นิทานสี่สหาย (The Four Friends)
ภายในวัดมีรูปของนิทานสี่สหาย ซึ่งพบในทั่วไปในภูฎาน ไกด์เล่าให้ฟังว่าเป็นภาพเขียนที่เล่าเรื่องราวของการอยู่ร่วมกันของสัตว์ 4 ชนิด คือ ช้าง ลิง นกยูง และกระต่าย ซี่งต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นกยูงจะหาเมล็ดผลไม้มาปลูก ลิงเป็นผู้ให้ปุ๋ย ช้างจะดูแลต้นไม้ให้เติบโต และเมื่อต้นไม้ออกผลแล้ว เนื่องจากต้นไม้สูงเกินกว่าสัตว์สี่ตัวจะเอื้อมเก็บถึง พวกมันจึงช่วยเหลือกันโดยช้างจะยืนอยู่ด้านล่างสุด ตามด้วยลิง กระต่ายและนกยูง ต่อตัวกันจนสามารถเด็ดผลไม้ได้
งานฉลองวันเกิด Third King
ชาวภูฎานก็เหมือนคนไทยที่เรียกกษัตริย์เป็นรัชกาล โชคดีที่ฉันได้มีโอกาสเดินสัมผัสชาวภูฎานในงานฉลองอย่างใกล้ชิด เพราะช่วงเวลาที่เราไปน่าจะยังไม่ได้เปิดงาน มีซุ้มเกมส์ต่าง ๆ ที่สามารถไปซื้อคูปองมาเล่นเกมส์ได้เหมือนจัดงานอีเวนต์เมืองไทย บางซุ้มก็เป็นการประมูลราคาสินค้า ฉันเห็นภาพเขียนของประเทศไทยอยู่ที่ซุ้มนี้ด้วยล่ะ เดิมฉันเข้าใจว่าซุ้มนี้เป็นการขายของ แต่พอเงยหน้าจะเห็นป้าย Auction มีซุ้มของ Bank of Bhutan ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หลายคนแต่งชุดประจำชาติด้านหน้ายืนต้อนรับ แอบมองไปเห็นป้ายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มากกว่า 10% แพงกว่าประเทศไทยขณะนี้เชียวล่ะ
ระหว่างนั้นฉันก็ถือโอกาสดูสินค้าพื้นเมืองที่เผื่อจะซื้อติดไม้ติดมือกลับมา ส่วนใหญ่ราคาแพงเหมือนที่ฉันเช็คข้อมูลก่อนออกเดินทางจากเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าสาน ผ้าทอมือ
เข้าร้านขายของ Souvenir ร้านแรก
น้องฉันตั้งกระทู้ในพันธ์ทิพย์ว่า ไปภูฎาน มีของอะไรที่น่าสนใจ มีคนตอบกลับมาว่า ภูฎานเป็นประเทศเดียวที่แม่ไปแล้วบ่นว่าไม่มีของให้ซื้อ แต่เมื่อฉันมาอยู่ที่นี่จริง ๆ ฉันพบว่าของน่ะมีให้ซื้อ แต่แพงมากกว่า ฉันว่าน่าจะเป็นเพราะภูฎานไม่ได้ผลิตสินค้าอย่างเป็นอุตสาหกรรมจริงจัง ดังนั้นสินค้าจึงเสมือน Home made และใช้ระยะเวลานานกว่าจะผลิตได้ 1 ชิ้น เช่น กว่าจะทอผ้าลายสวย 1 ผืนใช้เวลาหลายเดือน ใครอาจมีคำถามต่อว่า อ้าว ไหนว่าคนภูฎานจนไม่ใช่เหรอ ถ้าวัดจาก GDP ที่ทั่วโลกเขาใช้กัน ภูฎานจะติดอันดับท้าย ๆ แล้วคนภูฎานจะเอาตังค์ที่ไหนมาซื้อของ อันนี้ฉันคิดเองตอบเองนะว่า เขาก็ทอเอง หรือทำเองน่ะซี ไม่เห็นจะต้องพึ่งพาใครเลย
ที่ร้านนี้มีภาพทังคา (Thangka) ซึ่งถือเป็นของที่ระลึกอย่างหนึ่งของภูฎาน ฉันถามราคา ภาพละประมาณ 3,000 บาท ภาพทังคาจะมีความหมายแตกต่างกันไป เช่น อายุยืน สุขภาพดี
