Group Blog
 
All blogs
 
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 29


สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++



เล่ห์ลวงใจ บทที่ 29



สายน้ำเย็นเฉียบที่หลั่งลงมาจากฝักบัวช่วยขจัดความงัวเงียในยามเช้า ธีระลูบมือไปตามเนื้อตัวเพื่อล้างฟองสบู่ออก จากนั้นก็หันไปหยิบผ้าขนหนูมาซับน้ำบนร่างก่อนจะเหน็บชายรอบเอวเพื่อกันหลุด

มีเสียงออดดังขึ้นที่ประตูหน้าขณะที่เขากำลังออกจากห้องน้ำ แต่เด็กหนุ่มไม่นำพาเพราะรู้ว่าเดี๋ยวเจ้าของห้องคงไปเปิดรับเอง เขาเช็ดเท้าบนพรมแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะหน้ากระจกเงียบๆ อึดใจหนึ่งประตูห้องนอนก็เปิดออก เผยให้เห็นกฤตภาสซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นกับกางเกงยีนส์ยี่ห้อดังที่รวมราคากันแล้วคงเท่าเงินเก็บของเขาทั้งปี สายตาของทั้งสองประสานกันผ่านภาพสะท้อนในกระจกโดยไม่มีใครเอ่ยอะไรอยู่ครู่ใหญ่

"นี่กระเป๋าเธอ ฉันให้อาร์ทจ้างเมสเซนเจอร์ข้างนอกให้เอามาส่งให้"

"...ขอบคุณครับ"

ธีระกล่าวเนือยๆ ก่อนจะหลุบตาลงเพื่อเลี่ยงแววตาที่กำลังจับจ้องเขาในกระจก อย่างน้อยการใช้บริการส่งของจากคนนอกบริษัทก็เป็นการแสดงความรอบคอบของกฤตภาส เขาควรจะขอบคุณที่ยังไม่ทำให้อับอายเพื่อนร่วมงานมากไปกว่านี้กระมัง

"ทำไมอาบน้ำเสร็จแล้วไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก"

น้ำเสียงที่อาจกล่าวได้ว่านุ่มนวลกว่าปกติดังขึ้นด้านหลังเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มเม้มปากแต่ไม่พูดอะไร อึดใจต่อมาก็มีผ้าขนหนูอีกผืนคลุมลงบนบ่าก่อนที่เจ้าของห้องจะหยิบไดร์มาเสียบปลั๊ก

"ถึงจะหายหวัดมาพักใหญ่แล้วก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เป็นอีกหรอกนะ เดี๋ยวผมแห้งแล้วก็แต่งตัวซะ ฉันต้มโจ๊กไว้ให้ในครัว"

"...ครับ"

ธีระตอบขณะปล่อยให้กฤตภาสเป่าผมให้ กระทั่งอีกฝ่ายปิดไดร์เมื่อผมแห้งสนิทแล้วเขาจึงลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อวานขึ้นสวม ตลอดเวลานั้นกฤตภาสเพียงแต่ยืนกอดอกพิงผนังดูเขาทำทุกอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเห็นว่าสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วถึงค่อยเดินนำออกจากห้องนอน

ทั้งสองนั่งกินอาหารเช้าอย่างไม่รีบร้อนทั้งที่เลยเวลาเข้ามางานมามาก สำหรับกฤตภาสนั้นจะเข้าไปตอนไหนก็ได้อยู่แล้วในเมื่อเป็นเจ้าของบริษัท แต่ธีระขอลาหนึ่งวันโดยไม่อธิบายเหตุผลว่าเพราะยังไม่พร้อมจะไปพบหน้าเพื่อนร่วมงานวันนี้ โชคยังดีที่กฤตภาสคงพอจะเดาได้ จึงอนุมัติโดยไม่ซักไซ้ไล่เลียงว่าทำไมถึงต้องขอหยุด

หลังจากจัดการมื้อเช้าแล้วทั้งสองก็ออกจากคอนโดด้วยกัน ธีระหันไปไหว้ขอบคุณเมื่อกฤตภาสขับรถมาส่งถึงหน้าหอพัก ขณะที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ

