สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ++------++เล่ห์ลวงใจ บทที่ 32ธีระรู้สึกว่าลำคอแห้งผากทันทีที่หนุ่มลูกครึ่งเดินมาหยุดยืนข้างณรงค์ ขณะที่อีกฝ่ายก็ชะงักเมื่อเห็นเขาถนัดตา ถ้าหากนับจำนวนครั้งที่พวกเขาเคยเจอกันจะๆ ในอดีตก็ไม่น่าจะเกินสามครั้ง ทว่าแต่ละครั้งล้วนสร้างความทรงจำที่ทำให้ลืมหน้ากันไม่ลงเด็กหนุ่มรีบก้มลงใช้กล่องโฟมกวาดเศษข้าวใส่ถุงโดยไม่สนคนทั้งคู่อีก แต่พอลุกขึ้นยืนแล้วจะจูงจักรยานจากไปก็มีมือยื่นมาคว้าแขนเอาไว้ เมื่อหันไปมองก็พบว่าเจ้าของมือคือไรอัน...คนรักของณรงค์ที่ไม่เคยญาติดีกับเขามาตลอด จะไปไหน?กลับบ้านธีระเงยหน้าขึ้นตอบเสียงเรียบ เขาเห็นเรียวคิ้วบนใบหน้าของอีกฝ่ายย่นเข้าหากัน ก่อนที่มือของเขาจะถูกดึงไปพลิกดูมือถลอกนี่ เจ็บรึเปล่า?ไม่เท่าไหร่หรอก แค่นี้เดี๋ยวก็หายน้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนลงนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าคนถามดูใส่ใจอาการของเขาอย่างจริงจัง ทว่าอีกใจหนึ่งก็ยังคลางแคลงว่าการแสดงความห่วงใยนั้นมีเจตนาแฝงหรือไม่ถึงจะไม่ค่อยถูกชะตากันเพราะคดีรักสามเส้าในอดีต ธีระก็ตระหนักดีว่าในสายตาคนนอกแล้วเขาคือมือที่สามที่เข้าไปแทรกกลางระหว่างณรงค์กับไรอันช่วงที่กำลังมีปัญหา ดังนั้นเพื่อไม่ให้พี่รงค์ของเขาไม่สบายใจหลังจากที่คู่รักปรับความเข้าใจกันได้แล้ว เขาจึงไม่เคยพยายามติดต่อหรือแวะกลับไปหาณรงค์อีก ทั้งที่คิดว่าตอบไปแบบนั้นคงจบบทสนทนาได้ ธีระก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามถัดไปพักอยู่ไกลจากตรงนี้รึเปล่า?ไกลรึเปล่า...ก็ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก...เฮ้ย! คุณจะเอาจักรยานผมไปไหน!?เด็กหนุ่มตกใจเมื่อจู่ๆ หนุ่มลูกครึ่งก็จูงจักรยานของเขาไปหาณรงค์ที่กำลังยืนสังเกตพวกเขาอยู่ จากนั้นก็ส่งจักรยานให้ราวกับตัวเองคือเจ้าของHe said he doesnt live far from here. Ill drive him home so you can follow us on his bike.ณรงค์มองคนรักของตัวเองแล้วก็เลิกคิ้ว ฝ่ายธีระรู้สึกว่าผิวหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีนี่! บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้เป็นอะไร! แค่นี้ผมขับจักรยานกลับเองได้น่า!เวลาผู้ใหญ่ให้ความช่วยเหลือก็รับๆ ไว้เถอะน่ะ ตามมานี่ไรอันเอ่ยพลางฉุดมือเขาไปยังรถยนต์ที่จอดติดเครื่องไว้ เมื่อธีระหันกลับไปทางณรงค์ก็เห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มอ่อนๆ ให้ ไม่แน่ใจว่าเพราะขำเขาหรือว่าขำที่โดนสั่งให้ขี่จักรยานตามกันแน่"บ้านอยู่ที่ไหน?"ไรอันถามหลังจากพวกเขาขึ้นนั่งบนรถแล้ว ธีระอิดออดนิดหน่อยเพราะยังตะขิดตะขวงใจที่จะทำตัวสนิทสนม ก็พวกเขาไม่เคยคุยกันดีๆ มาก่อนเลยนี่นา จู่ๆ จะให้ผูกมิตรกันทันทีมันจะไม่แปลกไปหน่อยหรือไง?"ถ้าไม่บอกฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอกนะ I'm here for sightseeing anyway."ธีระมุ่นคิ้วเพราะไม่เข้าใจความหมาย แต่เมื่อหนุ่มลูกครึ่งเริ่มขับรถออกห่างจากเส้นทางกลับบ้าน เขาก็รีบหันไปดึงแขนเสื้อทันที"บ้านผมไม่ได้ไปทางนั้น! เดี๋ยวคุณวกไปส่งผมตรงที่เดิมก็ได้ ผมต้องซื้อข้าวไปให้พี่ผมอีก ป่านนี้หิวแย่แล้ว!""ข้าว? ป่านนี้แล้วยังไม่ได้กินอีกเหรอ?"