bloggang.com mainmenu search
ก่อนฤดูท่องเที่ยวยุโรปมาเยือน เป็นช่วงเวลาของการไปต่อ
พาสปอร์ตใหม่ เป็นรุ่น E-passport ด้วย กำลังอยากเที่ยวยุโรป
หาซื้อหนังสือ "รัตนาวดี" บทประพันธ์ของ ว. ณ ประมวญมารค
มาอ่าน เพราะ "รัตนาวดี" เป็นการดำเนินเรื่องการเดินทางในยุโรป
ของนางเอก "รัตนาวดี" น้องสาวท่านชายพจน์ จากเรื่อง "ปริศนา"
นอกจากนี้ก็มีนิยายอีกเรื่องหนึ่งของ ว.วินิจฉัยกุล ซึ่งเขียนนิยาย
เรื่อง "บทเพลงแห่งคิมหันต์" โดยเกิดจากแรงบันดาลใจจากการอ่าน
"รัตนาวดี" เช่นกัน


แล้ววันเวลาก็มาถึง ช่วงที่ไปคือเดือนสิงหา หน้าร้อนของยุโรป
แต่เป็นฤดูที่กำลังดีของฉัน อากาศกำลังเย็นสบาย ได้ไปประเทศ
หลักคืออิตาลี โดยเริ่มต้นที่สวิส ผ่านฝรั่งเศส ที่เมืองชาร์โมนิกซ์
แล้วไปต่อที่เมืองศิลปะวัฒนธรรมแห่งอิตาลี ชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

นี่เป็นภาพเทือกเขาแอลป์ เห็นก่อนเครื่องบินลงที่สวิส



สู่สวิสเซอร์แลนด์

ที่ทำการของสหประชาชาติ ในสวิส



ถ่ายรูปปั๊นข้าง ๆ ตึกสหประชาชาติ แอบถ่ายรูปศิลป์มา สวยดีไหม






แถวริมทะเลสาบเจนีว่า แต่ดู ๆ ไปฉันว่าสวนหลวง ร. 9 ของไทย
สวยกว่าเยอะเลย ช่วงที่ไปเป็นช่วงเทศกาลอาหาร ดังนั้นบริเวณ
ริมทะเลสาบเจนีวาจึงครึกครื้นเต็มไปด้วยร้านค้า มีร้านผดไทย
ของคนไทยด้วยล่ะ มีชิงช้าสวรรค์เมืองฝรั่งด้วย






นาฬิกาดอกไม้ สัญลักษณ์เมืองเจนีวา ซึ่งดอกไม้รอบนาฬิกา
จะเปลี่ยนใหม่ไปเรื่อย ๆ เหมือนสวนหลวง ร. 9 ที่จัดเปลี่ยน
ดอกไม้เรื่อย ๆ น่ะ



มาที่เมืองนาฬิกา ก็ต้องไปดูนาฬิกา ฉันแวะที่ร้าน Bucherer
แต่แอบซื้อLongines ที่สนามบินเมืองไทยไปก่อนแล้ว บวกลบ
คูณหารด้วยอัตราแลกเปลี่ยนในวันนั้น ปรากฎว่าราคาที่สวิสแพง
กว่าไทยประมาณ 500 บาท (นี่ห้กภาษีที่เขาจะคืนให้นักท่องเที่ยว
แล้วนะ) การซื้อของที่นี่ถ้ามีมูลค่า 400 ฟรังก์สวิสขึ้นไป
หรือประมาณ 12,000 บาท ถึงจะคืนภาษีให้



ร้านนี้ก็มีสินค้า Brandname ทั้งหลาย นาฬิกาหลากยี่ห้อ ,
VICTORINOX, SWAROVSKI มีคนขายชาวไทย 1 คนคอย
ให้ความสะดวก เพราะคนขายชาวสวิสพูดได้แต่เฉพาะภาษาฝรั่งเศส ตอนจ่ายตังค์
ฉันชวนคนขายคุย ถามเธอว่าคนไทยมาช็อปปิ้งที่นี่เยอะมั้ย
เธอก็ทำท่าส่ายหัว พร้อมพูดอะไรที่ฉันก็ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน
สรุปว่าเธอพูดภาษาฝรั่งเศส