"เย็นนี้ฉันจะมารับไปกินข้าวตอนทุ่มนึง ถ้ามีร้านไหนที่อยากไปก็บอกก็แล้วกัน"

ธีระหันไปสบตากับนัยน์ตาสีนิลซึ่งดูสุขุมแต่ลึกล้ำไร้ก้นบึ้ง แล้วก็เพียงแต่ก้าวลงจากรถโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่าป่วยการจะบ่ายเบี่ยงในเมื่อถึงอย่างไรกฤตภาสก็คงหาวิธีให้เขาต้องไปจนได้

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปยังหอพักด้วยฝีเท้าอันเฉื่อยเนือยโดยที่ตระหนักดีว่ามีสายตาจับจ้องอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาก้าวเข้าไปด้านในอาคารแล้วถึงค่อยเห็นรถแลนด์โรเวอร์สีดำเคลื่อนจากไป ครู่หนึ่งเขายืนเคว้งอยู่กับที่เพราะนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี กระทั่งผ่านไปอึดใจใหญ่ถึงค่อยตัดสินใจขึ้นไปตั้งหลักที่ห้อง เพราะแม้ว่าจะไม่มีที่อื่นให้ไป อย่างน้อยห้องเล็กๆ ที่เขาใช้หลับนอนมาตลอดสามปีนี้ก็ยังนับได้ว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวอย่างแท้จริง

พอถึงห้องแล้วธีระก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น เขาเอนหลังลงบนเตียงแล้วก็นอนจ้องเพดานนิ่ง คำตอบที่กฤตภาสมอบให้ต่อคำถามเมื่อวานนี้ยังดังก้องอยู่ในหัวไม่หาย


"ฉันถูกใจเธอมากกว่าคนอื่น"


ก็แค่ถูกใจ...งั้นหรือ...

ธีระอดจะคิดถึงความหมายของคำคำนี้ไม่ได้ การเป็นคนที่ 'ถูกใจ' สำหรับเขาแล้วไม่ได้มีความหมายเท่าเทียมกับคำว่า 'ชอบ' ดังนั้นจากมุมมองของกฤตภาส เขาคงจะเป็นแค่คู่นอนที่บังเอิญต้องตาแต่ไม่ต้องใจ ถึงได้ไม่มีค่าแม้แต่จะโกหกด้วยคำหวานหูให้ได้มีความหวังบ้างเลยสินะ


"...พี่อยากให้ตี้มองไปถึงอนาคตข้างหน้ามากกว่า อนาคตที่ตี้มีโอกาสที่จะมีความสุขมากกว่าตอนนี้"


นั่นเป็นอีกประโยคที่ธีระจำได้แม่นยำจากคนที่เคยมอบหัวใจให้เป็นคนแรก ณรงค์เคยปลอบใจเขาด้วยถ้อยคำซึ่งไม่ต่างจากมีดอาบน้ำผึ้งในวันสุดท้ายที่พบกัน บัดนี้มันไม่สร้างความเจ็บช้ำให้เท่ากับคำพูดของกฤตภาสเมื่อคืนอีกแล้ว กระนั้นก็ยังมีอานุภาพตอกย้ำให้เขายิ่งสมเพชกับความไร้วาสนาของตัวเองมากขึ้นไปอีก

พี่รงค์...อนาคตข้างหน้าที่มีความสุขมันอยู่ตรงไหนเหรอ หรือสำหรับตี้แล้วมันไม่มีวันที่จะมาถึงกันแน่...

ความหดหู่เศร้าหมองดึงน้ำตาให้เอ่อขึ้นมากบขอบตาอีกครั้ง เด็กหนุ่มนอนตะแคงแล้วก็โอบแขนรอบตัวเองแน่น เขาเบื่อการเป็นคนเจ้าน้ำตาเหมือนเด็กไม่รู้จักโตเต็มทน แต่จะให้อดกลั้นไว้ได้อย่างไร ในเมื่อแต่ละเรื่องที่พานพบมันช่างชวนให้ทดท้อกับการไขว่คว้าความรักเหลือเกิน

RRrrrrrr......