น้ำเสียงนั้นจะว่าดุก็ไม่ใช่ ถามไถ่ก็ไม่เชิง ธีระมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของหนุ่มลูกครึ่งที่กระเดียดไปทางตะวันตกจนไม่น่าเชื่อว่าจะพูดภาษาไทยปร๋อแล้วก็พ่นลมหายใจ"ยังไม่ได้กินทั้งพี่ทั้งผมนั่นแหละ พี่ผมทำงานอยู่ที่บ้านก็เลยให้ออกมาซื้อข้าวให้ ขอร้องล่ะ พาผมไปส่งที่เดิมแล้วก็คืนจักรยานผมมาก็พอ ไม่สงสารพี่รงค์บ้างรึไงที่อยู่ๆ ก็ให้ไปปั่นจักรยานกลางแดดแบบนี้?"ไม่รู้ว่าเมฆฝนเมื่อเช้าหายไปไหนหมด ตอนนี้แสงอาทิตย์จึงแผดจ้าไปทั่วจนแค่มองออกไปนอกรถก็แสบตา ไรอันเหลือบมองกระจกมองหลังและเห็นณรงค์ที่กำลังขับจักรยานตามมาอยู่ห่างๆ จึงชะลอรถแล้วก็จอดหน้าร้านอาหารตามสั่งอีกแห่งที่ขับรถผ่านพอดี"ถ้างั้นก็ซื้อข้าวจากร้านนี้ไปให้ก็แล้วกัน แต่ส่วนของนายน่ะไม่ต้อง เดี๋ยวไปกินกับฉันกับณรงค์ก็ได้ เพราะพวกฉันก็ยังไม่ได้กินข้าว"วันนี้มันวันซวยประจำปีของเขาหรือไงกัน ธีระได้แต่คิดขณะอ้าปากค้างมองคนที่มัดมือชกแบบไม่เปิดทางเลือกให้ กระทั่งอีกฝ่ายยื่นมือผ่านตัวเขาไปผลักประตูเปิด เขาถึงค่อยได้สติแล้วเดินลงไปสั่งอาหารให้ปิยพลอีกครั้งหลังจากได้อาหารที่สั่งแล้วเขาก็ก้าวขึ้นรถ จากนั้นก็บอกทางไปบ้านของปิยพลซึ่งโชคดีว่าอยู่ไม่ไกลร้านอาหารที่เพิ่งแวะ ตลอดทางก็ได้แต่นึกเห็นใจณรงค์ที่ต้องปั่นจักรยานตามทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เมื่อเขากลับไปถึงบ้านในที่สุดก็พบว่าญาติผู้พี่ยังนั่งทำงานคร่ำเคร่งอยู่ที่โต๊ะเหมือนไม่ได้ลุกไปไหน"พี่ปิ๊ก ข้าวกลางวันมาแล้วนะ""อ้าว? พี่เห็นหายไปนานก็นึกว่าแวะซื้ออย่างอื่นมาด้วยซะอีก แล้วตี้ไม่หิวรึไง หรือว่านั่งกินที่ร้านไปแล้ว?"ปิยพลหันมาถามเมื่อเห็นว่ามีข้าววางอยู่บนโต๊ะกลมแค่กล่องเดียว ฝ่ายธีระไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีว่าไปเจอเรื่องอะไรมา แต่แล้วก็ได้ยินเสียงที่ดึงความสนใจจากหน้าร้าน"กระเป๋านี่คุณทำเองเหรอ?"คนที่ถามคือไรอัน ส่วนด้านหลังเจ้าตัวก็คือณรงค์ที่เดินตามเข้ามา ธีระหันไปเห็นก็ทำหน้าเหลอเพราะนึกว่าทั้งสองจะรอเขาอยู่ที่รถ"อ๋อ ใช่ครับ ผมทำเอง"ปิยพลเป็นคนหันไปตอบ เขามองผู้ที่เข้ามาในร้านทั้งสองอย่างพินิจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากกว่านั้น จากท่าทางของหนุ่มลูกครึ่งที่ใช้มือสัมผัสหนังและตรวจช่องกระเป๋าต่างๆ อย่างถี่ถ้วนก็ทำให้เดาได้ว่าคงเป็นคนพิถีพิถันกับการเลือกเครื่องใช้ส่วนตัวมากทีเดียว"คุณมีนามบัตรมั้ย? ผมกำลังมองหาซัพพลายเออร์ทำของที่ระลึกให้ลูกค้าอยู่ บางทีผมอาจเอาสินค้าของคุณไปเสนอให้พวกผู้ใหญ่ดู ว่าแต่ใบนี้ขายเท่าไหร่?"เมื่อดูท่าหนุ่มลูกครึ่งจะสนใจกระเป๋าของเขาจริงๆ ปิยพลจึงเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์เพื่อไปอธิบายสินค้าให้ฟัง ภาพนั้นทำให้ธีระยืนมองอย่างงุนงงเพราะวันนี้เจอแต่สารพันเรื่องที่คาดไม่ถึง นี่เขาอุตส่าห์หนีปัญหาหัวใจมาไกลถึงเมืองน่าน จู่ๆ ก็มาโดนรถเฉี่ยวและพบว่าคนขับคือคนรักของคนที่เคยคบกัน แถมนอกจากผู้ชายคนนั้นจะพามาส่งที่บ้านแล้วก็ยังเจรจาเรื่องธุรกิจกับพี่ปิ๊กอีก หรือว่าเมื่อคืนเขานอนน้อยไปก็เลยยังละเมออยู่กันนะ..."ตี้ ไปล้างมือสิ ถึงจะถลอกแค่นิดหน่อยก็ต้องทำความสะอาดนะ เดี๋ยวจะได้ออกไปกินข้าวกับพวกพี่ไง"ณรงค์หันมาทักเมื่อเห็นธีระยังยืนอยู่กับที่ ปิยพลได้ยินก็หันมาดึงมือเขาไปดู เมื่อเห็นรอยแผลบนฝ่ามือก็ขมวดคิ้ว"มือถลอกเหรอตี้? ไปโดนอะไรมา?""