ลักษณะเป็นผืนผ้าสี่เหลี่ยมไว้แขวนฝาผนังหรือตามแท่นบูชา เป็นรูปพระพุทธรูป พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ เขาว่าถ้าเป็นทังคาที่คนภูฎานไว้บูชาจะผ่านพิธีปลุกเสก เขียนมนตราไว้ด้านหลังเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเป็นทังคาที่วางขายเป็นที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวจะไม่ผ่านพิธีนี้
จากหนังสือ ภูฎาน มนต์เสน่ห์ในอ้อมกอดหิมาลัย สารคดียอดเยี่ยมประจำปี 2543 ที่เขียนโดย พิสมัย จันทวิมล กล่าวว่าในประเทศไทยก็มี ผ้าเขียนสี ที่ช่างบรรจงเขียนถวายเป็นพุทธบูชาในลักษณะเดียวกับทังคา โดยไทยเรียกว่า พระบฏ มีเรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เท่าที่ค้นพบได้และถือว่าเก่าแก่ที่สุดใส่ไว้ในหม้อดินในกรุวัดดอกเงิน อ.ฮอด จ.เชียงใหม่
แต่ถ้าใครสนใจถ้ามีโอกาสแวะไปที่ จ. เพชรบุรี ที่วัดจันทราวาส มีพระบฏที่เขียนเป็นเรื่องพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติถึงปรินิพพาน เดิมมี 9 ผืน แต่ถูกขโมยไป เหลือเพียง 3 ผืนในปัจจุบัน
Window shopping
สถูป 108 กับธงสะบัดลอยฟ้า
ระหว่างทางเดินทางจากเมืองพาโรไปเมืองพูนาคา เรามาถึงสถูป 108 ซึ่งไกด์เล่าว่าควีนมัม (ท่านย่าของจิ๊กมี่)เป็นผู้ดำริสร้าง ภายในสถูป (ไกด์จะเรียกว่า สตู-ปา หรือเป็นคำภาษาอังกฤษว่า Stupa) จะมีพวกพระธาตุ (ก็คงเหมือนบ้านเราน่ะ) บริเวณรอบข้างจะมีติดธงเต็มไปหมด เป็นธงหลายสี เรียกว่า Prayer Flag บนตัวธงจะมีคำจารึกมนตราต่าง ๆ (ฉันว่าเหมือนผ้ายันต์บ้านเรา) ชาวภูฎานจะเชื่อว่าเมื่อลมพัดผ่านธงมนตรานี้จะช่วยพัดพาสิ่งที่ดีมาสู่ผู้คนในแถบนั้น จึงไม่แปลกที่จะพบธงนี้ตามสถานที่ต่าง ๆ ของภูฎาน
ฉันถามไกด์ว่าที่นี่ระดับความสูงเท่าไหร่ ไกด์บอกว่า 3,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล อากาศเริ่มหนาวเหมือนกัน ฝั่งตรงข้ามสถูป 108 กำลังก่อสร้างวัดอยู่ เป็นทางขึ้นบันไดสูงพอควร บริเวณแถบนี้มีดอกไม้สวยงามเต็มไปหมด มีดอกกุหลาบพันปี หรือที่เรียกว่าโรโดเดรนดอน (Rhododendron)
ฟังลามะน้อยสวดมนต์ที่วัดวังดี
เข้าไปให้ห้องเรียนของลามะเด็ก ๆ และ วัยรุ่น (แต่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป) เสียงสวดมนต์ดังกระหึ่มภายในห้อง แต่ฉันรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่บทสวดบทเดียวกัน (แม้จะไม่รู้ภาษาของเขา) ด้านหน้าของลามะน้อยมีหนังสือธรรมะวาง มีเลขหน้ากำกับ ซึ่งตัวเลขหน้าของแต่ละเล่มที่ลามะกำลังสวดอยู่ไม่ใช่หน้าเดียวกัน ลามะบางองค์นั่งโยกตัวไปมาระหว่างสวดมนต์ (ฉันเดาว่าเป็นวิธีแก้ง่วงอย่างหนึ่ง) บ้างก็เงยหน้ามองพวกเรา คงจะคิดว่าเข้ามาทำไมก็ไม่รู้