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังฝ่าความเงียบทำให้ธีระสะดุ้ง เขาปาดน้ำตาออกขณะผุดลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มาดู เมื่อเห็นว่าชื่อคนโทรเข้าคือแม่ นิ้วมือก็อ่อนแรงจนเกือบกำโทรศัพท์ไม่อยู่

ใจเย็นๆ นะตี้ ใจเย็นๆ...แม่อาจยังไม่เห็นหนังสือพิมพ์ก็ได้

เด็กหนุ่มเตือนตัวเองแม้จะรู้ว่าเป็นไปได้ยาก เขาสูดหายใจลึกก่อนจะรับสายด้วยเสียงที่พยายามควบคุมให้นิ่งที่สุด

"ฮัลโหล?"

"ตี้เหรอลูก? แม่เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์แล้วนะ ลูกเป็นยังไงบ้าง?"

น้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใยทำให้ลำคอของธีระตีบตัน ทั้งที่เผื่อใจไว้แล้วว่าแม่คงรู้เรื่องนั้นถึงได้โทรมาหา แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายรู้แล้วจริงๆ ก็ยังอดสะท้อนใจไม่ได้

"ตี้? ยังอยู่มั้ยลูก"

"ยังอยู่แม่ ตี้ไม่เป็นไร ตี้...ตี้ขอโทษ"

เขาไม่อาจห้ามเสียงไม่ให้ขึ้นจมูก เช่นเดียวกับที่ไม่สามารถห้ามน้ำตาไม่ให้เอ่อจากทำนบถึงแม้จะพยายามแล้วก็ตาม เสียงสั่นเครือของเขาคงลอดลำโพงไปถึงปลายสาย เพราะน้ำเสียงที่คู่สนทนาเอ่ยต่อจากนั้นไม่มีสำเนียงดุด่าเลยแม้แต่นิด

"โธ่ตี้ เข้มแข็งเอาไว้ลูก แม่จะไม่ถามนะว่าเรื่องราวเป็นมายังไง แต่ที่ลูกร้องไห้แบบนี้แปลว่าที่เขาเขียนในข่าวมันไม่จริงใช่มั้ย? หรือว่าตี้โดนคุณกฤตบังคับ? ที่ตอนนั้นไม่อยากกลับไปทำงานกับคุณกฤตเพราะอย่างนี้ใช่มั้ย?”

ถูกบังคับหรือ...คำถามนั้นทำให้ธีระอึ้งไป จริงอยู่ว่าจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์นี้มาจากการที่กฤตภาสใช้เงื่อนไขมาบังคับเขา แต่พอผ่านไปมันก็เริ่มไม่ใช่ มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขามากมายกว่านั้น แม้แต่กับรูปที่ถูกแอบถ่ายไปลงหนังสือพิมพ์นี่ก็เถอะ ธีระไม่อาจพูดได้ว่าไม่พอใจตอนที่ถูกกฤตภาสจูบ แต่ที่ทำให้เขาเจ็บหัวใจคือท่าทางมึนตึงของเพื่อนร่วมงานหลังได้เห็นข่าว และตัวคู่กรณีที่ไม่แม้แต่จะถามว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นต่างหาก

"ตี้?"

"ครับแม่ ตี้ขอโทษ ตี้...ตอนนี้ตี้คิดอะไรไม่ออก"

จนป่านนี้แล้ว...ทำไมเขาถึงยังปกป้องคนแบบนั้นอยู่อีก...

มีเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากปลายสาย "เอาล่ะ เรื่องมันคงกะทันหันเกินไปตี้ก็เลยสับสน เอาเป็นว่าตี้กลับมาอยู่บ้านไหมลูก? แม่ขอโทษที่ก่อนหน้านี้บอกให้กลับไปฝึกงานกับคุณกฤตเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าหากตี้ไม่สบายใจก็กลับมาอยู่บ้านเถอะ ถ้าคุณกฤตมาหาอีกแม่จะไม่ให้เขาได้เจอตี้เด็ดขาด ถ้าใครมาถามถึงเรื่องนี้ก็จะบอกให้เงียบให้หมดด้วย"

ความร้อนใจของมารดาที่ถ่ายทอดมาทางน้ำเสียงทำให้ธีระมีสติมากขึ้น เขารู้สึกว่าจิตใจสงบลงหลังจากได้รู้ว่าอย่างน้อยคนในครอบครัวก็ไม่ได้มองเขาด้วยสายตาเย็นชาแม้ว่าจะเกิดเรื่องที่ทำให้ครอบครัวขายหน้าก็ตาม

ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากกลับบ้าน อยากไปอยู่ให้ไกลจากกฤตภาสเพราะนาทีนี้เขาอ่อนล้าเหลือเกิน การต้องหัวใจแหลกสลายติดต่อกันช่างสร้างรสชาติขมปร่าในอกจนแทบกล้ำกลืนอะไรไม่ลง แต่ถ้าหากกลับบ้านแล้วก็คงไม่อาจหลบเลี่ยงคำซุบซิบนินทาของเพื่อนบ้านได้ ต่อให้กฤตภาสจะบอกว่าเดี๋ยวผู้คนก็ลืม แต่สำหรับหมู่บ้านเล็กๆ ในต่างจังหวัดนั้นไม่เหมือนกัน เพราะถึงเขาจะเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน พวกญาติๆ หรือเพื่อนฝูงของพ่อแม่ที่มาเยี่ยมก็คงถามเรื่องนี้ขึ้นมาจนได้

และที่สำคัญที่สุด...กฤตภาสก็รู้แล้วว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ดังนั้นถ้าเขาหายไปก็คงจะพยายามไปตามกลับมาอีกเพียงเพราะไม่อยากยอมแพ้มากกว่าจะอยากได้เขาไว้เคียงข้างอย่างแท้จริง และเขาไม่ต้องการให้วงจรซ้ำซากนั้นดำเนินไปอีกแล้ว

"ขอเวลาตี้คิดก่อนนะแม่ ตอนนี้ตี้ยังเหนื่อยๆ ยังไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไว้ถ้าตัดสินใจได้แล้วตี้จะโทรไปบอกแม่นะ"

"ได้จ้ะ จำไว้นะตี้ ถ้าไม่รู้จะไปไหนก็กลับบ้าน ลูกคนเดียวพ่อกับแม่ปกป้องได้ ห้ามคิดทำอะไรที่จะทำให้พ่อกับแม่เสียใจเด็ดขาด เข้าใจที่แม่พูดใช่มั้ย?"

"ครับ ขอบคุณครับแม่"

ธีระวางสายด้วยความรู้สึกตื้นตัน เขารู้ดีว่าแม่คงกลัวเขาจะคิดทำอะไรโง่ๆ เพราะเป็นคนอ่อนไหวง่าย แต่เขาไม่ใช่คนบ้าบิ่นถึงขนาดนั้น การอยากทำร้ายตัวเองเพียงเพื่อประชดใครสักคนมันก็เท่ดีหรอก แต่หากทำแล้วได้กลับมาเพียงความเห็นใจ ถ้าอย่างนั้นเขาไม่สู้ทำแบบนั้นตั้งแต่ตอนที่เลิกกับณรงค์ดีกว่าหรือ เพราะถึงจะเคยใช้เขาชดเชยความเหงา...ณรงค์ก็ยังเอาใจใส่ความรู้สึกของเขามากกว่ากฤตภาสเสียอีก

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่นานจนเริ่มรู้สึกว่ากำลังหายใจทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ เขาลุกขึ้นไปหยิบตะกร้าผ้าที่ซักแห้งแล้วตั้งแต่วันก่อนมาพับก่อนจะจัดเสื้อผ้าเหล่านั้นเข้าตู้ พลันหางตาก็เหลือบเห็นถุงกระดาษที่วาดซุกอยู่ตรงมุมด้านใน เขาขมวดคิ้วก่อนจะดึงถุงนั้นออกมาเปิดดู และพบว่าในถุงคือกระเป๋าที่ปิยพลซึ่งเป็นญาติผู้พี่ส่งมาให้เมื่อไม่นานนี้

กระเป๋าจากพี่ปิ๊ก...