แค่หกล้มน่ะพี่ปิ๊ก ตี้ซุ่มซ่ามเอง""ผมขับรถเฉี่ยวเขาเองแหละ เพื่อเป็นการขอโทษก็เลยจะพาเขาออกไปกินข้าว คุณจะไปด้วยกันก็ได้"เด็กหนุ่มอุตส่าห์พูดปดเพื่อที่เรื่องเล็กจะได้ไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ พอได้ยินไรอันสารภาพอย่างตรงไปตรงมาจึงก้มหน้าลงเพราะกลัวญาติผู้พี่จะดุ แต่ปิยพลเพียงแค่ปรายตามองไรอันแวบหนึ่ง จากนั้นก็จูงมือธีระไปทางห้องน้ำหลังบ้านโดยไม่ซักไซ้"ไหนดูซิ ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แสบรึเปล่าตี้?""นิดหน่อยครับพี่ปิ๊ก"ธีระนิ่วหน้าเมื่อถูกดึงมือไปล้างและฟอกสบู่ใต้ก๊อกน้ำ เมื่อปิยพลเห็นว่ารอยครูดบนฝ่ามืออีกฝ่ายเป็นเพียงรอยตื้นๆ ก็ค่อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หลังจากเอาผ้าขนหนูมาซับน้ำให้แล้วก็เอ่ยถามเสียงเรียบดูเหมือนตี้จะรู้จักสองคนนั้นมาก่อนสินะ แต่ท่าทางจะไม่ใช่เพื่อนที่มหา'ลัยล่ะสิ?""เอ่อ...รู้จักกันตอนฝึกงานน่ะครับ"ธีระตัดสินใจไม่พูดความจริง เพราะถึงตอนนี้มันก็ไม่สำคัญอีกแล้วว่าณรงค์เป็น 'แฟนเก่า' ของเขา ส่วนไรอันคือแฟนตัวจริงของแฟนเก่าคนนั้น เรื่องบางเรื่องยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่อธิบายยากแบบนี้ด้วยปิยพลมองเด็กหนุ่มที่ไม่ยอมสบตาเขาตอนที่ตอบ แล้วก็เพียงแต่ยีผมเขาเบาๆ เมื่อเด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นก็เห็นอีกฝ่ายยิ้มให้อย่างเข้าใจ"เอาเถอะ ถ้าตี้บอกอย่างนั้นพี่ก็จะเชื่อ ว่าแต่จะไปกินข้าวกับเขาใช่มั้ย? อยากให้พี่ไปด้วยรึเปล่า?"ธีระค่อยรู้สึกอุ่นใจที่ญาติผู้พี่ไม่ถามละลาบละล้วง เขายิ้มตอบแล้วก็ส่ายหน้า"ไม่เป็นไรครับพี่ปิ๊ก พี่ปิ๊กต้องเร่งทำงานนี่นา เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วตี้จะรีบกลับก็แล้วกัน""โอเค"ปิยพลพยักหน้ารับ จากนั้นก็กอดไหล่เขาแล้วพาเดินกลับไปหาทั้งสองคนที่ยังรออยู่หน้าร้าน"ถ้าอย่างนั้นผมฝากตี้ด้วยก็แล้วกัน พอดีผมมีงานที่ต้องรีบทำให้เสร็จก็เลยไปด้วยไม่ได้ ถ้าหากยังไม่รู้ว่าจะไปร้านไหน เดี๋ยวผมเขียนแผนที่ให้"ชายหนุ่มหยิบกระดาษมาวาดรูปเส้นทางไปร้านอาหารชื่อดังในตัวเมืองแล้วอธิบายเส้นทางกับณรงค์คร่าวๆ จากนั้นก็หันไปบอกธีระที่ยืนอยู่ข้างตัว"ตามสบายล่ะตี้ ไม่ต้องรีบกลับก็ได้ แต่ถ้าจะให้พี่ไปรับก็โทรมาบอกนะ""ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวพวกผมพามาส่งเอง ไปกันเถอะตี้"ณรงค์เอ่ยพลางหันมาพยักหน้าให้ เด็กหนุ่มจึงเดินตามไปยังรถที่จอดอยู่ริมถนน ปิยพลเดินไปส่งและมองจนกระทั่งรถที่ทั้งสามนั่งอยู่เคลื่อนจากไป จากนั้นก็ยืนกอดอกทำหน้าครุ่นคิดเขาเคยสนิทกับธีระมากตอนอีกฝ่ายยังเด็กก็จริง แต่นับตั้งแต่เขาย้ายมาที่น่านแล้วก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกันบ่อยเท่าเมื่อก่อน อาจกล่าวได้ว่าเขาแทบไม่รู้เรื่องส่วนตัวของญาติผู้น้องนอกจากที่เจ้าตัวเล่าให้ฟัง แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่าผู้ชายสองคนที่เพิ่งแวะมาเยี่ยมบ้านเมื่อครู่นี้คงมีความหลังที่ไม่ธรรมดากับธีระอย่างแน่นอน และเขาก็สัมผัสได้ว่านี่คงไม่ใช่เรื่องที่เด็กหนุ่มอยากจะพูดถึงจึงไม่ได้ถามซอกแซกถึงอย่างไรเสีย...