตภาสเดินเข้าห้องจัดงานไปตอนไหน พอบริเวณโถงด้านหน้าแทบไม่เหลือใครแล้วนอกจากพนักงานของโรงแรม เขาจึงค่อยเดินตามเข้าไปด้านในบ้าง

ภายในห้องมีการจัดเก้าอี้จำนวนหนึ่งให้แขกวีไอพีนั่งหน้าแคทวอล์ค ส่วนแขกคนอื่นๆ จะยืนชมอยู่รอบนอก เนื่องจากธีระได้ดูการซักซ้อมไปหลายครั้งแล้วจึงไม่ตื่นเต้นนัก เขาจงใจเดินไปทางด้านหลังห้องจัดเลี้ยงพลางสอดส่ายสายตาว่ากฤตภาสน่าจะนั่งอยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากแสงไฟที่ถูกหรี่ลงเพื่อให้สปอตไลท์บนเวทีเด่นจึงยากแก่การมองหา

"สวัสดีและยินดีต้อนรับทุกท่านสู่งานในค่ำคืนนี้ค่ะ”

เสียงพิธีกรสาวบนเวทีดังออกจากลำโพงขณะที่เธอเอ่ยต้อนรับทุกคน วูบหนึ่งที่แสงสปอตไลท์ส่องไปบนผู้ชมที่นั่งอยู่หน้าเวที ธีระจึงได้เห็นว่ากฤตภาสนั่งคุยอะไรบางอย่างอยู่กับผู้บริหารระดับสูงของลูกค้า

อยู่ตรงหน้าเวทีนี่เอง...แล้วไป...

ความโล่งใจไหลวูบในอกของธีระ ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นทาบอกด้วยความไม่เข้าใจ จริงอยู่หรอกว่าเขากังวลเพราะเป็นไปได้ที่กฤตภาสจะปิดบังอาการไม่ไหวและทรุดลงกลางงาน แต่การที่เขาไม่สบายใจจนต้องการเห็นอีกฝ่ายตลอดเวลามันล้ำเส้นอะไรไปหรือเปล่า?

ขณะที่ธีระพยายามสลัดความคิดนั้นออกจากหัว พิธีกรบนเวทีก็เริ่มเกริ่นนำเข้าสู่การแสดง ทุกคนฮือฮาเมื่อเห็นอรณิชที่เดินออกมาพร้อมกับปีกอันใหญ่ที่สวมไว้บนหลัง การแสดงที่ตระเตรียมมาอย่างดีส่งผลให้เธอดูเหมือนนางฟ้าที่นำสินค้ามาแนะนำให้ทุกคนชื่นชม และการเต้นประกอบเพลงของแดนเซอร์ก็เรียกเสียงปรบมือและตรึงความสนใจจากทุกคนได้อยู่หมัด

ธีระเริ่มคอแห้งเมื่อการแสดงก้าวเข้าสู่ช่วงสุดท้าย เขารู้ว่าหลังจากนี้จะมีการสัมภาษณ์ผู้บริหารรวมทั้งอรณิชบนเวที จึงรีบถือโอกาสเดินไปหยิบน้ำที่โต๊ะของว่างด้านหลังขึ้นดื่มก่อนที่แสงไฟในห้องจะสว่างขึ้น เพราะกฤตภาสเข้มงวดมากกับการห้ามลูกน้องกินดื่มอะไรในงานของลูกค้าระหว่างจัดงานเด็ดขาด

"เฮ้ย ตกลงข่าวลือที่ว่านิคกี้กับลูกชายคุณโกเมทเขากิ๊กกันอยู่นี่จริงรึเปล่าวะ?"

เด็กหนุ่มชะงักเมื่อได้ยินเสียงลอยมาจากด้านนอกแว่วๆ เนื่องจากโต๊ะเครื่องดื่มนั้นตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางเชื่อมไปยังพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่ตรงระเบียง เขาจึงค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ผ้าม่านที่บังประตูเอาไว้เพื่อตั้งใจฟัง

"ได้ยินหัวหน้าบอกมาอย่างนั้นนะ เขาก็สั่งผมเหมือนกันว่าให้ถ่ายรูปคู่ของสองคนนั้นไว้เยอะๆ เผื่อจะเอาไปเขียนสกู๊ปซุบซิบเสียหน่อย"

"แต่เห็นว่าต่างคนต่างก็ไม่เคยออกมาให้ข่าวยืนยันเลยนี่นา เอ้อ...แต่พี่ได้ยินเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับคุณกฤตมาว่ะ"

"หือ? เรื่องอะไรวะพี่?"

