Group Blog
 
All blogs
 

[เรื่องสั้น] ยั่วใจให้เจอรัก (2/2)

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++



ยั่วใจให้เจอรัก (2/2)


ถึงคิดได้แล้วว่าจะคืน...แต่จะคืนท่าไหนล่ะหว่า จู่ๆ ก็เดินเอาไปให้เลยเรอะ? หรือจะใส่ซองแล้วแอบไปวางใต้โต๊ะช่วงที่โน้ตไม่อยู่...ไม่ดีๆ เกิดมีคนอื่นทะลึ่งเอาไปเปิดดูจะทำยังไง คงไม่มีใครหรอกที่เห็นรูปพวกนั้นแล้วจะปิดปากเงียบได้เหมือนเราน่ะ

แต่ถ้าหากเอาไปคืนกับเจ้าตัวเอง ก็ต้องหาวิธีแยกโน้ตออกมาจากพวกสาวๆ ที่ชอบล้อมหน้าล้อมหลังก่อนน่ะสิ แต่ไม่กี่วันก่อนเราเพิ่งเตะบอลโดนหมอนั่นไป ถ้ายายพวกนั้นเห็นเราเข้าไปใกล้โน้ตคงได้พากันจูงมือวิ่งหนีแหงๆ โอ๊ย...เอาไงดีโว้ยยยยย!!

กวินท์หมกมุ่นครุ่นคิดมาจนล่วงเข้าวันศุกร์ เขาเอาแต่คิดตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านจนมาถึงโรงเรียน กระทั่งเข้าแถวเคารพธงชาติก็ยังได้แต่จดๆ จ้องๆ ไปทางแถวของห้องคิงด้วยความสองจิตสองใจ ไอ้อยากคืนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจก็อยาก หากแต่อีกใจก็บอกตัวเองว่าเจ้าของเขาไม่รู้สักหน่อยว่าใครเป็นคนเก็บได้ ดังนั้นถึงไม่คืนก็ไม่มีใครมาว่าเขาแท้ๆ

เด็กหนุ่มนั่งเรียนคาบเช้าอย่างกระสับกระส่ายเพราะความคิดที่ขัดแย้งกัน พอพักเที่ยงเขาก็เดินออกจากห้องเพื่อไปโรงอาหารกับเพื่อนๆ พลันฝีเท้าที่กำลังจะก้าวลงบันไดก็ชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นนฤชากำลังเดินมากับเพื่อนร่วมห้องอีกสามคน แต่ครั้งนี้ต่างจากทุกครั้งเพราะเพื่อนที่รายล้อมล้วนเป็นผู้ชาย คนหนึ่งเดินเอาแขนคล้องไหล่เจ้าตัวด้วยท่าทางสนิทสนม ส่วนอีกสองคนก็หันไปพูดคุยหยอกล้อด้วยสีหน้าออกรสเช่นกัน ภาพนั้นทำให้คลื่นพลังงานร้อนๆ แล่นจี๊ดขึ้นสมองของคนเห็นทันที

หรือความจริงแล้วรอยยิ้มที่เคยให้เขาเมื่อวันก่อน...ก็ไม่ได้ต่างจากเวลาที่ยิ้มให้ผู้ชายคนอื่นเลยสินะ

กวินท์มองเจ้าของมือที่กำลังกอดไหล่นฤชาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง และแล้วโดยไม่สนใจเพื่อนฝูงที่เดินตามมา เขาก็สาวเท้าเข้าไปหานฤชาเหมือนมองไม่เห็นคนที่ยืนอยู่รอบๆ เจ้าตัว

"โน้ต เรามีของจะคืนให้ ทีหลังจะทำอะไรแบบนี้ก็ระวังคนอื่นเห็นหน่อยนะ"

"เอ๊ะ?"

กวินท์ยัดผ้าเช็ดหน้าที่ห่อไมโครเอสดีการ์ดลงในมือของนฤชาโดยไม่สนใจสีหน้างุนงง เขาไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมก็หมุนตัวเดินจากมา หูได้ยินเสียงเพื่อนของนฤชาถามแว่วๆ ว่า "อะไรเหรอโน้ต?" จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่วิ่งตามมาจากด้านหลัง ก่อนที่ใครบางคนจะกระชากเขากลับไปแล้วซัดหมัดลุ่นๆ เข้ามาเต็มปลายคาง

"เฮ้ย! โน้ต!!! / ไอ้กอล์ฟ!!!"

เพื่อนฝูงของเด็กหนุ่มทั้งสองร้องออกมาพร้อมกันเมื่อเห็นนฤชาต่อยกวินท์จนล้มลงบนพื้น และท่าทางเจ้าตัวจะอยากเข้ามาซ้ำถ้าไม่ใช่เพราะถูกเพื่อนๆ ช่วยกันรั้งตัวไว้

"ทำไม! ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย!! แกล้งกันแบบนี้สนุกมากใช่มั้ย!?!"

ทุกคนในเหตุการณ์ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตกในเมื่อเห็นชัดๆ ว่าคนพูดทำร้ายกวินท์ก่อน เสียงตะคอกของนฤชาทำให้อาจารย์ณวัฒน์ที่กำลังอยู่ในห้องพักยื่นหน้าออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นกวินท์นั่งเอามือข้างหนึ่งกุมแก้มอยู่บนพื้นแถมบนมุมปากมีเลือดไหลซึม ส่วนคนรอบๆ ก็พากันยืนมุงโดยไม่ทำอะไรจึงรีบก้าวเข้ามาทันที

"พวกเธอทำอะไรกัน! กวินท์ ใครต่อยเธอ!?"

เด็กหนุ่มหันไปอีกทางเพราะไม่ต้องการจะตอบ ทว่าสายตาของคนอื่นๆ ที่มองไปยังนฤชาเป็นตาเดียวก็ช่วยบอกใบ้ได้เป็นอย่างดี อาจารย์หนุ่มกวาดสายตามองคู่กรณีทั้งสองแล้วก็จับแยกออกมา

"คนอื่นจะไปกินข้าวหรือไปเรียนก็ไป แต่สองคนนี้ต้องไปห้องปกครองกับครูเดี๋ยวนี้!"

กวินท์กับนฤชามองหน้ากันแล้วก็เดินตามอาจารย์ไปโดยไม่มีทางเลือก หลังจากส่งตัวพวกเขาให้อาจารย์เกรียงไกรซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายปกครองและเล่าเรื่องคร่าวๆ แล้ว อาจารย์ณวัฒน์ก็ขอตัวกลับไปเตรียมการสอนวิชาต่อไป ปล่อยให้สองหนุ่มโดนสอบสวนกันตามลำพัง
"ชกต่อยกันงั้นรึ เฮ้อ...พวกเธอจะทำอะไรให้มันพัฒนากว่าสามสิบปีที่แล้วมั่งไม่ได้รึไง เอ้า! ตกลงว่าเรื่องเป็นมายังไง?"

อาจารย์เกรียงไกรถามหลังจากหันไปหรี่เสียงโทรทัศน์ ฝ่ายนฤชายืนก้มหน้านิ่งโดยไม่เอ่ยอะไร ทว่าขอบตาเริ่มแดงขณะที่ริมฝีปากเม้มสนิท กวินท์เหลือบไปเห็นก็รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ คงไม่ยอมปริปากแน่ จึงตัดสินใจตอบคำถามของอาจารย์เอง

"ผมไปยั่วโมโหเขาก่อนครับอาจารย์ นฤชาโกรธก็เลยเข้ามาต่อยผม ผมผิดเองครับ"

คนที่ยืนก้มหน้านิ่งหันขวับมามองเขาด้วยแววตาไม่เข้าใจ กวินท์มองเห็นทางหางตาแต่ก็บังคับตัวเองไม่ให้หันไปหา อาจารย์เกรียงไกรจึงหันไปถามคู่กรณีบ้าง

"นฤชา ที่หมอนี่เล่ามาถูกต้องมั้ย?"

"ผม...เอ้อ...ก็ไม่เชิงครับอาจารย์ ผมอารมณ์ร้อนเองถึงยั้งมือไม่อยู่ คนที่ผิดคือผมคนเดียว อย่าทำโทษกวินท์เลยครับ"

"เฮ่ย! ไม่ได้สิเพราะเราทำให้โน้ตโมโห โน้ตจะเป็นคนผิดได้ยังไง!"

"แต่เมื่อกี้เราต่อยกอล์ฟ..."

อาจารย์เกรียงไกรได้แต่ยกมือขึ้นนวดขมับพลางคิดว่าช่างเป็นการเสียเวลาพักเที่ยงที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี คราวหลังเขาคงต้องหาโอกาสเตือนอาจารย์ณวัฒน์ว่าอย่าตื่นตูมจนเกินเหตุเวลาพวกเด็กๆ ทะเลาะกัน เพราะไอ้พวกนี้ก็ดีแต่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านให้ผู้ใหญ่เวียนหัว

"เอาล่ะๆ สรุปว่าต่างคนต่างอยากจะรับผิด ถ้างั้นก็ไปขอโทษกันเองก็แล้วกัน เรื่องวันนี้ครูจะไม่ลงบันทึกไว้เพราะถือว่าเป็นความผิดสถานเบาครั้งแรก แต่ถ้ามีครั้งต่อไปจะโดนหักคะแนนและเรียกผู้ปกครองแน่ๆ เข้าใจมั้ย?"

"ครับ!"

ทั้งคู่ตอบเป็นเสียงเดียวกันก่อนจะเดินออกจากห้องฝ่ายปกครอง หลังจากกวินท์สวมรองเท้าแล้วก็เดินกลับขึ้นอาคารเรียน นฤชาที่เห็นดังนั้นจึงเดินตาม

"กอล์ฟ ไม่ไปกินข้าวเหรอ?"

"หือ? ไม่อะ กะจะโดดเรียนบ่ายนี้ จะไปด้วยกันมั้ย?"

"หา!? แต่เมื่อกี้อาจารย์เพิ่งบอกนะว่าถ้าทำผิดอีกจะหักคะแนนแล้วเรียกผู้ปกครองด้วย ยังจะโดดอีกเหรอ?"

กวินท์ใช้นิ้วโป้งถูจมูก ถึงแม้คำขู่ของหัวหน้าฝ่ายปกครองเมื่อครู่จะมีน้ำหนักอยู่บ้าง แต่เขาก็พอจะนึกวิธีเอาตัวรอดได้จึงยักไหล่

"ก็อย่าให้โดนจับได้ก็สิ้นเรื่อง ถ้าสนใจจะโดดด้วยกันก็ตามมา เพราะถ้าขืนไม่รีบไปแล้วคนอื่นมาเห็นเข้าจะลำบาก"

พอเห็นว่านฤชายังทำท่าอึกอัก กวินท์จึงหันหลังแล้วซอยฝีเท้าขึ้นบันได แต่แล้วก็ต้องหันกลับไปเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ไล่ตามมาด้านหลัง นฤชาเห็นสีหน้าข้องใจเช่นนั้นก็ย่นจมูก

"ไหนๆ ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่ ถ้ากอล์ฟโดดเราก็โดด"



++------++



พวกเขานัดเจอกันที่มุมตึกหลังต่างฝ่ายต่างแยกกันไปเอากระเป๋าที่ห้อง จากนั้นก็ลอดรั้วลวดหนามบริเวณกำแพงโรงเรียนที่ยังอยู่ระหว่างการซ่อมแซมออกไปด้านนอก กวินท์เรียกแท็กซี่แล้วก็พานฤชาไปกินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งในตลาดซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนพอสมควร จากนั้นก็ไปเดินเล่นต่อที่ห้างแล้วแลกเหรียญเล่นเกมตู้ด้วยกัน พอเบื่อก็ไปเข้าห้องคาราโอเกะแบบหยอดเหรียญแล้วร้องเพลงแข่งกันจนเสียงแห้ง กระทั่งเย็นย่ำแล้วพวกเขาก็กินข้าวเย็นที่ศูนย์อาหารก่อนจะชวนกันกลับบ้าน

"กอล์ฟ ไม่เจ็บที่โดนเราต่อยเหรอ?"

จู่ๆ นฤชาก็ถามขึ้นระหว่างที่พวกเขาเดินออกจากห้างไปยังป้ายรถเมล์ กวินท์จึงเอาลิ้นดุนๆ ด้านในริมฝีปากแล้วยักไหล่

"ก็ยังเจ็บเหมือนกันแต่ไม่มาก ว่าแต่เห็นเงียบๆ อย่างนี้หมัดหนักเอาเรื่องนะเรา"

กวินท์เอ่ยแล้วก็ตบหลังนฤชาด้วยแรงตามปกติที่เล่นกับเพื่อน แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเบ้ก็ตกใจจนต้องรีบเอามือลูบหลัง

"ขอโทษๆ เจ็บมากมั้ย? ไอ้เราก็ชินมือเวลาเล่นกับพวกไอ้ธี ลืมไปว่าเล่นกับโน้ตแรงๆ แบบนี้ไม่ได้"

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อนฤชาเม้มปากแล้วมองเขาด้วยแววตาตัดพ้อ เด็กหนุ่มได้แต่ยกมือเกาหัวแล้วก็หลบตา เพิ่งจะตระหนักได้ว่าคำพูดของตนตอกย้ำว่ารู้รสนิยมของอีกฝ่ายผ่านรูปที่เคยเห็นได้เป็นอย่างดี

"กอล์ฟ ตอบมาตรงๆ นะ นายขโมยโทรศัพท์เราไปช่วงก่อนปีใหม่ใช่มั้ย?"

คราวนี้กวินท์หันขวับกลับมาราวกับคอติดสปริง "ห้ะ!? อย่างเราเนี่ยนะ! ถึงจะเกเรยังไงที่บ้านก็ไม่เคยสอนให้ขโมยของใครนะเว่ย! อีกอย่างโน้ตใช้โทรศัพท์รุ่นไหนเรายังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ แล้วจะไปขโมยได้ยังไง!?"

ต้องบอกว่าตั้งแต่ก่อนจะได้เห็นรูปวาบหวิวพวกนั้นนี่เขาไม่เคยสนใจอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ แล้วเรื่องเสียศักดิ์ศรีอย่างลักขโมยของคนอื่นเนี่ยนะ ฮึ! ให้โดนตัดนิ้วก็ไม่ลดตัวลงไปทำหรอก!

นฤชาฟังแล้วก็ถอนหายใจ นัยน์ตาทอดต่ำลงวูบหนึ่งก่อนจะก้าวออกไปโบกมือเรียกแท็กซี่ จากนั้นก็หันมาดึงแขนกวินท์ให้เข้าไปนั่งในรถด้วยกัน

"ถ้างั้นไปแวะบ้านเราก่อน เดี๋ยวจะช่วยทำแผลให้ ถือว่าขอโทษที่เราปรักปรำแล้วก็ทำให้กอล์ฟเจ็บตัว"

ไม่ว่านฤชาจะมีเจตนาอะไรก็ตาม แต่กวินท์ได้ฟังคำเชิญก็ทั้งตื่นเต้นทั้งกระสับกระส่าย ระหว่างที่นั่งในรถแท็กซี่นั้นพวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ แต่กวินท์ก็เห็นว่าคนข้างตัวเอาแต่ยกมือขึ้นกัดเล็บเหมือนมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดตลอดทาง

เมื่อรถมาจอดที่จุดหมายปลายทาง กวินท์ก็ตื่นเต้นอีกครั้งที่พบว่านฤชาไม่ได้อาศัยอยู่ใน 'บ้าน' แต่เป็นคอนโดหรูหราใจกลางกรุงที่พ่อแม่ของเขาคงไม่คิดจะซื้อ เมื่อขึ้นลิฟต์ไปด้วยกันก็ได้พบว่าห้องที่นฤชาอาศัยนั้นเป็นห้องใหญ่ที่มีสองห้องนอนในตัว แต่เมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใครจึงถามอย่างสงสัย

"โน้ตอยู่คนเดียวเหรอ?"

"เปล่า เราอยู่กับพี่สาวสองคน เขาเป็นครูสอนโยคะที่ฟิตเนสก็เลยจะกลับดึกทุกวัน ส่วนพ่อกับแม่อยู่ต่างประเทศทั้งคู่ ปีนึงก็จะกลับมาเยี่ยมพวกเราสองสามครั้ง"

นั่นมันชีวิตอิสระในฝันของเขาเลยนะนั่น...กวินท์คิดเพราะที่บ้านของเขาอยู่กันห้าคน มีทั้งพ่อ แม่ พี่ชาย เขา แล้วก็น้องชายที่เป็นลูกหลงมาเพราะเพิ่งเข้าเรียนชั้นประถม แต่พอสังเกตเห็นแววตาเหงาๆ ของคนพูดจึงตัดสินใจไม่เอ่ยสิ่งที่กำลังคิดออกไป

"กอล์ฟรอตรงนี้แป๊บนะ เดี๋ยวไปเอากล่องพยาบาลมาทำแผลให้"

"อื้อ"

กวินท์ตอบรับแล้วก็มองไปรอบห้องรับแขก การตกแต่งโดยรวมของที่นี่เน้นสีฟ้าอ่อน ชมพูอ่อนแล้วก็ครีม ลักษณะที่บ่งบอกว่าผู้หญิงเป็นเจ้าของชัดเจนก็คือหมอนอิงลายคิตตี้และตุ๊กตาขนฟูหลากสีหลายไซส์ เขาได้แต่คิดว่าถ้าตัวเองโดนจับให้มาอยู่ท่ามกลางของน่ารักอย่างนี้ทุกวันคงไม่แคล้วเป็นโรคประสาทแน่

"มาแล้วกอล์ฟ นั่งสิ"

"อ้อ ได้ๆ"

เด็กหนุ่มรับคำพลางเดินไปนั่งบนโซฟายาวตัวเดียวกับนฤชา อีกฝ่ายยังคงอยู่ในชุดเครื่องแบบเรียบร้อยคือเสื้อสอดชายเข้าในกางเกงและถุงเท้าเรียบตึงถึงหน้าแข้ง ส่วนตัวเขาน่ะดึงชายเสื้อออกแล้วก็ร่นถุงเท้าลงไปถึงข้อเท้าตั้งแต่ตอนที่พ้นรั้วโรงเรียนแล้ว

ดูแล้วเหมือนเจ้าชายกับนายกระจอกพิก๊ล...ตอนคนอื่นเห็นพวกเขาเดินด้วยกันวันนี้ก็คิดแบบนั้นรึเปล่าหว่า

กวินท์คิดขณะมองนฤชาเปิดกล่องพยาบาลแล้วหยิบสำลีมาเทแอลกอฮอลล์ใส่ แล้วก็ต้องหลุดปากร้องซี้ดเมื่อถูกแนบสำลีบนแผลที่แตกตรงมุมปาก

"เจ็บเหรอ!? ขอโทษๆ ไม่เป็นไรนะ"

ไม่รู้ว่านฤชาลืมไปว่าคนตรงหน้าเป็นเพื่อนวัยเดียวกันแถมยังถึกบึกบึนหรืออย่างไร เด็กหนุ่มจึงโน้มหน้าเข้ามาเป่าปากเบาๆ บนมุมปากที่เป็นแผลของกวินท์ราวจะช่วยปลอบโยน ลมหายใจอุ่นๆ ที่กลิ่นคล้ายน้ำผึ้งทำให้คนถูกเป่านั่งตัวแข็ง ท่าทางผิดปกติเช่นนั้นทำให้นฤชามุ่นคิ้ว

"กอล์ฟ? เป็นอะไรรึเปล่า?"

"โน้ต นาย...คิดอะไรกับเรามั่งมั้ย?"

พอคำถามนั้นหลุดจากปาก กวินท์จึงเพิ่งพบว่าตนไม่ได้เพียงแค่คิดคำถามนั้นในหัวเสียแล้ว เขาทำตาโตด้วยความตกใจเช่นเดียวกับคนถูกถาม แต่พอเห็นใบหน้าของนฤชาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เด็กหนุ่มก็รับรู้ถึงความฮึกเหิมที่ลุกโชนขึ้นในใจ

"ที่ถามแบบนี้เพราะได้ดูรูปที่เราถ่ายแล้วสินะ คงคิดว่าเราน่าขยะแขยงล่ะสิ"

น้ำเสียงสั่นเครือและนัยน์ตาที่มีหยาดน้ำคลอทำเอากวินท์แทบวางมือไม้ไม่ถูก เขาไม่นึกเลยว่าคำถามพื้นๆ ของตัวเองจะไปจี้ต่อมเซ้นสิทีฟของอีกฝ่ายเข้าอย่างจังแบบนี้

"เฮ้ย! ไม่ใช่นะ! รูปพวกนั้นเซ็กซี่ออก! คือ...เราไม่เคยขยะแขยงโน้ตเลยนะ แค่แปลกใจนิดหน่อยตอนที่รู้ว่าชอบแบบนี้ แล้วก็...ถึงก่อนหน้านี้จะไม่เคยคิดอะไรกับโน้ต แต่พอเห็นรูปพวกนั้น เรา...เรา..."

กวินท์ละล่ำละลักตอบ แล้วก็เกิดอาการติดอ่างเมื่อไม่รู้จะอธิบายต่ออย่างไรดี ถ้าบอกว่าเขาสนใจนฤชาเพราะได้เห็นรูปพวกนั้นก็ช่างดูฉาบฉวยเหลือเกิน ถึงแม้มันจะเป็นความจริงว่านั่นคือสิ่งที่จุดประกายให้เขามักจะมองหาเจ้าตัวเวลาอยู่ที่โรงเรียน แล้วก็อยากจะเข้าใกล้เพื่อทำความสนิทสนมมากขึ้นก็เถอะ

เขาไม่เคยสนใจใครในแง่นี้มาก่อนจนอายุจะสิบเจ็ดอยู่แล้ว ดังนั้นการที่ใจจดจ่อถึงใครคนเดียวติดต่อกันได้นานขนาดนี้ก็น่าจะเป็นก้าวแรกของคำว่า 'ชอบ' ไม่ใช่เหรอ?

แต่นฤชายังคลางแคลงใจกับคำสารภาพที่ได้รับ เพราะเด็กหนุ่มเพียงแต่มุ่นคิ้วเข้าหากันแล้วก็สูดน้ำมูก

"กอล์ฟก็แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้นแหละ เราไม่รู้จริงๆ ว่าใครขโมยโทรศัพท์เราไปแล้วดันแกะการ์ดทิ้งไว้จนกอล์ฟไปเจอ แต่ก็ขอบคุณมากนะที่เอามาคืน ไม่ต้องลำบากใจหรอกถ้าอยากจะเรียกเราว่าตุ๊ด แต๋ว เกย์หรืออะไรก็ตามแต่ เราก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้แต่ว่ามันเป็นไปแล้ว"

ปลายจมูกแดงเรื่อของอีกฝ่ายขณะลุกหนีกระตุกหัวใจของกวินท์อย่างจัง เด็กหนุ่มรีบลุกตามแล้วก็เข้าสวมกอดนฤชาจากด้านหลัง เขาสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อทุกมัดของร่างในอ้อมแขนแข็งทื่อ

"กอล์ฟ..."

"อาจเป็นความอยากรู้อยากเห็นก็ได้ แต่การที่เราอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนที่รู้สึกดีด้วยก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ? เราอยากสนิทกับโน้ตให้มากกว่านี้นะ แล้วเราก็ไม่เคยคิดรังเกียจอย่างที่โน้ตพูดออกมาเมื่อกี้ด้วย"

เด็กหนุ่มจับคนที่ส่วนสูงแทบไม่ต่างแต่ผอมเพรียวกว่าให้หันกลับมาหา จากนั้นก็ดึงหน้าเข้ามาจูบอย่างแรงจนหลุดเสียงครางด้วยความเจ็บออกมาทั้งคู่

"ห้องโน้ตห้องไหน?"