ตอนนี้ธีระก็โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองได้แล้ว การจะคาดหวังให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้เขาฟังเป็นนกแก้วนกขุนทองเหมือนสมัยเด็กคงเป็นไปไม่ได้อีก ชายหนุ่มคิดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ จวบจนกระทั่งรถคันที่ทั้งสามนั่งอยู่วิ่งลับหายไปตรงสี่แยก เขาจึงค่อยเดินกลับเข้าไปทำงานต่อในบ้าน++------++"คุณลองชิมทอดมันนี่ดูสิ รสไม่ค่อยจัดนะ""อืม"ธีระนั่งมองดูณรงค์กับไรอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา 'พี่รงค์' ของเขากำลังตักอาหารใส่จานให้คนข้างตัวอย่างเอาใจ ดูจากท่าทางแล้วสงสัยจะทะเลาะกันก่อนที่จะมาเจอเขาแน่ๆ ถึงได้ต้องคอยง้ออีกฝ่ายอยู่แบบนี้เมื่อครู่นี้ตอนที่พวกเขาออกมาจากบ้านของปิยพล ณรงค์เป็นคนขับรถมาตามเส้นทางในแผนที่จนกระทั่งมาถึงร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ตลอดทางนั้นไรอันไม่พูดอะไรเลยสักคำ กระทั่งมาถึงร้านและสั่งอาหารแล้ว เขาก็ยังได้ยินเจ้าตัวออกเสียงอย่างมากแค่ "อืม" เวลาโดนชวนคุยเท่านั้นหรือที่จริงแล้วไม่ได้อยากพาเขามาด้วยรึเปล่านะ ดูเหมือนทั้งสองคนคงกำลังลาพักร้อนมาขับรถเที่ยวกันเอง แต่โชคร้ายดันขับรถเฉี่ยวเขาพอดี ก็เลยอาศัยเขาเป็นตัวกันชนชั่วคราวรึเปล่า...พอคิดมาถึงตรงนี้ธีระก็ชักกินอะไรไม่ค่อยลง ไม่ใช่เพราะอึดอัดที่ต้องมานั่งกินข้าวกับคนที่เคยคบกันและเจ้าของตัวจริง แต่เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางเสียมากกว่า"ไม่หิวเหรอตี้? หรือไม่ชอบกับข้าวที่สั่งมา? พี่จำได้ว่าตี้ชอบกินกุ้งนี่นา"ณรงค์หันมาทักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มนั่งเขี่ยข้าวไปมามากกว่าจะตักเข้าปาก ความดีใจซ่านขึ้นมาในอกวูบหนึ่งที่อีกฝ่ายยังจำของที่เขาชอบได้ แต่แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายเมื่อเห็นหนุ่มลูกครึ่งหรี่ตามองเขา"ถ้าชอบก็กินสิ บอกแล้วว่าพามากินข้าว ไม่ใช่ให้มานั่งดูคนอื่นกิน เอ้านี่"ผิดคาดเมื่อไรอันเป็นคนตักกุ้งตัวโตออกจากถ้วยต้มยำแล้ววางลงมาในจานให้ แถมนอกจากกุ้งตัวนั้นก็ยังตักไข่เจียวทรงเครื่องตามมาให้อีก ถึงแม้คำพูดที่ใช้จะฟังดูแห้งแล้งไร้น้ำใจ แต่การกระทำที่ตรงกันข้ามก็ทำเอาธีระอึ้งด้วยความสับสน"เอ่อ...ขอบคุณครับ""ถ้าอยากกินอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ก็สั่ง ถึงไงมื้อนี้หมอนี่ก็จ่ายอยู่แล้ว อยากจะสั่งแพงแค่ไหนก็สั่งเลย ไม่ต้องเกรงใจ""รัก...""ทำไม? หรือว่าคุณจะไม่จ่าย?""ผมยังไม่ได้พูดอย่างนั้นซักหน่อย"ณรงค์กับไรอันหยุดเถียงกันเมื่อธีระหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว เด็กหนุ่มหัวเราะจนน้ำตาเล็ดขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองเงียบเสียงเมื่อสำนึกได้ว่ากำลังทะเลาะกันต่อหน้าคนอื่น และเสียงหัวเราะที่ดังไม่หยุดก็เรียกความสนใจของคนโต๊ะข้างๆ ให้พากันหันมามอง"ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะขำนะ แต่ว่ามัน..."ธีระเอ่ยพลางหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาซับน้ำตาบนหางตา รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้หัวเราะเต็มที่เช่นนี้มานานเต็มทน พอได้ส่งเสียงดังๆ แล้วรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก"It's all your fault.""