น้ำเสียงกระตือรือร้นของคนถามดึงความสนใจของธีระไปด้วย เขาแทบกลั้นหายใจเพื่อให้แน่ใจว่าตนจะไม่ได้ยินอะไรพลาด

"เมื่อไม่กี่วันก่อนเพื่อนพี่มันไปกินเหล้าที่ผับแถวบ้าน ทีนี้จู่ๆ ก็มีเสียงปืนดังที่หน้าร้าน เพื่อนคนนี้มันก็เป็นนักข่าวเลยวิ่งออกไปดูว่ามีเรื่องอะไร ปรากฏว่ามีคนยิงกันเว่ย! มันบอกว่าตอนนั้นค่อนข้างมืดเลยเห็นหน้าคนโดนยิงไม่ค่อยชัด แต่ดูแล้วหน้าตาคล้ายๆ ลูกชายคุณโกเมท เสียดายที่มันไม่ทันได้เข้าไปดูใกล้ๆ ก็มีรถพยาบาลมารับคนที่โดนยิงออกไปซะก่อน วันนี้พี่เลยตั้งใจมางานนี้เพราะอยากจะรู้ด้วยว่าคุณเขาโดนยิงจริงรึเปล่า แต่เท่าที่เห็นก็ท่าทางปกติดี สงสัยเพื่อนพี่มันคงจำผิดคน"

"ฮ้า!? ถ้านี่เรื่องจริงก็ข่าวใหญ่เลยนะพี่! เอาไปขุดคุ้ยต่อได้เลยว่าโดนใครยิงแล้วยิงทำไม ว่าแต่ทำไมพี่ถึงรู้ว่ามางานนี้แล้วจะเจอเขาล่ะ?"

"มึงนี่มีสัญชาตญาณนักข่าวมั่งไหมเนี่ย? ดูชื่อออแกไนเซอร์ในบัตรเชิญมั่งสิวะ! บริษัทนี้มันของเขา เจ้าตัวเขาก็ต้องมาแหงอยู่แล้วสิ!"

ทั้งสองยังถกกันเรื่องนี้ต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะเบนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่น ทว่าธีระที่แอบฟังอยู่หลังผ้าม่านได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เขาหันกลับไปทางด้านหน้าเวทีแล้วก็ได้แต่คิดว่าจะเตือนกฤตภาสอย่างไรดีให้ระวังตัวจากพวกนักข่าวที่ไม่ได้ตั้งใจแค่จะเขียนสกู๊ปเรื่องของเขากับอรณิชเท่านั้น

ตอนนี้แสงไฟในห้องจัดงานถูกเปิดให้สว่างขึ้นแล้ว แต่โชคไม่ดีที่เก้าอี้ซึ่งเมื่อครู่กฤตภาสนั่งอยู่กลับมีคนอี่นมานั่งแทน เด็กหนุ่มตื่นตัวและรีบกวาดสายตาไปทั่วทันที แต่เพราะแขกในงานหลายคนต่างก็สวมสูทสีดำคล้ายกัน เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหา

...ไม่ยอมรับสาย แล้วนี่ลุกหายไปไหนกัน? เจ็บตัวอยู่แท้ๆ ทำไมยังต้องทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงอีกนะ!?!

เด็กหนุ่มนึกฉุนขึ้นมา เขาหันหลังให้กิจกรรมบนเวทีแล้วตัดสินใจเดินไปหาที่ห้องน้ำแต่ก็ไม่เจอ เมื่อลองไปที่ห้องพักของทีมงานเผื่อว่ากฤตภาสจะนั่งพักอยู่ก็พบแต่ความว่างเปล่า ครั้นจะถามหาทางวิทยุไร้สายก็เกรงว่าจะทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นสงสัย จึงทำได้เพียงแค่เดินวนหาบริเวณรอบห้องจัดเลี้ยงต่อไปเท่านั้น

