|
16 กุมภาพันธ์ 2555
|
|
|
|
ทัวร์ 5 วัด (2. วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร)
สวัสดีค่ะ
นั่งรถเลี้ยวออกจากวัดเทพธิดาราม ผ่านเสาชิงช้าไปทางถนนอุณากรรณ แล้วย้อนกลับมาจอดด้านข้างวัดสุทัศน์ค่ะ
ดูจากแผนที่วัดนะคะ พระวิหาร อยู่ที่หมายเลข 2 เราเดินเข้าทางประตูทางขวามือที่มีลูกศรสีแดง เลี้ยวขวาไปตามระเบียง ที่เรียกว่าวิหารคต หมายเลข 1 ฟังคำบรรยายแล้วเข้าไปในพระวิหารค่ะ พระอุโบสถ จะเป็นหมายเลข 4 ส่วนหมายเลข 5 เป็นเสาชิงช้า
พอจอดรถ เดินเข้าไปด้านใน เลี้ยวขวาจะถึงวิหารคตที่ล้อมรอบวัดอยู่ทันที ในวันที่คณะของเราไปชมวัดนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ทางวัดกำลังเปิดสนามสอบสำหรับพระด้วยค่ะ มีการจัดโต๊ะไว้รับรองพระที่มาสอบเต็มไปหมด
พระวิหารคต สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ล้อมพระวิหารหลวงทั้ง 4 ด้าน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 156 องค์ ผนังด้านหลังพระพุทธรูปเป็นภาพลายดอกมณฑารพ ซึ่งเป็นดอกไม้บนสวรรค์ที่โปรยปรายลงมาบูชาพระพุทธเจ้า
พวกเราก็เลยต้องลงมานั่งกันตรงนี้แหละค่ะ ช่วงนี้สายแล้ว แดดกำลังแรงมาก ท่านวิทยากรก็บรรยายประวัติของวัดให้ฟังทันที
มองไปทางด้านหน้า เป็นบริเวณรอบๆ พระวิหารหลังใหญ่ ถัดจากวิหารคตที่ล้อมอยู่ จะเป็นพระอุโบสถซึ่งมีขนาดยาวเอามาก ๆ นับเสาชายหลังคารอบ ๆ แล้วมีมากถึง 68 ต้นทีเดียว
พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ เป็นวิหารที่สูงที่สุดในประเทศไทย เมื่อแรกสร้างนั้น รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้ขุดราก ก่อพื้นพระวิหารหลวง สูงจากแผ่นดินเป็นอันมาก ให้เหนือวิหารทั้งปวงในแผ่นดิน แล้วก่อฐานชุกชีให้สูงขึ้นไปอีก เหนือกว่าฐานชุกชีทั้งหลาย จากนั้นก็อัญเชิญพระพุทธรูปโบราณองค์ใหญ่มหึมาขึ้นประทับบนฐานชุกชี แต่ยังมิได้ก่อสร้างต่อ ก็สิ้นรัชกาล
ในการก่อสร้างพระวิหารนั้น รัชกาลที่ 2 ซึ่งทรงพระปรีชาในงานเชิงช่าง ได้มีพระราชศรัทธาสลักบานประตูพระวิหารด้วยฝีพระหัตถ์เป็นประเดิมไว้ด้วย ซึ่งเดิมบานประตูกลางนั้นเป็นบานที่เป็นฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 2 แต่ได้ถูกไฟไหม้บางส่วนจึงได้ถอดไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ซึ่งถ้ามีโอกาสก็น่าจะได้ไปชมกัน เมื่อสร้างพระวิหารหลวงเสร็จ รัชกาลที่ 2 ก็เสด็จสวรรคต
รัชกาลที่ 3 โปรดให้กระทำส่วนอื่นต่อมา คือพระอุโบสถ หอระฆัง หอไตร ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ จนครบ สิริรวมทั้งวัดสุทัศน์ต้องใช้เวลาสร้างถึง 3 แผ่นดิน
อันพระวิหารหลวงวัดสุทัศน์นี้ โอ่อ่าอลังการเป็นที่สุด จากพื้นแผ่นดิน เราต้องขึ้นบันไดไป 2 เมตร จึงจะถึงฐานชั้นที่หนึ่ง อีก 2 เมตร ถึงฐานชั้นที่สอง แล้วอีก 2 เมตรจึงจะถึงฐานพระวิหาร คำว่าวิหารที่สูงที่สุดในประเทศไทย เป็นอย่างนี้นี่เอง
ดูหลังคาเสียก่อน มีหลังคาประธานสองชั้น 1 ตับแล้ว ยังมีหลังคาปีกนกลาดลงมาอีก 3 ตับ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีหลังคามุขสองชั้น หน้าหลัง อีก 1 ตับ ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเหมือน ทำให้อาคารเดียวมีหน้าบัน 4 อัน
ที่หน้าพระวิหารมองขึ้นไปที่หน้าบันด้านบนสุด จะเห็นเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
โดยนัยก็คือเปรียบตัวพระวิหารนี้เป็นเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นที่สถิตของพระอินทร์ และมีความเชื่ออีกด้วยว่าเขาพระสุเมรุนั้นเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล อันหมายถึงความสำคัญและยิ่งใหญ่