ผมรู้ ผมก็ขอโทษไปก่อนหน้านี้แล้วไง ยังอยากทะเลาะกันให้ตี้เห็นอีกเหรอ?" ธีระหลุดเสียงหัวเราะอีกเมื่อได้ยินทั้งสองยังเถียงกันต่อ สุดท้ายหนุ่มลูกครึ่งก็ส่งเสียงฮึขึ้นจมูกแล้วหันมาสนใจกับการกินข้าวแทน ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มอ่อนๆ และคอยตักอาหารที่รู้ว่าเจ้าตัวชอบเติมให้ ธีระเห็นรอยยิ้มของณรงค์ที่ดูมีความสุขถึงแม้จะถูกคนรักทำให้ลำบากใจ และท่าทีของไรอันที่คงหายโกรธแล้วแต่ยังแสร้งทำหน้าปั้นปึ่ง แล้วไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ยิ้มออกทั้งที่มันน่าจะเป็นภาพบาดใจแท้ๆพวกเขาสามคนจัดการอาหารกลางวันที่เพิ่งได้กินตอนบ่ายจนเกลี้ยง หลังจากนั้นเนื่องจากยังไม่มีแผนจะทำอะไร ณรงค์จึงชวนธีระให้ไปเที่ยววัดที่มีชื่อเสียงในตัวเมืองน่านด้วยกัน"ว่าแต่ทำไมถึงมาเจอกันที่นี่ได้ล่ะ พี่จำได้ว่าบ้านตี้อยู่ที่สุพรรณนี่นา?"เมื่อบรรยากาศผ่อนคลายขึ้นระหว่างพวกเขาสามคน ณรงค์ก็หันมาถามความเป็นไปของธีระขณะกำลังเดินออกจากอุโบสถของวัดแห่งหนึ่งด้วยกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความสุขแล้วกับไรอัน แต่ก็ยังคงรู้สึกผิดต่อเด็กหนุ่มอยู่ตลอดที่เคยทำให้ชีวิตช่วงหนึ่งต้องมาพัวพันกับปัญหาส่วนตัวของเขา"อ๋อ พอดีว่าปิดเทอมนี้ตี้ไม่อยากกลับบ้าน ตอนแรกก็ฝึกงานอยู่ที่กรุงเทพฯ นั่นแหละ แต่พอใกล้เปิดเทอมแล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ก็เลยมาอยู่กับลูกพี่ลูกน้องที่นี่ก่อนน่ะ"ธีระตอบโดยที่ริมฝีปากมีรอยยิ้มน้อยๆ เขาไม่ได้ขยายความว่าเพราะเหตุใดถึงเลิกฝึกงานกลางคัน แต่ดูเหมือนคนฟังก็ไม่ได้ติดใจ"That guy...ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เป็นแฟนหรอกเหรอ?"ไรอันหันมาถามบ้างด้วยแววตาสงสัย ธีระจึงเบิกตากว้างแล้วก็รีบโบกมือปฏิเสธ "ไม่ใช่นะ! พี่ปิ๊กเป็นลูกพี่ลูกน้องผมที่สนิทกันเหมือนพี่น้องจริงๆ แต่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านั้น""หืม...""ผมก็ว่าเขาเป็นห่วงตี้แบบพี่ชายมากกว่านะ ทำไมคุณถึงคิดว่าเขาจะเป็นแฟนกันล่ะ?"ณรงค์ถามอย่างสงสัย เพราะเขาเองก็มีน้องคนละแม่ซึ่งอายุห่างกับตัวเองมากอยู่สองคน จึงค่อนข้างจะคุ้นเคยว่าการแสดงความห่วงใยแบบพี่น้องนั้นต่างจากแบบคนรักอย่างไร"ก็ไม่เชิงคิดว่าจะเป็นแฟนกันหรอก แค่สงสัยว่าใช่หรือเปล่า เพราะวันนี้สายตาเขาที่มองคุณมันธรรมดามาก ก็เลยคิดว่าคงเพราะมีคนอื่นแล้ว"ไรอันบอกสิ่งที่สังเกตเห็นออกมาตามตรง แต่นั่นทำให้ธีระกับณรงค์หันกลับมามองหน้ากัน ฝ่ายณรงค์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจนิดหน่อย ขณะที่ธีระเองก็ประหลาดใจเพราะไม่ทันฉุกคิดเลยว่าวันนี้เขาพูดคุยกับณรงค์ได้โดยที่ไม่รู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนสักนิดสิ่งที่เขามีหลงเหลือเป็นเพียงความรู้สึกดีๆ กับอีกฝ่ายในฐานะคนที่เคยคบกัน แต่มันไม่ใช่ความโหยหาอาลัย หรือว่าอยากได้มาครอบครองเหมือนเช่นที่เคยรู้สึกในอดีต"หรือว่าไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องคนนั้น? แต่ตี้มีแฟนใหม่แล้วสินะ?""เอ่อ..."ธีระได้ยินคำถามแล้วก็รู้สึกว่าสมองตื้อขึ้นมาอย่างกะทันหัน แฟนใหม่หรือ...แฟนที่ว่าคือใครกันล่ะ เขาไม่เห็นจะได้เจอใครอย่างที่ทั้งสองคนพูดถึงเลย คนเดียวที่เขาได้พบในช่วงไม่กี่เดือนนี้ คนที่เข้ามาทำให้สมองและหัวใจเขาสับสนปั่นป่วนจนไม่มีแก่ใจจะคิดถึงคนอื่น...