เสียงหัวเราะและปรบมือที่ดังมาจากห้องจัดงานแว่วๆ บอกให้รู้ว่ากิจกรรมภายในดำเนินไปด้วยดี และนั่นทำให้ธีระซึ่งเริ่มเหนื่อยกับการเดินตามหากฤตภาสชะลอฝีเท้าลง เมื่อได้มองผ่านกระจกเข้าไปเห็นบรรยากาศรื่นเริงภายใน เด็กหนุ่มก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่

ทำไมเขาจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ด้วยล่ะ... คุณกฤตก็ใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้มาตลอดก่อนที่จะเจอเขาไม่ใช่หรือ แถมวันนี้หมอเหวินยังมาคอยดูแลอยู่ข้างๆ ด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนอาจจะชวนกันไปนั่งหลบผู้คนอยู่ที่ห้องไหนสักห้องก็ได้ ถ้าเขาตามไปเจออาจจะกลายเป็นว่าไปขัดจังหวะเข้าเสียอีก

ความรู้สึกเย็นยะเยือกเกาะกุมหัวใจราวกับมีผลึกน้ำแข็งจับ ธีระหมุนปิดเสียงวิทยุไร้สายที่เพื่อนร่วมงานกำลังใช้สื่อสารกัน จากนั้นก็หันหลังให้ห้องจัดงานแล้วปลีกตัวไปทางสวนหย่อมซึ่งอยู่อีกฝั่งอย่างเงียบเชียบ

เด็กหนุ่มเดินลอดซุ้มไม้ระแนงที่มีเถาไม้เลื้อยประดับก่อนจะออกไปโผล่ที่สวนหย่อมขนาดย่อม มุมหนึ่งของสวนมีศาลารูปทรงคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ด้านในมีม้านั่งทำจากหินขัดและมีโคมไฟดวงเล็กๆ แขวนอยู่ด้านบน ธีระเดินตรงเข้าไปที่ศาลาหลังนั้น จากนั้นก็นั่งบนม้านั่งพลางเอนหลังพิงลูกกรงอย่างเหนื่อยอ่อน

ความจริงแล้ววันนี้เขายังไม่ได้ทำอะไรที่ควรจะทำให้เหนื่อยเสียด้วยซ้ำ หน้าที่เลขาฯ ของกฤตภาสทำให้เขาค่อนข้างลอยตัวเนื่องจากต้องคอยประสานงานแทนเจ้าตัวไปตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น เวลานี้เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเบื่อหน่ายทุกสิ่งจนนึกอยากให้ค่ำคืนนี้ปิดฉากลงเสียที

คิดถึงเพื่อนๆ คิดถึงที่บ้าน แต่อีกใจก็ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากอธิบายอะไรเลย ทำไมความรู้สึกแบบนี้มันกลับมาอีกแล้วนะ...

เด็กหนุ่มนั่งเหม่อขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับคำถามที่ไร้คำตอบ ในอกว่างโหวงเหมือนไม่มีอะไรอยู่ภายใน แต่บางช่วงจังหวะกลับอึดอัดคล้ายกลุ่มก๊าซที่พร้อมจะระเบิด ความรู้สึกเช่นนี้ช่างชวนให้เขานึกถึงช่วงเวลาหลังจากเลิกกับณรงค์ใหม่ๆ เหลือเกิน ความรู้สึกเหมือนสถานที่ที่เขาเคยอ้างสิทธิ์ได้ถูกคนอื่นยึดไป และความว่างเปล่าที่ตามมาก็ทำให้เคว้งคว้างจนไม่รู้จะคว้าอะไรเป็นหลักยึดเหนี่ยว

ธีระรับรู้ถึงความร้อนผ่าวบนขอบตา เด็กหนุ่มยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดก่อนที่จะมีหยาดหยดหลั่งรินพลางสูดน้ำมูก ถึงจะหดหู่แค่ไหนแต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะเศร้า เพราะถ้ากลับเข้าไปในงานแล้วพวกพี่ๆ เห็นว่าหน้าตาเขาเหมือนจะร้องไห้คงจะพากันถามอย่างเป็นห่วงแน่ และสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากทำคือแต่งเรื่องโกหกมาหลอกให้ทุกคนสบายใจ

ตอนนี้เขาแค่อยากให้งานจบจะได้กลับไปพักผ่อนคนเดียวเงียบๆ ก็พอ ขอแค่นี้เท่านั้นเอง...