กวินท์ถามพลางจ้องตาเขาตรงๆ นฤชาจึงตอบเสียงแผ่วแม้จะรับรู้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง

"ห้องเราอยู่ฝั่งนั้น เฮ้ย! กอล์ฟจะทำอะไร?"

"จะพิสูจน์ว่าเราไม่ได้รังเกียจโน้ตไง"

กวินท์จูงมือนฤชาแล้วก็เดินเร็วๆ เข้าไปยังห้องของเจ้าตัว พอถึงแล้วก็กดอีกฝ่ายให้เอนหลังบนเตียงแล้วตามขึ้นทาบทับทั้งชุดนักเรียน เขาแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากอันแสนนุ่มของคนในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยนขึ้นกว่าเมื่อครู่ จากนั้นก็เริ่มแหย่ปลายลิ้นเข้าไปด้านในโพรงปากอบอุ่น เทคนิคอะไรก็ตามที่เคยเก็บเกี่ยวจากแผ่นหนังโป๊ของพี่ชายล้วนถูกนำมาใช้กับบทรักครั้งแรกในชีวิต หวังแค่ว่าจะสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายลืมไม่ลงเต็มที่

"ฮ้า...กอล์ฟ พอก่อน หายใจไม่ทันแล้ว"

นฤชาดันอกของคนที่นอนคร่อมออกเพราะสูดอากาศไม่ทันจริงๆ ร่างผอมเพรียวหอบหายใจแรงจนอกกระเพื่อม ปลายลิ้นสีชมพูที่ไล้ออกเลียคราบน้ำลายบนริมฝีปากทำให้กวินท์แทบคลั่ง

"โน้ต ทำไมน่ารักจังเลย ตัวก็หอม"

เด็กหนุ่มก้มลงไซ้จมูกไปมาบนซอกคอของนฤชาโดยที่มือก็แกะกระดุมเสื้อให้ กระทั่งเห็นแผ่นอกขาวๆ ลอยอยู่ตรงหน้า เขาก็ก้มลงดูดยอดอกสีชมพูอย่างแรงจนคนด้านล่างแอ่นกายขึ้นสูงอย่างเสียวซ่าน

"เดี๋ยวก่อน กอล์ฟ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ถึงเราจะ...จะถ่ายรูปแบบนั้นเก็บไว้ แต่เรายังไม่เคยนอนกับใครมาก่อนนะ"

นฤชาเอ่ยเมื่อรู้สึกว่าสถานการณ์ชักจะก้าวไปเร็วกว่าที่ตั้งใจขึ้นเรื่อยๆ แต่นอกจากกวินท์จะไม่ฟังแล้วก็ยังก้มหน้าก้มตาถอดกางเกงของเขาต่อ

"งั้นก็ดีเลยเพราะเราก็ยังไม่เคย มาเปิดซิงด้วยกันเลยละกัน"

นฤชาอ้าปากค้าง เขามองกวินท์ที่ผละไปจากตัวเพื่อถอดชุดนักเรียนบ้าง ท่าทางรีบร้อนราวกับกลัวเสียเวลาทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดังจนอีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่น

“ขำอะไรโน้ต?”

"ก็กอล์ฟ...ไม่โรแมนติกเลยอะ"

"หา? หมายความว่าไง?"

กวินท์ซึ่งเอี้ยวตัวไปด้านข้างเพื่อจะถอดกางเกงยังหันมาถามอย่างไม่เข้าใจ นฤชาจึงส่ายหน้ายิ้มๆ

"ก็ที่พูดว่าให้มาเปิดซิงด้วยกันเมื่อกี้ไง ไม่โรแมนติกเลย"

คนถูกท้วงกลอกตา เขาเหวี่ยงกางเกงกับเสื้อลงจากเตียงแล้วก็หันมานั่งคร่อมคนที่ตัวเปลือยเปล่าขาวโพลนรออยู่อีกครั้ง

"เราก็พูดเป็นแต่อะไรทื่อๆ แบบนี้แหละ ถ้าโน้ตอยากให้เราโรแมนติกก็คงต้องช่วยสอนแล้วล่ะ"

นฤชาหน้าแดงซ่านเมื่อกวินท์ก้มลงจูบเขาอีกครั้ง ฝ่ามือที่ฟอนเฟ้นไปมาทั่วร่างอย่างไม่ประสีประสาแต่หนักแน่นแสดงออกถึงความปรารถนาอันชัดเจนและรุนแรง ร่างเพรียวผวาเฮือกเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นพรมจูบไปทั่ว ปลายลิ้นร้อนที่ไล้เล็มบนจุดชีพจรเรียกเสียงครางที่ยิ่งปลุกสัญชาตญาณดิบของคนเล้าโลมให้เตลิด ทั้งคู่ต่างใช้ร่างกายปรนเปรอความสุขให้แก่กันและกันอย่างไม่สนใจเวลา เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดเมื่อสองกายเริ่มสอดประสานค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเสียงแห่งความสุขสม และไม่ช้าพวกเขาก็ขยับร่างเป็นท่วงทำนองเดียวกันราวกับต่างก็เฝ้ารอเวลานี้มานาน ไม่มีร่างกายส่วนใดของอีกฝ่ายที่เป็นอิสระจากการสัมผัสของกันและกันเลย

จวบจนผืนฟ้าภายนอกกลายเป็นสีน้ำหมึกและดวงจันทร์ทรงกลดลอยเด่น ร่างของเด็กหนุ่มทั้งสองที่เพิ่งจะได้ผละจากกันก็ต่างหอบหายใจแรงโดยไม่มีใครลุกขึ้นจากเตียง ครู่หนึ่งก็มีเสียง 'ติ๊ง' ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

"โน้ต ใช่เสียงโทรศัพท์ของโน้ตรึเปล่า?"

"อือ น่าจะเสียงจากไลน์"

นฤชาเอ่ยเสียงแห้งเพราะความเหนื่อยขณะก้มลงไปหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง เขาอ่านข้อความแล้วก็หันหน้าจอมาให้กวินท์อ่านด้วย

'คืนนี้พี่จะไปปาร์ตี้กับเพื่อน คงกลับพรุ่งนี้เลยนะจ๊ะ ล็อกห้องด้วยล่ะ'

"จากพี่สาวของโน้ตเหรอ งั้นก็แปลว่า...คืนนี้เราก็มีเวลากันทั้งคืนเลยน่ะสิ?"

กวินท์อ่านจบก็ทำเสียงตื่นเต้น แต่คนฟังกลับทำหน้ามุ่ย "ไม่เอาแล้วกอล์ฟ ไม่ถนอมกันเลย เราครั้งแรกนะ เล่นใส่เข้ามาแล้วกระแทกเอาๆ แบบนี้มันเจ็บรู้มั้ย"

กวินท์หน้าแดงเมื่อโดนต่อว่าด้วยคำที่เห็นภาพชัดราวกับกดรีเพลย์ ก็แหม...เขาได้แต่ดูรูปของนฤชาแล้วช่วยตัวเองมาทั้งเดือนแล้ว พอได้ทำกับตัวจริงแทนที่จะเป็นจินตนาการ มันก็เลย...เมามันจนเผลอไปหน่อยน่ะสิ

"ขอโทษนะโน้ต กอล์ฟดีใจมากไปหน่อยก็เลยลืมตัว อย่าโกรธกอล์ฟเลยนะครับที่รัก"

"หา?"

นฤชาทำตาโตเหมือนได้ยินภาษาต่างดาว กวินท์เห็นสีหน้าประหลาดใจสุดขีดของหวานใจก็เกาหัวแล้วหัวเราะแหะๆ

"อ้าว ก็โน้ตยอมให้เราทำตั้งหลายที แบบนี้ก็แปลว่าเราเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหมล่ะ? ถ้าเราจะเรียกโน้ตว่าที่รักก็ถูกแล้วนี่ หรือว่าอยากให้เรียกด้วยคำอื่นมากกว่าก็ได้นะ แต่ถ้าเค้ากับตัวเองคงไม่ชินปากเท่าไหร่ เว้นว่าโน้ตชอบแบบนั้นก็จะลองดู"

นฤชายิ่งฟังก็ยิ่งสงสัยว่าตัวเองหูเฝื่อนรึเปล่าเข้าไปทุกที ตกลงกวินท์จอมปากเสียที่เขาเคยรู้จักหายไปไหนเสียแล้วนี่ เด็กหนุ่มได้แต่คิดขณะปล่อยให้อีกฝ่ายดึงตัวเข้าไปกอด อ้อมแขนที่แสนจะอบอุ่นค่อยๆ ละลายความสงสัยในใจ และแล้วเด็กหนุ่มก็เอนตัวเข้าหนุนไหล่คนข้างกายแต่โดยดี

"ตอนนั้นน่ะ"

"หือ?"

กวินท์ที่กำลังเคลิ้มๆ จะหลับส่งเสียงตอบรับ นฤชาจึงเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ

"ตอนที่เรารู้ตัวว่ามีรสนิยมแบบนี้ เราก็แอบถ่ายรูปตัวเองเก็บไว้เล่นๆ เวลาพี่ไม่อยู่ แต่ไม่เคยคิดจะเอาไปโพสต์ที่ไหนหรอกนะ มีหลายครั้งเหมือนกันที่คิดว่าอยากลบทิ้งเพราะกลัวใครมาเปิดดู แต่ยังไม่ทันจะได้ทำแบบนั้นก็โดนขโมยโทรศัพท์คืนที่เราไปเค้าท์ดาวน์ปีใหม่กับพี่ ช่วงอาทิตย์แรกๆ เรากินไม่ได้นอนไม่หลับเลย ได้แต่กลัวว่าคนที่ขโมยไปจะเปิดดูรูปพวกนั้นแล้วเอาไปประจานในเน็ต แล้วถ้ามีคนรู้จักไปเห็นแล้วเอาไปพูดต่อๆ กัน เราคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"

คำอธิบายของนฤชาทำให้กวินท์ตาสว่างขึ้นทันที เขาคิดย้อนกลับไปว่าวันที่เก็บไมโครเอสดีการ์ดได้คือวันหลังจากวันเคาท์ดาวน์ ดังนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าคนที่ขโมยไปคงมัวยุ่งกับการแกะส่วนประกอบของมือถือจนเผลอทำการ์ดหล่นในรถ หรือไม่อย่างนั้นก็...ได้เปิดดูรูปแล้วแต่ไม่คิดอยากเก็บไว้

ความคิดที่ว่าใครคนอื่นอาจได้เห็นรูปพวกนั้นเช่นกันทำให้ความรู้สึกหวงแหนพุ่งปรี๊ด กวินท์กระชับอ้อมแขนรอบตัวนฤชาแน่นขึ้นแล้วก็กดริมฝีปากลงบนหน้าผากที่มีผมชื้นๆ แนบ

"ไม่ต้องห่วงนะโน้ต เราว่าไอ้คนที่ขโมยไปคงยังไม่ทันได้ดูรูปพวกนี้หรอก หรือต่อให้เกิดกรณีเลวร้ายอย่างที่ว่าขึ้นมาจริงๆ เราก็จะอยู่ข้างโน้ตเอง ดูซิว่าใครจะว่าอะไรได้ ในเมื่อแฟนของโน้ตยังไม่แคร์เลย"

คำพูดให้กำลังใจที่ไม่ได้กลั่นกรองให้สวยหรู แต่เต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจและมุ่งมั่นทำให้นฤชารู้สึกแน่นหน้าอกเพราะความปลื้มใจ เขาหันไปกอดตอบกวินท์แล้วก็ซุกหน้าลงบนซอกคอของอีกฝ่าย

"ขอบคุณนะกอล์ฟ เรารักกอล์ฟที่สุดเลย"

"เราก็รักโน้ต...ฮะ...เมื่อกี้โน้ตพูดว่าอะไรนะ? ขอฟังอีกทีได้มั้ย?"

"โน้ตง่วงแล้วอะกอล์ฟ คืนนี้พี่แนทไม่กลับ ถ้างั้นกอล์ฟนอนเป็นเพื่อนโน้ตนะครับ นะ"

เจอลูกอ้อนที่มาเป็นคอมโบแถมด้วยริมฝีปากนุ่มๆ ที่กดลงบนแก้ม ทำเอากวินท์ได้แต่จำยอมราวถูกร่ายมนตร์สะกด ลางสังหรณ์บอกเขาเลาๆ ว่าต่อไปมีหวังคงโดนตราหน้าว่า 'หลงเมีย' เป็นแน่

แต่ว่า...เอ้า ถ้าเมียน่ารักขนาดนี้ก็น่ายอมให้กระแนะกระแหนอยู่นะ ทำไงได้ เขาเองก็ดูเหมือนจะถลำตัวถลำใจไปเกินจะถอยเสียแล้วด้วย

"งั้นแป๊บนะโน้ต ขอกอล์ฟไลน์หาแม่นิดนึงว่าคืนนี้จะไม่กลับ แม่เขาชินแล้วล่ะถ้ากอล์ฟบอกว่าไปค้างหอกับไอ้ธี"

"อื้อ"

นฤชายอมให้อีกฝ่ายลุกไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาคนที่บ้าน เสร็จแล้วก็อ้าแขนรับคนตัวหนากว่าที่กุลีกุจอกลับขึ้นมานอนข้างเขา เด็กหนุ่มกอดกันด้วยร่างกายเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่ม ก่อนที่กวินท์จะหลับก่อนในเวลาไม่นานเพราะความอ่อนเพลีย

ทั้งๆ ที่เขาก็เหนื่อยเช่นกันเพราะเป็นฝ่ายโดนกระทำ แต่นฤชากลับตาสว่างจนหลับไม่ลง เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าเรื่องโชคร้ายอย่างการถูกขโมยโทรศัพท์จะทำให้ได้สมหวังในรักที่เก็บไว้ข้างเดียวมาตั้งเกือบสองปี แต่พอคิดแล้วก็ต้องขอบคุณเจ้าคนที่ขโมยโทรศัพท์ไป แม้เขาจะเสียดายเครื่องรุ่นใหม่เอี่ยมที่พ่อเพิ่งซื้อให้ก็ตาม

"ต่อให้เกิดกรณีเลวร้ายอย่างที่ว่าขึ้นมาจริงๆ เราก็จะอยู่ข้างโน้ตเอง ดูซิว่าใครจะว่าอะไรได้ ในเมื่อแฟนของโน้ตยังไม่แคร์เลย"

หัวดื้อแล้วก็รักความถูกต้องไม่เคยเปลี่ยนไปจากตอน ม.3 เลย นฤชาคิดพลางวาดนิ้วเป็นวงกลมบนอกของคนตรงหน้าเบาๆ กวินท์อาจจะลืมไปแล้วก็ได้ แต่มีครั้งหนึ่งที่เขาเคยถูกเพื่อนๆ ผู้ชายแกล้งหลังวิชาพละที่ต้องว่ายน้ำ ถึงแม้ปกติเขาจะมีเพื่อนผู้หญิงที่คอยช่วยเป็นเกราะป้องกัน แต่ครั้งนั้นเขามีแต่ตัวเองคนเดียวในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชาย และก็ถูกคนอื่นๆ แกล้งเอาแว่นสายตาของเขาส่งต่อกันไปมาเพื่อไม่ให้มองเห็นล็อคเกอร์ที่เก็บเสื้อผ้าของตัวเองไว้ ตอนนั้นเขาไม่รู้จะขอให้ใครช่วยจนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

"เฮ้ย! ไม่มีอะไรจะเล่นกันแล้วรึไงวะ! แกล้งคนอื่นเขาอยู่นั่น พวกมึงจะไม่ไปเรียนกันใช่มั้ย กูจะได้บอกอาจารย์ให้ล็อคพวกมึงไว้ในนี้ให้หมด!"

"แหม ก็แค่แหย่เล่นหน่อยเดียวเอง มึงก็ทำตัวเป็นพระเอกหนังน้ำเน่าไปได้น่ะไอ้กอล์ฟ"

"ก็กูเห็นแล้วรำคาญ อีกอย่างกูโดนอาจารย์สั่งให้เป็นคนล็อคห้องแต่งตัวหลังพวกมึงใช้เสร็จด้วย ถ้าพวกมึงมัวแต่เล่นกูก็ไม่ได้คืนกุญแจสักทีสิวะ"

พอได้ยินดังนั้นพวกเพื่อนๆ จึงยักไหล่แล้วแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนกวินท์ฉวยแว่นจากมือเด็กคนหนึ่งแล้วเอามายื่นส่งให้เขา นฤชารับมาใส่ก่อนจะมองผ่านเลนส์แว่นไปยังเรือนร่างสมส่วนแบบเด็กชายที่กำลังจะโตเป็นชายหนุ่มของอีกฝ่าย กล้ามเนื้อที่เห็นเป็นมัดนูนทั่วร่างกายจากการออกกำลังกับเพื่อนๆ อาจจะไม่ได้กำยำเหมือนอาจารย์พละ กระนั้นก็ยังดึงดูดสายตาพอจะทำให้หน้าเขาร้อนวูบวาบ

"ความจริงนายก็หน้าตาดีนะ เสียดายใส่แว่นซะหนา ทีหลังก็ระวังอย่าให้ไอ้พวกนั้นเล่นพิเรนทร์แบบนี้อีกก็แล้วกัน"

"อะ ขอบใจ"

ตอนนั้นกวินท์เพียงแต่หันหลังกลับไปหาล็อคเกอร์ของตัวเองโดยไม่สนใจเขาอีก แต่นฤชาจำเหตุการณ์นั้นได้ไม่เคยลืม เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะ และเป็นครั้งแรกที่เขาตกหลุมรักด้วย

นับแต่นั้นเขาก็ปรึกษาพี่สาวเรื่องปัญหาหัวใจเพราะไม่เห็นใครที่เป็นที่พึ่งได้อีก พี่แนทแสนดีจึงแนะนำให้เริ่มจากการปรับเปลี่ยนบุคลิกที่ไม่มั่นใจในตัวเองก่อน ความที่อีกฝ่ายเป็นครูสอนโยคะอยู่แล้วจึงใช้สิทธิ์พาเขาไปเข้าเรียนด้วย จากนั้นก็แนะนำให้ใส่คอนแท็คต์เลนส์แทนแว่นตาอันแสนเทอะทะ รวมไปถึงช่วยดูแลเสื้อผ้าหน้าผมในวันที่ไม่ต้องไปโรงเรียน การเทรนอย่างเข้มข้นนั้นทำให้นฤชาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อเปิดเทอมตอนมัธยมปลาย แต่น่าเศร้าที่นอกจากเขาจะอยู่คนละห้องกับกวินท์แล้ว ฝ่ายนั้นยังดูเหมือนจะลืมไปเสียสนิทว่าเคยรู้จักเขา เพราะกระทั่งเวลาที่เดินสวนกันหรือนั่งกินข้าวใกล้กันในโรงอาหาร สายตาคู่นั้นก็ไม่เคยเหลือบแลมาทางเขาสักแวบ

นฤชาเคยคิดจนปวดหัวว่าจะหาโอกาสเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างไรไม่ให้ดูน่าเกลียดจนกระทั่งวันที่โดนเตะบอลใส่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว กวินท์เป็นคนที่เสนอตัวเข้ามาหาเขาก่อน นอกจากนี้ยังแสดงความต้องการในตัวเขาและทำท่าทางเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ สิ่งที่เคยได้แต่จินตนาการไปข้างเดียวยามถ่ายรูปตัวเองแล้วคิดว่ากำลังถูกกวินท์โอบกอด บัดนี้ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปเพราะร่างกายเขายังจดจำสัมผัสเหล่านั้นได้อยู่เลย

เขาเป็นของกวินท์แล้ว กวินท์ก็เป็นของเขาเหมือนกัน พอคิดได้เช่นนี้ นฤชาก็ยิ้มจนเมื่อยแก้ม

เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองคนที่นอนหลับและกรนเบาๆ อยู่ข้างกายด้วยแววตาหวานเชื่อม ต่อจากนี้ก็อยู่ที่ความสามารถของเขาเองแล้วว่าจะทำให้ความหลงใหลของกวินท์คงอยู่ตลอดไปได้หรือเปล่า เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายชอบเขามากเท่าที่เขาชอบเจ้าตัวไหม แต่ดูจากการแสดงความรักอย่างเร่าร้อนที่เขาได้รับไปสามชั่วโมงติดกัน นฤชาก็คิดว่าตนคงยังไม่ต้องปวดหัวกับประเด็นนั้นไปอีกพักใหญ่ๆ

ขอแค่เขาได้อยู่ใกล้กวินท์ ได้กอดกวินท์เอาไว้เหมือนตอนนี้ นฤชาก็มั่นใจว่าเขามีสารพัดวิธีที่จะทำให้ 'สุดที่รัก' คนนี้หนีไปไหนไม่รอดได้อย่างแน่นอน



++---End---++





 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2557 19:14:07 น.
Counter : 2066 Pageviews.  

[เรื่องสั้น] ยั่วใจให้เจอรัก (1/2)

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++



ยั่วใจให้เจอรัก (1/2)

ภายในห้องนอนที่ปิดประตูมิดชิดในบ่ายวันหนึ่ง อากาศในห้องเย็นกำลังดีจากเครื่องปรับอากาศที่จ่ายอุณหภูมิสม่ำเสมอ ทว่าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงกลับมีเหงื่อซึมตามต้นคอและแผ่นหลัง สองตาของเขาจับจ้องอัลบั้มภาพบนจอโน้ตบุ๊คที่ตั้งค่าให้แสดงต่อกันเป็นสไลด์โชว์อย่างจดจ่อ มือข้างหนึ่งก็กระทำการปรนเปรอส่วนล่างของตัวเองเป็นระวิง

"ฮึก...อะ...อื้อ....ฮ้า...นะ...โน้ต"

ทันทีที่ชื่อนั้นหลุดพ้นริมฝีปาก ความวาบหวามอันรุนแรงก็ผุดพลุ่งจนขนลุกชัน มือของเด็กหนุ่มเร่งจังหวะถี่ขณะที่อีกมือรีบหยิบกระดาษทิชชู่มารองหยาดหยดที่กำลังจะหลั่งทะลัก

"ฮ้า...."

เมื่อคลื่นแห่งความวาบหวิวสร่างซาเหมือนน้ำแข็งที่ละลาย กวินท์จึงค่อยรู้ตัวว่าเหงื่อออกจนเสื้อแนบติดแผ่นหลัง เขามองสิ่งที่เลอะอยู่กลางแผ่นกระดาษทิชชู่เนื้อนุ่ม จากนั้นก็เหลือบตาอันหรี่ปรือขึ้นมองภาพบนหน้าจอโน้ตบุ๊คอีกครั้ง รูปอันเย้ายวนที่กระแทกสายตาทำให้บริเวณท้องน้อยร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกระลอก

เฮ้ย! พอ! นี่มึงจะเกิดอารมณ์อะไรนักหนากับผู้ชายด้วยกันวะ! ไอ้กอล์ฟ!

.
.
.
.
.

ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน...