เพราะฉะนั้นการสร้างวัดสุทัศน์ฯ ให้มีสัญลักษณ์เปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ ไม่ว่าจะเป็นหน้าบันรูปพระอินทร์ ชื่อวัดที่ตั้งตามชื่อเมือง " สุทัสสนะนคร " อันเป็นเมืองที่พระอินทร์ปกครอง รวมไปถึงทำเลที่ตั้งวัดสุทัศน์นี้ก็ถูกเลือกมาสร้างในตำแหน่งกึ่งกลางของอาณาบริเวณกรุงเทพในยุคนั้น ล้วนแต่จะสื่อให้เห็นความยิ่งใหญ่ของราชธานีแห่งนี้
ส่วนมุขเด็จหรือมุขที่ยื่นออกมา มีหน้าบันเป็นรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณ เป็นส่วนที่สร้างเพิ่มเติมขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งก็เป็นไปตามคติทั่วไปที่วัดของพระเจ้าแผ่นดินที่ถือเสมือนว่าเป็นองค์นารายณ์อวตาร มักจะมีหน้าบันลักษณะนี้
ฐานประทักษิณล้อมพระวิหาร 3 ชั้น ชั้นบนสุดมีวิหารทิศ ทั้ง 4 มุม ฐานประทักษิณชั้นต่อมา มีเจดีย์ศิลาของจีนรายรอบ 4 ด้าน จำนวน 28 ถะ ฐานประทักษิณชั้นล่างกว้างไปจนถึงระเบียงคด
เจดีย์แบบจีนที่เรียกว่า ถะ ตั้งอยู่บนกำแพงแก้วรอบพระวิหาร เปรียบเสมือนเป็นวิมานของกามภูมิเทวโลกที่อยู่ห้อมล้อมตามแนวแกนกลางของเขาพระสุเมรุ
ภายในพระวิหารนั้นมี พระศรีศากยมุนี ประดิษฐานเป็นประธานอยู่
พระศรีศากยมุนีนี้นั้นรัชกาลที่ 1 โปรดให้เชิญลงมาจากวิหารหลวง วัดมหาธาตุ สุโขทัย ซึ่งได้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือราวหกร้อยกว่าปีมาแล้ว ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้มีวัดใหญ่เช่นวัดพนัญเชิงที่อยุธยาไว้ในพระนคร
เมื่อเชิญองค์พระลงมาถึงที่ริมท่าช้างวังหลวงแล้ว ไม่สามารถเชิญเข้าเมืองมาได้เพราะองค์พระใหญ่คับประตู รัชกาลที่ 1 ต้องโปรดให้รื้อประตูเมืองลง ท่าที่เชิญพระขึ้นมานี้ในสมัยนั้นเรียกว่าท่าพระ แต่ต่อมาก็เรียกเป็นท่าช้างวังหลวงอย่างเดิม เพราะผู้คนต่อ ๆ มาไม่เห็นองค์พระ เห็นแต่ช้างในวังหลวงลงมาอาบน้ำที่ท่านี้
พระศรีศากยมุนี พระพุทธรูปหล่อสัมฤทธิ์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย วงพักตร์สวยที่สุดในโลก ฐานผ้าทิพย์ด้านหน้าพระพุทธบัลลังก์บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ 8
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รับสั่งให้พระพิเรนทรเทพขึ้นไปรับพระใหญ่จากเมืองสุโขทัยร้าง ชะลอเลื่อนล่องแพลงมา ขึ้นที่ท่าน้ำวังหลวง แต่องค์พระใหญ่กว่าประตูเมือง จึงโปรดให้รื้อประตูลง สมโภช 7 วัน แล้วยกใส่เลื่อนลากไปตามถนน ทุกแห่งที่ผ่านตั้งเครื่องนมัสการ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขณะนั้นทรงประชวร แต่มีพระราชศรัทธาเสด็จพระราชดำเนินตามขบวนแห่จากท่าช้างถึงที่ตั้งวิหารหลวงกลางกรุง โดยมิได้สวมฉลองพระบาท
ของดีที่น่าชมในพระวิหารก็คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง เพราะวิหารมีขนาดใหญ่โตมาจึงมีพื้นที่เขียนได้มากทำให้ดูยิ่งใหญ่มโหฬารมาก
ผศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ท่านวิทยากร กำลังบรรยายเรื่องภาพผนังให้ฟังในพระวิหาร
ผนังพระวิหารหลวงเขียนเป็นเรื่องอดีตพระพุทธเจ้า 27 พระองค์
ส่วนบนเสานั้นเขียนเป็นโลกสัณฐานตามแนวไตรภูมิ ที่ประกอบด้วยป่า ทะเล มนุษย์ กินนร กินนรี เทวดา นรก สวรรค์
เขียนปะปนกันอยู่บนเสา 8 ต้น รวมทั้งหมด 32 ด้าน ลำดับภาพตามผังไตรภูมิ โดยช่วงบนของเสาทุกต้นเขียนเป็นยอดเขา
ช่วงกลางของเสาทุกต้นเขียนเรื่องราวที่เกิดในโลกมนุษย์
และช่วงล่างของเสาทุกต้นเขียนเรื่องราวที่เกิดในป่าหิมพานต์