ที่เขานึกได้ก็มีแต่ผู้ชายใจดำคนนั้นคนเดียวมีแต่คุณกฤตคนเดียวเท่านั้น"เฮ้ย! ตี้! ร้องไห้ทำไม?"ภาพของเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้ม แต่ฉับพลันก็มีน้ำตาไหลพรากหลังจากที่เพิ่งโดนถามเรื่องคนรักทำให้ณรงค์ตกใจ กระทั่งไรอันก็เลิกคิ้วสูง"ขอโทษครับ ไม่ใช่เพราะพวกพี่รงค์หรอก ตี้ก็แค่..."...แค่ยังหยุดคิดถึงคนที่ทำร้ายจิตใจคนนั้นไม่ได้สักทีก็เท่านั้น และมันทำให้เขาสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ปล่อยให้คนไร้หัวใจอย่างกฤตภาสเข้ามามีอิทธิพลจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้แบบนี้ นี่ถ้าเจ้าตัวได้มาเห็นว่าทำให้เขาอ่อนแอลงขนาดไหนก็คงจะสมเพชเขาไม่ต่างกัน เพราะคนอย่างคุณกฤตไม่เคยมีหัวใจไว้สำหรับใครหน้าไหนทั้งสิ้นธีระพยายามยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตา เขาได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนที่ไรอันจะเดินเข้ามาใกล้และยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววลำบากใจอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น"Sorry if that question bothered you.""ไม่หรอกครับ ผมขี้แยเกินไปเอง ผ้าเช็ดหน้านี่ไม่ต้องใช้หรอก""เช็ดเข้าไปเถอะน่า ไม่รู้ตัวรึไงว่าน้ำมูกจะไหลเข้าปากอยู่แล้ว"น้ำเสียงของไรอันฟังดูเหมือนรำคาญ แต่มือที่ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับบนใบหน้าให้กลับอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ ธีระได้แต่ยืนนิ่งขณะปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดใบหน้าให้จนสะอาด แถมพอเช็ดเสร็จแล้วเจ้าของผ้ายังยัดมันกลับลงกระเป๋าโดยไม่สนใจว่าจะเลอะเทอะเสียอีก"...ขอบคุณครับ"ธีระเอ่ยอย่างขัดเขินเมื่อตระหนักว่าเพิ่งโดนปลอบใจ แถมที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือผู้ชายคนนี้เคยสาดน้ำใส่ตอนที่เห็นเขาอยู่กับณรงค์เมื่อตอนที่พบกันใหม่ๆ ด้วย พอมานึกเทียบเหตุการณ์ในวันนั้นกับวันนี้แล้วมันช่างต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือเหลือเกิน ดูเหมือนเวลาที่ผันผ่านจะหล่อหลอมให้พวกเขาไม่เหมือนกับตัวตนในวันวานอีกแล้ว"มีปัญหากับแฟนอยู่เหรอตี้ จะเล่าให้พวกพี่ฟังก็ได้นะ อาจจะช่วยอะไรไม่ได้ก็จริง แต่อย่างน้อยตี้อาจสบายใจขึ้น"ณรงค์ตบบ่าเขาแล้วถามอย่างเป็นห่วง เขารู้ดีว่าธีระเป็นคนที่พื้นฐานนิสัยสดใสร่าเริง การที่เด็กหนุ่มจะเสียศูนย์เช่นนี้ได้ก็น่าจะมีสาเหตุมาจากความรักเพียงประการเดียว"ไม่เป็นไรหรอกพี่รงค์ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกหน่อยตี้ก็คงลืมเขาเหมือนที่เขาก็คงลืมตี้ มันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เราบังเอิญได้เจอกัน แต่มันไม่มีทางจะยืนยาวได้ตั้งแต่ต้นแล้ว"เราทำสัญญาเป็นเซ็กส์เฟรนด์กันสามเดือน พอพ้นช่วงนั้นไปก็ถือว่าสัญญาสิ้นสุด ทั้งฉันและเธอไม่มีพันธะผูกมัดกันอีกคำพูดของกฤตภาสเมื่อวันแรกที่ใช้รูปถ่ายขู่ให้เขาต้องรับเงื่อนไขหวนกลับมาอีกครั้ง ตอนนั้นเขาจำใจตอบรับเพราะไม่มีทางเลือก ไหนเลยจะรู้ว่ามันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดเพราะรักข้างเดียวโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยสักนิด อย่างมากที่สุด...