bloggang.com mainmenu search
 

 

 

 

 


3 เดือนแล้วสินะที่กลับจากญี่ปุ่น  เขียนเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นไป 3 ตอน

จนเกือบจะลืมส่วนที่เหลือ

 

หลักใหญ่ของการไปญี่ปุ่นงวดนี้คือไปแบบแบ็คแพค วางแผนเองเที่ยวเอง  ซึ่งกลับกลายเป็นว่าได้รับความประทับใจอีกรูปแบบหนึ่ง และทำให้จดจำเรื่องราวได้ดีกว่าเวลาไปเที่ยวกับทัวร์เสียอีก

 

แต่มี 1 วันที่ซื้อทัวร์

 

ตอนที่ไปซื้อแพ็คเก็จตั๋วเครื่องบิน + จองที่พัก  ก่อนหน้านั้นบัดดี้เล่าว่าวางแผนซื้อทัวร์ 1 วันไปฮาโกเน่  เพราะก่อนหน้านั้นเราวางแผนที่จะไปฟูจิเอง  หลังจากอ่านคู่มือไปญี่ปุ่นจากหนังสือและจากอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าถ้าอยากไปฟูจิให้ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานีหนึ่ง (ลืมชื่อไปละ)  เดินต่อไปอีกนิดจะเจอจุดที่ขายตั๋วเดินทางไปฟูจิโดยรถบัส 

 

บัดดี้บอกว่าดู ๆ แล้วซื้อทัวร์ก็โอเคนะ จัดครอบคลุมไม่ต้องกังวลเรื่องใด ๆ กับการเดินทาง  จ่ายเงินไปทีเดียวเลย  คิดไปคิดมาก็เห็นด้วยเหมือนกัน  ไม่งั้นต้องทำการบ้านหาข้อมูลอีกเยอะ

ทาง H.I.S ออก Voucher ให้มา 1 ใบระบุชื่อเรากับบัดดี้    รวมรายจ่ายวันนี้คือ  5,400 บาท/คน มีอาหารกลางวันให้   ไปโดยรถโค้ชและเดินทางกลับด้วยรถไฟหัวกระสุนชินคันเซ็น   บัดดี้บอกว่าอยากนั่งรถไฟความเร็วสูง

 

 

จุดนัดพบที่รถโค้ชจะมารับคือที่โรงแรมณ จุดแรกที่รถ   Airport Limousine มาส่งตอนวันมาถึง     ตอนวันแรกเราจับเวลาเดินทางจากโรงแรมนี้ไปยังโรงแรมที่พักจริงว่าใช้เวลาเดินทางราวเท่าไหร่  (รวมเวลาเผื่อหลงเรื่องขึ้นรถไฟ)  เพราะสิ่งที่กังวลมากคือความตรงต่อเวลาของญี่ปุ่นที่ทัวร์ 1 วันจะมารับเราตอนเช้า    เพราะถ้าเกิดไปสายละก็เท่ากับว่าเงิน 5,400 บาทที่จ่ายไปแล้วหมดกัน 

 

 

รถโค้ชคันนี้รับนักท่องเที่ยวตามโรงแรมต่าง ๆ เรื่อยไปเป็นจุด ๆ   เป็นการทำทัวร์ที่ค่อนข้าง economy เพราะรถคันเดียวจะได้จำนวนนักท่องเที่ยวให้คุ้มรถ 1 คันหน่อย  สรุปว่ามีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเต็มคันเหมือนกัน   ให้ความรู้สึกเป็นเหมือนทัวร์ international มากเพราะว่าเจอลูกทัวร์หลากหลายประเทศ ทั้งตะวันตก ตะวันออก 

 

ที่รู้สึกแปลกและแตกต่างอีกนิดคือทัวร์ international กรุ๊ปนี้เวลาลง ณ จุดไหน ๆ ไม่ค่อยมีใครออกแนว shopping เหมือนทัวร์คนไทย   และทุกคนตรงเวลากันมาก ๆ    จริง ๆ เราและบัดดี้ก็ไม่ใช่นัก shopping เท่าไหร่  ตกลงกันไว้ว่ามาญี่ปุ่นเน้นมาเที่ยว  มาดูสถานที่ ไม่ได้ตั้งใจตรงไปซื้อของที่ห้างไหน ๆ    ถ้าจะช็อปก็คือจุดที่ผ่านเท่านั้น  ดังนั้นผู้ที่ฝากซื้อของเราเลยต้องบอกว่าถ้าผ่านแล้วเจอก็ซื้อให้นะ  

 

เนื่องจากเราและบัดดี้เป็นกลุ่มแรกที่รถโค้ชคันนี้มารับ ดังนั้นพอขึ้นรถเราเลยแยกกันนั่งเพื่อที่จะได้นั่งเก้าอี้ตัวริมหน้าต่างเพื่อจะได้เห็นวิวข้างทางเต็มที่