ด้านหลังพระประธาน มีศิลปะอีกอย่างที่น่าชมคือ หินสลักสมัยทวาราวดี (ซึ่งก็แปลว่ามีอายุเป็นพันปี) สลักเป็นพุทธประวัติตอนแสดงยมกปาฏิหาริย์ กับตอนโปรดพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
คณะของเราเดินชมภาพ พร้อมกับถ่ายภาพกันอย่างตั้งใจ แต่ความที่พระวิหารใหญ่โตมาก บางภาพอยู่สูงเกินไป เกินความสามารถที่จะถ่ายภาพมาได้
ถ้าท่านอยากเห็นความงามของภาพเหล่านี้ คงต้องไปชมเองซะแล้วละค่ะ ^^
คณะของเราถ่ายภาพกับท่านวิทยากรเป็นที่ระลึก แล้วเดินออกไปชมพระอุโบสถด้านนอกกันค่ะ
ไปชมพระอุโบสถวัดสุทัศน์ฯ กัน ครั้งหน้านะคะ
Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2555 |
Last Update : 26 พฤษภาคม 2555 14:12:23 น. |
|
24 comments
|
Counter : 12713 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: อาคุงกล่อง วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:1:29:35 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:10:09:16 น. |
|
|
|
โดย: AppleWi วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:23:07:20 น. |
|
|
|
โดย: VET53 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:18:33:30 น. |
|
|
|
โดย: Secreate (secreate ) วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:23:28:54 น. |
|
|
|
โดย: รักแรกคลิก IP: 204.136.218.8 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:12:40:19 น. |
|
|
|
โดย: AppleWi วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:13:50:21 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:12:32:37 น. |
|
|
|
โดย: คนนี้ IP: 101.108.0.36 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:10:11:21 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:10:32:16 น. |
|
|
|
โดย: เอื้องใบไผ่ วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:21:00:19 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:12:36:25 น. |
|
|
|
โดย: ชมพูนุช ผ่องใส IP: 61.90.47.102 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:17:05:13 น. |
|
|
|
โดย: AppleWi วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:14:20:08 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:10:12:30 น. |
|
|
|
โดย: AppleWi วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:16:02:06 น. |
|
|
|
โดย: Vet53 IP: 171.7.99.36 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:19:40:08 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:16:15:21 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:10:15:55 น. |
|
|
|
| |
|
|
addsiripun |
|
|
|
|
มาเยี่ยมชม มาทักทายครับ
ผมมัวแต่อัพบล็อกของตัวเองอยู่ กว่าจะเสร็จเลยเพิ่งเข้ามาชมได้ครับ
ในสมัยก่อนได้ไปแถววัดสุทัศน์บ่อยมาก ๆ แต่ก็ไม่ค่อยจะได้เข้าไปไหว้พระด้านในเลยครับ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าวิหารจะใหญ่โตมากขนาดนี้ ดีจังเลยนะครับถ้าได้ไปไหว้พระ ไปเที่ยวชมแล้วมีท่านวิทยากรคอยบรรยายให้คำแนะนำและความรู้ต่าง ๆ แบบนี้ด้วย การไปทัวร์คงจะน่าสนใจขึ้นเยอะเลยครับ
ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะไปทัวร์ไหว้พระที่ได้ความรู้แบบนี้บ้างครับ
อิอิ
ปล. ผมอัพบล็อกใหม่แล้วนะครับ
งานวิวาห์ใต้สมุทร ครั้งที่ 16 ... คู่รักคู่วิวาห์ หลังน้ำสังข์ลั่นระฆังวิวาห์
อย่าลืมคลิกตามไปชมตอนต่อนะครับ