นัยน์ตากลมโตทอประกายครุ่นคิดขณะถือกระเป๋าใบนั้นไว้ในมือ เขาลูบนิ้วไปมาบนหนังฟอกขณะที่เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในหัว เด็กหนุ่มมองไปนอกหน้าต่างหลายนาทีเพื่อชั่งใจ ก่อนที่จะตัดสินใจวางกระเป๋าลงแล้วหยิบโทรศัพท์มากดหมายเลขที่ต้องการในที่สุด



++------++



พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้วตอนที่โทรศัพท์ของธีระส่งเสียงว่ามีข้อความเข้า เมื่อเขาอ่านจบแล้วก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า หลังจากหันไปสำรวจความเรียบร้อยหน้ากระจกอีกครั้งจึงค่อยออกจากห้องแล้วก็ลงลิฟต์ไปหาคนที่จอดรถรออยู่ชั้นล่าง

กฤตภาสสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ตัวเดียวกับเมื่อเช้าซึ่งหมายความว่าพอเลิกงานก็ตรงมาหาเขาเลย ธีระสังเกตเห็นแต่ก็เลือกจะไม่ถามว่าวันนี้ที่บริษัทเป็นอย่างไร แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าคงไม่มีใครกล้าพูดถึงข่าวในหนังสือพิมพ์ต่อหน้าเจ้าตัวแน่

"ตกลงมีร้านไหนที่อยากไปเป็นพิเศษหรือเปล่า?"

"ไม่มีครับ แล้วแต่คุณกฤตเถอะ"

เด็กหนุ่มตอบหลังจากก้าวขึ้นนั่งบนรถ ความจริงแล้วเขาคิดว่าตัวเองน่าจะกินอะไรไม่ค่อยลงเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นต่อให้โดนพาไปร้านจิ้มจุ่มข้างถนนหรือห้องอาหารบนดาดฟ้าโรงแรมห้าดาวก็ไม่ต่างกันในยามนี้

กฤตภาสปรายตามามองแวบหนึ่งแต่ก็ไม่คาดคั้น ชายหนุ่มขับรถเข้าตัวเมืองแล้วก็พาธีระไปยังร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ลักษณะของร้านเป็นบ้านทรงโคโลเนียลสีครีมที่ภายในถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหาร แต่ละโต๊ะถูกจัดวางให้ห่างกันอย่างค่อนข้างเป็นสัดส่วน ดังนั้นถึงแม้ลูกค้าจะเต็มทุกโต๊ะแต่ก็ไม่รู้สึกว่าบรรยากาศชวนให้อึดอัด

พนักงานต้อนรับเดินนำทั้งคู่ขึ้นไปบนชั้นสองเนื่องจากชั้นแรกไม่มีโต๊ะว่าง กฤตภาสเลือกโต๊ะริมหน้าต่างซึ่งมองออกไปเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำและบ้านเรือนฝั่งตรงข้ามได้ชัดเจน จากนั้นก็สั่งอาหารในเมนูซึ่งเป็นกับข้าวมาสองสามอย่างเพื่อกินกับข้าวสวย

ธีระฆ่าเวลาระหว่างรอด้วยการนั่งเท้าคางมองเรือประดับไฟหลากสีที่ล่องอยู่ในแม่น้ำ ไม่นานพนักงานก็นำอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เมื่อคล้อยหลังพนักงานคนนั้นแล้วเขาถึงค่อยหันไปชวนกฤตภาสคุยก่อนเป็นครั้งแรกของวัน

"มาที่นี่บ่อยเหรอครับ?"

"หืม? ก็แค่ปีละครั้งหรือสองครั้งล่ะมั้ง ถามทำไม?"