วันนั้นเป็นวันหลังจากขึ้นปีใหม่หมาดๆ โรงเรียนยังหยุดการเรียนการสอน บริษัทส่วนใหญ่ก็ยังไม่เริ่มทำงาน กวินท์ซึ่งเพิ่งไปฉลองวันขึ้นปีใหม่กับเพื่อนฝูงที่หอพักของเพื่อนถูกแม่โทรเรียกให้กลับมาเฝ้าบ้าน เขาจึงต้องพยายามปลุกตัวเองที่สะโหลสะเหลขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็หอบสังขารเดินออกจากซอยมาเรียกแท็กซี่

การจราจรที่โปร่งโล่งทำให้เขานั่งหลับๆ ตื่นๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงหน้าบ้าน เด็กหนุ่มล้วงกระเป๋าสตางค์มาจ่ายค่าแท็กซี่ให้คนขับซึ่งเป็นชายวัยกลางคน ระหว่างที่รอเงินทอนก็เหลือบไปเห็นอะไรสีดำชิ้นเล็กๆ หล่นอยู่ใกล้เท้าจึงหยิบขึ้นมาดู

"ลุงครับ สงสัยมีคนทำไมโครเอสดีหล่นไว้แน่ะ ใช่ของคนที่ลุงรับมาก่อนผมรึเปล่า?"

"หือ? ถ้าใช่ก็คงเป็นผู้โดยสารของคนที่เอารถไปวิ่งเมื่อคืนน่ะน้อง ของเช้านี้ผมเพิ่งไปรับรถแล้วก็รับน้องมาคนแรกนี่แหละ มันคืออะไรเรอะ?"

คนขับแท็กซี่หันมามองแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กจิ๋วกลางฝ่ามือของกวินท์แล้วขมวดคิ้ว เด็กหนุ่มจึงเกาหัวขณะพยายามอธิบาย

"มันเอาไว้เก็บรูปหรือวิดีโอในมือถือน่ะลุง ถ้าเปิดดูไฟล์ที่เซฟไว้ก็คงพอรู้หรอกว่าเป็นของใคร เผื่อเอาคืนเจ้าของได้"

"งั้นน้องลองเปิดดูได้ไหมล่ะ ผมจะได้เอากลับไปบอกคนที่ขับรถเมื่อคืนถูก เผื่อเขาจะจำได้ว่ารับผู้โดยสารไปส่งแถวไหน"

"ก็ได้อยู่ งั้นแป๊บนะฮะลุง"

กวินท์หยิบโทรศัพท์มือถือแบบหน้าจอใหญ่เท่าฝ่ามือออกจากกระเป๋า จากนั้นก็ถอดฝาเอาไมโครเอสดีการ์ดที่เก็บได้ใส่เข้าไปในช่องเหนือแบตเตอรี เขาลองกดเข้าไปดูข้อมูลในโฟลเดอร์เผื่อว่าจะมีรูปถ่ายที่บ่งบอกตัวตนของเจ้าของ แต่พอรูปแรกปรากฏแก่สายตาก็เลิกคิ้วสูง พอเลื่อนนิ้วดูภาพถัดไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าผิวหน้าร้อนไม่หยุด คนขับเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรสักทีก็เร่งถาม

"ตกลงว่าไงน้อง? เห็นอะไรที่น่าจะบอกตัวเจ้าของได้มั้ย?"

"หา? อ๋อๆ มีฮะมี บังเอิญมากเลยลุง นี่มันของเพื่อนโรงเรียนเดียวกับผมเอง สงสัยเพื่อนลุงเมื่อคืนคงรับเพื่อนผมไปส่งบ้านแหงๆ เลย เดี๋ยวผมเอาไปคืนให้เองก็ได้"

"จริงเรอะ! งั้นก็โชคดีนะเนี่ยที่น้องเป็นคนเก็บได้ ถ้างั้นฝากเอาไปคืนเจ้าของเขาด้วยล่ะ เอ้านี่เงินทอน โชคดีนะน้อง"

"ขอบคุณครับลุง ขอให้ได้ผู้โดยสารเยอะๆ ครับ"

คนขับแท็กซี่หัวเราะร่วนขณะที่เด็กหนุ่มก้าวลงจากรถด้วยใจระทึก สองมือของเขาชุ่มเหงื่อจนต้องป้ายกับกางเกงยีนส์ ได้แต่หวังว่าผิวหน้าคงไม่แดงจนผิดสังเกต พอเปิดประตูเข้าบ้านได้แล้วเห็นว่าพ่อกับแม่ยังไม่กลับจากไปทำธุระ กวินท์ก็รีบวิ่งขึ้นห้องแล้วล็อกประตูทันที

เด็กหนุ่มเปิดลิ้นชักรื้อหาสายเชื่อมข้อมูล จากนั้นก็เปิดโน้ตบุ๊คแล้วเสียบสายเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ เขาขยับเมาส์ไปมาเพื่อเปิดหาอัลบั้มภาพของไมโครเอสดีการ์ดที่เก็บมาได้ เมื่อได้ดูรูปบนหน้าจอขนาดสิบสี่นิ้วชัดๆ เขาก็ไม่เหลือข้อกังขาว่านี่คือรูปเพื่อนร่วมโรงเรียนจริงๆ ด้วย

"แม่เจ้าโว้ย...เห็นหงิมๆ ทำแบบนี้เป็นด้วยเหรอวะ"

รูปที่อยู่ในอัลบั้มล้วนแล้วแต่เป็นรูปของนฤชา เด็ก ม.5 ห้องคิงโรงเรียนเดียวกัน พวกเขาเคยเรียนห้องเดียวกันอยู่หนึ่งเทอมเพราะฝ่ายนั้นย้ายโรงเรียนมาตอน ม.3 เทอมสอง แต่ตั้งแต่ขึ้น ม.ปลายก็ไม่เคยได้คุยกันอีกเพราะเลือกแผนการเรียนต่างกัน ทว่าสิ่งที่ตรึงสายตาของเขาให้จ้องหน้าจอดุจมีพลังงานดึงดูดนั้นไม่ใช่เพียงเพราะนี่เป็นรูปของนฤชา แต่เพราะว่าแต่ละรูปที่ดูมุมกล้องแล้วน่าจะถ่ายด้วยตัวเองนั้นล้วนแต่เป็นรูปในอิริยาบถยั่วยวนที่ไร้เสื้อผ้าปิดบังทั้งสิ้น!

แสดงว่าพวกเด็กหัวกะทิก็ทำอะไรห่ามๆ แบบนี้ลับหลังคนอื่นเหมือนกันนี่นา รูปนี้...เอ่อ...ไม่นึกว่าจะมีน้องชายขนาดเกินตัวแบบนี้วุ้ย ว่าแต่หมอนี่ขาวไม่ใช่เล่นนะเนี่ย...ก้นก็งอนเชียว...แล้วนั่น...เฮ่ย! เอาจริงเด้ะ! มีดิลโด้เข้าฉากด้วยเรอะ!!

"ชิบเป๋ง!"

เด็กหนุ่มสบถเมื่อเลือดกำเดาไหลพรวดจนหยดเข้าปาก เขารีบลุกไปหากระดาษทิชชู่แล้วเอามาอุดจมูกไว้ ขณะเดียวกันก็ถอดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่ใส่อยู่ออกเพราะกลัวเลอะ แต่ความอยากรู้อยากเห็นยังไม่หมดไปเพราะรูปในอัลบั้มมีเยอะเหลือเกิน แถมยิ่งดูก็ยิ่งเจอแต่รูปที่ชวนให้หน้ามืดมากขึ้นเรื่อยๆ

ความอึดอัดจากกึ่งกลางร่างกายทำให้เด็กหนุ่มต้องเลื่อนมือไปแกะกระดุมกางเกงยีนส์และรูดซิปลง ความรุ่มร้อนที่เพิ่มขึ้นตามดีกรีความร้อนแรงของรูปดึงมือของเขาให้กุมความตื่นตัวของตัวเองไว้ การได้รูดรั้งส่วนนั้นไปมาขณะที่สองตามองภาพของนฤชาไปด้วยทำให้เด็กหนุ่มคลุ้มคลั่ง

ฮึ่ม...นี่กูมีอารมณ์เพราะรูปผู้ชายโป๊เหรอวะ แต่ว่า...เป็นใครจะทนไหว ไอ้โน้ตทั้งขาวทั้งเนียนแบบนี้ เห็นเวลาปกติชอบทำหน้านิ่งๆ แต่พอเวลาทำหน้าเซ็กซี่แล้วแม่ง...ยั่วยิ่งกว่านางแบบหนังสือโป๊อีก

ยิ่งคิดอารมณ์ของกวินท์ก็ยิ่งพลุ่งพล่าน เขาหยิบทิชชู่ออกจากจมูกเมื่อรู้สึกว่าเลือดหยุดไหล จากนั้นก็ใช้สองมือปรนเปรอแก่นกายของตัวเองอย่างจริงจัง เด็กหนุ่มมองรูปของเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังใช้ริมฝีปากและปลายลิ้นกับ 'ของเล่น' ที่ทำเลียนแบบของจริงได้เหมือนจนน่าตกใจ แค่คิดว่าถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเล่นสนุกคือของจริงของเขา กวินท์ก็หูอื้อตาลาย คลื่นความสุขอันหวานแหลมวิ่งปราดจากศีรษะจรดปลายเท้าในชั่วอึดใจ

เด็กหนุ่มถึงจุดสุดยอดในเวลาเพียงไม่ถึงสองนาที...ด้วยรูปของเพื่อนชายที่กำลังช่วยตัวเอง นี่เป็นสถิติใหม่ที่กวินท์ต้องจำไว้ขึ้นใจเลยทีเดียว



++------++



พวกเขาอายุเท่ากัน กวินท์จำได้เลาๆ ว่าเขาน่าจะแก่เดือนกว่านฤชานิดหน่อย แต่ก็จำไม่ได้ว่ากี่เดือนแน่

ตอนที่นฤชาย้ายมาโรงเรียนของเขาตอน ม.3 เทอมสอง เด็กหนุ่มสายตาสั้นมากจนต้องสวมแว่นหนาเตอะตลอดเวลา รูปร่างหรือก็ผอมเหมือนคนขาดสารอาหาร แต่เนื่องจากเป็นคนฉลาดหัวไวจึงทำให้อาจารย์เอ็นดู พวกเพื่อนๆ ผู้หญิงก็ชอบเพราะเจ้าตัวไม่หวงความรู้เวลาถูกถามการบ้าน ความที่ฝ่ายนั้นอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงเสมอทำให้เข้ากับพวกผู้ชายในห้องไม่ค่อยได้ หลายครั้งหลายคราที่โดนล้อว่าเป็นตุ๊ดถึงแม้จะไม่ได้ทำตัวกรีดกราย แต่เมื่อไหร่ที่มีคนล้อนฤชา พวกผู้หญิงในห้องก็จะออกโรงมาปกป้องกันประหนึ่งแม่นกปกป้องลูกนกเสมอ ทำเอาหมอนั่นยิ่งโดนเพื่อนผู้ชายหมั่นไส้เข้าไปใหญ่

พวกเขามาแยกห้องกันตอนขึ้น ม.ปลายเพราะทางโรงเรียนกำหนดให้ต้องสอบวัดคะแนนและเลือกแผนการเรียน นฤชาที่เลือกสายวิทย์และทำข้อสอบได้คะแนนสูงลิ่วถูกจัดเข้าห้องคิงโดยปริยาย ส่วนกวินท์ที่เลือกสายศิลป์คำนวนนั้นสอบได้คะแนนที่เรียกว่าคาบเส้น ถ้าไม่ได้โควต้าศิษย์เก่าช่วยไว้ก็อาจจะต้องระเห็จไปเรียนที่อื่นแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะอย่างนี้ พวกเขาสองคนจึงยิ่งเหมือนอยู่กันคนละโลกเข้าไปอีก

หลังจากปิดเทอมใหญ่จบลงและทุกคนได้พบหน้าเพื่อนๆ ในวันแรกของชีวิตมัธยมปลาย นฤชาก็ทำให้เพื่อนเก่าพากันประหลาดใจโดยถ้วนหน้า เพราะว่าภาพของเด็กผอมแกร็นแว่นหนาถูกแทนที่ด้วยกล้ามเนื้อเพรียวกระชับและใบหน้าเกลี้ยงเกลาจากการใส่คอนแท็คต์เลนส์ ผมที่ยาวขึ้นเพราะตัดรองทรงต่ำช่วยขับให้ใบหน้ารูปไข่ยิ่งชวนมอง เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีใครจำภาพเด็กเนิร์ดที่มักถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาเจ้าแม่ตอน ม. 3 ได้สักคน เพราะตอนนี้พวกผู้หญิงต่างก็อยากจะเข้าใกล้นฤชาเพราะบุคลิกที่ดูดีและมันสมองชั้นหัวแถวของโรงเรียนมากกว่า

ถ้าหากนับจากตอนที่รู้จักกันครั้งแรกก็เกือบจะสองปีแล้ว ว่าแต่พวกเขาเคยคุยกันเกินสามประโยครึเปล่านะ...

กวินท์คิดขณะเตะบอลส่งให้เพื่อนในสนามหลังกินข้าวกลางวันเสร็จ นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วตั้งแต่เขาเก็บไมโครเอสดีการ์ดได้และได้เห็นอัลบั้มภาพในนั้น ตอนแรกเขาก็เคยคิดเหมือนกันว่าจะเอาคืนให้นฤชายังไงดีถึงจะไม่อิหลักอิเหลื่อ เพราะถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ได้สนิทกัน แต่ถ้าฝ่ายนั้นรู้ว่าเขาเห็นรูปในอัลบั้มแล้วก็คงมองหน้ากันไม่ติดแน่

ว่าแต่...สรุปแล้วหมอนั่นคงจะชอบผู้ชายจริงๆ สินะ แถมดูจากในรูปแล้วก็ท่าทางจะอยากเป็นฝ่ายโดนทำซะด้วยสิ...

"เฮ่ย! ไอ้กอล์ฟ! มึงเตะบอลไปไหนวะ!!"

"ว้าย!"

เสียงตะโกนของเพื่อนและเสียงกรี๊ดจากนักเรียนหญิงแถวขอบสนามฉุดสติของกวินท์กลับมา เขามองตามทิศทางที่ตนเพิ่งเตะบอลไปและพบว่ามีเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังรุมล้อมใครสักคน จึงรีบวิ่งหน้าเริดเข้าไปดูเพราะกลัวว่าจะเป็นอาจารย์

"ขอโทษครับ! เป็นอะไรรึเปล่า?"

เสียงท้ายประโยคของเด็กหนุ่มหายลงไปในคอเมื่อเห็นว่าคนที่พวกนักเรียนหญิงกำลังช่วยกันประคองคือนฤชา สายตาหลายคู่ที่จ้องมายังเขาอย่างทิ่มแทงทำเอากวินท์อยากจะขุดรูหนี แต่นั่นก็ยังไม่กรีดหัวใจเท่าแววตาตัดพ้อจากคนที่โดนฤทธิ์ลูกบอลของเขาเข้าไปจนตัวงอ

"ไม่เป็นอะไร..."

"ว้าย! โดนลูกบอลอัดเข้าไปแรงขนาดนั้นจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง! ไปห้องพยาบาลดีกว่านะโน้ต!"

"จริงด้วย อย่าเพิ่งขึ้นห้องเลย เดี๋ยวพวกเรานั่งเป็นเพื่อนจนกว่าโน้ตจะหายจุกก็ได้"

“โน้ตเดินช้าๆ นะ ไม่ต้องรีบหรอกจ้ะ”

อู๊ยยยยยย ยายพวกนี้เป็นเพื่อนหรือเป็นแม่วะ!? กวินท์คิดแม้ว่าในใจจะรู้สึกผิด เขามองคนที่เดินเอามือกุมท้องไปยังม้านั่งขอบสนามอย่างช้าๆ แล้วก็หันไปเตะบอลส่งให้เพื่อนๆ ก่อนจะแหวกพวกผู้หญิงเข้าไปหานฤชาที่นั่งอยู่ตรงกลาง

"ไปห้องพยาบาลกัน ไหนๆ เราเป็นคนทำก็ต้องรับผิดชอบ ยังเดินไหวใช่รึเปล่า?"

กวินท์ถามพลางยกแขนข้างหนึ่งของนฤชาขึ้นพาดบ่า อีกฝ่ายกะพริบตาปริบขณะมองเขาด้วยแววตางุนงง พลันเสียงออดเข้าเรียนภาคบ่ายก็ดังขึ้น นฤชาจึงหันไปหาเพื่อนๆ ที่ต่างกำลังมองมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง

"ทุกคนขึ้นไปเรียนเถอะ ฝากบอกอาจารย์ก็แล้วกันว่าเราอาจตามไปช้าหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงนะ"

เอ่ยจบแล้วคนพูดก็ยิ้มหวานให้พวกสาวๆ แต่กวินท์เห็นแล้วกลับคันยุบยิบในหัวใจพิกล จึงหันไปตะโกนบอกเพื่อนๆ บ้างว่าจะพาคนเจ็บไปห้องพยาบาล จากนั้นก็พยุงนฤชาออกเดินด้วยความระมัดระวังที่สุดเพราะกลัวอีกฝ่ายจะกระเทือน

หมอนี่...ตัวอุ่นจัง...ผมก็หอม...ใช้แชมพูกลิ่นผลไม้เหรอ...

ส่วนสูงของทั้งคู่ไม่ได้ต่างกันมากแม้ว่านฤชาจะผอมเพรียวกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นทำให้กวินท์ลอบหันไปสูดกลิ่นแชมพูจากเรือนผมของอีกฝ่ายได้อย่างถนัดถนี่ แต่ไม่นานก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ คนที่เอาแต่เดินกุมท้องเงียบๆ ก็เอ่ยขึ้น

"แค่จุกนิดหน่อย ไม่ได้ขาหัก เดินช้าอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะถึงห้องพยาบาล?"

"เอ่อ...ก็จริง โทษทีลืมไป"

นัยน์ตาวาวๆ ของคนที่เขาแอบหอมผมไปหลายทีทำให้กวินท์ต้องยอมเร่งฝีเท้า พอเดินไปถึงห้องพยาบาลเขาก็ผลักประตูเข้าไปด้านใน แต่เมื่อเห็นว่าอาจารย์ประจำห้องพยาบาลไม่อยู่ก็เลยพานฤชาไปนั่งที่เตียง

"งั้นเดี๋ยวรออาจารย์มาก่อนก็แล้วกัน นี่หายจุกมั่งรึยัง?"

กวินท์ย่อตัวลงถามอย่างเป็นห่วง คนที่ยังนั่งตัวงอเล็กน้อยเพียงแต่ส่ายหน้าเบาๆ

"ก็ยังเจ็บนิดหน่อย แต่นายนี่ฝีเท้าแรงเอาเรื่องนะ เมื่อกี้เราถึงกับล้มลงบนพื้นเลย"

ทั้งที่คำพูดเอาเรื่องแต่กลับมีแววยั่วล้อในน้ำเสียง แถมริมฝีปากของคนที่ช้อนสายตาขึ้นมองเขายังผุดรอยยิ้มให้เห็นจางๆ ทำเอากวินท์ตาพร่าพรายไปหมด

หมอนี่...ยิ้มให้เรา...แถมยัง...นั่งอยู่บนเตียงด้วย...

"เฮ้ย! กอล์ฟเป็นอะไร!? เลือดกำเดาไหลโจ๊กเลย!"

"หา!?"

กวินท์ยกมือขึ้นกุมจมูกด้วยความตกใจ ส่วนคนที่นั่งอยู่บนเตียงรีบกระโดดลงมาดันเขาขึ้นไปนอนแทน จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้เขาซับเลือด

"เป็นอะไรรึเปล่า? ทำไมจู่ๆ ก็เลือดกำเดาพุ่งอย่างนั้นล่ะ?"

"เอ่อ...ไม่รู้ดิ สงสัยอากาศร้อนมั้ง"

เด็กหนุ่มตอบพลางยิ้มแหยๆ ขณะเดียวกันอาจารย์ประจำห้องพยาบาลก็เปิดประตูเข้ามา พอเห็นกวินท์นอนเลือดกำเดาไหลจึงมาช่วยดูแลต่อและให้นฤชากลับไปเรียน เขาจึงได้แต่มองตามคนที่เดินออกไปตาละห้อย ตกลงว่านี่ใครพาใครมาให้อาจารย์ช่วยรักษากันแน่ แล้วทำไมคนที่ตอนแรกยังเดินตัวงอๆ เหมือนเจ็บท้องถึงเดินปร๋อได้ไวแบบนั้นล่ะ

ว่าแต่...เมื่อกี้หมอนั่นเรียกชื่อเขาใช่ไหมนะ?



++------++



"เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะกอล์ฟ ตั้งแต่กลับมาจากห้องพยาบาลก็ยิ้มเอาๆ กูเห็นแล้วขนลุก"

"เออ รอยเลือดแม่งก็เปรอะเต็มเสื้อ ใครไม่รู้มาเห็นคงนึกว่าแม่งไปปาดคอใครมา"

"ถ้าพวกมึงเงียบมั่งกูก็ไม่ด่าว่าใบ้นะ คนกำลังอารมณ์ดีๆ ทำเสียมู้ดหมด"

พวกเพื่อนๆ ทำหน้าเหวอหลังได้ยินสิ่งที่กวินท์พูด แต่ก็แซวต่อไม่ได้เพราะอาจารย์หันมาเขม่นเมื่อพบว่าเจ้าพวกลิงหลังห้องไม่ตั้งใจฟังสิ่งที่สอน จึงรีบพากันก้มลงทำท่าสนใจโคลงกลอนของสุนทรภู่ในหนังสือ แต่กวินท์กลับเอาแต่ยิ้มด้วยความครึ้มอกครึ้มใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องพยาบาลก่อนที่เขาจะกลับขึ้นมาเรียนภาคบ่าย

ปัญญาอ่อนชิบเป๋งเลยกู ทำไมแค่โดนจำชื่อได้จะต้องดีใจขนาดนี้ด้วยวะ...

หลังจากเลิกเรียนแล้วกวินท์ก็นั่งรถเมล์กลับบ้าน พอแม่เห็นเสื้อเขาและได้รู้สาเหตุที่มีรอยเลือดเลอะเทอะก็บ่นซะเด็กหนุ่มหูแทบไหม้ เขารีบถอดเสื้อกับส่งผ้าเช็ดหน้าให้แม่ซักแล้วก็ขึ้นห้องล็อคประตู จากนั้นก็ไม่ลืมเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อดูอัลบั้มรูปของนฤชาเช่นที่ทำจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน

แต่วันนี้กวินท์พบว่าเขาไม่เกิดอารมณ์กับรูปพวกนั้นอีกแล้ว

เด็กหนุ่มหวนนึกไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ ทั้งตอนที่ได้เข้าไปช่วยพยุงนฤชาไปห้องพยาบาล ทั้งกลิ่นผมและกลิ่นตัวหอมๆ ที่ได้สูดยามอยู่ใกล้ น้ำเสียงหยอกล้อและรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้เขา พอนึกถึงตัวจริงของคนในภาพ กวินท์ก็ไม่อยากใช้รูปพวกนี้เป็นเครื่องมือในการบำบัดความใคร่อีก

พอกันทีความสุขอันว่างเปล่ากับภาพที่จับต้องไม่ได้ เขาอยาก...สนิทสนมกับหมอนั่นมากกว่านี้ แล้วก็อยากเห็นรอยยิ้มแบบที่ได้รับวันนี้บ่อยๆ มากกว่า

เขายังจำท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของนฤชาตอนที่เห็นเขาเลือดกำเดาไหลได้ดี สีหน้าตื่นตกใจเช่นนั้นทำให้กวินท์ยิ้ม คลื่นความอบอุ่นอันไม่คุ้นเคยไหลเวียนในอกอย่างเข้มข้น และแล้วท่ามกลางความรู้สึกอ่อนหวานที่เอ่อท้นในใจ เขาก็คิดตกถึงเรื่องที่ควรจะทำมาตั้งแต่วันแรกที่เก็บไมโครเอสดีการ์ดแผ่นนี้ได้เสียที



++---TBC---++



A/N: เนื่องจากอยากเขียนเรื่องสั้นที่ไม่ใช่ตอนพิเศษจากเรื่องอื่นบ้าง แล้วก็เขียนแนวที่ฉีกจากตัวเองมากๆ ไปเลยคือคอมิดี้วัยมัธยมดูมั่งค่ะ ตั้งใจให้อ่านแล้วเบาสมอง + มีอารมณ์กิ๊วก๊าวสมวัยใส เรื่องนี้จะมีสองตอนจบนะคะ ขออภัยที่คำหยาบคายเยอะไปนิด เพราะอยากให้อ่านแล้วได้ฟีลเด็ก ม.ปลายจริงๆ น่ะค่ะ ><




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2557 20:28:09 น.
Counter : 4283 Pageviews.  