ออกจากบริเวณห้องนี้ ฉันถามไกด์ว่าลามะไม่ได้สวดมนต์บทเดียวกันใช่มั้ย ไกด์ตอบว่า They study different lesson ซึ่งหมายถึงลามะแต่ละองค์ก็จะสวดบทสวดของตัวเองไป พวกเราสงสัยกันว่าแล้วไม่สับสนหรือเวลาได้ยินบทสวดของคนอื่น คำตอบคือถ้ามีสมาธิจดจ่ออยู่กับบทสวดของตัวเอง ก็จะไม่มีปัญหาหรอก ลามะน้อยจะมีตารางเรียนในแต่ละวัน แต่วันอาทิตย์จะเป็นวันหยุด ฉันฟังตารางเรียน เวลาพักแล้วก็เหนื่อยแทน รู้สึกเหมือนกับตารางปฎิบัติธรรมที่ฆราวาสไปฝึกสมาธิเลย
ลามะน้อยเหล่านี้พูดภาษาอังกฤษได้ไม่เลวเลย พวกเราพบลามะ 2 องค์อายุ 10 กับ 16 ปี ทักทายว่า สวัสดีครับ คงมีคนไทยส่วนหนึ่งแวะเวียนมาเที่ยวที่นี่อยู่บ่อย ๆ
ทัวร์ลีดเดอร์ของเราเล่าว่า ครอบครัวภูฎานจะส่งลูกชาย 1 คนมาบวชเป็นลามะ เมื่ออายุ 18 ปีจะมีสิทธิเลือกว่าจะบวชต่อหรือออกมาเป็นฆราวาส แต่ส่วนใหญ่แล้วจะบวชต่อเพราะการบวชเป็นลามะต่อจะมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีมากกว่าการสึกออกมา
พูนาคาซอง
อยู่ที่ภูฎาน พวกเราจะท่องเที่ยวกันอยู่แค่ 3 จังหวัดเท่านั้น คือ พาโร ทิมพู และพูนาคา พูนาคาจะเป็นเมืองที่อากาศอบอุ่นกว่าเมืองอื่น เป็นที่ประทับของพระสังฆราชในฤดูหนาว ลามะจากเมืองทิมพูและพาโรจะอพยพมาอยู่ที่นี่กัน
ไกด์จอดรถให้เราถ่ายรูปในระยะไกล และเป็นจุดที่แม่น้ำ 2 สี มาบรรจบกันคือแม่น้ำโม กับแม่น้ำโพ (แม่น้ำ ในภาษาภูฎาน เรียกว่า ชู่ Chhu น่าจะตั้งชื่อจากเสียงธรรมชาติของแม่น้ำ)
พูนาคาซองสร้างเสร็จมาประมาณเกือบ 400 ปี
ที่พูนาคาซองจะมีต้นศรีตรัง ซึ่งไกด์บอกว่าสีของดอกศรีตรังจะเปลี่ยนไปตามฤดู ปีที่แล้วที่ทัวร์ลีดเดอร์มาบอกว่ายังเป็นสีเขียวทั้งต้นอยู่เลย ยังพูดจาแซวไกด์ว่า ขอบคุณที่ช่วย decorate ดอกไม้ให้เป็นสีม่วง ให้พวกเรามาเห็น รถจอดให้เราเดินข้ามสะพานไม้ ไม่ใช่สะพานจริงที่กำลังมีการซ่อมแซมในบริเวณแถบนั้น แต่ละคนตื่นตาตื่นใจกับความงดงามของซองและดอกศรีตรัง เรียกว่ากระหน่ำยิงรูปกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว
ฉันขี้นบันไดที่มีความสูงหลายขั้นเพื่อเข้าไปในวัด ก่อนเข้าวัดจะมีกงล้อภาวนาอันใหญ่เช่นเคย เข้าไปไหว้พระ แล้วสังเกตว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่หลายองค์จะขมวดคิ้ว จึงถามไกด์ว่า ทำไมพระที่นี่ต้องขมวดคิ้ว มีความหมายอะไรซ่อนอยู่ ไกด์ตอบว่า เพราะก่อนหน้านั้นที่จะมีการรวบรวมประเทศภูฎาน พระก็เปรียบเสมือนนักรบ เป็นผู้นำของประเทศ ดังนั้นจึงต้องมีบุคลิกที่จริงจัง ให้ผู้คนเชื่อถือ น่าเกรงขาม (ขณะฟังอยู่ฉันคิดถึงเรื่องผู้นำเรื่องสามก๊กขึ้นมาทันที) ฉันเห็นรูปปั้นด้านข้างพระประธานองค์กลาง ลักษณะแต่งกายคล้ายพระ ในมือถืออาวุธสมัยก่อน การจะรวบรวมประเทศไม่ใช่เรื่องง่ายทีเดียว ด้านหน้ามีบัลลังก์สำหรับกษัตริย์นั่ง ซึ่งปัจจุบันที่พวกเรารู้จักคือ จิ๊กมี่ เกเซอร์ เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็จะต้องมาที่นี่ทุกปี สถานะกษัตริย์กับศาสนาพุทธที่นี่ถือว่าอยู่ในระดับที่มีความสำคัญไม่แพ้กันทีเดียว
วัด Chimi Lhakhang 15 นาทีแม้ว สวิสเซอร์แลนด์แห่งเอเซีย
รถพาพวกเรามาจอดที่บริเวณจุดหนึ่ง ไกด์บอกว่าพวกเราต้องใช้เวลาเดินไปวัดต่ออีกประมาณ 15 นาที แต่จริง ๆ แล้วฉันว่าเราใช้เวลากันมากกว่าครึ่งชั่วโมง สำหรับชาวภูฎานแล้ว 15 นาทีคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับบ้านนอก (ภูฎาน) อย่างฉันมันเป็น 15 นาทีแม้วมากกว่า (เหมือนที่ชาวเขาในภาคเหนือของเรา เรื่องเดินขึ้นเขาคือเรื่องธรรมดา)
แต่ด้วยบรรยากาศรอบข้างก็ยังพอเป็นใจให้ชมวิวทิวทัศน์ไปพลาง ๆ ดูการปลูกข้าวบาร์เลย์ ดูชาวบ้านมัดข้าวบาร์เลย์รวมกันแล้วเอาเข้าเครื่องสีข้าว ฉันว่าถ้าเป็นหน้าหนาวบริเวณแถบนี้คงสวยงาม เป็นสวิสเซอร์แลนด์แห่งเอเชียได้เลย
วัดนี้เป็นวัดที่ชาวภูฎานเชื่อว่าจะขอลูกได้ เข้าไปในวัด จะมีถาดที่วางไว้สำหรับทำบุญ กับมีกล่องที่ใส่เงินทำบุญ พวกเราสงสัยว่าแล้วเงินทำบุญของ 2 จุดนี้ต่างกันอย่างไร ไกด์บอกว่า สำหรับในถาดเหมือนเราถวายพระประธานโดยตรง (พระพุทธรูปองค์ใหญ่ในวัด) ส่วนในกล่องหมายถึงสำหรับการใช้จ่ายทั่วไปภายในวัด รวมถึงค่าอาหารลามะ
วัดซิมมี่ เป็นวัดที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 โดยท่านลามะดรุกปา คุนเล ซึ่งเป็นเทพที่มีชื่อเสียงเช่นกันของภูฎาน
ขี่ม้าขึ้นเขาที่วัดทักซัง
วัดทักซัง ซึ่งอยู่บนเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 3,100 เมตร ไกด์ถามความเห็นว่าจะใช้บริการขี่ม้าขึ้นเขากันหรือไม่ ถ้าไม่ใช้ก็ต้องเดินขึ้นเขาอย่างเดียว แต่ก็ใช้เวลานานพอดู และพวกเราก็คงเหนื่อยกันมาก ค่าบริการขี่ม้าจะแบ่งเป็น 2 อัตรา ถ้าจะไปแค่จุดที่ 1 (จากนั้นก็เดินต่อไปเอง) จะอยู่ที่ราคาประมาณ 300 บาท ต่อไปอีกจุดที่ 2 ที่ม้าไปต่อไม่ได้แล้ว จะต้องเดินเองเท่านั้นอีก 200 บาท สรุปพวกเราตกลงกันว่างั้นเลือก 500 บาทไปเลย