ก็คงจะแค่หงุดหงิดที่ยังตักตวงจากเขาไม่ครบช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้เท่านั้นหากเปรียบไปแล้วกฤตภาสก็ไม่ต่างจากพายุที่พัดเข้ามาในชีวิตเขาวูบหนึ่งแล้วก็ผ่านไป ทิ้งไว้เพียงเศษซากความเสียหายในใจที่เขาต้องฟื้นฟูให้กลับมาเป็นดังเดิมตามลำพัง แต่ส่วนที่แย่คือเขาก็ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานสักแค่ไหน หรือว่าจะมีวันที่เขาสามารถกลับไปเผชิญหน้าอีกฝ่ายโดยไม่รู้สึกอะไรเหมือนที่เจอณรงค์ในวันนี้ได้หรือเปล่า"You truly deserve someone better than this asshole."แววตาของธีระคงสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่ไรอันรับรู้ได้ออกมา หนุ่มลูกครึ่งจึงเอ่ยพลางยกมือขึ้นบีบไหล่เขา ฝ่ามือนั้นถ่ายทอดความอบอุ่นมาให้อย่างที่เด็กหนุ่มไม่เคยคิดว่าจะได้รับจากคนที่เคยเป็นคู่อริทางความรักขอบคุณครับธีระเอ่ยอย่างจริงใจโดยมีรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปาก ไม่ว่าเรื่องราวระหว่างพวกเขาในอดีตจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เขารู้สึกดีใจมากที่ได้พบทั้งณรงค์และไรอันพร้อมกัน เพราะมันทำให้เขาตระหนักว่าตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรกับณรงค์มากไปกว่าพี่ชายอีกแล้ว และมันช่วยสลายปมในใจให้คลายไปอีกเปลาะหนึ่งเอาล่ะ ถ้างั้นจะไปเดินเที่ยวที่อื่นกันอีกไหม? หรือว่าเราจะออกเดินทางกันต่อดี ผมกลัวว่าเดี๋ยวจะหลงทางอีกแล้วจะไปไม่ถึงที่พักเอาตอนแรกที่หลงนั่นก็เพราะคุณไม่ดูป้ายบอกทางให้ดีๆ ไม่ใช่รึไง?ไรอันหันไปย้อนคนข้างตัวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ธีระจึงเดาได้ว่าเหตุผลที่คู่รักทะเลาะกันก่อนจะมาเจอเขาก็คงเพราะเถียงกันเรื่องการเดินทางนี่เอง เลยอดจะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้จะไปพักที่ไหนกันเหรอครับ?เชียงรายน่ะ พอดีเพื่อนของพี่เพิ่งย้ายไปเปิดร้านอาหารที่นั่นก็เลยชวนให้ไปเยี่ยม แล้ววันลาหยุดพวกพี่ก็ยังเหลืออีกหลายวัน เลยตัดสินใจขับรถมาเที่ยวกันแทนที่จะบินณรงค์ตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนใจ เขาชินเสียแล้วที่ไรอันจะหงุดหงิดยามที่ไม่ได้อะไรอย่างใจหรือเวลาที่ไม่รู้จะโทษว่าใครผิด แต่โชคดีว่าเขาเรียนรู้มาแล้วว่าเวลาเจอกรณีแบบนี้ให้เออออตามและไม่เถียง เมื่อไหร่ที่ไรอันรู้สึกตัวว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องไม่เป็นเรื่องก็จะหายโกรธไปเองอ้าว! ถ้างั้นก็ต้องขับรถกันอีกหลายชั่วโมงเลยนี่นา งั้นตี้ว่าเดินทางกันต่อดีกว่านะ เพราะช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดี ถ้าเกิดฝนตกหนักเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้จะขับรถลำบากHe has a point. The sky is getting cloudy.ไรอันเอ่ยพลางมองไปบนท้องฟ้าที่เมฆเริ่มรวมตัวกันหนาแน่น ขณะเดียวกันลมก็พัดวูบจนยอดไม้เสียดสีกันดังซ่าถ้าอย่างนั้นไปกันต่อเลยก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวพวกพี่ไปส่งที่บ้านนะตี้ไม่ต้องหรอกครับ จากตรงนี้เดี๋ยวตี้เดินกลับเองก็ได้ ว่าจะแวะซื้อขนมไปให้พี่ปิ๊กด้วย นั่งทำงานทั้งวันคงจะหิวแย่แล้วAre you sure?