Charmonix ประเทศฝรั่งเศส อยู่พรมแดนติดกับสวิสเซอร์แลนด์
เป็นเมืองที่น่ารักมาก เมืองเล็ก ๆ ที่สงบ เป็นเหมือนเมืองในฝัน
อยู่ริมเชิงเขามองบลังค์

ยอดเขามองบลังก์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป ที่ระดับ 4,538 เมตร
มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี มีจุดชมวิวที่เห็นทัศนียภาพของเทือกเขา
แอลป์ นี่ขนาดเป็นช่วงหน้าร้อนของยุโรปนะ ฉันใส่เสื้อปาเข้าไป
4 ชั้น ข้างในเป็นเสื้อกล้าม ตามด้วยเสื้อยืด เสื้อแจ็คเก็ตยีนส์
และเสื้อกันหนาวอีก 1 ตัว ถ้าเป็นหน้าหนาวฉันต้องกลายเป็น
หมีตัวพองๆ แน่ ๆ เลย จริง ๆ ฉันเตรียมถุงมือไปด้วย แต่ตอนที่
เพิ่งมาถึง และอยู่ในรถ มองลงไปเห็นนักท่องเที่ยว (ส่วนใหญ่เป็น
ฝรั่ง) ดูแต่งตัวธรรมดา ไม่หนาชั้นมาก ก็เลยคิดว่าหน้าร้อนของเค้า
คงไม่หนาวมาก เมื่อขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปถึงชั้นหนึ่ง ต้องไปต่ออีก
1 ทอด คราวนี้หละ พอลงกระเช้า ลมแรงพัดที มือฉันเย็นเจี๊ยบ
รู้สึกหน้าชา ๆ ริมฝีปากชาไปหมดเลย








ไกด์เตือนตั้งแต่ตอนแรกว่า อยู่ข้างบนแล้วอย่าวิ่ง ให้ค่อย ๆ เดิน
เพราะยิ่งสูง อากาศยิ่งน้อย บางคนอาจวูบได้ ไม่จำกัดว่าอายุน้อย
หรือมาก ถ้ารู้สึกไม่ดีให้ค่อย ๆ นั่ง ปรากฏว่าเจอกับตัวเองเลย
อยู่ข้างบนรู้สึกมึน ๆ งง ๆ เวลาเดิน

ช่วงขาลงจากกระเช้าไฟฟ้า มี 3 จังหวะที่เหมือนเล่นเครื่องเล่น
ไวกิ้งเลยล่ะ ท้องวูบในช่วงที่กระเช้าไฟฟ้าข้ามเขาที่มีระดับสูงชัน
ต่างกัน ลงถึงพื้นดินเป็นอาหารกลางวันพอดี เลยกินอะไรไม่ลง
ขอสั่งน้ำส้มต่างหาก แก้วละตั้ง 3 ยูโร (150 บาท) แต่ก็ยังกิน
ไม่ค่อยได้นัก พอออกจากร้านอาหาร ช่วงเดินเล่นชมวิวทิวทัศน์
เริ่มเข้าสู่สภาพปกติ





Charmonix เป็นเมืองที่น่ารักน่าอยู่ + โรแมนติคเสียจริง ๆ









สู่อิตาลี

เมื่อเข้าสู่ตัวเมืองอิตาลี จะเห็นตึกตามสองข้างทางโดดเด่นไปด้วย
ศิลปะ (ที่ไม่สวยงาม) คือมีการขีดเขียนเละเทะตามตึก ดูแล้ว
เมืองไทยยังมีระเบียบกว่าเยอะ แปลกใจว่ารัฐบาลอิตาลีเค้าไม่
รณรงค์เรื่องนี้กันหรือไง เพราะอิตาลีเป็นเมืองเก่าแห่งศิลปะ
ยังไงก็ต้องมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมชมอยู่แล้ว