[เรื่องสั้น] Let the New Chapter Begin

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++



เรื่องสั้นส่งท้ายปี - Let the New Chapter Begin

“คุณเหมคะ พรุ่งนี้เดดไลน์สำหรับส่งของขวัญปีใหม่ให้กรรมการนะคะ”

หิรัญเงยหน้าจากกองเอกสารเมื่อเลขาฯ ของตนเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะ หนุ่มใหญ่ขมวดคิ้วนิดหนึ่งก่อนจะดันแว่นขึ้น

"หือ? งานเลี้ยงปีใหม่ของออฟฟิศมันจัดวันไหนนะ?"

"วันศุกร์นี้แล้วค่ะ ตอนนี้กรรมการจัดงานเลยอยากได้ของขวัญจากทุกคนให้ครบไวๆ เพราะต้องไปเตรียมทำสลากอีก หรือคุณเหมจะให้พลอยไปซื้อให้ก็ได้นะคะ"

"เอ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวเย็นนี้ผมไปซื้อเองก็ได้ ระดับไดเร็คเตอร์ต้องซื้อของขวัญราคาเท่าไหร่นะ?"

ถึงแม้จะทำงานที่บริษัทนี้มาตั้งแต่เรียนจบ ไต่เต้าตามลำดับมาเรื่อยจนกระทั่งได้เป็นไดเร็คเตอร์ของฝ่ายขายในวัยสี่สิบสี่ปี แต่สิ่งหนึ่งที่หิรัญไม่เคยเปลี่ยนคือไม่เคยจดจำรายละเอียดของสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับงาน กิจกรรมภายในบริษัทก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เขามักจะมองข้าม โชคดีที่ทิวาพรซึ่งเป็นเลขาฯ ชินแล้วจึงมักจะคอยมาเตือน

"ระดับไดเร็คเตอร์ของขวัญราคาหนึ่งพันห้าร้อยบาทค่ะ อ้อ แล้วก็งานจัดที่โรงแรมแกรนด์แอนเน่นะคะ"

"โอเค เอ้อพลอย...ได้เจอกับ...ปรานต์บ้างไหม?"

หญิงสาวซึ่งกำลังจะเดินออกไปหันมามุ่นคิ้วเล็กน้อย "ปรานต์น่ะเหรอคะ? ไม่เลยค่ะ คงช่วยงานที่บ้านยุ่งอยู่มั้งคะ"

"เหรอ...งั้นก็ช่างเถอะ เดี๋ยวฝากบอกแม่บ้านให้เอาชาร้อนมาให้ผมหน่อยนะ รู้สึกเหมือนเจ็บคอ"

"ได้ค่ะ เดี๋ยวพลอยบอกให้"

ลับหลังลูกน้องสาว หิรัญก็ระคายคอจนต้องไอออกมา เขาเปิดลิ้นชักหยิบยาอมออกจากซองมาอมเม็ดหนึ่งก่อนจะเก็บซองยัดเข้าที่เดิม ปล่อยให้รสหวานของชะเอมซ่านไปทั่วทั้งช่องปากเพื่อระงับอาการระคายคอ เขาเป็นคนไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศมาแต่ไหนแต่ไร บวกกับเวลาทำงานก็จะทุ่มเทเต็มที่จนไม่ค่อยพักผ่อน ปีหนึ่งๆ จึงมักไม่สบายอยู่บ่อยครั้ง

ไม่นานแม่บ้านก็นำชาร้อนให้ก่อนจะเดินออกไป หิรัญยกชาขึ้นจิบแล้วก็ได้ยินเสียงคุยจ้อกแจ้กจากพนักงานที่เดินผ่านหน้าห้องไปเป็นกลุ่มๆ เมื่อเหลือบมองนาฬิกาจึงรู้ว่าถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว เขาลุกเดินไปปิดประตูห้องก่อนจะกลับมานั่งที่เก้าอี้แล้วถอดแว่นออกวางบนโต๊ะ จากนั้นก็ยกมือนวดขมับพลางหลับตาลง


"คุณเหมน่าจะหาเวลาไปพักผ่อนบ้างนะครับ"


เสียงทุ้มนุ่ม มีจังหวะจะโคนที่พอเหมาะพอดีในการถ่ายทอดคำพูด แต่ขณะเดียวกันก็แฝงแววตำหนิหากคนฟังตั้งใจจับสังเกตดังขึ้นในหัวของหิรัญอีกครั้ง เขาปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ พลางมองไปยังเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ปรานต์เคยนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น และก็เป็นผู้เอ่ยประโยคนี้กับเขาเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

ตอนนั้นพวกเขาคุยกันเรื่องอะไรถึงทำให้หมอนั่นพูดแบบนี้นะ? รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีใช่ไหม?



"หมายความว่ายังไงหรือปรานต์ เดี๋ยวหยุดปีใหม่ผมก็ได้พักอยู่แล้ว"

"ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมหมายถึงพักผ่อนแบบที่ไปเที่ยวไกลๆ จะต่างจังหวัดหรือต่างประเทศก็ได้ ผมแทบไม่เคยเห็นคุณเหมใช้วันลาหยุดเลย"

หิรัญเลิกคิ้วพลางมองพนักงานฝ่ายขายที่เป็นลูกน้องเขามาได้สองปี จากนั้นก็เหลือบตาลงมองเอกสารประเมินผลการปฏิบัติงานตามเดิม

"ไม่จำเป็นหรอก ถึงยังไงปีนึงก็ต้องไปประชุมที่ต่างประเทศบ่อยๆ อยู่แล้ว แล้ววันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็มี อีกอย่างนะ ตอนนี้มาคุยกันเรื่องผลประเมินปีนี้ของคุณก่อนดีกว่า"

"เพราะว่าไม่มีคนไปเที่ยวด้วยแล้วเหรอครับ? คุณเหมถึงได้บ้างานขนาดนี้"

ประโยคนั้นจี้ใจดำจนหิรัญเจ็บแปลบในอก เขาเหลือบมองลอดแว่นไปยังคู่สนทนาพร้อมกับเอ่ยอย่างไม่พอใจ

"จะเพราะเหตุผลอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ ถ้าหากยังไม่เลิกก้าวร้าวผมอาจต้องเขียนเรื่องพวกนี้ลงในใบประเมินด้วยนะ"

หิรัญเพิ่งหย่ากับภรรยาไปเมื่อต้นปี มันไม่ใช่ความลับแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเที่ยวโพนทะนาให้ใครฟัง แต่กำแพงมีหูประตูมีช่องฉันใด เรื่องที่เขาปรับทุกข์กับผู้บริหารด้วยกันก็หลุดไปถึงหูคนอื่นได้ฉันนั้น

ถึงแม้จะรู้ตัวดีว่าหลายปีมานี้เขาค่อนข้างละเลยภรรยาเพราะต้องการสร้างฐานะให้มั่นคง กระนั้นการที่เธอให้เหตุผลในการขอหย่าว่าเพราะกำลังคบใครบางคนที่พร้อมจะใส่ใจเธอมากกว่าเขามาเป็นปีที่สามแล้วก็ทำให้หิรัญเสียศูนย์ไปไม่น้อย และเขาไม่ต้องการให้ใครฟื้นฝอยเรื่องนี้ให้กระทบรอยแผลในใจอีก

ดวงตาสองคู่ของชายหนุ่มต่างวัยจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมถอย การเป็นหัวหน้าของปรานต์มาสองปีทำให้หิรัญคุ้นเคยกับบุคลิกที่ดูอ่อนน้อมแต่ก็ตรงไปตรงมาของลูกน้องคนนี้ ตรงจนบางครั้งเขาคิดว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เห็นเป็นเพียงหน้ากากบังหน้าความหัวรั้นเสียมากกว่า

"ผมพูดแบบนี้เพราะคุณเหมเป็นคนสำคัญนะครับ"

"ขอบคุณ เพราะเป็นคนสำคัญนี่แหละผมถึงไม่อยากหยุดงานให้กระทบบริษัท เอาล่ะ เกี่ยวกับข้อที่คุณใส่มาเรื่องยอดขายของคุณในปีนี้..."

"ไม่ใช่ ผมหมายถึงคุณเหมเป็นคนสำคัญสำหรับผม"

เกิดความเงียบดุจสุญญากาศขึ้นในห้องประจำตำแหน่งของหิรัญ หนุ่มใหญ่วัยกลางคนเลิกคิ้วสูงทั้งที่สองมือยังจับกระดาษนิ่ง นัยน์ตาดำจับจ้องตัวหนังสือบนกระดาษขณะที่ในหัวสมองว่างเปล่า

"อะไรนะ?" เขาถามทั้งที่สองตายังคงไม่เหลือบขึ้นมองคนพูด

"ผมพูดว่าคุณเหมเป็นคนสำคัญของผม ผมมองคุณตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานแต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้คุณหย่าแล้ว ผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังความรู้สึกอีก"

ตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานก็แปลว่าเมื่อสองปีก่อน...ตั้งแต่หมอนี่ยังอายุแค่ยี่สิบหก? เจ้าเด็กนี่เสียสติหรือเปล่า?

หางคิ้วของหิรัญกระตุกเมื่อจู่ๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมโต๊ะมายืนข้างเก้าอี้ของเขา ความจริงแล้วเขาเองก็จัดได้ว่าเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเพราะสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่ปรานต์ที่น่าจะสูงเท่ากันหรือมากกว่าเพียงสองถึงสามเซนติเมตรนั้นก็ยังเป็นต่อในด้านความกำยำของวัยหนุ่ม

"ถ้าหากจะล้อเล่นก็ให้มันมีขอบเขตบ้างนะปรานต์"

ผู้สูงวัยกว่าเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง เขาพยายามไม่เอนตัวหนีแม้เมื่อคู่สนทนาจะเท้าแขนทั้งสองคร่อมเขาไว้แล้วก้มหน้าลงมาใกล้ นัยน์ตาของทั้งคู่ยังคงประสานกันอย่างไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี

"ผมนึกว่าคุณจะรู้จักผมมากพอที่จะรู้ว่าผมไม่ชอบล้อเล่น คุณคิดว่าการสารภาพรักกับคนที่อายุมากกว่าแถมเป็นเจ้านายด้วยมันง่ายเหมือนโทรไปนัดลูกค้าหรือไง?"

ไม่ง่ายหรอก ทำไมเรื่องแค่นี้เขาจะไม่รู้ ในเมื่อครั้งหนึ่งเขาก็เคยขอความรักจากหญิงสาวที่อายุมากกว่าห้าปีมาแล้วเหมือนกัน ถึงแม้วันนี้เธอจะทิ้งชีวิตคู่ที่เคยมีร่วมกับเขาให้เป็นอดีตก็ตาม

"คุณโตมากับแม่แค่สองคนใช่มั้ย? บางทีคุณอาจแค่เข้าใจผิดเพราะคิดถึงพ่อก็ได้"

นัยน์ตาที่กำลังจ้องเขาหรี่ลงพร้อมรังสีของความไม่พอใจที่สาดออกมาอย่างเต็มขั้น "ถ้าแค่เข้าใจผิดเพราะมองว่าคุณเป็นเหมือนพ่อ ผมคงไม่อยากทำแบบนี้กับคุณหรอก"

หิรัญไม่มีเวลาตั้งตัวเมื่อถูกกระชากเนคไทจนเซไปข้างหน้า เขาเบิ่งตากว้างด้วยความช็อกเมื่ออีกฝ่ายทาบริมฝีปากลงประกบบนริมฝีปากของตัวเอง ความตกใจทำให้ร่างกายแข็งเกร็งจนกระทั่งรับรู้ถึงสัมผัสจากปลายลิ้นที่พยายามจะรุกล้ำผ่านกลีบปาก เขาจึงได้สติและพยายามผลักร่างที่คร่อมอยู่ออก

"ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!! นี่เป็นบ้าไปแล้วรึไง!?"

"คนที่บ้ามันคุณต่างหาก! หย่าแล้วยังจะใส่แหวนอยู่อีก! จะฝังตัวเองกับอดีตไปถึงไหน!!"

ปรานต์ดึงมือซ้ายของหิรัญอย่างแรง และก่อนที่เจ้าของมือจะทันได้โต้ตอบ แหวนทองคำเกลี้ยงบนนิ้วนางข้างซ้ายก็ถูกรูดออกอย่างรวดเร็วก่อนที่ปรานต์จะเขวี้ยงมันออกไปนอกหน้าต่าง

"นายทำบ้าอะไรน่ะ!!?"

หิรัญลุกพรวดไปข้างหน้าต่างแล้วยืดตัวมองออกไป ใบหน้าซีดเผือดเพราะรู้ว่าพื้นที่ด้านหลังอาคารกำลังมีการตอกเสาเข็มเตรียมก่อสร้างคอนโดมิเนียม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เมื่อของชิ้นเล็กๆ เช่นแหวนหล่นลงไปในบริเวณนั้นแล้วจะมีใครหาเจอ

"คุณควรเลิกคิดถึงคนที่ทิ้งคุณไป แล้วก็มองคนที่อยู่ตรงหน้าคุณได้แล้ว!"

ประโยคนั้นไม่ต่างจากน้ำมันเดือดจัดที่ราดรดบนหัวใจ หิรัญหันกลับไปเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ใบหน้าของปรานต์อย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทันที เสียง 'พลั่ก!' เพราะชายหนุ่มถูกต่อยจนกระแทกผนังเรียกความสนใจจากคนนอกห้องให้วิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะพากันร้องอย่างตกใจแล้วเข้ามาช่วยแยกเขาออกจากปรานต์ซึ่งไม่มีทีท่าจะโต้ตอบเลยสักนิด

"คุณเหม! พอเถอะครับ! เฮ้ย! ใครก็ได้ช่วยพาปรานต์ออกไปที!"




หิรัญยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่เคยลืมเลือน เพราะนึกถึงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะรู้สึกเจ็บแปลบที่มือเหมือนเพิ่งต่อยปรานต์ไปหมาดๆ ทุกครั้ง หลังจากที่เกิดเรื่องนั้นมีคนพาชายหนุ่มไปโรงพยาบาล ส่วนเขาต้องแต่งเรื่องไปนั่งอธิบายให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลฟังโดยปกปิดเนื้อหาส่วนที่ปรานต์สารภาพความรู้สึกกับเขาไว้ ซึ่งไม่ง่ายเลยกว่าจะโน้มน้าวอีกฝ่ายให้เชื่อและเลิกสอบสวนเขาได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ปรานต์ถูกสั่งพักงานทันทีเนื่องจากคณะผู้บริหารเห็นแก่หน้าหิรัญ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อปรานต์ส่งจดหมายขอลาออกมาให้เขาเซ็นรับทราบ เมื่อสอบถามกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลก็ได้รู้ว่าเพราะชายหนุ่มมีกิจการที่ต้องกลับไปสืบทอดเนื่องจากมารดาล้มป่วย

เท่านี้เองเหรอ...มาทำให้คนอื่นเจ็บใจแทบตายแล้วก็หนีไปรักษาแผลในที่ปลอดภัย ทิ้งให้เขาต้องสับสน ผิดหวังและไม่เข้าใจกับเรื่องที่ตัวเองมาจุดประเด็นไว้ให้เพียงคนเดียว

ตอนนั้นหิรัญลงชื่อในเอกสารโดยไม่คิดจะโทรไปถามไถ่คู่กรณีเลยสักคำ ความโกรธเป็นดั่งกำแพงทิฐิหนาที่ขวางกั้นเขาไม่ให้เป็นฝ่ายติดต่อไปก่อน ถึงแม้จะตระหนักว่าตนเป็นผู้ใหญ่กว่าและควรจะเป็นฝ่ายให้อภัย แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้...เขาก็มองไม่เห็นเหตุผลที่จะโทรไปเพื่อปรับความเข้าใจอีกแล้ว

ปล่อยไปก็ดีเหมือนกัน หมอนั่นยังหนุ่มยังแน่นแถมยังมีอนาคต ส่วนเรื่องที่มาสารภาพรักกับเขาก็คงเป็นแค่ความผิดพลาดครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่นานก็คงจะถูกลืม

ส่วนเขาเอง...ก็ควรจะใช้ชีวิตเพื่อเดินต่อไปข้างหน้าเช่นกัน...



++------++



และแล้ววันงานเลี้ยงปีใหม่ก็มาถึง

เนื่องจากงานครั้งนี้จัดในโรงแรมมีระดับ เหล่าพนักงานจึงแต่งองค์ทรงเครื่องกันมาอย่างไม่มีใครยอมใคร หลังจากแต่ละคนลงทะเบียนแล้วก็เดินเข้าไปนั่งตามโต๊ะที่จัดไว้ในห้อง

ค่ำคืนของงานเลี้ยงผ่านไปอย่างรื่นเริงด้วยเสียงดนตรีและการแสดงจากเหล่าพนักงาน หลังจากผ่านช่วงสำคัญซึ่งก็คือการจับสลากแลกของขวัญแล้วก็ยังมีการแสดงต่ออีก แต่ว่าหิรัญเริ่มรู้สึกเบื่อจึงลุกเดินออกไปด้านนอก

โรงแรมแกรนด์แอนเน่นี้เดิมเป็นที่ตั้งของโรงแรมที่ค่อนข้างเก่าแก่ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการเทคโอเวอร์โดยเจ้าของใหม่ โดยนอกจากจะเปลี่ยนชื่อโรงแรมแล้วก็ยังทำการปรับปรุงทุกอย่างใหม่หมด อาคารเก่าบางส่วนถูกรื้อถอนเพื่อทำเป็นสวนหย่อมและลานจอดรถ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสต่อกับปีใหม่เช่นนี้ก็มีการแขวนไฟประดับในโทนสีเย็นสบายตา หิรัญเห็นว่าสวนหย่อมดูสงบดีและไม่มีใครจึงเข้าไปเดินเล่น

สายลมยามค่ำพัดผ่านยอดไม้จนเกิดเสียงดังซู่ซ่า ไฟดวงจิ๋วๆ ที่แขวนประดับตามกิ่งไม้ไหวกระเพื่อมจนทำให้ดูราวกับมีฝูงหิ่งห้อยเรืองแสงเกาะกลุ่มกัน หนุ่มใหญ่สูดหายใจเข้าเต็มปอดแม้จะรู้ว่าต้นไม้คายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในยามค่ำ แต่มันก็ยังให้กลิ่นอายที่สดชื่นกว่ากลิ่นน้ำหอมสังเคราะห์ในห้องจัดเลี้ยงมากนัก

"งานเลี้ยงไม่สนุกเหรอครับ?"

เสียงที่ลอยมาจากมุมหนึ่งในเงามืดทำให้คนถูกทักสะดุ้ง หิรัญหันไปทางต้นเสียงและพยายามมองหาว่าคนถามอยู่ไหน แต่แล้วเมื่อเห็นโครงร่างอันคุ้นตาซึ่งยืนอยู่ในมุมสลัวใต้ต้นไม้ที่ริมสวน หัวใจที่เต้นรัวเพราะความตกใจเมื่อครู่ก็ค่อยผ่อนแรงลง เขาล้วงสองมือลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะยักไหล่

"เปล่า ก็เหมือนทุกปี"

"ฟังดูเหมือนน่าเบื่อนะครับ"

หิรัญเบนสายตาไปทางอาคารของห้องจัดเลี้ยง น่าเบื่องั้นหรือ...ก็อาจจะใช่ เขาทำงานกับบริษัทนี้มานาน สนิทสนมคุ้นเคยดีกับผู้บริหารทุกระดับและพนักงานทุกแผนก เกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของชีวิตเขาทุกวันนี้ถูกทุ่มให้กับงานทั้งที่มองไม่เห็นเป้าหมายอีกแล้วว่าทำเพื่อใคร แต่มันอาจยังเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขามีจุดประสงค์ในการตื่นนอนและใช้ชีวิตในแต่ละวัน และไม่ทำให้เขาเป็นโรคประสาทเพราะความว้าเหว่จากการอยู่คนเดียวก็เป็นได้

"...เข้าไปสิ หลายคนน่าจะดีใจที่เห็นนายมาร่วมงานเลี้ยง"

ร่างในเงามืดก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงจุดซึ่งสว่างพอที่จะเอื้อให้หิรัญเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ สายตาของคนวัยสี่สิบกว่าไม่ได้เฉียบคมเหมือนสมัยที่เขายังหนุ่มแน่นอีกแล้ว

"ผมไม่ได้อยากมาหาพวกเขา คนที่ผมอยากเจอมีแค่คนเดียว แล้วเขาก็ยืนอยู่ตรงนี้"

ท่ามกลางไอเย็นของอากาศในยามค่ำคืน กระแสความอบอุ่นสายหนึ่งลอยตามลมมาพร้อมเสียงของคนพูดและโอบล้อมหิรัญไว้ กระแสความอบอุ่นนั้นราวจะแทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจของเขาที่ถูกน้ำแข็งห่อหุ้มนับจากวันที่แยกทางจากภรรยา

ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะทิฐิ ความรู้สึกอยากชดเชย หรือความเหนื่อยล้าในใจกันแน่ที่ทำให้ยอมมองดูเธอจากไปโดยไม่เหนี่ยวรั้ง มาถึงตอนนี้ เขาตระหนักแล้วว่าเป็นเพราะต่อให้สามารถดึงเธอเอาไว้ได้สำเร็จ เขาก็คงทำให้เธอต้องเจ็บช้ำเพราะถูกลากกลับเข้ามาในวงจรเดิมๆ อย่างแน่นอน

"ลุงอายุสี่สิบกว่าที่บ้างานมันมีอะไรน่าหลงใหล ขนาดเมียที่แต่งกันมาเกือบยี่สิบปียังขอหย่าได้ แล้วกับคนที่อายุอ่อนกว่าเกินรอบแถมยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก...มองยังไงก็มีแต่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเห็นๆ"

หิรัญไม่ใช่คนเชี่ยวชาญในเรื่องความรัก ตอนที่หลงรักหญิงสาวซึ่งต่อมาจะเป็นภรรยานั้นก็เริ่มต้นจากรักข้างเดียว เขามุ่งมั่นจนกระทั่งเธอยอมหันมามองเขาและตอบตกลงแต่งงานในที่สุด แต่กลับเป็นเขาเองที่รักษาดวงใจเอาไว้ไม่ได้ การสูญเสียรักแรกและรักเดียวในชีวิตไปทำให้เขาไม่มั่นใจว่าตนมีคุณสมบัติจะเริ่มใหม่ในอายุเท่านี้

"ผมโดนหาว่าเป็นพวกชอบแหกคอกมาตั้งแต่เด็กแล้ว อะไรที่คนอื่นไม่คิดจะทำผมก็อยากทำ อะไรที่คนอื่นไม่เห็นค่าผมก็อยากได้ เพราะนั่นแปลว่าผมจะได้เป็นเจ้าของพร้อมสิทธิ์ขาดเพียงคนเดียว"

เสียงพูดนั้นดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเสียงฝีเท้าบนผืนสนามหญ้าที่ดังชัดเจนขึ้นจากด้านหลัง เสียงลมหายใจที่ลอยเข้าหูบอกให้หิรัญรู้ว่าคนในเงามืดก้าวออกมาถึงจุดที่เขาสามารถเอื้อมมือถึงแล้ว

"ความขบถของวัยหนุ่มสินะ"

"ความยึดมั่นของคนที่มีความรักต่างหาก คุณเหม..."