ไรอันถามเหมือนไม่อยากปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว ธีระจึงพยักหน้าและยิ้มให้ครับ ไม่ต้องห่วง ขอบคุณครับพี่รักหนุ่มลูกครึ่งอึ้งไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยินสรรพนามที่ธีระใช้ ก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะเหลือบไปเขม่นณรงค์ที่หันไปอุดปากหัวเราะอีกทางถ้าอย่างนั้นก็กลับดีๆ ล่ะ แล้วก็...ไว้เจอกันที่กรุงเทพฯไรอันกระแอมก่อนจะเอ่ยทิ้งท้าย ท่าทางเจ้าตัวจะไม่ชินเท่าไห่รที่มีคนมานับถือเป็นพี่น้อง ณรงค์ที่พยายามกลั้นหัวเราะได้สำเร็จค่อยหันมาตบบ่าธีระแล้วกล่าวลาบ้างพี่ดีใจที่ได้เจอตี้วันนี้นะ แล้วก็ดีใจที่เห็นว่าตี้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ถ้าหากมีเรื่องอะไรอยากปรึกษาก็บอกได้ พี่รักเขาคงไม่ว่าหรอกถ้าตี้จะโทรหาหนุ่มลูกครึ่งเหล่มองณรงค์อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขณะหมุนตัวเดินไปที่รถ ธีระเดินตามไปส่งจนกระทั่งทั้งคู่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วก็ยกมือขึ้นโบกให้ แต่ดูเหมือนไรอันยังไม่วางใจจึงเลื่อนกระจกลงถาม"แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ไปส่งที่บ้าน?""แน่ใจครับ ผมเดินกลับเองได้จริงๆ ขอบคุณมาก"เขายืนยันพร้อมรอยยิ้มเพื่อให้ทั้งสองสบายใจ ไรอันเห็นเด็กหนุ่มยืนกรานดังนั้นจึงไม่เกลี้ยกล่อมอีกและเลื่อนกระจกรถขึ้น จากนั้นณรงค์ซึ่งนั่งฝั่งคนขับก็ถอยรถออกสู่ถนนใหญ่ ไม่นานรถเก๋งสีเงินก็วิ่งหายไปจนลับสายตาธีระยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจนกระทั่งไม่เห็นท้ายรถของทั้งคู่อีก ในใจเขาพลันปวดแปลบขึ้นมาวูบหนึ่ง มันไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจที่เห็นคนทั้งสองมีความสุขด้วยกัน ตรงกันข้าม...มันเป็นความรู้สึกอิจฉาที่ทั้งคู่มีในสิ่งที่เขาไม่มีตลอดเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ได้เดินเที่ยวด้วยกันเมื่อครู่ ธีระซึมซับได้ถึงความผูกพันที่ณรงค์กับไรอันมีให้กัน ถึงแม้มันจะไม่ใช่ความรักหวานแหววแบบในอุดมคติ แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าทั้งสองต่างเป็นตัวของตัวเองอย่างสบายใจต่อหน้าอีกฝ่าย รวมถึงความวางใจในตัวคนรักจนไม่จำเป็นจะต้องแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และมันทำให้เขานึกสะท้อนใจขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามคนที่จะรักเขา ยอมรับเขาในแบบที่เขาเป็น คอยงอนง้อเอาใจเวลาไม่ได้อย่างที่ต้องการ และคอยอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไร บางที...สำหรับเขาแล้วอาจจะไม่มีคนเช่นนั้นอยู่กระมังสายลมพัดวูบมาอีกครั้งพร้อมกับหยาดหยดที่เริ่มกลั่นตัวลงมาจากเมฆฝน ความหนาวเหน็บที่ซึมลงบนเสื้อผ้าเพิ่มความหนาวยะเยือกให้หัวใจซึ่งเต้นด้วยจังหวะเฉื่อยชา เด็กหนุ่มดึงฮู้ดที่ติดกับเสื้อยืดขึ้นมาคลุมศีรษะขณะมุ่งหน้าเดินกลับบ้าน โดยที่ตลอดทางนั้นเขาไม่รู้เลยว่าความเปียกชื้นบนใบหน้ามาจากหยาดฝนหรือหยดน้ำในตาของตัวเองกันแน่++---TBC---++A/N: พาน้องตี้กลับมาแล้วค่ะ ขอโทษด้วยที่หายหน้าหายตาไปนานเพราะว่าวุ่นกับการแพ็คส่งผลงานรวมเรื่องสั้น ตอนนี้เคลียร์ออกไปได้หมดแล้ว ดังนั้นจะกลับมาอัพเดทน้องตี้อย่างเต็มตัวเหมือนเดิมละค่า
จีบพี่รักเลยดีกว่า 555+
(จีบจริงน้องตี้คงเครียดกว่าเดิม เอาแต่ใจซะขนาดนั้น 55+)
นี่ขนาดไม่โผล่มา ยังทำน้องร้องไห้ได้
สมเป็นคุณA.H.ของเรืองนี้ จริงๆ