 

 เหนือเมฆที่ฟูจิ

 

 

 

ดังนั้นตอนสุดท้ายเราจึงได้เพื่อนใหม่นั่งข้าง ๆ ทักทายกันเธอคือสาวอินเดีย  มาเที่ยวญี่ปุ่นวันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้จะเดินทางกลับ

 

ไกด์ประจำรถเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เก่งมาก มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เธอเล่าให้ฟัง (แต่มาวันนี้ก็ลืมไปแล้ว ไม่ได้บันทึกไว้)   สิ่งที่รู้สึกอย่างหนึ่งเมื่อมาญี่ปุ่นคือทุกคนตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่กับตำแหน่งและความรับผิดชอบของตน  ไกด์ทำหน้าที่เต็มที่  คนขับรถก็เช่นกัน  อีกอย่างคือมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี

 

เนื่องจากวันนั้นรถค่อนข้างติดเล็กน้อย กว่าจะรับลูกทัวร์ตามโรงแรมต่าง ๆ   กว่าจะเดินทางออกนอกโตเกียวก็ใช้เวลาพอสมควรอยู่   จุดแรกของการเดินทางคือไปภูเขาไฟฟูจิ   โชคดีมากที่วันนี้ฟูจิไม่ขี้อาย มองจากระยะไกล   ฟูจิออกมาทักทายอย่างสวยงามทีเดียว  ไกด์บอกว่าทีมเราโชคดีมาก  

 

ถึงจุดที่รถจอดให้ลงมาสัมผัสบรรยากาศที่สวยงามข้างบนฟูจิ   อากาศเย็น ๆ กำลังดีไม่หนาว   มองเห็นปุยละอองเมฆ  “เหนือเมฆ” เป็นอย่างนี้เอง  อากาศใสมาก 

เราแอบสงสัยป้ายนี้ เอ่อ! จะมีใครเรียกรถมารับหรือมาส่งถึงนี่เชียวหรือ  ท่าทางค่าโดยสารคงจะแพงน่าดู 

 

 

 

 

 

 

ล่องเรือโจรสลัด  ชิมไข่ดำเป็นจุดต่อไป  เวลาเลยจุดรับประทานอาหารกลางวันไปแล้ว  แต่เรายังมีเสบียงจากมื้อเช้าติดตัวนิดหน่อย  ไกด์บอกว่าวันนี้คงทานอาหารกลางวันกันสายมาก  กว่าจะไปถึงร้านอาหารที่เขาจัดไว้     

เพราะวันนี้รถค่อนข้างติดตอนออกจากเมือง 

 

แล้วก็ทานอาหารกลางวันช้าจริงอย่างที่ไกด์ว่า น่าจะราวบ่ายสามโมง  เขาจัดให้เป็นอาหารชุด กลุ่มสเต็ก  อร่อยและบรรยากาศในร้านและนอกร้านดีใช้ได้

 

 

 

วันนี้เป็นวันที่รู้สึกว่าเริ่มไม่ค่อยชอบการท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์อีกต่อไป  เพราะการไปสถานที่บางที่จะมีโอกาสได้ใช้เวลาที่นั่นแป๊บเดียวเพราะต้องแข่งกับเวลา      ดูมันรีบ ๆ ยังไงขอบกล   เริ่มชอบการท่องเที่ยวแบบเรื่อย ๆ มาเรียง     การเดินทางแบบ slow life   วันหนึ่งไปน้อย ๆ ที่พอ แต่ขอซึมซับกับสถานที่นั้นนาน ๆ

 

การมาญี่ปุ่นครั้งนี้   จึงประทับใจกับวันที่เที่ยวเองมากกว่า  แม้ว่าบางจุดอาจจะมึน ๆ กับเส้นทางรอยต่อของรถไฟ 

 

 

 

    

 

 

 

 

 

ขากลับไกด์พามาส่งที่สถานีรถไฟพร้อมแจกตั๋วรถไฟชินคันเซ็นให้เดินทางกลับ

 

เพิ่งรู้ว่าทุกคนของกรุ๊ปทัวร์นี้ไม่ได้กลับรถไฟชินคันเซ็น   บางคนกลับด้วยรถโค้ชคันเดิม  เพิ่งถึงบางอ้อว่าค่าใช้จ่ายของแต่ละคนไม่เท่ากัน  ถ้าเลือกขากลับด้วยรถไฟชินคันเซ็นก็แพงกว่าหน่อย    แต่ถ้ากลับด้วยรถโค้ชคันเดิมก็ต้องยอมรับสภาวะที่จะเจอรถติดนิดนึง