เสียงที่เรียกชื่อเขาแกว่งเล็กน้อยเมื่ออ้อมแขนอุ่นยื่นมาโอบกอดจากด้านหลัง รั้งร่างของเขาให้อยู่ในอ้อมกอดของปรานต์อย่างง่ายดาย ปลายจมูกโด่งที่ตรงกับใบหูของเขาพอดีโน้มลงคลอเคลียบนเส้นผมขณะที่แผ่นหลังของเขาแนบชิดกับแผงอกแกร่ง

"ผอมลงอีกแล้วใช่มั้ยครับ?"

"ไม่เจอกันแค่เดือนกว่า จะผอมลงได้แค่ไหนกันเชียว"

หิรัญเอ่ยพลางหันหน้าไปอีกทาง เขาไม่ได้รังเกียจความรู้สึกยามถูกผู้ชายอีกคนโอบกอดเช่นนี้ แต่ว่า...เขาไม่ชิน และไม่คิดว่าจะปรับใจให้ชินได้โดยง่าย

"ผมรู้ ตั้งแต่ต้นปีคุณเหมก็ผอมลงตลอด ดูไม่มีชีวิตชีวาเหมือนตอนที่ผมเพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ ด้วย ขนาดเวลาผมทำอะไรผิดยังไม่ดุว่าผมแรงๆ เหมือนเมื่อก่อนเลย"

น้ำเสียงตัดพ้อทำให้หิรัญหัวเราะพรืด "นายนี่รสนิยมมีปัญหาจริงๆ นะ แฟนคนก่อนๆ เคยบอกมั่งรึเปล่า..."

เนื่องจากเขาหันกลับไปหาโดยไม่รู้ว่าปรานต์หันตามเขาอยู่ก่อนแล้ว มุมปากของหิรัญจึงชนกับริมฝีปากของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ผู้สูงวัยกว่าชะงักเมื่อนัยน์ตาของทั้งคู่สบประสาน และเขาเห็นแต่ความต้องการ โหยหา อยากครอบครองที่สะท้อนในแววตาคมกล้าซึ่งกำลังโน้มใกล้เข้ามาทุกที

"คนเดียวที่พูดให้ได้ยินก็แฟนคนนี้แหละครับ"

ภาพแสงไฟบนต้นไม้พร่าเลือนมื่อหิรัญหลับตาลงรับจุมพิต เจ้าของอ้อมกอดเพิ่มแรงโอบกระชับเขามากขึ้นจากอ้อมกอดหลวมๆ ในตอนแรก ริมฝีปากที่บดลงบนริมฝีปากของเขาถ่ายทอดความคะนึงหาอย่างแน่วแน่เมื่อมั่นใจแล้วว่าจะไม่ถูกผลักไส

หลายอึดใจผ่านไปกว่าช่วงเวลาแห่งความหวานล้ำจะจบลง ริมฝีปากของทั้งสองแยกเป็นอิสระจากกันอย่างแช่มช้า รอยยิ้มที่ปรานต์มอบให้ยามที่หิรัญลืมตาทำให้ผู้สูงวัยกว่าทั้งหมั่นไส้และปลื้มใจที่ตนคือผู้ทำให้เกิดรอยยิ้มนั้น

"รู้หรือเปล่าว่าการให้ความหวังกับคนแก่เป็นบาป?"

"ถึงเกิดทีหลังก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนโลเลนี่ครับ คุณเหมเองก็แต่งงานตั้งแต่ตอนอายุยี่สิบแปดเท่าผมไม่ใช่เหรอ?"

ช่างยอกย้อนเหลือเกินนะไอ้หนู... หิรัญไม่ทันได้พูดตามที่คิดก็ถูกยกมือข้างซ้ายขึ้น เขามองปรานต์ล้วงมืออีกข้างเข้าไปหยิบบางสิ่งในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาแล้วก็เลิกคิ้ว

แหวนทองคำขาวเนื้อเกลื้อง ไร้ลวดลายหรืออัญมณีตกแต่ง แต่กลับเปล่งประกายดุจแก้วเจียระไนอยู่บนนิ้วมืออันหยาบกร้านของเขา

"แหวนนี่..."

"ผมจะไม่พูดว่าขอใช้แหวนวงนี้ชดเชยแหวนวงที่ผมโยนทิ้ง แต่เพราะผมอยากให้สิ่งแทนใจกับคุณเหมเป็นเครื่องหมายการเริ่มต้นของเราสองคน ห้ามถอดออกเด็ดขาดนะครับ"

น้ำหนักของโลหะที่สวมอยู่บนนิ้วราวจะตอกย้ำคำมั่นที่ปรานต์มอบให้ หิรัญมองแหวนที่ติดอยู่บนนิ้วเนิ่นนานโดยไม่พูดอะไร สุดท้ายจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปหาคนด้านหลัง นัยน์ตาที่สบกับเขาดูมีร่องรอยไม่มั่นใจราวกับยังรอคำตอบ เช่นเดียวกับริมฝีปากที่เม้มจนเป็นเส้นตรง หิรัญจำได้ดีว่าอีกฝ่ายมักทำสีหน้าเช่นนี้เสมอยามรอฟังคำชี้แนะจากเขา



"ขอโทษครับคุณเหม ผมพลาดเอง แทนที่จะได้ลูกค้ารายใหญ่เลยโดนคู่แข่งตัดหน้า"

"ไม่เป็นไรหรอกปรานต์ จำความผิดพลาดครั้งนี้ไว้ก็แล้วกัน คนเราล้มได้ก็ต้องลุกได้ อย่าให้เรื่องนี้กลายเป็นอุปสรรคในการไปคุยกับลูกค้ารายต่อๆ ไป เข้าใจไหม?"




คนเราล้มได้ก็ต้องลุกได้...นั่นเป็นประโยคที่เขาพร่ำสอนพนักงานทุกคนมาตลอดรวมถึงปรานต์ยามที่ทำเรื่องผิดพลาด แล้วนับประสาอะไรหากในอนาคตเขาจะต้องเจ็บอีกครั้ง ตราบใดที่พวกเขาได้ใช้เวลาในปัจจุบันด้วยกันอย่างมีความสุขก็น่าจะดีพอแล้วมิใช่หรือ

"เราคงเริ่มต้นกันไม่ได้หรอกนะ ปรานต์"

นัยน์ตาของปรานต์เบิ่งกว้างเหมือนไม่เชื่อหู อ้อมแขนที่เมื่อครู่โอบรั้งร่างของหิรัญดูอ่อนแรงลงในทันใด ผู้สูงวัยกว่าจึงหัวเราะในคอก่อนจะยกแขนขึ้นคล้องคออีกฝ่ายแล้วโน้มใบหน้าเข้าหา

มีคนรักที่ส่วนสูงไม่ต่างกันมากแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...

"เพราะถ้ามีแต่ฉันที่ใส่แหวน ก็ไม่มีหลักฐานผูกมัดว่านายเป็นของฉันเหมือนกันน่ะสิ"

สายลมเย็นหอบหนึ่งพัดผ่านสวนหย่อมจนกิ่งไม้เสียดสีกันเสียงดัง กระทั่งผิวน้ำในสระบัวก็กระเพื่อมไหว เส้นผมของคนสองคนปลิวยุ่งเพราะสายลมหอบนั้น กระนั้นริมฝีปากที่คลอเคลียกันราวได้พบบ่อน้ำหวานที่เอมโอชก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองไม่สนใจอากาศที่เริ่มเย็นลง และยังคงแสวงหาความอบอุ่นในอ้อมกอดของกันและกันอยู่นั่นเอง จนกระทั่งดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนคล้อยบนผืนฟ้า ทั้งสองจึงยิ้มให้กันก่อนจะเดินเคียงกันออกจากโรงแรม ทิ้งสวนหย่อมอันเงียบสงบและบรรยากาศครื้นเครงของงานเลี้ยงปีใหม่เอาไว้เบื้องหลัง

ภายในห้องจัดเลี้ยงที่เหลือพนักงานเพียงไม่กี่คนเพราะทยอยกลับบ้านกันไปแล้ว คณะกรรมการจัดงานต่างช่วยกันเก็บข้าวของพลางก็คุยกันไปด้วย

"จบงานนี้ก็จะได้หยุดยาวซักที ว่าแต่ทำไมคืนนี้ไม่เห็นปรานต์เลยล่ะ ไหนคุณเจ้าของโรงแรมบอกว่าจะออกมาเจอพวกเราไม่ใช่เหรอ?"

"นั่นสิ อุตส่าห์ให้ห้องจัดงานเลี้ยงฟรีๆ ทั้งที่เคยมีเรื่องกับไดเร็คเตอร์ของบริษัทแท้ๆ จะบอกว่าเป็นคนมีน้ำใจหรืออยากอวดรวยดีล่ะเนี่ย"

"สงสัยไม่ว่างมั้ง ยังไงก็เก็บของให้เสร็จกันสักทีเถอะ ฉันอยากกลับบ้านจะแย่แล้ว"

ทิวาพรเอ่ยกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นกรรมการจัดงานด้วยกันก่อนจะหันไปเก็บอุปกรณ์ต่อ แต่บนมุมปากของหญิงสาวกลับมีรอยยิ้มประดับ เธอรู้ดีถึงสาเหตุที่ปรานต์ไม่มาร่วมงานในคืนนี้ เพราะว่าเจ้าตัวได้พบกับคนที่ตั้งใจจะมาพบที่สุดไปแล้วนั่นเอง

เนื่องจากเป็นเพื่อนบ้านกันตั้งแต่เด็ก ทิวาพรจึงรู้ว่าชายหนุ่มเป็นทายาทของแม่ม่ายเจ้าของเครือโรงแรมใหญ่มาโดยตลอด ตอนที่อีกฝ่ายเรียนจบปริญญาโทและมาขอคำแนะนำว่าอยากทำงานที่อื่นก่อนจะกลับไปสืบทอดงานของครอบครัว เธอจึงแนะนำให้มาสมัครงานที่บริษัทเพราะกำลังขาดคน และก็ได้รู้ว่ารุ่นน้องหนุ่มมีใจให้เจ้านายของเธอตั้งแต่มาเริ่มงานช่วงแรกๆ

หลังจากที่มีเรื่องกับหิรัญ ปรานต์จำใจต้องลาออกเพราะถึงกำหนดที่มารดาขอให้ไปสืบทอดกิจการพอดี แต่กระนั้นก็ยังคอยโทรสอบถามเธอถึงความเป็นไปของหิรัญอยู่ไม่ขาด เธอเองก็พอจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเจ้านายหลังจากที่ปรานต์ลาออกไปอยู่เหมือนกัน พอสบโอกาสจึงติดต่อรุ่นน้องหนุ่มเรื่องสถานที่จัดงานเลี้ยงปีใหม่ เพราะมั่นใจว่านิสัยของหิรัญคงทำให้เจ้าตัวจำไม่ได้แน่ว่าโรงแรมนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งปรานต์เป็นผู้บริหาร

เมื่อครู่นี้หญิงสาวทันเห็นตอนทั้งคู่อยู่ในสวนหย่อมตอนที่ออกไปเข้าห้องน้ำ ท่าทีที่บอกให้รู้ว่าคงปรับความเข้าใจกันได้แล้วทำให้เธอเดินกลับมาที่ห้องจัดเลี้ยงอย่างสบายใจ ถึงแม้จะไม่อาจคาดเดาอนาคตว่าพวกเขาจะไปกันได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แต่เธอก็ยินดีจากใจจริงที่เจ้านายและรุ่นน้องที่สนิทจะได้มีความสุขจากการมีใครบางคนคอยเคียงข้าง

ส่วนตัวเธอเอง...ถึงแม้ในใจส่วนลึกจะอิจฉา แต่ในเมื่อปลายปีเช่นนี้เป็นเวลาที่ควรปล่อยวางเรื่องเก่าๆ เธอเองก็คิดตกแล้วว่าจะตัดใจจากความรักข้างเดียวที่เก็บงำไว้มาหลายปี แล้วเปิดใจก้าวสู่บทใหม่ของชีวิตด้วยความหวังว่าสักวันคงจะได้พบใครคนนั้นของเธอบ้างเช่นกัน

Let the new chapter begin...



++---End---++



A/N: เรื่องนี้เขียนไว้ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาแน่ะค่ะ แต่รอจังหวะมาลงจะได้ต้อนรับเทศกาลพอดี คราวนี้เขียนฝ่ายรับอายุ 40 อัพเพราะเคยมีคนมาจุดประกายไว้ เขียนไปก็พยายามนึกว่าผู้ชายวัยนี้เขาจะต้องผ่านอะไรมาแล้วบ้าง จะว่าไปพระเอกอย่างตาปรานต์นี่ก็รสนิยมแปลกจริงๆ นะ แต่มันคงมีคนแบบนี้อยู่บ้างล่ะน่า XD

ในวาระที่ปี 2556 กำลังจะจบลงในเร็วๆ นี้ ก็ขอถือโอกาสอวยพรปีใหม่ให้นักอ่านทุกคนสวยๆ รวยๆ ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังและตั้งใจกันโดยถ้วนทั่ว อะไรที่ไม่ดีในปีนี้ก็ขอให้ละทิ้งไปเหมือนทิวาพรนะคะ ส่วนปีหน้า Bellbomb ก็ขอฝากผลงานให้ติดตามกันต่อด้วย Happy new year ล่วงหน้าค่า ^^V




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2556    
Last Update : 25 ธันวาคม 2556 13:19:26 น.
Counter : 4989 Pageviews.  

[เรื่องสั้น] Sound Bite

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++



Sound Bite


ภายในห้องบันทึกเสียงสี่เหลี่ยมแคบทึบ กรุผนังด้วยแผ่นฟองน้ำซับเสียงรอบด้าน ยกเว้นประตูที่ด้านหน้าติดกระจกไว้ครึ่งหนึ่ง บนเพดานมีเพียงแสงไฟสีส้มอ่อนส่องลงมาเพื่อให้คนที่ยืนอยู่เห็นกระดาษสคริปต์บนแท่นวาง ไอเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศดูจะไม่ช่วยให้กำมือชื้นเหงื่อของชายหนุ่มในนั้นแห้งลงแม้แต่น้อย

ห้องเล็กๆ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของสตูดิโออัดเสียงย่านกลางเมือง โดยนอกจากตัวโฆษกที่ต้องอยู่ในห้องนั้นคนเดียวเพื่อกันเสียงรบกวนแล้ว ในส่วนของห้องควบคุมซึ่งเชื่อมติดกันก็มีชายหนุ่มนั่งอยู่อีกสองคน คนหนึ่งเป็นซาวด์เอนจิเนียร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการบันทึกเสียงประจำสตูดิโอ รูปร่างท้วมตามวัยที่ขยับเข้าใกล้เลขห้าเข้าไปทุกที ใส่เพียงกางเกงยีนส์เก่าๆ กับเสื้อยืดคอปกที่ผ่านการใช้งานจนซีด ส่วนอีกคนที่นั่งบนโซฟาเยื้องไปด้านหลังคือชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำในชุดสูทสีน้ำเงินกรมท่า บนตักที่กำลังนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทีสบายๆ มีกระดาษที่พิมพ์สคริปต์เดียวกับคนซึ่งอยู่ในห้องบันทึกเสียง นัยน์ตาสีนิลวาวกวาดมองสคริปต์ด้วยนัยน์ตาคมกริบแบบนักธุรกิจ ขณะที่สองหูก็ตั้งใจจับเสียงที่ดังออกจากลำโพงไปด้วย

ริมฝีปากบางเฉียบหยักยิ้มบางเสียจนต่อให้เพ่งก็ยังยากที่จะเห็น ส่วนที่เห็นชัดมากกว่าบนใบหน้าคมเข้มคือไรเคราซึ่งผ่านการโกนมาแล้วจนเป็นปื้นสีเขียวจาง ขับให้โครงหน้าคมสันเด่นชัดแม้ในแสงที่ไม่ได้สว่างนักของห้องควบคุม

ท่าทางสบายๆ ของร่างสูงใหญ่นั้นตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับคนที่ยืนอยู่หน้าไมโครโฟนในห้องบันทึกเสียง ภูวนัยยืนฟังเสียงตัวเองซึ่งเพิ่งถูกเปิดซ้ำหลังการอ่านประโยคเดิมเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เพราะหลังจากพี่ซาวด์เอ็นจิเนียร์พุงพลุ้ยร้องบอกว่า “เทคสิบ!” เขาก็เลิกนับทันที

โอย...เหนื่อยแล้วนะโว้ย อ่านจนคอแห้งจนจิบน้ำหมดไปสี่ขวดแล้ว กับอีแค่สคริปต์ไม่กี่ประโยคนี่ต้องให้อ่านกันสักกี่ครั้งวะ!?

คนที่เขานึกบ่นในใจไม่ใช่ซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่คอยกำกับอยู่ในห้องควบคุม แต่เป็นเจ้าคนตัวใหญ่ใส่สูทเนี้ยบกริบที่นั่งอยู่บนโซฟาต่างหาก ยังดีที่มุมที่เขายืนอยู่นั้นทำให้ทั้งคู่มองไม่เห็นกัน ไม่อย่างนั้นหน้าตาบูดบึ้งของเขาคงได้โดนฝ่ายนั้นหัวเราะเยาะแน่ๆ

“คุณใหญ่ว่าไงครับ? ผมว่าเทคเมื่อกี้ก็โทนใกล้เคียงกับที่คุณใหญ่อยากได้แล้วนะ?”

หลังกดปุ่ม Pause ซาวด์เอ็นจิเนียร์ร่างท้วมก็เอี้ยวคอกลับไปถามนักธุรกิจหนุ่มที่นั่งโซฟาอยู่ด้านหลังตัวเอง เนื่องจากเขานั่งในจุดที่พอหันข้างไปจะเห็นคนที่กำลังยืนอ่านสคริปต์ในห้องอัดเสียงได้พอดี จึงเห็นใจไม่น้อยกับใบหน้าเหนื่อยล้าของคนในห้อง

‘คุณใหญ่’ หรือชื่อจริงอย่างเป็นทางการว่า ‘เมธาวัจน์’ ยกปลายนิ้วขึ้นลูบคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด อึดใจหนึ่งก็ละสายตาขึ้นจากสคริปต์ นัยน์ตาคมเข้มมีประกายระยับลุ่มลึก ส่วนรอยหยักบนมุมปากก็ฉายชัดขึ้นเล็กน้อย

“ผมว่าประโยค ‘ไม่เอาน่าที่รัก คุณจะทิ้งให้ผมนอนคนเดียวเหรอ’ เมื่อกี้ยังฟังแห้งแล้งไปหน่อย ผมอยากให้ทำเสียงเซ็กซี่ยั่วยวนกว่านี้ ไม่งั้นมันจะสื่ออิมเมจพระเอกโฆษณาของเราไม่ได้”

เสียงตอบเนิบเนือยนั้นลอยผ่านเข้ามาในห้องบันทึกเสียงด้วย และถ้าหากหัวคนระเบิดได้เหมือนในการ์ตูน ภูวนัยก็คิดว่าตอนนี้เสียงตูมจากหัวเขาคงดังสนั่นจนทั้งสองคนในห้องควบคุมได้ยินอย่างแน่นอน แต่แย่หน่อยที่ในหัวเขาไม่มีดินระเบิดให้จุด จึงทำได้เพียงกำรวบสคริปต์ในมือแน่นจนตัวสั่นเพราะความโกรธ ถ้าหากใครยืนอยู่ใกล้ๆ ก็คงไม่แคล้วได้ยินเสียงกรอดจากการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันหลุดออกมาด้วยเป็นแน่แท้

จากกระจกใสตรงประตู ภูวนัยมองเห็นพี่ซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่ชื่อ ‘ตุ้ย’ หันมาทำสายตาเห็นใจอย่างชัดเจน (ส่วนหนึ่งคงเพราะเห็นใจตัวเองที่ต้องมาคุมการบันทึกเสียงครั้งนี้) ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับไปหาแผงควบคุมตรงหน้าแล้วเลื่อนนิ้ว

“เอ้า น้องภาค คุณใหญ่ขอประโยคนี้อีกรอบนะ คราวนี้ก็ตั้งใจให้เซ็กซี่หน่อยแล้วกัน จะได้เสร็จแล้วกลับบ้านไวๆ”

น้ำเสียงนั้นราวจะมีร่องรอยประชดประเทียดเล็กน้อย ภูวนัยยกขวดน้ำขึ้นจิบโดยไม่ได้ตอบ กระทั่งโดนเรียกซ้ำอีกครั้งว่า ‘น้องภาค’ ด้วยเสียงดังขึ้นอีกนิดนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงเพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เขาไม่ใช่ ‘ภู’ แต่กำลังสวมรอยเป็น ‘ภาค’ พี่ชายฝาแฝดที่มีอยู่หนึ่งเดียว และมีคนเดียวก็พอแล้วอยู่

“ครับๆ”

ภูวนัยตอบพลางขยับเฮดเซ็ทบนหัวที่หนักอึ้งขึ้นทุกทีให้เข้าที่ ใบหน้าที่ไม่ถึงกับจืดสนิทแต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าหล่อสะดุดตาใครบิดเบ้เพราะความเหนื่อยและเซ็ง แต่ก็รู้ว่าจะทำตัวเป็นเด็กๆ ด้วยการเขวี้ยงสคริปต์ทิ้งและเดินหนีออกไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเส้นทางอาชีพโฆษกขายเสียงของพี่ชายคงไม่สดใสแน่

ฮึ่ม ไอ้ภาคนะไอ้ภาค! ไอ้พี่เวร!! ทำไมต้องต่อมทอนซิลอักเสบตอนนี้ด้วยวะ!!!