ร่างเพรียวลุกขึ้นพลางบิดร่างกายท่อนบนไปมา เขาเป่าลมออกทางปากแล้วค่อยสูดหายใจเข้าแรงๆ กระทั่งมั่นใจว่ารู้สึกดีขึ้นจึงค่อยเดินออกจากศาลา เพราะเขาก็ปลีกตัวออกมาได้ครู่ใหญ่แล้ว ตอนนี้ที่งานอาจจะมีอะไรให้ช่วยก็เป็นได้

"อ้าว? น้องตี้ไม่ใช่เหรอนั่น? ทำไมมาปลีกวิเวกตรงที่มืดๆ แบบนี้ล่ะครับ?"

คำถามนั้นทำให้ธีระชะงักฝีเท้าทันที เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจ้าของเสียงสืบเท้าออกมาจากเงามืดใต้ซุ้มไม้ระแนงอย่างเชื่องช้า แสงสลัวจากโคมไฟในสวนหย่อมช่วยให้เขาเห็นใบหน้าอีกฝ่ายถนัดตาในที่สุด

"ผมมาเดินเล่นน่ะครับคุณอิน กำลังจะกลับไปที่งานแล้วครับ"

"อืม แต่ในสวนนี่ก็อากาศดีจริงๆ ด้วยนะ มิน่าล่ะถึงหนีมาเดินเล่นตรงนี้"

อนุชิตก้าวลงบันไดเตี้ยๆ สามขั้นมายังสนามหญ้า กลิ่นแอลกอฮอลล์ที่ลอยตามลมมาทำให้เด็กหนุ่มเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังเมา

"เชิญคุณอินตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปช่วยพี่ๆ ข้างในก่อน"

"ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ข้างในเขาจัดการทุกอย่างกันได้ มาเดินเล่นด้วยกันก่อนเป็นไร"

ธีระสูดหายใจลึกเมื่อถูกยึดข้อมือไว้ก่อนจะเดินหนีพ้น เขาพยายามจะชักมือออกแต่กลับยิ่งถูกบีบแน่นขึ้น

"คุณอิน...ปล่อยด้วยครับ"

"ทำไมล่ะ? คนอื่นนอกจากคุณกฤตจับแล้วรู้สึกไม่ดีเหรอ?"

นัยน์ตากลมโตวาวโรจน์ด้วยอารมณ์ที่ปะทุ ธีระสะบัดมือข้างที่ยังเป็นอิสระขึ้นหาใบหน้าของอนุชิตอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ามือจะกระทบเป้าหมายก็ถูกยึดข้อมือข้างนั้นเอาไว้ด้วย

"คุณอิน! ปล่อยผม!!"

"เฮ้อ…คุณกฤตสอนลูกน้องมายังไงเนี่ย? กับลูกค้าเขาห้ามใช้ความรุนแรงเด็ดขาดเลยนะ หรือเวลาอยู่กับคุณกฤตสองต่อสองแล้วชอบเล่นเอสเอ็มกัน?"

คนตัวใหญ่กว่าเอ่ยพลางกระชากข้อมือของธีระจนถลาเข้าสู่แผ่นอก จากนั้นก็ถือโอกาสรวบร่างเข้าไปกอดและพึมพำอย่างอารมณ์ดี

"ทำไมไม่ลองรสชาติใหม่ๆ กับคนอื่นดูบ้างล่ะ? ยังอายุน้อยอย่างนี้อย่าเพิ่งรีบตกลงปลงใจดีกว่านะ"

ธีระมั่นใจว่าคู่กรณีเมามากแน่นอน เขาพยายามจะดิ้นหนีเมื่ออนุชิตก้มลงซุกไซ้ริมฝีปากบนซอกคอ ความโมโหถึงขีดสุดทำให้คิดว่าต่อให้ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อให้เป็นอิสระก็จะทำ

ทุกคนดีแต่มองว่าเขาเป็นเด็กก็เลยคิดว่าจะจูงจมูกไปทางไหนก็ได้ล่ะสิ! อย่ามาดูถูกกันง่ายๆ แบบนี้นะ!!!