"ก็ผมเห็นพนักงานเรียกคุณด้วยชื่อ"

"อ๋อ" กฤตภาสยักไหล่ก่อนจะคลี่ผ้าเช็ดปากวางบนตัก "ไม่แปลกหรอกเพราะร้านนี้ของคุณยายฉัน พวกพนักงานเห็นฉันมาที่นี่ตั้งแต่เด็กก็ต้องจำได้อยู่แล้ว"

ธีระเลิกคิ้วขณะมองอีกฝ่ายเริ่มตักกับข้าว มิน่าเล่าพวกพนักงานถึงได้ดูพินอบพิเทาเหลือเกิน แถมเมื่อครู่คนที่มาต้อนรับและเสิร์ฟอาหารให้พวกเขาน่าจะเป็นผู้จัดการเองด้วยซ้ำ

แต่ก็นั่นแหละ ยังมีอะไรเกี่ยวกับกฤตภาสที่จะทำให้เขาประหลาดใจได้อยู่อีกหรือ

ทั้งสองต่างกินอาหารมื้อเย็นที่สั่งมาโดยไม่พูดกันสักคำ กระนั้นธีระก็รับรู้ได้ถึงแววตาที่เหลือบขึ้นจับจ้องเขาเป็นระยะ ประเมินท่าที...น่าจะเป็นคำบรรยายสิ่งที่กฤตภาสกำลังทำได้ดีที่สุดกระมัง แต่เขาไม่มีแก่จิตแก่ใจจะชวนทะเลาะจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

อาหารมื้อนั้นดำเนินไปอย่างราบเรียบ แต่หลังจากที่พนักงานมาเก็บจานออกไปแล้ว ธีระก็ชะงักมือที่กำลังจะยกแก้วน้ำขึ้นจิบเมื่อจู่ๆ กฤตภาสก็เอ่ยขึ้น

"ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกที่บริษัทหรอก"

ธีระเหลือบตาขึ้นพลางมุ่นคิ้ว คู่สนทนาสังเกตใบหน้าที่ฉายแววสับสนของเขาอยู่อึดใจหนึ่งก็อธิบายต่อ

"ฉันถามอาร์ทแล้วว่าเมื่อวานมีเรื่องอะไรที่บริษัท เมื่อตอนบ่ายก็เลยเรียกกิฟท์มาคุยเรื่องนี้ไปแล้ว"

เด็กหนุ่มฟังแล้วมืออ่อนจนแทบจับแก้วน้ำไม่อยู่ ยังดีว่าไม่ถึงกับปัดแก้วจนตกแตกหรือทำน้ำหก "เรียกพี่กิฟท์มาคุยเรื่องนี้? คุณคุยไปว่าอะไร?"

"เท่าที่ฉันรู้คือคนเดียวที่มีปฏิกิริยากับข่าวในหนังสือพิมพ์คือกิฟท์ ฉันเลยเรียกมาเตือนว่าให้แยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานกับมารยาทในการทำงานร่วมกัน แล้วถามว่าถ้ากับฉันจะแสดงท่าทางเหมือนที่ทำกับเธอมั้ย ถ้าหากคำตอบคือไม่ ถ้าอย่างนั้นก็ห้ามทำแบบนั้นกับเธอหรือกับคนอื่นๆ ด้วย"

ธีระวางมือทั้งสองข้างลงบนตัก เขามองหน้ากฤตภาสอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อหู ความรู้สึกในใจสับสนพัวพันระหว่างความยินดีที่อีกฝ่ายทำเหมือนช่วยปกป้องเขา แต่ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงว่ากนิษฐาจะรู้สึกเช่นไรกับการถูกเรียกไปตักเตือนเรื่องนี้

"แล้ว...พี่กิฟท์ตอบว่ายังไงครับ?"