++------++


ภูวนัยมีชื่อเล่นว่าภู มีพี่ชายฝาแฝดชื่อภาคินซึ่งมีชื่อเล่นว่าภาค ทั้งคู่เกิดห่างกันแค่ไม่กี่นาที แต่เนื่องจากหน้าตาเหมือนกันมากตามประสาแฝดที่ปฏิสนธิจากไข่ใบเดียวกัน คนที่ไม่รู้จักสนิทสนมด้วยจึงมักสับสนและแยกทั้งสองไม่ออกอยู่บ่อยๆ

ปีนี้พี่น้องฝาแฝดอายุยี่สิบห้าย่างเข้าปีที่ยี่สิบหก จบการศึกษาจากคณะเดียวกันในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วยเกรดเฉลี่ยที่เกือบจะเท่ากันเด๊ะ ความเหมือนนั้นลามจากหน้าตาไปถึงน้ำเสียง ถึงขั้นที่เวลาพ่อกับแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดโทรมาหาก็ไม่แน่ใจว่ากำลังคุยกับลูกคนไหน

จุดที่ทั้งคู่จะต่างกันหลังจากเรียนจบแล้ว ก็คือภาคินเลือกทำงานเป็นนักพากย์อิสระและรับเล่นเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์หรือโฆษณา ขณะที่ภูวนัยเลือกอาชีพนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์ นานๆ ครั้งก็รับคำชวนอาจารย์กลับไปช่วยติวรุ่นน้องที่คณะบ้าง เขาไม่ได้ถึงกับเป็นคนขี้อายเก็บตัว เพียงแต่ชอบทำงานที่อยู่กับตัวเองและความสงบเงียบมากกว่างานที่ต้องออกไปเจอผู้คนแปลกหน้าเยอะแยะแบบแฝดพี่ แล้วยิ่งอาชีพโฆษกที่ใช้เสียงทำมาหากินเพื่อพากย์สปอตโฆษณานี่ไม่ต้องพูดถึง เขาไม่เคยคิดจะเหยียบย่างเข้าไปในวงการที่ภาคินทำอยู่เลยสักครั้ง

แต่ที่วันนี้เขาต้องมายืนหน้าซีดเหงื่อตก ทำ ‘อะไรที่ไม่เคยคิดอยากทำมาก่อน’ เช่นในวันนี้ ก็เพราะไอ้พี่ชายตัวดีนั่นแหละเป็นสาเหตุ


--- เช้าวานนี้ ---


“...อะไรนะ? ไม่เอาโว้ย! ไม่ทำ!!”

ภูวนัยแหกปากร้องลั่นเมื่อพี่ชายหน้าเหมือนกันเด๊ะเอ่ยขึ้นระหว่างกำลังพยายามซดข้าวต้มอยู่ในโรงพยาบาล โดยใจความที่ทำให้เขาต้องปฏิเสธเสียงแข็งแบบไม่ถนอมน้ำใจ ก็เพราะภาคินขอร้องให้เขาไปอัดเสียงโฆษณาให้กับสินค้าตัวหนึ่งที่เคยได้รับการติดต่อและตอบรับไปแล้ว โดยผลิตภัณฑ์นั้นเป็นโรลออนสำหรับผู้ชายที่มีภาพลักษณ์เซ็กซี่แต่อบอุ่น และเนื่องจากเป็นคลิปโฆษณาที่ส่งมาจากบริษัทแม่ที่เมืองนอก สำนักงานสาขาประเทศไทยจึงต้องนำมาพากย์เสียงทับอีกที และภาคินก็คือเจ้าของเสียงที่สำนักงานสาขาคิดว่าใกล้เคียงกับโทนเสียงที่ต้องการที่สุด จึงได้ติดต่อเขามาตั้งแต่สัปดาห์ก่อน และเจ้าตัวก็ตอบตกลงอย่างดิบดี สตูดิโอที่จะใช้อัดเสียงก็ถูกจองวันและเวลาไว้เรียบร้อย

อนิจจา...ใครเลยมันจะไปรู้ล่วงหน้าว่าโรคภัยจะบุกมาตอนคนเราชะล่าใจกันไวขนาดนี้ เนื่องจากช่วงสัปดาห์ก่อนภาคินนอนดึกติดต่อกันและปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงหนักหน่วง ผลลัพธ์ที่ตามมาจึงเป็นอาการไข้ขึ้นสูงเมื่อถึงวันที่นัดลูกค้าไว้ว่าจะไปอัดเสียง ตอนแรกเจ้าตัวคิดว่าอาการคงไม่ร้ายแรงจึงขอเลื่อนวันนัดเป็นอีกสองวันถัดไป เคราะห์ร้ายที่ก่อนจะถึงวันอัดเสียงจริงๆ เพียงหนึ่งวัน เจ้าของเสียงเซ็กซี่แต่อบอุ่นคนนั้นดันต่อมทอนซิลอักเสบไปเสียแล้ว

“ไอ้ภู...แก...ช่วย...กัน....หน่อย...สิ...โว้ย...”

ชายหนุ่มที่ปกติขายเสียงเป็นอาชีพพยายามเค้นเสียงแหบแห้งทีละคำอย่างยากลำบาก กว่าจะหลุดประโยคสั้นๆ ที่นับพยางค์รวมกันไม่ถึงสิบ ในคอก็ทั้งแสบทั้งระคายราวกับมีก้อนกระดาษทรายยัดอยู่ในนั้น ชายหนุ่มปรายตาลงมองข้าวต้มตรงหน้าตาละห้อย เพราะขนาดอาหารที่ควรจะย่อยง่ายที่สุดก็ยังทำให้แสบคอแทบน้ำตาไหล

แต่ภูวนัยไม่ใช่คนที่ใครจะตะล่อมได้ง่ายๆ

“แกจะบ้าเรอะ!! ถึงเสียงพวกเราจะเหมือนกันจนพ่อกับแม่ยังแยกไม่ออก แต่แกก็รู้ว่าฉันพากย์ไม่เป็น! ถ้าไม่พร้อมจริงๆ ก็บอกลูกค้าไปตามตรงสิวะ เขาจะได้ให้ไปหาคนอื่น!”

ให้ตายเถอะ! เวลาปกติเขาก็คิดอยู่แล้วว่าไอ้ภาคคบคนในวงการมากไปจนชักจะบ๊องๆ แต่ถ้าสุขภาพย่ำแย่แบบนี้ยังจะดันทุรังให้เขาปลอมตัวไปแทนอีก เกิดโดนจับได้ขึ้นมาไม่เสียทั้งงานทั้งความน่าเชื่อถือหรือ สู้ยอมปล่อยมือจากงานนี้แล้วค่อยรับงานอื่นหลังรักษาตัวให้หายยังจะดีกว่า

ผู้ได้ชื่อว่าแฝดพี่ค้อนน้องชายปะหลับปะเหลือก เพราะถึงคอจะเจ็บ แต่ตาไม่ได้เจ็บตาม

“ได้...ที่...ไหน...โว้ย...ไอ้...บ้า....นี่....เฮือกกก เขา...มี...กำ...หนด....ฮ้า....ออก....อา...อากาศ…”

ภาคินฝืนเค้นคำพูดจนจบประโยคก็รีบยกแก้วน้ำอุ่นขึ้นดื่มอึกใหญ่ ฝ่ายภูวนัยได้แต่กลอกตา ตั้งแต่เขาพาไอ้พี่บ้ามาโรงพยาบาลเมื่อคืนก่อนก็เอาแต่โดนพร่ำฝากฝังให้เขาแอบอ้างชื่อเพื่อไปอัดเสียงแทนไม่รู้กี่รอบแล้ว

“จะกล่อมยังไงฉันก็ไม่ไป โทรศัพท์ของแกอยู่ไหน? ฉันจะโทรไปบอกเขาว่าแกไม่สบายแล้วให้หาคนอื่นแทนเดี๋ยวนี้”

ภูวนัยทำท่าจะหันไปหากระเป๋าใส่เสื้อผ้าของพี่ชายบนชั้นวางของ คนป่วยที่มีสายน้ำเกลือเสียบบนหลังมือเลยแทบตะกายลงจากเตียงเพื่อคว้าแขนน้องชายไว้

“อย่า...นะ...โว้ย...งานนี้....เฮือกกกกก....ไม่...ได้....คุณ...ฟ้า...อุตส่าห์....ติดต่อ...มา...เอง”

กว่าแฝดพี่ของเขาจะพูดจบแต่ละประโยคได้ ภูวนัยทั้งรำคาญทั้งระอาจนอยากเอาผ้าอุดปากแล้วจับให้นอนคว่ำจะได้เงียบไปเสียเลย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไอ้พี่บ้านี่มันจะหวงงานนี้ทำไมนักหนา โอเค...ค่าจ้างอ่านสคริปต์โฆษณาครั้งหนึ่งก็หลายพันบาท แต่ก็ใช่ว่าพวกเขามีหนี้ก้อนโตที่ต้องรีบเร่งหาเงินมาโปะเสียหน่อย ไอ้บ้านเช่าที่แชร์กันอยู่ตอนนี้ก็ไม่เคยเบี้ยวค่างวดให้เจ้าของสักเดือน

ว่าแต่เมื่อกี้ไอ้ภาคพูดชื่อใครนะ?

“คุณฟ้า?”

ภูวนัยยกมือขึ้นกอดอกพลางเหล่ตามองพี่ชาย คนที่ทำท่าจะกระโดดลงมาจากเตียงถึงยอมเก็บขากลับขึ้นไปได้ จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักให้คนถาม แก้มที่ซูบซีดเพราะกินอะไรไม่ลงมาหลายวันเป็นสีระเรื่อขึ้นจนน่าหมั่นไส้ในสายตาแฝดน้องมากกว่าน่ารัก

“ฝ่ายมาร์เก็ตติ้ง...ของ...ลูกค้า...ฉัน....จีบ...เขา...อยู่...”

พูดไปพลางภาคินก็ยกมือหนึ่งเกาแก้มไปพลาง หน้าตาเคลิบเคลิ้มยามเอ่ยถึงหญิงสาวในดวงใจช่างดูแล้วน่าโดนเตะในสายตาของน้องชายเป็นที่สุด แต่ภูวนัยก็พยายามทำใจเย็นและเถียงด้วยเหตุผล

“แล้วไง? แกไปเองก็ไม่ได้แล้วจะให้ฉันไปทำเบื๊อกอะไร? ถ้าฉันทำออกมาได้ไม่ดี เผลอๆ คุณฟ้าแกจะหมายหัวไม่เรียกใช้แกอีกเลยก็ได้นะ”

“ก็...อย่า...ทำ...พัง...สิ...วะ…ไอ้หอยหลอดด”

แน่ะ ดู๊...ดูมัน ขนาดนอนแบ่บเจ็บคอแทบไม่มีเสียงก็ยังจะปากคอเราะร้ายได้ ยังไม่ทันที่ภูวนัยจะตอกกลับ ภาคินก็หันมายื่นมือสองข้างจับไหล่น้องชายแน่น นัยน์ตามุ่งมั่นที่จ้องเป๋งทำเอาภูวนัยไม่แน่ใจว่าควรจะใจอ่อนตอบรับหรือรีบกดปุ่มเรียกพยาบาลให้เอายานอนหลับมาให้แฝดพี่ดีไหม

“ฟัง...นะ...แก...ต้อง....ไป...แทน...ฉัน.....แล้วทำ....ให้....ดีๆ.....ด้วย....เฮือกกก....คุณ....ฟ้า...จะ....ได้...จ้าง...ฉัน....อีก”

ประโยคสั้นๆ นั้นกินเวลายาวนานกว่าคนพูดจะพูดจบ แต่นิ้วทั้งสิบที่กำแน่นบนไหล่ก็ทำให้ภูวนัยมั่นใจว่าเจ้าพี่สมองกลวงคงไม่ปล่อยเขาแต่โดยดีถ้าไม่รับคำแน่ กระนั้นเขาก็ยังไม่ค่อยสบายใจที่ถูกไหว้วานให้ทำเรื่องที่ไม่ถนัดอย่างนี้ ก็นักวาดภาพอิสระที่ใช้มือกับตาหากินเป็นหลักอย่างเขา เกิดไปทำอะไรเงอะงะให้คนอื่นเห็นแล้วความแตกเข้า ไม่แคล้วได้เสียชื่อทั้งพี่ทั้งน้องตระกูล ‘ชื่นวสันต์’ กันพอดี

“แล้วฉันจะได้อะไรจากการไปทำงานนี้แทนไม่ทราบ? ไอ้คุณพี่?”

คำถามนั้นทำให้คนป่วยชะงักไปพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ ส่วนภูวนัยเหยียดยิ้มพลางยักคิ้ว เขาเองก็มีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่อยากไปทำตัวงี่เง่าให้คนไม่รู้จักเห็นเหมือนกันนะ! เพราะงั้นมันก็ต้องมีค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกันหน่อยสิ!!

ขณะที่ภาคินเงียบไปพลางขบริมฝีปากทำท่าครุ่นคิด ภูวนัยก็ลอบถอนหายใจว่าคงทำให้พี่ชายล้มเลิกความคิดที่จะให้เขาไปเป็นตัวแทนได้แล้ว ที่ไหนได้...มือที่จับอยู่บนไหล่ออกแรงแน่นขึ้นแทบจะพร้อมๆ กับตอนที่เขากำลังจะสะบัดตัวออก

“สามเดือน.....ไม่...สี่....เดือน...”

“ฮะ? สี่เดือนอะไรของแก? จะยอมไปปักกลดจำศีลสี่เดือนเรอะ?”

ภูวนัยขมวดคิ้วอย่างงุนงง ภาคินจึงส่ายหน้าพรืดก่อนจะจ้องเขาด้วยประกายมุ่งมั่นดุจเดิมจนแฝดน้องชักจะแหยงๆ “ฉัน...จะออก...ค่า....เช่าบ้าน....คน....เดียว....สี่เดือน....โอ....เค้?....เฮือกกกกก”

คำตอบนั้นทำเอาภูวนัยเบิกตาโต เขาพอจะรู้ว่าแค่ค่าตัวที่ได้จากอัดเสียงโฆษณาครั้งเดียวนี่ยังไม่พอจ่ายค่าเช่าบ้านสองเดือนเลยด้วยซ้ำ แต่ไอ้พี่บ้านี่จะยอมจ่ายคนเดียวตั้งสี่เดือน!! ข้าแต่พระอินทร์ที่เคารพ สงสัยสวรรค์คงใกล้จะถล่มแล้วแน่ๆ หรือไม่ก็คุณฟ้าที่ไอ้ภาคหลงใหลได้ปลื้มคงสวยมาก พี่ชายจอมเค็มชนิดแทบได้กลิ่นเกลือติดตัวถึงหน้ามืดได้ขนาดนี้

แต่ไม่ต้องช่วยแชร์ค่าเช่าตั้งสี่เดือนเชียวเหรอ...ถ้างั้น...เขาก็มีโอกาสเก็บเงินซื้ออุปกรณ์วาดภาพชุดใหม่ที่เทียวไปเล็งที่ร้านมาตั้งนานเสียทีน่ะสิ...

“ยัง...ไม่....หมด....ค่า....จ้าง....งาน...นี้....เฮือกกกกก.....ฉัน....ยก.....แค่กๆ.....ยก....ให้.....แก....ด้วย”

ภาคินย้ำเพราะรู้ว่านี่จะเป็นไม้ตายสุดท้ายที่ตะล่อมแฝดน้องสำเร็จ ตระกูลของพวกเขาไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน พ่อกับแม่ก็ทำงานอยู่ต่างจังหวัด ส่วนลูกชายฝาแฝดสองคนก็เข้ามาเรียนและหางานทำในกรุงเทพฯ ปากกัดตีนถีบจนต้องทำงานพิเศษส่งเสียตัวเองกันมาตลอด ดังนั้นเรื่องความงกจึงเข้มข้นเข้ากระแสเลือด และถ้าหว่านล้อมกันด้วยของล่อขนาดนี้ ขอแค่เขาเทรนการใช้เสียงให้สักหน่อย เจ้าน้องชายต้องทำงานนี้ได้อยู่แล้ว อย่างดีก็คงแค่โดนเทคหลายรอบจนกว่าจะได้โทนเสียงตรงกับที่ลูกค้าต้องการเท่านั้น

ภูวนัยยังคงตาลอยฝันหวานว่าจะเอาเงินค่าอ่านโฆษณากับค่าเช่าบ้านส่วนที่ไม่ต้องช่วยออกสี่เดือนไปทำอะไรได้บ้าง จนกระทั่งโดนพี่ชายเขย่าไหล่แรงๆ ให้กลับสู่โลกแห่งความจริงนั่นแหละ เขาจึงค่อยได้สติและกะพริบตามองภาคินที่กำลังรอคำตอบปริบๆ

หน้าตาก็เหมือน เสียงรึก็เหมือน ขาดไปก็แค่สกิลการพากย์ เอาวะ! มันจะสักแค่ไหนกันเชียว เพื่อเซ็ทพู่กันและสีชุดใหม่ ไอ้ภู...สู้!!

“ได้ ตกลงฉันทำ”


++------++



อยากย้อนเวลากลับไปตอนนั้นซะจริงๆ...

ภูวนัยถอนหายใจขณะยืนรอในห้องบักทึกเสียงแคบๆ พลางฟังเสียงตัวเองถูกรีเพลย์ซ้ำหลังจากเพิ่งอ่านจบไปอีกเทค ชายหนุ่มถอดเฮดเซทออกและวางพักไว้บนคอ จากนั้นก็หมุนต้นคอและขยับไหล่ไปมาด้วยความเมื่อย

ความจริงการบันทึกเสียงในวันนี้อาจไม่ติดขัดขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ ‘คุณฟ้า’ ที่แฝดพี่ของเขาอยากสร้างความประทับใจนักหนาเกิดไม่สบายกะทันหัน ทำให้ต้องส่งคนอื่นซึ่งเห็นว่าเป็นหัวหน้ามาแทน แต่เจ้าหัวหน้าคนนี้ก็ดันติดประชุมทั้งวัน ทำให้ต้องเลื่อนเวลาที่จองสตูดิโอไว้จากบ่ายสองมาเป็นหกโมงเย็น แล้วกว่าจะมาถึงจริงๆ ก็ล่อเข้าไปหนึ่งทุ่มกว่า ภูวนัยที่ทั้งออกไปเดินเล่นในตลาดแถวนี้ก็แล้ว กลับมาท่องสคริปต์รอจนจำขึ้นใจก็แล้ว สุดท้ายก็นั่งหลับรอไปตั้งไม่รู้กี่ตื่นแล้วเลยไม่ค่อยถูกชะตา ‘คุณใหญ่’ สักเท่าไหร่

แถมที่ทำให้ความประทับใจแรกติดลบยิ่งกว่าที่ควร ก็เพราะว่าตอนที่อีกฝ่ายมาถึงนั้นเขากำลังนั่งหลับฝันหวานอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก พอเจ้าหน้าที่ของสตูดิโอมาปลุกก็เลยตื่นแบบงงๆ อย่างคนไม่คุ้นที่

และภาพแรกที่ภูวนัยเห็นตอนปรือตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย ก็คือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสูทที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋า ท่าทางน่าจะอายุมากกว่าหลายปีอยู่เหมือนกัน พอเขาหยีตาเพ่งมองหน้าอีกฝ่ายเพราะแสงไฟในห้องนั่งเล่นสว่างจ้าเหลือเกิน เจ้าคนใส่สูทก็พูดออกมายิ้มๆ ด้วยแววตาที่แสนจะยียวนว่า

“เช็ดน้ำลายหน่อยก็ดีนะครับ”

ถ้าหากตาคนพ่นไฟได้ ตอนที่สบตากันครั้งแรกนั่น คุณใหญ่ที่ตัวใหญ่สมชื่อคงโดนตาของเขาเผาจนเกรียมตั้งแต่หัวจรดเท้าไปแล้วแน่นอน…เฮอะ!

ภูวนัยเงยหน้าแล้วถอนหายใจอีกครั้ง จากตอนที่เริ่มบันทึกเสียงจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว ไม่นับการที่เขาเสียเวลาหลายชั่วโมงนั่งรอมาตลอดทั้งบ่าย ตอนนี้ทั้งความเหนื่อยและเพลียจึงจู่โจมจนอยากออกไปจากที่นี่จะแย่ ไหนยังจะต้องกลับไปเฝ้าไอ้พี่บ้าที่โรงพยาบาลเพราะหมอบอกให้นอนดูอาการต่ออีก

พี่ตุ้ยซึ่งเป็นซาวด์เอ็นจิเนียร์กดปุ่ม Pause อีกครั้งเมื่อฟังจบก่อนจะหันกลับไปหาเมธาวัจน์ “เทคเมื่อกี้ว่าไงครับคุณใหญ่?”

ร่างสูงใหญ่ทำตาครุ่นคิดพลางใช้ปลายนิ้วถูคางไปมา ผ่านไปอีกชั่วอึดใจจึงค่อยตอบเสียงเนิบๆ “ผมว่า เสียงเทคเมื่อกี้ฟังดูเหนื่อยๆ...”

ได้ยินเพียงเท่านั้น ความอดทนของภูวนัยก็ถึงจุดสิ้นสุด เขากระชากเฮดเซ็ทออกแล้วผลักประตูห้องบันทึกเสียงออกมาทันที ผมสีดำสนิทเพราะไม่เคยกัดย้อมมาก่อนยุ่งเหยิงเพราะไม่ได้จัดการให้เรียบตั้งแต่เอนหลับพิงโซฟาเมื่อบ่าย

“นี่คุณ! จะเรื่องมากก็ให้มันน้อยๆ หน่อย! คิดว่าคนอื่นเขาไม่มีอะไรต้องทำรึไงกัน!? ตัวเองมาก็สาย ผิดเวลาไม่พอยังจะมาบ่นจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเสียงผมแห้งไปจนทำมาหากินไม่ได้อีกตลอดชีวิตจะรับผิดชอบยังไงไม่ทราบ!!”

พี่ตุ้ยซึ่งเป็นซาวด์เอ็นจิเนียร์ประจำสตูดิโอมานานอ้าปากค้าง เขาเคยเจอภาคินมาก่อนบ้างเวลาที่ลูกค้าเจาะจงเจ้าตัวให้มาอัดเสียงสปอตต่างๆ ให้ ถึงจะไม่ได้สนิทสนมมากมายแต่ก็เห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องเป็นคนเรียบร้อยดี เข้ากับคนง่ายและไม่ค่อยเรื่องมาก เวลาลูกค้าขอให้ปรับเปลี่ยนโทนเสียงอย่างไรก็มักทำได้ตามที่ขอในเวลาสั้นๆ ไม่ใช่คนขี้โมโหร้ายจนโวยวายใส่ลูกค้าแบบที่กำลังเจออยู่ตอนนี้

แต่นั่นก็เพราะพี่ตุ้ยไม่รู้ว่าเจ้าคนที่กำลังแว้ดใส่ลูกค้าตรงหน้าไม่ใช่ ‘ภาค’ แต่เป็น ‘ภู’

ท่าทางตกใจของคนที่นั่งอยู่หน้าแผงควบคุมนั้นต่างกันเป็นคนละเรื่องกับคนที่นั่งอยู่บนโซฟา เมธาวัจน์นั่งเท้าศอกข้างหนึ่งบนเข่าและเอียงหน้ามองคนโวยยิ้มๆ นัยน์ตาวิบวับมองภูวนัยที่กำลังยืนเท้าเอวและมองเขาหน้าดำหน้าแดงด้วยความโกรธอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ใจเย็นๆ น่าคุณ...ภาค ถ้าไม่ฟังคำวิจารณ์ของลูกค้าแล้วเอาไปปรับปรุง ต่อไปจะไม่ได้งานที่ดีนะ”

ไม่มีครั้งต่อไปแล้วโว้ย!! ครั้งเดียวก็จะประสาทแดกอยู่แล้ว!!!