รถที่ฉันเห็นจอดตามข้างทางหรือขับอยู่ในอิตาลี ส่วนใหญ่จะเป็น
รถขนาดเล็ก ไซส์เดียวกับ Jazz น่ะแหละแต่เป็นรถยุโรป เนื่องจาก
ปัญหาที่จอดรถที่ไม่เพียงพอ





เดิมจะได้ยินอยู่บ่อย ๆ เวลาอ่านนิตยสารผู้หญิงว่ามิลานเป็น
ศูนย์กลางด้านแฟชั่นแห่งหนึ่งของโลกเหมือนที่กรุงปารีสของ
ฝรั่งเศส มิลานเป็นสวรรค์ของนักช็อปปิ้ง สินค้าแบรนด์เนม
ทั้งหลายของอิตาลีอยู่ที่มิลานนี่เอง ไม่ว่าจะเป็นหลุยส์ วิตตอง ,
กุชชี่

DUOMO คือโบสถ์ โบสถ์ที่นี่สวยงามอลังการมาก ทำด้วย
หินอ่อน เป็นศิลปะแบบกอธิค แต่ไม่น่าเชื่อว่าสถาปัตยกรรม
โบราณอย่างนี้จะอยู่ขนาบข้างด้วยร้านค้าแบรนด์เนมเลยล่ะ
คืออยากซื้อยี่ห้ออะไร หาได้หมดเลย ข้างในโบสถ์ก็สวยงาม
แต่มืดไปหน่อย ข้างนอกดูสวยกว่าเยอะ ด้านหน้าของดูโอโม่
เป็นอนุสาวรีย์กษัตริย์วิคเตอร์ เอ็มมานูเอล ผู้รวบรวมอิตาลีให้
เป็นปึกแผ่นในอดีต









ทุกอย่างที่นี่เป็นเงินเป็นทองหมด ตู้เย็นในโรงแรมไม่มีน้ำเปล่า
ให้ฟรี แม้แต่น้ำเปล่าก็ต้องจ่ายตังค์ แถมแพงด้วย โรงแรม
ที่นี่ไม่มีกาต้มน้ำ ดังนั้นช่วงหัวค่ำจึงเดินออกมาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต
ใกล้ ๆ เดินแบบระวัง ๆ เพราะเขาว่ากันว่าอิตาลีเป็นเมืองน่ากลัว
สำหรับการฉกชิงวิ่งราว ราคาน้ำเปล่าในซุปเปอร์มาร็เก็ตอยู่ใน
ระดับที่พอรับได้ น้ำเปล่าขวดใหญ่ราคา 0.49 ยูโร (25 บาท)
ในขณะที่ตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เราพบเห็น น้ำเปล่าขวดเล็ก
(6 บาทในไทย) ราคาตั้ง 2 ยูโร (100 บาท) แน่ะ



เวนิสแห่งตะวันตก

เป็นสถานที่ที่ประทับใจมาก สวยคลาสิค เป็นที่ที่อยากกลับ
ไปเที่ยวอีกถ้ามีโอกาส ที่เวนิสไม่มีรถวิ่ง ใช้เวลานั่งเรือเมล์
เพื่อมายังเกาะนี้ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เหมือนล่องแม่น้ำ
เจ้าพระยา ผิดกันแต่ว่าสองข้างทางที่จะไปเวนิสเต็มไปด้วยตึก
สมัยโบราณที่ยังอนุรักษ์อยู่



จุดแรกเป็นอนุสาวรีย์วิคเตอร์ เอ็มมานูเอล ณ จตุรัสซานมาร์โค
ศูนย์กลางของเวนิส รอบข้างเป็นโบสถ์เซนต์มาร์ค สถาปัตยกรรม
แบบไบแซนไทน์ สร้างอุทิศให้นักบุญเซนต์มาร์ค ซึ่งเป็นชาวเวนิส
ที่ไปเผยแพร่คริสต์ศาสนาที่อียิปต์ และต่อมาเสียชีวิตที่นั่น มีเรื่อง
เล่าว่ากว่าจะนำศพนักบุญเซนต์มาร์คกลับเวนิส ต้องหลอกล่อชาว
อียิปต์ด้วยการเดินทางมากับหมู เพราะอียิปต์เป็นอิสลาม ดังนั้น
การตรวจตราจึงไม่เข้มงวดนัก