"ก็รับทราบและจะทำตาม แล้วฉันก็ย้ำว่าให้บอกคนอื่นด้วยว่าถ้าใครทำแบบนี้อีกฉันจะเรียกมาเตือนทีละคน ฉันไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวของใครตราบใดที่ทำงานได้ดี และฉันก็หวังว่าแต่ละคนจะเคารพสิทธิส่วนตัวทั้งของฉันและเพื่อนร่วมงานคนอื่น ต่อให้คนนั้นเป็นแค่เด็กฝึกงานก็ตาม"

กฤตภาสตอบแล้วก็หันไปเรียกพนักงานถึงแม้ผู้จัดการร้านจะยืนยันว่าไม่ต้องจ่าย เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินนำกลับไปที่รถซึ่งจอดอยู่ในลานจอด ฝ่ายธีระได้แต่เดินตามไปด้วยความรู้สึกเหมือนร่างกายกับสมองแยกจากกันอย่างอธิบายไม่ได้

ตลอดทางที่กฤตภาสขับรถไปส่งนั้นธีระไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม เขาเพียงแต่หันไปไหว้ลาเมื่อคนขับจอดรถให้ที่หน้าหอ กระทั่งเมื่อขึ้นมาถึงที่ห้องและปิดประตูแล้ว เข่าทั้งสองข้างก็อ่อนยวบจนเด็กหนุ่มทรุดตัวลงไปนั่งแปะกับพื้นด้วยนัยน์ตาล่องลอย


“ฉันก็หวังว่าแต่ละคนจะเคารพสิทธิส่วนตัวทั้งของฉันและเพื่อนร่วมงานคนอื่น ต่อให้คนนั้นเป็นแค่เด็กฝึกงานก็ตาม"


ชัดเจนแล้ว...ไม่เหลือข้อสงสัยใดๆ ตกค้างให้คาใจอีก สรุปแล้วกฤตภาสคงไม่เคยมองว่าเขาเป็นมากกว่าเด็กฝึกงานเลยตลอดเวลาที่ได้รู้จักกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป ไม่ว่าจะเรื่องที่ตั้งเงื่อนไขมาบังคับให้เขานอนด้วย เรื่องที่ไว้ใจเรียกให้ไปคอยเฝ้าอาการที่โรงพยาบาล หรือเรื่องที่เข้ามาช่วยเหลือเมื่อคืนที่ถูกอนุชิตลวนลามก็เช่นกัน ทั้งหมดนั่นทำไปเพียงเพราะเขาเป็นเด็กฝึกงานของบริษัทก็เท่านั้น

ไม่ใช่เพราะมีความสลักสำคัญเป็นพิเศษอะไรเลยสักนิด...

เด็กหนุ่มนึกถึงแววตาของกฤตภาสตอนที่เล่าเรื่องที่เรียกกนิษฐาไปตักเตือน ทั้งที่รู้ดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำไปนั้นถูกต้องตามหลักการ แต่ในใจของเขากลับไม่อาจหลุดพ้นความคิดที่ว่ากฤตภาสมองเรื่องนี้ว่าเป็นแค่ ‘ลูกน้องอิจฉากัน’ เพราะบังเอิญมีนักข่าวเก็บภาพหลักฐานไว้ได้เท่านั้นเอง

มันไม่ใช่สิ่งที่ยืนยันถึงความพิศวาสหรือความรู้สึกพิเศษใดๆ ที่มอบให้กับเขา และยิ่งตระหนักถึงเรื่องนี้...ใจเขาก็มีแต่จะแหลกเหลวเหมือนโดนบีบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบไม่เหลือรูปร่างเดิม

เป็นนานกว่าธีระจะมีเรี่ยวแรงยันตัวขึ้นจากพื้น เขาเดินโผเผไปดึงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกจากตู้แล้วก็หยิบเสื้อผ้ายัดลงไป พลันปลายนิ้วก็ไปสะดุดกับเสื้อที่แขวนไว้ตัวหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของเขา แต่เป็นตัวที่กฤตภาสเคยให้ยืมใส่กลับบ้านตั้งแต่คืนแรกที่ไปนอนที่คอนโดของเจ้าตัว

เขายังไม่ได้คืนเสื้อตัวนี้ไปอีกหรือ...