ภูวนัยถลึงตาแทนคำตอบจนคนทักหัวเราะหึๆ ก่อนที่ร่างในชุดสูทจะเอนหลังพิงโซฟาแล้วยกขาขึ้นไขว่ห้าง นิ้วชี้แข็งแรงเคาะลงบนสคริปต์ที่วางอยู่บนตักเบาๆ

“เมื่อกี้ผมยังพูดไม่จบ ผมกำลังจะบอกว่า เสียงเทคเมื่อกี้ดูเหนื่อยๆ...ค่อยเข้ากับโทนเสียงตอนตื่นนอนของพระเอกโฆษณาหน่อย ดังนั้นเมื่อกี้โอเคแล้ว ผ่าน”

ดูเหมือนภูวนัยยังมึนจากอารมณ์โมโห คำว่า ‘ผ่าน’ จึงยังไม่เจาะเข้าไปในสมองส่วนการรับรู้ในทันที เขายืนนิ่งมองคนบนโซฟาพลางกะพริบตาปริบๆ จนกระทั่งความหมายของคำเมื่อครู่ค่อยซึมซาบเข้าในหัว ประกายกร้าวในตาจึงค่อยลดเลือนลง เช่นเดียวกับรอยยิ้มมุมปากที่ค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นช้าๆ

เย้.............

จริงๆ แล้วเขาอยากจะชูมือแล้วแหกปากร้องตะโกนดังๆ เพราะความดีใจเสียด้วยซ้ำ แต่ความเหนื่อยล้าทำให้ไม่มีแรงจึงได้แต่ร้องอยู่ในใจ อย่างน้อยคราวนี้เขาก็จะได้กลับไปพักผ่อนเสียที

พอกันทีอาชีพขายเสียง! คราวหน้าต่อให้ไอ้ภาคข่มขู่หรือเอาอะไรมาล่อใจแค่ไหนก็ไม่ยอมมาแทนให้อีกแน่!!

พี่ตุ้ยได้ยินก็ลอบถอนใจด้วยความโล่งอก หนุ่มใหญ่พุงพลุ้ยหันไปทำอะไรก๊อกๆ แก๊กๆ กับคีย์บอร์ดและเมาส์ที่ลักษณะกลมใหญ่เหมือนลูกบอลนวดมือ ภูวนัยจึงค่อยได้โอกาสหันไปสำรวจห้องควบคุมให้ทั่วๆ อย่างที่ไม่ได้ทำในตอนแรก เพราะว่ากว่าจะได้เริ่มบันทึกเสียงกันก็เลยเวลาที่นัดไว้แต่เดิมไปมากแล้ว จึงต้องตรงเข้าไปในห้องบันทึกเสียงเลย

ภาพของภูวนัยที่เดินเข้าไปยืนด้านหลังซาวด์เอ็นจิเนียร์แล้วก้มๆ เงยๆ ตามเวลาอีกฝ่ายคลิกนู่นลากนี่บนหน้าจออย่างสนใจทำให้นัยน์ตาของเมธาวัจน์ที่มองอยู่เป็นประกายวับ ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดทำให้เขาร้างลาการมาคุมสตูดิโออัดเสียงด้วยตัวเองไปหลายปีแล้ว เพราะงานยิบย่อยแบบนี้ไม่ใช่หน้าที่ของระดับผู้บริหารที่ยุ่งตลอดเวลาอย่างเขา แต่เนื่องจากลูกน้องในทีมหรือก็คือเพียงตาเกิดไม่สบายกะทันหันจนมาเองไม่ได้ ส่วนลูกน้องอีกคนก็กำลังลาพักร้อนไปเที่ยวต่างจังหวัด เขาจึงต้องมาคุมงานนี้เองเพื่อดูแลความเรียบร้อย

ไม่นึกว่าจะได้มาเจออะไรน่าสนใจแบบนี้...

ไอ้ที่ตัวเองมาสายน่ะรู้อยู่ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อการประชุมที่บริษัทยืดเยื้อมาก จะปลีกตัวออกมาก่อนก็ไม่ได้เพราะมีหลายประเด็นที่เขาต้องร่วมตัดสินใจ ไหนจะยังการจราจรช่วงเลิกงานที่ยิ่งทำให้มาช้าเข้าไปอีก ถึงตัวเองจะเป็นลูกค้า แต่เมธาวัจน์ก็รู้ตัวและพร้อมจะขอโทษโฆษกที่จองตัวไว้ตอนที่มาถึงสตูดิโอ ใครจะไปรู้ว่าพอมาถึงกลับเจอชายหนุ่มที่น่าจะเด็กกว่าหลายปีนั่งหลับคอพับคออ่อนแถมกรนคร่อกๆ อยู่บนโซฟา แถมพอโดนปลุกให้ตื่นก็ขมวดคิ้วแบบไม่ค่อยพอใจที่ถูกรบกวนการนอน แล้วยังจะคราบน้ำลายบนมุมปากอีก ภาพที่เห็นนั่นทำเอาเขาลืมไปว่าต้องขอโทษเพราะมัวกลั้นหัวเราะแทบแย่

ถึงแม้จะรู้สึกถูกชะตาและอยากกลั่นแกล้งบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ในเรื่องผลงานแล้วเมธาวัจน์เอาจริงเอาจังเสมอ ความจริงแล้วเมื่อครู่มีหลายครั้งที่เขาหงุดหงิดที่รู้สึกราวกำลังมานั่งดูซาวด์เอ็นจิเนียร์เทรนโฆษกหัดใหม่ที่แค่อ่านสคริปต์ให้ตรงกับภาพบนจอยังทำไม่ได้ แต่พอเห็นว่าฝ่ายนั้นเริ่มทำได้ดีขึ้นหลังจากโดนทักท้วงให้แก้ไข เขาเลยทนและช่วยกำกับไปเรื่อยๆ กระทั่งงานออกมาน่าพอใจในที่สุด

“...ถ้าอย่างนั้น รบกวนส่งไฟล์เสียงไปทางอีเมล์นี้ให้ผมด้วยนะครับคุณตุ้ย”

ร่างในชุดสูทลุกขึ้นพลางหยิบนามบัตรออกมายื่นให้ชายร่างท้วม อีกฝ่ายจึงพยักหน้า “ได้ครับคุณใหญ่ อ้อ น้องภาค วันนี้ขอบใจมากนะ กลับได้แล้วล่ะ”

ภูวนัยกะพริบตาปริบๆ เพราะคนพูดมองเขาด้วยสายตาประหนึ่งจะถามว่า ‘ยังอยู่ทำไม?’ ก็เขาไม่เคยมาอัดเสียงนี่นา จะไปรู้ได้ยังไงว่าถ้าลูกค้าโอเคแล้วหมายถึงเขาสามารถปลีกตัวได้เลยหรือว่าต้องอยู่รออะไรอีกรึเปล่า ไอ้ภาคก็ดันลืมบอกเรื่องนี้ไว้ซะด้วยสิ

แต่ในเมื่อเปิดทางให้แล้ว...งั้นเขาก็ไม่อยู่ต่อล่ะนะ อยากกลับเต็มทน

“ได้ครับ ถ้างั้นผม...”

จ๊อกกกกกกกกกกกกกกก.........

ภูวนัยยังพูดไม่ทันจบ เสียงจากท้องก็ดังแทรกขัดจังหวะขึ้นอย่างเหมาะเหม็ง สายตาสองคู่ที่มองตรงมาทำเอาชายหนุ่มรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า เพราะว่าในห้องเงียบมากจนเสียงโครกครากนั้นดังเข้าหูทุกคนอย่างช่วยไม่ได้

“หิวข้าวแล้วสิเนี่ย จะสามทุ่มแล้วนี่นะ สมควรอยู่หรอก”

พี่ตุ้ยพูดพลางหัวเราะร่วน ส่วนคนถูกแซวได้แต่ทำหน้าปุเลี่ยนๆ ยิ่งพอเหลือบเห็นนัยน์ตายิ้มๆ ของคนตัวใหญ่ในชุดสูทก็ยิ่งขวางหูขวางตาเข้าไปอีก ก็ต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่กล้าออกไปหาข้าวเย็นทานมันก็เพราะรอเจ้าบ้านี่อยู่ไม่ใช่เรอะ!?

เหมือนจะรู้ว่ากำลังโดนด่าในใจว่าอะไร เมธาวัจน์จึงกระตุกมุมปากกว้างขึ้นอีกนิด “ผมคงต้องรับผิดชอบที่ทำให้คุณภาคไม่ได้กินข้าวเย็นตรงเวลา ไหนๆ พอออกจากสตูดิโอไปจะมีร้านอาหารอยู่ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวก็แล้วกัน”

“ขอบคุณแต่ผมไม่...” จ๊อกกกกกกกกกกกกกกก.........

โว้ย!!! ภูวนัยอยากจะต่อยท้องตัวเองสักสองสามทีเผื่อมันจะหยุดร้องให้เจ้าของขายหน้า พี่ตุ้ยคงนึกว่าชายหนุ่มเกรงใจเลยช่วยพูดอย่างใจดี

“เอาน่ะภาค คุณใหญ่อุตส่าห์มีน้ำใจ อีกอย่างท่าทางเราเหนื่อยมากแล้วนะน่ะ หาอะไรกินก่อนกลับบ้านก็ดีนะจะได้ไม่เป็นโรคกระเพาะ”

เสียงพูดอย่างใจดีโดยไม่ตะขิดตะขวงใจสักนิดว่าเขาไม่ใช่ภาคินตัวจริงทำให้ภูวนัยเกรงใจไม่น้อย สุดท้ายก็เลยตัดสินใจตอบรับไปแบบส่งๆ เพื่อตัดปัญหา

“...เอางั้นก็ได้ครับ ถ้างั้นผมลาล่ะครับพี่ตุ้ย”

ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้สูงวัยก่อนจะเดินผ่านหน้าเมธาวัจน์ไปผลักประตูหนาหนักออก ชายร่างสูงใหญ่จึงเอ่ยลาซาวด์เอนจิเนียร์ร่างท้วมก่อนจะเดินตามภูวนัยออกมา และพบว่าอีกฝ่ายรอเขาอยู่ที่ชานพักบันไดเนื่องจากห้องบันทึกเสียงนี้อยู่บนชั้นสาม

“คุณไม่ต้องเลี้ยงมื้อเย็นผมก็ได้ เดี๋ยวผมไปหาอะไรกินเอง ขอบคุณ”

น้ำเสียงของภูวนัยค่อนข้างอ่อนแรง ถึงแม้แววดื้อรั้นจะฉายชัดเต็มสองตา เมธาวัจน์จึงเดินลงไปใกล้ๆ แล้วยิ้ม

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย อีกอย่างผมก็ยังไม่ได้กินมื้อเย็นเหมือนกัน หรือคุณต้องรีบกลับไปกินข้าวกับแฟน?”

“มีแฟนให้กลับไปกินด้วยก็ดีสิ”

ภูวนัยตอบทันควัน ไม่ได้เฉลียวใจสักนิดว่ากำลังโดนหลอกเก็บข้อมูล

“ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ คิดซะว่ากินข้าวเป็นเพื่อนผมก็ได้”

เมธาวัจน์เดินลงบันไดผ่านชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าเพื่อลงไปชั้นล่าง ภูวนัยจึงรีบเร่งฝีเท้าตาม ก็เขาไม่อยากฝืนทำตัวเป็นไอ้ภาคแล้วนี่นา!!

“นี่คุณ! ผมไม่อยากเสียมารยาทนะ แต่ถึงยังไงผมก็อยู่กินข้าวกับคุณไม่ได้ พี่ชายผมนอนอยู่โรงพยาบาล ผมต้องกลับไปดูแลหมอนั่นเข้าใจไหม?”

ดูท่าไม้นี้จะได้ผล เพราะเมธาวัจน์หยุดเดินแล้วหันมาเลิกคิ้วโดยไม่พูดอะไร ภูวนัยนึกว่าคงหมดปัญหาเสียทีเมื่ออีกฝ่ายเดินต่อลงไปชั้นล่าง ที่ไหนได้ พอออกมาสวมรองเท้าที่หน้าทางเข้ากันเรียบร้อย เจ้าคนตัวใหญ่ใส่สูทกลับหันมาถามเขาอีก

“คุณขับรถมาหรือเปล่า?”

“หือ? เปล่า”

ภูวนัยตอบแบบพาซื่อ เมธาวัจน์จึงหยิบรีโมทออกมาปลดล็อครถยนต์ที่จอดอยู่หน้าทางเข้าสตูดิโอพลางพูดเรื่อยๆ “ดึกป่านนี้แล้ว กว่าจะโทรให้ยามเรียกแท็กซี่เข้ามาให้ก็คงนาน เดี๋ยวติดรถผมออกไปก็แล้วกัน”

“ไม่....”

...จำเป็น ภูวนัยเกือบจะพูดต่อถ้าไม่เพราะคิดตามแล้วก็เห็นด้วย เพราะว่าสตูดิโอแห่งนี้อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งแถมอยู่ในซอยลึกมาก ตอนเข้ามาเขายังจำได้ว่าต้องช่วยคนขับแท็กซี่มองหาซอยอยู่ตั้งนาน แถมตอนนี้ยังทั้งเหนื่อยทั้งหิว อย่างน้อยๆ ติดรถคนอื่นออกไปเรียกแท็กซี่ที่ปากซอยก็น่าจะดีกว่า

“ก็ได้ ขอบคุณ”

ภูวนัยตอบรับแบบเสียไม่ได้ ก่อนจะยอมก้าวขึ้นไปนั่งในรถยนต์คันใหญ่โดยไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มมุมปากของอีกคน พอออกจากซอยนั้นมาถึงทางหลักของหมู่บ้านที่เริ่มจะคุ้นๆ ชายหนุ่มจึงค่อยหันไปบอกคนขับ

“เดี๋ยวให้ผมลงตรงปากซอยก็ได้ เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ต่อเอง”

เมธาวัจน์ไม่ได้ตอบรับและเพียงแต่มองตรงไปข้างหน้า พอถึงหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้ชะลอรถและหักเลี้ยวออกถนนใหญ่เลย แถมยังหักเข้าเลนในเพื่อเตรียมเลี้ยวขวาตรงสี่แยกอีกด้วย ภูวนัยจึงหันขวับไปขมวดคิ้ว

“นี่คุณ! เมื่อกี้ผมบอกว่าจะลงก่อนไง”

เสียงรวนเหมือนคนพูดหงุดหงิดเต็มประดาไม่ได้ทำให้เมธาวัจน์รำคาญ ชายหนุ่มเพียงชำเลืองมองคนข้างๆ

“รู้แล้ว แต่ไหนๆ ผมก็ผิดที่มาสายเลยทำให้คุณเสียเวลา เดี๋ยวผมไปส่งให้ถึงที่เอง พี่คุณอยู่โรงพยาบาลไหนล่ะ?”

ภูวนัยมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนพูดอย่างงุนงง พลันสัญญาณไฟที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวก็ทำให้อีกฝ่ายเร่งเครื่องเพื่อเลี้ยวรถพลางพูดต่อไปด้วย

“ว่าไง? ถ้าไม่บอกผมจะพาขึ้นทางด่วนไปหาอะไรกินในเมืองแล้วนะ”

“เฮ่ย! ไม่เอานะคุณ!! บอกก็ได้ โรงพยาบาล ........”

ภูวนัยจำใจบอกอย่างเสียไม่ได้ เพราะคนขับเล่นเร่งความเร็วเสียขนาดนี้ แถมถนนยังค่อนข้างโล่งอีก เขาไม่อยากโดนพาไปไหนก็ไม่รู้แล้วต้องนั่งแท็กซี่อ้อมไกลเพื่อกลับไปโรงพยาบาลหรอกนะ!!

“ก็แค่นั้น”

น้ำเสียงสบายๆ และมุมปากที่ยกขึ้นทำให้ภูวนัยชักหมั่นไส้คนข้างๆ เต็มแก่ แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้เพราะตัวเองเป็นผู้โดยสาร จึงได้แต่นั่งเงียบๆ ไป แต่สักพักก็ชักทนความเงียบไม่ไหว

“คุณใหญ่ ผมฟังเพลงได้ไหม?”

น่าจะเป็นครั้งแรกกระมังที่เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายนับตั้งแต่เจอกันเมื่อตอนเย็น แต่เขาไม่ชอบบรรยากาศวังเวงในรถกับคนที่ไม่สนิทกันนี่นา อีกอย่างจะให้เรียกแต่ “คุณ” เฉยๆ ก็จะดูเสียมารยาทไปหน่อย

“เอาสิ เปิดวิทยุได้เลย อยากฟังคลื่นไหนก็เลือกเอา”

เมธาวัจน์ตอบโดยไม่ผละสายตาจากด้านหน้าเพราะเริ่มเข้าช่วงที่ถนนเริ่มหดเลนเพราะมีการก่อสร้าง ทำให้รถค่อนข้างหนาแน่น ภูวนัยมองแผงวิทยุที่มีไฟเรืองแสงสีฟ้าแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น ก็ปกติเขาไม่ค่อยได้อาศัยรถใคร อีกอย่างรถแต่ละรุ่นก็มีหน้าตาแผงวิทยุไม่เหมือนกัน แล้วเขาจะรู้ไหมล่ะว่าปุ่มเปิดวิทยุน่ะมันปุ่มไหน

“ปุ่มไหนอะ คุณใหญ่”

ภูวนัยพูดไปโดยที่นิ้วชี้ก็ยังจดๆ จ้องๆ อยู่บนแผง เสียงที่เหมือนเด็กกำลังโวยวายทำเอาเมธาวัจน์ต้องกลั้นหัวเราะพลางยื่นนิ้วออกไปช่วย

“ปุ่มนั้นนั่นแหละ ถูกแล้ว”

นิ้วใหญ่กดเบียดนิ้วของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนปุ่มสำหรับเปิดวิทยุ สัมผัสเล็กน้อยที่ปลายนิ้วกลับทำให้ภูวนัยสะดุ้งจนต้องรีบชักนิ้วกลับ ปฏิกิริยานั้นทำให้นัยน์ตาของเมธาวัจน์เป็นประกายระยับขึ้น

“เมื่อกี้น่ะปุ่มเปิดวิทยุ แต่ถ้าหากจะเลือกคลื่นไหนฟังก็กดปุ่มนี้ ถ้าไม่ชอบก็กดเสิร์ชหาคลื่นอื่นเอา”

เมธาวัจน์อธิบายพลางชี้นิ้วประกอบว่าปุ่มไหนเป็นปุ่มไหน ภูวนัยเลยรอให้อีกฝ่ายดึงมือกลับไปวางบนพวงมาลัยถึงค่อยยื่นนิ้วออกเลือกคลื่นวิทยุอีกที

อาชีพนักวาดภาพอิสระอาจทำให้เขาไม่ค่อยต้องออกไปติดต่อกับผู้คนบ่อยนัก แต่ภูวนัยก็ไม่คิดว่าตัวเองมีจุดบกพร่องด้านมนุษยสัมพันธ์ เพิ่งจะหลังจากเจอตาคุณใหญ่นี่ล่ะที่ทำเอาเขาชักจะสงสัยสกิลการเข้าสังคมของตัวเองขึ้นทุกที ว่าตัวเองเป็นพวกขวางโลก หรือคุณใหญ่เป็นพวกมีน้ำใจกับคนแปลกหน้าเกินเหตุกันแน่

หลังจากเลือกได้คลื่นที่พอใจซึ่งเป็นเพลงสากลแบบฟังสบายๆ ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก แต่แล้วก็มีเหตุให้ภูวนัยขมวดคิ้วอีกจนได้เมื่อเมธาวัจน์เลี้ยวรถเข้าไปในช่องสำหรับสั่งอาหารเพื่อนำกลับไปทานของร้านฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่ง

“นี่คุณ...”

“ผมดูออกนะว่าคุณหิว เดี๋ยวซื้ออะไรมากินระหว่างไปโรงพยาบาลก็แล้วกัน ผมเลี้ยงเอง”

เมื่อรถเลื่อนมาถึงช่องที่มีลำโพงสำหรับโต้ตอบกับพนักงานและป้ายเมนูพร้อมราคา เมธาวัจน์ก็หันมาหาภูวนัยอีกครั้ง

“คุณอยากกินอะไร?”

ภูวนัยเม้มปากและกอดอกแน่น เป็นเชิงปฏิเสธกลายๆ ว่าไม่เอาอะไรทั้งนั้น เมธาวัจน์จึงยิ้มเจ้าเล่ห์

“ไม่สั่งเองก็ไม่เป็นไร งั้นผมสั่งให้ก็แล้วกัน เอาชุดเบอร์เกอร์ปลาครับ”

หา? เบอร์เกอร์ปลาแหยะๆ เนี่ยนะ!? ใครจะไปกินลง!!! “ไม่เอาเบอร์เกอร์ปลาครับ ขอชุดดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์ เพิ่มเป็นไซส์ใหญ่ทั้งเฟรนช์ฟรายส์ทั้งโค้ก แล้วก็เอาพายสัปปะรดด้วยครับ”

คนที่ตอนแรกนั่งเงียบรีบร้องบอกลำโพงเสียงดังก่อนจะถอยกลับไปนั่งที่. นัยน์ตาวาวซึ่งมองเขาอย่างโกรธๆ หลังสั่งเมนูแบบ ‘จัดเต็ม’ ทำให้เมธาวัจน์หัวเราะก่อนจะหันกลับไปทวนราคากับพนักงาน จากนั้นจึงค่อยเคลื่อนรถต่อไปยังจุดจ่ายเงินและรับอาหาร

หลังจากได้เมนูที่สั่งและขับรถออกมาจากร้าน ภูวนัยก็หยิบดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์ขึ้นกินแบบใส่อารมณ์ จากที่ตอนแรกเกือบๆ จะญาติดีกับคนใส่สูทได้แล้ว ไปๆ มาๆ กลับต้องหงุดหงิดซ้ำที่ไม่ว่าเขาจะอยากทำอะไร ก็จะโดนอีกฝ่ายดักทางจนต้องยอมทำตามไปซะทุกที ตั้งแต่ที่โดนตะล่อมให้ขึ้นรถมาด้วยแล้วนะ ฮึ่มๆๆ

“เห็นผอมๆ อย่างนี้แต่กินจุผิดคาดนะ”

เมธาวัจน์เอ่ยเปรยๆ หลังจากเห็นคนข้างตัวฟาดทุกอย่างเรียบวุธในเวลาไม่กี่นาที ภูวนัยจึงยักไหล่ไม่ตอบขณะดูดน้ำอัดลมในแก้วพลาสติก พลันชายหนุ่มก็นั่งตัวแข็งเมื่อจู่ๆ นิ้วใหญ่ก็ยื่นมาสัมผัสมุมปากเขาเบาๆ

ภูวนัยหันหน้าไปมองคนที่ถือวิสาสะเอานิ้วมาลูบปากเขาทันที เมธาวัจน์ที่ยังนั่งตัวตรงอยู่ที่เดิมกลับไม่ได้แสดงสีหน้าสำนึกผิดสักนิด แล้วก็เพียงแต่ชักนิ้วกลับยิ้มๆ

“ขอโทษที เห็นมุมปากคุณเลอะซอสตั้งนานแล้วเลยทนไม่ไหว ขอกระดาษทิชชู่หน่อยสิ”

เมธาวัจน์เอ่ยพลางบุ้ยคางไปทางกระดาษทิชชู่พิมพ์ลายที่อยู่บนตักของภูวนัย พลันคนถูกมองก็รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวแบบไร้เหตุผล ชายหนุ่มหยิบกระดาษทิชชู่แผ่นนั้นขึ้นมาปาดไปบนปากตัวเองลวกๆ ก่อนจะยื่นส่งให้อีกฝ่ายอย่างประชด แต่แย่หน่อยที่เมธาวัจน์เห็นผิวแก้มที่แดงขึ้นมาเพราะแสงไฟข้างถนนที่เป็นใจเสียแล้ว

คนตัวใหญ่หัวเราะพลางใช้ทิชชู่ด้านที่ยังไม่เลอะเช็ดนิ้ว จากนั้นก็ใส่กลับลงในถุงที่มีเศษกระดาษห่ออาหารซึ่งถูกขยำรวมๆ กันเอาไว้ ภูวนัยรีบดูดน้ำให้หมดแก้วก่อนจะทิ้งลงถุงแล้วมัดปากถุงแน่นๆ หลายตลบ ราวกับเจ้าถุงที่น่าสงสารเป็นตัวแทนของอะไรสักอย่างที่เขากำลังอยากใส่อารมณ์เสียเต็มประดา

ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานเหลือเกินสำหรับภูวนัยก็จบลงเมื่อเขาเห็นป้ายโรงพยาบาล ชายหนุ่มแทบร้องไชโยด้วยความดีใจเมื่อเมธาวัจน์เลี้ยวรถเข้ามาจอดตรงจุดรับส่งหน้าทางเข้าอาคารให้ ตอนนี้เขาอยากลงจากรถคันนี้และไปจากเจ้าคนที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ นี่จะแย่อยู่แล้ว ถึงจะดูเหมือนเจ้าตัวใจดีมีน้ำใจกับเขาขนาดไหนก็เถอะ

“ขอบคุณครับที่มาส่ง ถ้างั้นผมขอตัวล่ะนะ”

ภูวนัยหันไปไหว้ลาทั้งที่บนนิ้วมีถุงขยะห้อยต่องแต่ง เมธาวัจน์จึงยกมือรับไหว้พลางถามยิ้มๆ “ผมลงไปเยี่ยมพี่ชายคุณได้มั้ย?”