เด็กหนุ่มพยายามจะยื้อแขนที่พัวพันบนร่างจนไม่ทันได้ยินเสียงสวบสาบของฝีเท้าที่ก้าวเร็วๆ เข้ามาจากด้านหลัง รู้แต่ว่าจู่ๆ แขนที่กอดรัดก็อ่อนเปลี้ยพร้อมกับเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดที่ข้างหู เขารีบถือโอกาสนั้นผลักอนุชิตเต็มแรงแล้วดีดตัวออกให้ห่าง พอตั้งตัวได้แล้วถึงค่อยเห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลังคนที่เพิ่งจาบจ้วงกับเขาไปหยกๆ

"รังแกเด็กแบบนี้ไม่ดีนะครับคุณอิน ถ้าหากเมาก็นั่งพักให้สร่างก่อนดีกว่านะครับ"

ไม่รู้ว่ากฤตภาสมาถึงตั้งแต่ตอนไหน แต่ท่าทางที่อีกฝ่ายจับแขนข้างหนึ่งของอนุชิตไพล่ไปด้านหลังพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบก็ทำให้ธีระรู้ว่าคนที่ช่วยเขาไว้คือเจ้านายของเขานั่นเอง แต่ดูเหมือนคนทำผิดจะไม่ยอมรับข้อกล่าวหาง่ายๆ

"จุ๊ๆ ทำไมถึงรีบใส่ความว่าผมรังแกเด็กล่ะครับ บางทีเด็กของคุณกฤตอาจเป็นคนที่นัดผมมาที่นี่เองก็ได้นะ"

"คุณอิน!! พูดให้มันดีๆ นะ! คืนนี้ผมแทบไม่ได้คุยกับคุณด้วยซ้ำ!!"

ธีระตวาดอย่างฉุนเฉียว เลือดในกายเดือดปุดจนอยากจะเข้าไปทุบตีคนตรงหน้าให้สาสมกับที่พยายามบังคับเขาแล้วยังโกหกหน้าด้านๆ แต่แววตาอันสงบนิ่งของกฤตภาสที่จ้องมองมาก็ช่วยรั้งเด็กหนุ่มให้ยืนอยู่กับที่

"เด็กของผมรสนิยมดีกว่านั้นเยอะครับ ทางที่ดีคุณอินอย่ายุ่งกับเขาอีกจะดีกว่า คงไม่ต้องเตือนนะครับว่าถ้าคนของคุณรู้เข้าจะเป็นยังไง ครั้งนี้ผมจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน"

กฤตภาสปล่อยมือก่อนจะเดินตรงมาหาธีระ จากนั้นก็โอบไหล่เขาแล้วพาเดินกลับไปยังทางเดินซุ้มไม้ระแนง ตอนแรกเด็กหนุ่มทำท่าจะเหลียวกลับไปมองด้านหลัง แต่กฤตภาสโอบไหล่เขาแน่นขึ้นพลางกระซิบเสียงต่ำ

"ไม่ต้องหันไป ให้มันจบแค่ตรงนั้นก็พอแล้ว"

ธีระพยายามตัดใจทำตามทั้งที่อารมณ์ยังพวยพุ่ง เด็กหนุ่มกำมือแน่นเพื่อข่มอาการสั่นให้สงบลง

"ผมไม่ได้นัดเขาไปตรงนั้น ผมแค่ออกไปเดินเล่นแล้วจู่ๆ คุณอินก็ตามมา ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ"

"ฉันรู้ ถึงได้พูดไงว่าเธอรสนิยมดีกว่านั้น"

น้ำเสียงของกฤตภาสราบเรียบและมั่นคง ความเยือกเย็นที่ถ่ายทอดออกมาช่วยดับความรุ่มร้อนในใจของธีระให้ค่อยๆ มอด ลมหายใจของเขาเริ่มไหลเวียนสะดวกขึ้นเมื่อพบว่ากฤตภาสไม่เชื่อคำพูดของอนุชิตเลยแม้แต่น้อย

ถ้าหากเมื่อกี้คุณกฤตไม่เข้ามาช่วย...เขาคงได้สู้สุดแรงจนลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โตแน่ๆ เชียว...

"ขอบคุณครับคุณกฤต"

ธีระเงยหน้าขึ้นเอ่ยเมื่อพบว่าร่างกายหยุดสั่นแล้ว แต่กลับได้เห็นเสี้ยวหน้าของกฤตภาสที่ซีดเซียวและมีเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผากจนน่าตระหนก

"คุณกฤต? เป็นอะไรรึเปล่าครับ!?"