เสื้อตัวนั้นเปรียบเหมือนกุญแจที่เปิดสู่ความทรงจำระหว่างเขากับกฤตภาส หากจะบอกว่าเรื่องราวเหล่านั้นล้วนแล้วแต่น่าประทับใจก็คงเป็นการโกหก ทว่าเขากลับจำรายละเอียดของทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คำพูดทุกคำที่กฤตภาสเคยเอ่ยกับเขาได้ขึ้นใจ ราวกับว่าตลอดสองเดือนที่ผ่านมาไม่เคยมีวันไหนที่อีกฝ่ายไม่เข้ามารบกวนความคิดและความรู้สึกของเขาเลยสักวัน

แต่ความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวที่นำมาซึ่งความหลงใหลข้างเดียวเช่นนี้ควรจะปิดฉากเสียที หากกฤตภาสไม่ยินดีให้มันจบ เขาก็จะเป็นคนจบมันด้วยตัวเอง เพราะเขาไม่ต้องการจะเป็นฝ่ายที่ถูกบอกเลิกเพราะหมดประโยชน์เหมือนที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้อีกแล้ว

เด็กหนุ่มใช้หลังมือปาดคราบชื้นบนใบหน้าแล้วก้มลงเก็บข้าวของอื่นๆ ต่อ กระทั่งกระเป๋าเดินทางทั้งใบอัดแน่นจนไม่อาจยัดอะไรเพิ่มได้ ธีระจึงค่อยรูดซิปปิดกระเป๋าใบนั้นแล้วก็หลับตาลง บางทีหลังจากที่ปล่อยให้คนอื่นชักนำความวุ่นวายมาสู่ชีวิตเขาไม่หยุดหย่อน นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิต...ที่เขาได้ตัดสินใจทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองเสียที



++---TBC---++





Create Date : 15 มิถุนายน 2557
Last Update : 24 มิถุนายน 2557 22:40:18 น. 5 comments
Counter : 1394 Pageviews.

 
....... หากกฤตภาสไม่ยินดีให้มันจบ เขาก็จะเป็นคนจบมันด้วยตัวเอง เพราะเขาไม่ต้องการจะเป็นฝ่ายที่ถูกบอกเลิกเพราะหมดประโยชน์เหมือนที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้อีกแล้ว
อ๊าก.... แป้วเหมือนจะขาดใจตาม จนแทบจะรอตอนต่อไปไม่ไหวเลยล่ะ ใจร้ายเน้อะ


โดย: JIRA IP: 1.1.178.194 วันที่: 27 มิถุนายน 2557 เวลา:16:17:33 น.  

 
คุณ JIRA ตอนนี้น้องตี้น่าเห็นใจจริงๆ ค่ะ T^T ต้องคอยติดตามให้กำลังใจกันต่อไปเนอะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 29 มิถุนายน 2557 เวลา:10:17:43 น.  

 
สงสารตี้
มาต่อเร็วๆน๊าาาา


โดย: lemon IP: 58.11.167.81 วันที่: 5 กรกฎาคม 2557 เวลา:20:48:08 น.  

 
คุณ lemon ขอบคุณค่า พอดีก่อนหน้านี้ติดงานเลยไม่มีเวลามาต่อเลย นี่กำลังเริ่มพิมพ์ตอนต่อไปแล้ว จะรีบมาลงทันทีที่พิมพ์จบตอนเลยค่ะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 6 กรกฎาคม 2557 เวลา:20:01:27 น.  

 
ดีจังที่ตี้ยังมีครอบครัวที่เข้าใจ และมีที่ให้กลับไปได้

แต่ว่าตาลุงเนี่ยจะใจร้ายไปไหน ทำอะไรไม่คิดถึงน้องตี้มั่งเหรอ เฮ้อ..

ตอนหน้าได้สมน้ำหน้าตาลุงชิมิคุณริน น้องตี้เก็บกระเป๋าแล้วนิ ตอนแรกนึกว่าจะไปก่อนที่จะกินข้าวกันซะอีกน้า ไปช้าไม่ทันใจเลย


โดย: จุ๋ม IP: 61.90.70.64 วันที่: 15 กรกฎาคม 2557 เวลา:15:06:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.