จุดแวะจุดที่ 1 ยังอีกไกลโพ้น
เมื่อถึงจุดสุดท้ายที่ม้าไปต่อไม่ได้แล้ว ฉันลงจากหลังม้าพร้อมกับลูบหัวมันที่พาฉันมาอย่างปลอดภัย ใช้เวลาเดินต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง มีทั้งเป็นทางลงเขา และขึ้นเขา เดินไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก (แต่รู้สึกจะพักบ่อย) เห็นเขาว่าเดินอีก 620 ขั้น
ฉันมาถึงจุดสูงสุดจนได้ ซึ่งมันเกินความคาดหวังของฉันอย่างมากเลย มาถึงตรงนี้แล้วเหรอ บริเวณด้านในมีเสียงสวดภาวนา พระพรมน้ำมนต์จากกาน้ำลงบนมือเรา ทัวร์ลีดเดอร์ของเราบอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นะที่จะขึ้นมาได้ขนาดนี้ ดังนั้นควรอธิษฐานตั้งจิตอุทิศบุญกุศลของความยากลำบากในการเดินทางครั้งอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร หรือจะอธิษฐานขอให้สามารถนั่งสมาธิได้ ถ้าใครมีปัญหาในการปฎิบัติ พระที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นพระชื่อ รินโปเช ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นพระองค์แรกที่มาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิที่วัดนี้ และเผยแพร่พุทธศาสนาที่ภูฎาน
ระยะที่เราใช้เวลาขึ้นมา อย่างน้อยก็ 2 ชั่วโมง ดังนั้นฉันจึงอยากอยู่ในนี้นานหน่อย และอยากนั่งสมาธิที่จุดนี้ มีผู้เห็นด้วยกับฉันอยู่หลายคน เราจึงนั่งสมาธิกันสักครู่ แต่อยู่ได้ไม่นานหรอก มีคนแตะตัวฉันบอกว่าเขาไม่ให้อยู่นาน เพราะก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ
มุมมอง ณ จุดด้านบนสุด
ออกมาด้านนอก ไกด์พาไปอีกมุมหนึ่ง มีประตูปิดแต่ให้เราไปยืนดูได้ทีละคน ในห้องนั้นเป็นห้องปฎิบัติกรรมฐานของพระรินโปเช (Guru Rinpoche) ท่านเป็นผู้มาเผยแพร่พุทธศาสนาในดินแดนแถบนี้ในศตวรรษที่ 8 ซึ่งไกด์บอกว่าบริเวณจะมีความศักดิ์สิทธิ์ ความขลัง ของพลังบทสวด สมาธิ
จากประสบการณ์ขี่ม้า กับเดินทรหด บวกความเป็นมาของผู้เผยแพร่ศาสนาพุทธในดินแดนแถบนี้ ความศรัทธาของผู้สร้างวัด จึงทำให้เส้นทางการเดินทางมายังวัดทักซังกลายเป็นสถานที่ที่ฉันประทับใจมากที่สุดในการมาเที่ยวครั้งนี้
โดย: แม่ซานเดอร์ 29 กันยายน 2551 17:42:22 น.
ป้ามดจะมีมุมที่สอนเรื่องการทำ blog ค่ะ (จำไม่ได้ว่าอยู่หมวดไหนแล้ว) เอา code ที่ได้มา copy ใน script area ค่ะ ตอนจัดการ blog ค่ะ
โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) 29 กันยายน 2551 17:50:57 น.
โดย: None of it 30 กันยายน 2551 21:21:41 น.
โดย: เกษค่ะ IP: 125.27.55.24 23 กุมภาพันธ์ 2552 20:58:54 น.