ไม่ได้โว้ย!! จะบ้าเรอะ!!!

ภูวนัยเงยหน้าพรวดพร้อมกับทำตาโต คนเห็นเลยหัวเราะเสียงดังก่อนจะยื่นมือไปตบบ่า

“ผมล้อเล่น คืนนี้คงไม่รบกวนคุณมากไปกว่านี้แล้วล่ะ ขอให้พี่ชายหายเร็วๆ ก็แล้วกัน แล้วถ้ามีงานที่ต้องใช้เสียงคุณอีกคงได้เจอกันใหม่”

ภูวนัยทำหน้าปั้นยากเพราะมือของคนพูดยังวางอยู่บนไหล่ แต่เขาก็ได้แต่พยักหน้าไปส่งๆ เพื่อตัดบท เพราะต่อให้บริษัทของเมธาวัจน์ติดต่อมาเพื่อใช้บริการอีกจริงๆ คราวนี้คนที่จะได้ไปเจอหมอนี่ก็คือไอ้ภาค ไม่ใช่เขา!!

“ครับ คง...ได้เจอกัน...มั้ง”

ชายหนุ่มตอบแล้วก็รีบผลุนผลันออกจากรถ เมธาวัจน์มองตามแผ่นหลังของคนที่จ้ำฝีเท้าเข้าไปในตึกอย่างกับโดนอะไรไล่กวดแล้วก็ยิ่งหัวเราะมากเข้าไปอีก ไม่น่าเชื่อว่าแค่เย็นวันนี้วันเดียว เขาจะหัวเราะบ่อยกว่าทุกวันรวมกันในสัปดาห์นี้ไปเสียแล้ว

เป็นเด็กที่แกล้งแล้วสนุกชะมัด ถ้าได้เจอกันอีกจริงๆ ก็คงดี...

เมธาวัจน์คิดยิ้มๆ พลางเตรียมตัวจะขับรถกลับบ้าน แต่แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับวัตถุอะไรบางอย่างบนเบาะข้างตัว ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู และพบว่าเป็นกระเป๋าสตางค์ทำจากหนังสีน้ำตาลซึ่งน่าจะผ่านการใช้งานมาหลายปี และถึงแม้วันนี้ตลอดทั้งวันจะไม่มีใครได้นั่งรถมากับเขาเลยนอกจากคนที่เพิ่งพามาส่ง กระนั้นเขาก็ยังพลิกเปิดกระเป๋าสตางค์เพื่อตรวจดูให้แน่ใจ

“ภูวนัย ชื่นวสันต์ กับ...ภาคิน ชื่นวสันต์ อื๋อ?”

บัตรประชาชนสองใบที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์นอกจากธนบัตรใบละร้อยไม่กี่ใบดึงดูดความสนใจของเมธาวัจน์ เขาเปิดไฟบนเพดานรถเพื่อจะเทียบบัตรทั้งสองใบให้ชัดๆ นอกจากชื่อที่ต่างกันแล้ว รายละเอียดอื่นๆ เช่นนามสกุล ที่อยู่ หมู่เลือด วันทำบัตรและวันหมดอายุ กระทั่งหน้าตาของคนในบัตรก็เหมือนกันแทบจะถอดกันมา จะมีความต่างนิดหน่อยหากสังเกตดีๆ ก็คือคนหนึ่งจะผมรองทรงยาวกว่าอีกคนเล็กน้อยเท่านั้น

คงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะไปทำบัตรประชาชนสองใบในวันเดียวกันเพราะสำนักงานเขตมีทะเบียนเกิดสำหรับตรวจสอบ ไหนยังจะทรงผมที่ต่างกันและเสื้อคนละสีนั่นอีก แต่ในเมื่อหน้าตาและนามสกุลเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน แถมยังเกิดวันเดียวกันและหมู่เลือดเดียวกันเช่นนี้...ก็สรุปได้อย่างเดียวเท่านั้น

ฝาแฝด...

เมธาวัจน์เก็บบัตรประชาชนทั้งสองใบลงกระเป๋าเหมือนเดิมพลางมองกลับเข้าไปในโรงพยาบาล ครู่หนึ่งก็เลิกล้มความตั้งใจที่จะเดินเอากระเป๋าไปฝากนางพยาบาลเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ ชายหนุ่มเพียงวางสิ่งที่พบไว้ที่เดิมก่อนจะเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งออกสู่ถนนใหญ่ บนมุมปากยังคงมีรอยยิ้มแต้มอยู่เจือจาง

บนโลกนี้อาจมีความบังเอิญและไม่แน่นอนให้เผชิญมากมาย กระทั่งคนที่ได้พบเจอก็อาจไม่ใช่คนที่เจ้าตัวออกปากว่าใช่ก็เป็นได้ แต่ท่าทีหลังจากที่ได้ใช้เวลาด้วยกันสั้นๆ ในค่ำคืนนี้รวมกับสิ่งที่วางนิ่งอยู่บนเบาะผู้โดยสารในรถ เมธาวัจน์ก็มั่นใจ...ว่าเวลาที่เขาจะได้พบเด็กคนนั้นอีกคงไม่นานเกินรอเป็นแน่...



++---End---++



A/N: เป็นเรื่องสั้นที่กินเวลาในการเขียนนานมากกกก เพราะขนาดทยอยลงเป็น Note ในหน้าเพจเฟสบุ๊คยังต้องใช้เวลาลงเป็นอาทิตย์ สำหรับเรื่องนี้ตอนแรกคิดพล็อตไว้อย่างนึง แต่พอเขียนไปเขียนมาดันออกมาเป็นอีกอย่าง แถมดูเหมือนจะปลายเปิดให้ต่อเป็นเรื่องยาวได้อีกแล้วล่ะค่ะ 5555 (ถนัดจริงเขียนแบบนี้) สำหรับไอเดียของเรื่องสั้นนี้ก็มาจากที่เดือนก่อนเราต้องเข้าไปคุมงานอัดเสียงที่สตูดิโอบ่อยๆ ก็เลยเกิดความคิดอยากเขียนเรื่องที่ใช้ฉากสตูดิโอดู ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องสั้นที่ใส่ดีเทลเยอะขนาดนี้ แต่ถ้าหากอ่านแล้วสนุกก็จะดีใจมากเลย พอได้เขียนพล็อตที่ค้างในหัวออกมาก็รู้สึกโล่งออกไปหน่อย เผื่อจะได้ไปเขียนเรื่องยาวที่ค้างต่อได้เสียที ส่วนเรื่องนี้...ถ้าวันใดวันหนึ่งคิดถึงขึ้นมาอาจพาคุณใหญ่กับน้องภูกลับมาเขียนต่อก็ได้ ถ้ามีจะมาลงให้อ่านแล้วกันนะคะ ^^V

ปล. อาจมีบางรายละเอียดไม่สมเหตุผลก็มองๆ ข้ามไปก่อนนะ Xd

ปล.2 การพยายามจะเขียนนิยายให้ตลกนี่ยากกว่าเขียนดราม่ามากๆ




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 15 ธันวาคม 2556 11:54:40 น.
Counter : 1636 Pageviews.  

[เรื่องสั้น] นิยายของฉัน


“อีกแล้ว อ่านเล่มนี้อีกแล้ว ไม่เบื่อมั่งหรือไงไอ้แต้ว ฉันเห็นแกอ่านเล่มนี้บ่อยจนแค่เห็นปกก็เอียนแล้วนะ”

เสียงยายเพื่อนตัวดีทักเมื่อฉันหยิบนิยายเล่มโปรดออกมาอ่านขณะกำลังนั่งจิบกาแฟในร้านข้างมหาวิทยาลัยด้วยกัน ฉันก็เลยเอานิ้วชี้คั่นหน้าที่อ่านค้างไว้แล้วปิดหนังสือลง จากนั้นก็หยิบแก้วมอคค่าเย็นขึ้นมาดูดเสียอึกหนึ่ง ก่อนจะเอนลงทำท่าเตรียมจะปักหลักอ่านนิยายต่อด้วยท่วงท่าที่รู้ว่าจะต้องทำให้เพื่อนหมั่นไส้สุดๆ

“การอ่านนิยายถือเป็นการพักผ่อน ช่วยให้จินตนาการของเราเปิดกว้าง ทำให้เราลืมโลกแห่งความจริงได้ชั่วคราว แถมยังทำให้ทักษะทางภาษาไทยของเราพัฒนาขึ้น และที่ฉันชอบอ่านนิยายเล่มนี้ก็เพราะคนเขียนเขาเขียนได้ถูกใจ ต่อให้อ่านซ้ำอีกกี่รอบฉันก็ไม่เบื่อ คนไร้ความสุนทรีย์ในชีวิตอย่างแกคงไม่เข้าใจหรอก”

“เออ... ฉันไม่เข้าใจ ให้อ่านการ์ตูนขายหัวเราะยังจะง่ายกว่า นิยายแกแต่ละเล่มหนาเตอะ เปิดไปเจอตัวหนังสือยาวเป็นพรืด แค่เห็นก็ตาลายจะแย่แล้ว ให้ทนหลังขดหลังแข็งอ่านแบบแกทั้งวันฉันคงทำไม่ได้หรอก เอาเวลาไปทำมาหากินอย่างอื่นดีกว่า”

“อือ... แล้วเป็นไง ได้เอาเวลาไปทำมาหากินบ้างหรือยังคะเพื่อน?”

ฉันแกล้งถามโดยสายตายังอยู่ที่หน้าหนังสือ แล้วก็ได้ยินเสียงจึ๊กจั๊กในคอของยายฝ้ายที่คงรู้ว่าฉันตั้งใจจะนั่งที่ร้านนี้อีกนานเพื่อดื่มด่ำกับนิยายในมือ พอลองปรายตามองก็เห็นคุณเธอหยิบเครื่อง PSP ออกมานั่งเล่นด้วยสีหน้าที่บูดหน่อยๆ แต่ดูไปก็น่ารักดี อย่างกับลูกกระต่ายเวลาไม่ได้กินหญ้ายังไงไม่รู้ แล้วก็ให้เดานะ ฉันว่าต้องถูกเผงว่ายายตัวดีก็เล่นเกมเดิมๆ เหมือนกันนั่นแหละ

“แกว่าฉันอ่านนิยายเรื่องเดิมแล้วน่าเบื่อ แกเองก็เล่นเกมเดิมซ้ำซากเหมือนกันนั่นแหละ มันต่างกันตรงไหน?”

คราวนี้ยายฝ้ายสละเวลาขึ้นค้อนฉันแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงมองจอต่อ “ไม่เหมือนกันย่ะ อย่างน้อยในเกมของฉันเวลาเล่นแต่ละรอบก็เปลี่ยนโหมดได้ แต่นิยายแกน่ะอ่านรอบเดียวก็รู้แล้วว่าตัวละครต้องเจออะไร ถึงจะอ่านซ้ำก็ไม่เจออะไรแปลกใหม่ น่าเบื่อจะตายชัก”

“ใครบอกยะว่าไม่เจออะไรใหม่ ถึงเราจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องจะจบยังไง แต่ถ้าเราอ่านหลายๆ รอบก็จะยิ่งเข้าใจถึงสิ่งที่คนเขียนเขาซ่อนไว้และรอให้เราตีความมากขึ้น แถมทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครมากขึ้นจนอินตามไปด้วย เสน่ห์ของนิยายมันอยู่ตรงนี้แหละรู้หรือเปล่า?”

“อ้อ... เหรอ?”

ยายฝ้ายตอบโดยไม่กะพริบตาหรือเหลือบขึ้นจากจอ PSP สักแวบ เฮ่อ... สีซอให้กระบือฟังมันยังทำตาแบ๊วมองเราอย่างงงๆ บ้าง แต่กับยายฝ้ายเวลาเริ่มเล่นเกมแล้วล่ะก็ ต่อให้บอกว่าตอนนี้พี่เบิร์ด ธงไชย มานั่งดื่มกาแฟอยู่โต๊ะข้างๆ ก็คาดว่าหูคงไม่กระดิกกระมัง

แต่จะว่าไป... ฉันก็แอบดีใจลึกๆ อยู่นะที่ยายฝ้ายไม่ชอบอ่านนิยาย และรังเกียจสิ่งที่เรียกว่าหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ทุกชนิดถึงขนาดที่ถ้าไม่ใกล้ฤดูสอบก็จะไม่แตะหนังสือเรียนเลย แต่โชคดีที่ยายนี่ความจำเป็นเลิศ ขอให้ก่อนสอบมีเวลาติวกับเพื่อนที่เก่งๆ หน่อยสักหนึ่งสัปดาห์ ก็จะสอบผ่านได้ทุกครั้งถึงแม้จะแบบคาบเส้นก็ตาม

ส่วนคนโชคร้ายที่ต้องคอยติวให้คุณเธอก็ไม่ใช่ใครหรอก ฉันนี่ล่ะค้า เฮ้อ....ไม่รู้ทำไมตอนเด็กแม่ของพวกเราต้องบังเอิญพาไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลเดียวกันสิน่า หลังจากนั้นพวกเราเลยกลายเป็นคู่หูคู่ฮาที่แงะจากกันไม่ออกมายันมหาวิทยาลัยนี่แหละ

ฉันพ่นลมหายใจก่อนจะสนใจนิยายของตัวเองอีกครั้ง อย่างน้อยการที่ยายฝ้ายไม่ติดตามโลกวรรณกรรมเลยก็ช่วยให้ยายตัวดีไม่เคยรู้ว่าเพื่อนสนิทเป็นนักเขียนนิยายที่ติดอันดับท็อปเท็นของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง แถมตอนนี้สองในเจ็ดเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ก็ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเป็นละครแล้วด้วย โชคดีที่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์หรือปรากฏตัวเวลามีงานมหกรรมหนังสือหรือถูกทางสำนักพิมพ์ขอให้ไปแจกลายเซ็น ดังนั้นคนรอบตัวจึงไม่ค่อยมีใครรู้ว่าฉันเขียนนิยายเป็นงานอดิเรกและได้ค่าลิขสิทธิ์มาเป็นเงินเก็บมากพอสมควร ความจริงแล้วถึงครอบครัวและเพื่อนๆ ฉันจะรู้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่ฉันแค่อยากลองดูว่าตัวเองจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับกับคนรอบตัวไปได้นานแค่ไหนก็เท่านั้นเอง

ฉันพลิกหน้านิยายที่กำลังอ่านไปสู่หน้าใหม่ นิยายเล่มที่ฉันถืออยู่ในมือซึ่งยายฝ้ายบ่นนักหนาว่าเอียนหน้าปกคือนิยายเล่มแรกที่ฉันเขียนและโพสต์ลงในอินเตอร์เน็ต เรื่องนี้ฉันเขียนตั้งแต่สมัยยังเรียน ม. 5 หรือเมื่อสี่ปีที่แล้วแน่ะ ตอนแรกฉันก็แค่อยากเขียนเรื่องแบบที่ตัวเองอยากอ่าน ตัวละครแบบที่ตัวเองอยากเห็นโลดแล่นในเรื่องราวที่ฉันสร้างเอง ไปๆ มาๆ เรตติ้งจากคนอ่านกลับดีมากจนบรรณาธิการของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งติดต่อฉันเพื่อขอเอาเรื่องไปตีพิมพ์ แล้วหลังจากนั้นมาฉันก็เลยกลายเป็นนักเขียนประจำให้กับสำนักพิมพ์นั้นไป

หลังจากผลงานเรื่องแรกที่ออกกับสำนักพิมพ์เป็นต้นมา ผลงานเรื่องต่อๆ มาของฉันเริ่มต้องมีการปรึกษากับบรรณาธิการก่อนจะเขียน บางทีก็โดนขอให้ปรับตรงนั้นหรือลดตรงนี้ ซึ่งฉันก็ไม่ถึงกับฝืนใจเวลาถูกขอให้ทำแบบนั้นหรอกนะ อีกอย่างมันยังช่วยทำให้ฉันนำเสนอเรื่องที่เข้าตาและถูกใจคนอ่านมากขึ้นอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่อยากเขียนเพียงเพราะรู้ว่าจะได้ค่าลิขสิทธิ์มาซื้อขนมกับกาแฟจากร้านโปรดที่ราคาต่อแก้วแสนแพง ฉันยังอยากเขียนด้วยความรู้สึกสนุกกับการได้เขียนเหมือนตอนที่ฉันเริ่มโพสต์นิยายเรื่องแรกในอินเตอร์เน็ตอยู่นี่นา

ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันรู้สึกเบื่อๆ หรือไม่มีอารมณ์เขียนนิยาย ฉันก็จะหยิบนิยายเล่มแรกของฉันเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน ต่อให้หลังจากผ่านการฝึกฝนการเขียนมาเยอะขึ้นแล้วจะทำให้ฉันเห็นจุดอ่อนด้อยของมันเป็นกระบุงก็ตาม แต่ฉันก็ยังจำความรู้สึกดีใจตอนเห็นคอมเม้นต์จากคนอ่านที่มีให้นิยายเรื่องนี้ได้ ยังรู้สึกผูกพันกับตัวละครต่างๆ ในเรื่อง... ราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของฉันที่อาจจะมีโอกาสเดินสวนกันในสถานที่บางแห่ง แล้วก็ความรู้สึกปลาบปลื้มตอนที่เห็นนิยายเล่มนี้ตีพิมพ์ออกมาและขึ้นชาร์ตหนังสือขายดีที่สุดของร้านตลอดทั้งเดือน

สำหรับฉัน ทั้งจินตนาการ ความฝัน ความเหน็ดเหนื่อยและท้อใจ ทุกอารมณ์มันอัดอยู่ในนิยายเล่มแรกของฉันนี่แหละ และถึงต่อจากนั้นฉันจะเขียนนิยายอีกหลายเรื่อง แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนทำให้ฉันภูมิใจและอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกได้อย่างไม่เอียนตัวเองเท่ากับเล่มนี้อยู่ดี

ฉันนั่งอ่านนิยายไปพลาง ได้ยินเสียงกดปุ่ม PSP รัวๆ ของยายฝ้ายไปพลาง แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากยายเพื่อนคนนี้ของฉันเกิดจู่ๆ หันมาสนใจการอ่านนิยาย ยายฝ้ายจะคิดเห็นอย่างไรกับนิยายที่ฉันเขียน จะรู้สึกว่ามันคล้ายกับตัวตนของฉันหรือเปล่า หรือว่ามีข้อติชมที่อาจจะต่างไปจากคนอื่นๆ ที่ฉันเคยได้รับมาบ้างไหม หรือจะหาว่าฉันช่างเพ้อเจ้อได้เป็นคุ้งเป็นแควสมกับที่เป็นคนติดละครงอมแงม ถึงจะรู้ว่ายายฝ้ายเกลี๊ยดเกลียดการอ่านอย่างกับไส้เดือนกิ้งกือก็เถอะ แต่ว่าลองถามดูก็ไม่เสียหายนี่นา อย่างดีก็แค่โดนปฏิเสธแล้วคุณเธอก็กลับไปเล่นเกมเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าจะโดนหักอกหลังสารภาพรักกับหนุ่มที่แอบชอบเสียหน่อย

พอคิดได้แบบนี้ฉันก็เลยปิดนิยายลงแล้วนั่งเอนตัวไปข้างหน้า จากนั้นก็สะกิดแขนยายตัวดีที่ยังจดจ่อกับเกมไม่หยุด พอเห็นว่ายายฝ้ายยอมกด Pause และเหลือบตาขึ้นมองฉันอย่างระแวงแล้ว ฉันก็ยิ้มอย่างที่แน่ใจว่าหวานหยดย้อยที่สุดให้แล้วเอียงคอถาม

“เฮ้ยฝ้าย... อยากอ่านนิยายที่เราเขียนเองป้ะ?”

.

.

.

.

คนเกลียดการอ่านอย่างยายฝ้ายจะตอบว่าอะไรน้า?



++--- End ---++


A/N: เรื่องสั้นเรื่องนี้เคยถูกส่งร่วมสนุกในบอร์ด ลายปากกา ในฐานะนักเขียนรับเชิญ นักเขียนแต่ละคนจะมีเวลาสองสัปดาห์ในการเขียนเรื่องโดยใช้ธีมที่นักเขียนท่านอื่นตั้งให้ ธีมที่เราได้คือ "นิยาย" และเนื่องจากลายปากกาไม่ใช่บอร์ดวาย + อยากลองเขียนเรื่องสั้นที่ไม่โรแมนติกและไม่วายดูบ้าง ก็เลยได้ออกมาเป็นเรื่องนี้ละค่ะ ความตั้งใจแรกคืออยากให้มันขำ แต่ไปๆ มาๆ รู้สึกมันรั่วๆ ไงไม่รู้สิ

สำหรับตัวละครทั้งสองในเรื่องนี้ก็สมมติขึ้นมาทั้งนั้น เพราะเราเองไม่เคยได้ตีพิมพ์นิยายกับสำนักพิมพ์หรือมีคนซื้อลิขสิทธิ์เรื่องไปทำละคร แต่ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกคันไม้คันมือเพราะความกวนประสาทของนางเอก (จะเรียกนางเอกได้ไหมหว่า ไม่มีพระเอกแบบนี้) บางทีนั่นอาจเป็นเพราะคนเขียนเองละค่ะ ฮ่าๆๆ




 

Create Date : 21 มกราคม 2554    
Last Update : 21 มกราคม 2554 9:49:22 น.
Counter : 845 Pageviews.  

1  2  

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.