ด้านบนของโบสถ์ทำด้วยโมเสค เล่าเรื่องราวของนักบุญเซนต์มาร์ค
การเผยแพร่ การขโมยศพกลับมายังเวนิส การเคารพบูชาพระศพ
และภาพสุดท้ายเป็นการขนย้ายศพที่ต้องผ่านการตรวจของเจ้าหน้าที่
เมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์







ที่เวนิส จุดหนึ่งฉันคิดว่าคล้ายดูโอโม่ (โบสถ์) ที่มิลาน คืออดีตพบปัจจุบัน ความหมายคือที่เวนิส
มีพระราชวัง และโบสถ์เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ แต่เลยจากจุดนี้
ไปจะเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่ขายสินค้าทั้งแบรนด์เนมและ
สินค้าที่ระลึกซึ่งเป็นของพื้นเมือง ฉันมีโอกาสเข้าชมการสาธิต
การทำแก้วเป่า มองดูเขาทำง่ายดายจัง เป็นการสืบทอดมา
หลายชั่วรุ่นของตระกูลนี้ แต่เครื่องแก้วราคาค่อนข้างแพงมาก
ฉันเองมาช็อปปิ้งได้จี้ที่ทำจากแก้วเป่า ซึ่งวางขายอยู่ตามซุ้ม
ข้างนอก ซึ่งราคาถูกกว่าตามร้าน



ตอนแรกฉันวางแผนไว้ว่ามาเวนิสทั้งทีต้องนั่งเรือกอนโดล่า
สัญลักษณ์ของเวนิสสักหน่อย ฉันรู้จักเรือกอนโดล่าจากแหล่ง
ไหนรู้มั้ย ไม่ใช่จากหนังสือประวัติศาสตร์เลย แต่มาจาก
การ์ตูนเรื่องหนึ่งที่อ่านตอนเด็ก ๆ เห็นมั้ยการอ่านการ์ตูน
ถ้าเรารู้จักเลือกก็ได้ความรู้เหมือนกัน แต่สรุปว่าไม่ได้นั่งหรอกนะ
เพราะแพง เรือลำหนึ่งนั่งได้ไม่เกิน 6 คน ตั้ง 5,000 บาทแน่ะ
นั่งแป๊บเดียวด้วย เลยลงมติกันว่ากลับมานั่งเรือแจวเมืองไทยดีกว่า
เอาตังค์ไปช็อปปิ้ง เดินเล่นดูบ้านเมืองและถ่ายรูปกันดีกว่า




จุดหนึ่งที่ไกด์ชี้ให้ชม คือ สะพานถอนสะอื้น ฝั่งหนึ่งคือศาล
อีกฝั่งหนึ่งคือคุก ในอดีต หลังจากศาลตัดสินความผิดแล้ว
นักโทษจะต้องเดินข้ามสะพานนี้ไปยังคุก ตรงสะพานนี้จะมี
เพียงช่องหน้าต่างที่นักโทษสามารถมองออกมาเห็นญาติ ๆ
ของตนเป็นครั้งสุดท้าย มีการร้องไห้กัน เพราะนักโทษที่
เดินผ่านสะพานนี้ไปแล้ว จะไม่มีโอกาสกลับออกมาอีกเลย
เพราะคุกทางฝั่งขวามือ จะเป็นห้องที่ไม่มีหน้าต่าง เมื่อน้ำขึ้นและลดลง นักโทษจะไร้ชีวิตไปแล้ว




เป็นเรื่องเศร้าเล็กน้อยเวลาเรียนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทางประวัติศาสตร์
แต่อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่คนในยุคปัจจุบันควรเรียนรู้
เพื่อนำบทเรียนมาประยุกต์ใช้ในวันนี้ เพราะเรื่องร้าย ๆ เราก็มีทาง
ปกป้องได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้ด้วยการลองผิดลองถูกใน
ปัจจุบัน แต่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ไง










Create Date :24 กุมภาพันธ์ 2550 Last Update :22 ตุลาคม 2551 11:45:09 น. Counter : Pageviews. Comments :6