ยืนรอรถไฟชินคันเซ็น

 

 

 

 

ถ้าจำไม่ผิด หลังจากขึ้นรถตอนเช้าน่าจะใช้เวลาออกนอกเมืองราว 2 ชม.มั้ง  แต่ใช้เวลาขากลับด้วยรถไฟชินคันเซ็นแค่ 30 นาทีเท่านั้น  เร็วจริง   

 

ช่วงที่ยืนรอรถไฟที่สถานี  เวลารถไฟวิ่งผ่านรู้สึกว่ามันวิ่งผ่านเราไปด้วยความเร็วสูงมาก  แต่ตอนนั่งภายในจริง ๆ กลับให้รู้สึกว่าเงียบนะ  และไม่ได้เร็วมากเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง 

 

เห็นแล้วรู้สึกว่าอยากให้เมืองไทยมีรถไฟดี ๆ อย่างนี้บ้างจัง   เสียดายจังญี่ปุ่นกับไทยเริ่มต้นมีรถไฟในช่วงเวลาใกล้ ๆ กันแต่เวลาผ่านไปเป็นร้อยปี   เรายิ่งห่างจากเขามากมาย

 

เล่าเพิ่มเติมเรื่องใกล้ ๆ โรงแรมที่พัก

ตอนที่มาถึงโรงแรมที่พัก มอง 2 ข้างถนนดูเงียบไม่มีร้านอาหาร ถามไถ่พนักงานโรงแรมได้ความว่าเยื้อง ๆ ฝั่งตรงข้ามโรงแรมจะมีห้าง AEON ซ่อนตัวอยู่และร้านอาหารอีกหลายร้าน   โชคดีได้ AEON และร้านอาหารแถวนี้ช่วยให้รอดชีวิต

 

 

 

 

 

บัดดี้ถามว่าให้คะแนนกับการมาญี่ปุ่นครั้งนี้เท่าไหร่  เราตอบว่า 10/10   บัดดี้บอกว่าให้คะแนนถึงขนาดนี้เชียวเหรอ แม้ว่าวันแรกที่มาถึงนี่มึนตึ้บกับการต่อรถไฟไปโรงแรมพอสมควร       

 

เราว่าเพราะว่ามันได้ประสบการณ์ไง  การให้ 10/10 ไม่ได้หมายถึงเฉพาะช่วงเวลาที่สนุกเท่านั้น  แต่ตอนที่ (เกือบ) หลงมันก็ให้อารมณ์อีกรูปแบบหนึ่ง  ถือว่าเป็นการเรียนรู้ในการเดินทางด้วยตัวเองก็ได้มั้ง

 

มีความสุขนะกับการมาญี่ปุ่น

 

One time is not enough.

 ....รัชชี่....

 ปล.  บันทึกความเซอร์ไพรส์ในการมาญี่ปุ่นอีกอย่าง  ปกติพอทราบข้อมูลว่าสาว ๆ ญี่ปุ่นให้ความสนใจกับเรื่องกระเป๋าแบรนด์เนมมากมาย  แต่แปลกจริงเดินทางด้วยรถไฟเท่าที่ผ่านมา  น้อยมากที่จะเห็นสาว ๆ พกพากระเป่าแบรนด์เนม  กลับกลายเป็นว่าเวลาเราใช้ BTS , MRT ที่เมืองไทยกลับเจอมากกว่าซะงั้น

 

ใครบอกว่าอาหารญี่ปุ่นแพง  สงสัยเป็นเพราะชินกับราคาอาหารบางร้านในห้างของไทย  เผลอ ๆ แล้วจะเท่ากับหรือแพงกว่าอาหารที่ญี่ปุ่นซะอีก

เมื่อเปรียบเทียบค่าเงิน  วิถึการใช้ชีวิต  คนญี่ปุ่นก็คงไม่แปลกเมื่อเทียบค่าเงิน เงินเดือนกับค่าใช้จ่ายของเขา   แต่ถ้ากับเมืองไทย ถ้ายังไม่มีความพร้อมเท่าไหร่ การใช้จ่ายในบ้านเราก็อาจจะเกินตัวเหมือนกัน

เรื่องสุดท้าย ประทับใจห้องน้ำทุกจุดทุกแห่งที่ใช้บริการ เรียกว่าไม่ต้องมีความกังวล  ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำในวัด  ในที่สาธารณะ  ในสถานีรถไฟ  ทุกที่สะอาด มีทิชชู  และรักษาความสะอาดกันเป็นอย่างดี 

 

 

Create Date :31 สิงหาคม 2557 Last Update :31 สิงหาคม 2557 18:41:19 น. Counter : 1491 Pageviews. Comments :4