"สงสัยยาชาจะหมดฤทธิ์"

กฤตภาสพูดเพียงแค่นั้นก็ขบฟันแน่น ธีระจึงตระหนักทันทีว่าไม่ใช่แค่เพราะยาชาหมดฤทธิ์หรอก แต่น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายเพิ่งฝืนใช้แรงช่วยเขาจากอนุชิตมากกว่า!!

"ทำไงดี จะไปนั่งพักที่ห้องของทีมงานก่อนไหมครับ?"

"ไม่ได้ ถ้าเกิดมีคนอื่นเข้ามาเห็นเข้าจะผิดสังเกต ตอนนี้งานเลี้ยงใกล้จะจบแล้ว ไอ้เหวินนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ เดี๋ยวเธอพยุงฉันออกไปแล้วเราก็กลับกันเลย"

ธีระพยักหน้ารับ เขาพยุงกฤตภาสออกห่างจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวังที่สุด แต่ยังไม่ทันจะออกไปถึงล็อบบี้ จู่ๆ คนเจ็บก็เซจนโถมน้ำหนักเข้าดันเขาติดผนัง

"คุณกฤต! คุณเดินไหวรึเปล่า? ถ้าไม่ไหวผมจะได้โทรให้หมอเหวินมาช่วย"

เพราะดูแล้วลำพังเขาคนเดียวคงพากฤตภาสออกไปได้ไม่เร็วเท่าไหร่ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหน้า

"ขอพักนิดเดียว เดี๋ยวก็ไปต่อไหว"

"แต่ว่า..."

เด็กหนุ่มยังไม่ทันจะจับต้นชนปลายถูกก็เห็นใบหน้าของกฤตภาสก้มลงต่ำมากขึ้นทุกที พอรู้ตัวอีกครั้งริมฝีปากของทั้งคู่ก็สัมผัสกันแล้ว นัยน์ตากลมโตเบิ่งกว้างมองแพขนตาที่ปิดสนิทของคนตัวใหญ่กว่า แล้วก็ต้องหลับตาปี๋เมื่อรับรู้ถึงปลายลิ้นที่แตะลงบนกลีบปาก

"ฮึ..."

เสียงครางต่อต้านลอยผ่านลำคออย่างอ่อนแรง ธีระก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรทั้งที่พวกเขาอยู่ในบริเวณที่ล่อแหลมต่อการมีคนมาเห็นเหลือเกิน ครั้นจะยกมือผลักก็เกรงจะไปกระทบแผลของอีกฝ่าย ยิ่งพอถูกปลายนิ้วโป้งลูบไล้บนมุมปากคล้ายจะบอกให้เผยอริมฝีปากมากขึ้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนเข่าจะหมดแรง

"คุณกฤต...พอได้แล้ว...คุณไม่เจ็บแล้วรึไง?"

เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมสติขณะดันอกกฤตภาสออกห่าง แววตาที่ทอดมองมาทำให้ต้องเบนสายตาหลบไปทางอื่น ทั้งที่เมื่อครู่เขาโมโหจนแทบชกใครอีกคนที่มาทำรุ่มร่ามใส่ได้ แต่พอโดนคนคนนี้จูบเข้าทีเดียว...เขาก็มีปฏิกิริยาตอบรับต่างกันมากมายถึงขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้โมโหตัวเองไหวหรือ

"บอกแล้วไงว่าพักแค่นิดเดียว เอาล่ะ ไปกันเถอะ"

ธีระเม้มปากพลางเข้าพยุงกฤตภาสต่อ ทั้งสองเลี้ยวผ่านมุมอาคารที่ค่อนข้างมืดก่อนจะออกไปถึงล็อบบี้ซึ่งศุภวัฒน์นั่งรออยู่ เมื่อนายแพทย์หนุ่มเห็นท่าทางของพวกเขาก็ผุดลุกขึ้นมาหาทันที

"เฮ่ย! เป็นอะไรวะ!? ไหนเมื่อกี้บอกว่าจะไปตามตี้เฉยๆ ไม่ใช่เรอะ!?"

"เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้พากูกลับคอนโดก่อน"

ศุภวัฒน์มุ่นคิ้วขณะรับกุญแจรถจากกฤตภาส แต่ก็เพียงเดินนำเร็วๆ ออกไปด้านนอกโดยไม่เอ่ยขัด

"มึงยืนรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวกูไปวนรถมารับ"

พวกเขาทำตามที่นายแพทย์หนุ่มแนะนำ ไม่ช้าศุภวัฒน์ก็ขับรถของกฤตภาสมาจอดที่หน้าล็อบบี้ พนักงานโรงแรมช่วยเปิดประตูด้านหลังให้พวกเขาได้ก้าวขึ้นไปนั่ง เมื่อปิดประตูแล้วศุภวัฒน์ก็ขับออกจากบริเวณนั้นโดยไม่รอช้า

"มึงจะไม่กลับไปโรงพยาบาลจริงๆ เหรอวะ? กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงไปทำอะไรมา แต่คงไม่ได้ถึงกับแผลฉีกใช่ไหม?"

"กูถึงได้ให้มึงมาด้วยวันนี้ไงล่ะ จะมีเพื่อนเป็นหมอทำไมถ้าแค่นี้มึงช่วยกูไม่ได้น่ะ"

ศุภวัฒน์ฟังแล้วได้แต่คำรามในคอ ฝ่ายธีระมองคนที่กำลังขับรถให้แล้วก็หันกลับมามองคนที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างตัว

"หมอเหวินพูดถูกนะครับคุณกฤต น่าจะกลับไปที่โรงพยาบาลดีกว่า"

กฤตภาสส่ายหน้า จากนั้นก็เอนตัวลงหนุนศีรษะบนไหล่ของเขา เรียกแววตาหมั่นไส้จากเพื่อนสนิทที่มองผ่านทางกระจกมองหลัง

"กลับไปโรงพยาบาลตอนนี้ไม่ปลอดภัย ไม่ต้องห่วง แผลไม่ถึงกับฉีกหรอก อย่างมากคืนนี้ก็กินยาแก้ปวดเยอะหน่อยก็เท่านั้น"

ธีระได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ในเมื่อกฤตภาสพูดอย่างนั้นแถมศุภวัฒน์ซึ่งเป็นหมอก็อยู่ด้วยจึงเลือกที่จะเงียบเสีย เด็กหนุ่มหันมองออกไปนอกหน้าต่างได้สักพักก็ต้องหันกลับมาเมื่อรู้สึกว่ามือข้างหนึ่งถูกกุมไว้แน่น เขาหลุบตาลงมองแพขนตาของกฤตภาสและเหงื่อที่ยังซึมตามไรผมบนหน้าผาก จากนั้นก็เพียงแต่ปล่อยให้คนเจ็บกุมมือไปตลอดทาง

หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมากจริงๆ อย่างที่ปากเก่งก็แล้วกัน ผมไม่อยากเห็นคุณเจ็บตัวมากขึ้นเพราะผมเป็นต้นเหตุหรอกนะ...



++---TBC---++



A/N: เอาตอนใหม่ของน้องตี้มากำนัลค่ะ หวังว่าอ่านแล้วคงอิ่มจุใจหลังได้หยุดยาวกันน้า :D




Create Date : 10 เมษายน 2557
Last Update : 20 เมษายน 2557 18:42:47 น. 4 comments
Counter : 1382 Pageviews.

 
น้องตี้ใจละลายเลยป่ะ เจอsuperกฤตมาช่วยแถมแจกของปลอบใจอีกตะหาก คุณกฤตเจ็บแผลก้อเกินคุ้มนะ ว่าป่ะ


โดย: JIRA IP: 101.109.241.123 วันที่: 19 เมษายน 2557 เวลา:20:27:02 น.  

 
คุณ JIRA เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากๆ ค่ะ ฮ่าๆๆ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 19 เมษายน 2557 เวลา:22:12:13 น.  

 
ชอบลุงกฤต จุงเบย บอกได้คำเดียว "น่ารักอ่ะ" ^-^".


โดย: lek^lek IP: 192.99.14.36 วันที่: 11 พฤษภาคม 2557 เวลา:19:39:33 น.  

 
สงสารน้องตี้จัง น่าเศร้าเนอะ ความรู้สึกที่หาที่ยืนของตัวเองไม่ได้เนี่ย แล้วยังมาเจอคนเห็นแก่ตัวอีก

ส่วนตาลุงเนี่ย มาช่วยให้น้องตี้เป็นฮีโร่ ทำไมไม่เป็นฮีโร่ฟรีๆ น้อ มาคิดค่าแรงซะงั้น


โดย: จุ๋ม IP: 61.90.70.64 วันที่: 15 กรกฎาคม 2557 เวลา:13:07:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.