bloggang.com mainmenu search
 


เดิมทีเราวางแผนว่าอยากไปสตูดิโอจิบลิ   รู้จักจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง Totoro ที่ครอบครัวของพ่อและเด็กน้อย 2 คนได้ย้ายไปอยู่ที่ชนบทของญี่ปุ่น  และทำให้เด็กน้อยคนเล็กได้พบกับ Totoro 

ตกหลุมรักตัวกลม ๆ ของ Totoro และรถแมวเหมียว  สตูดิจิบลิผลิตการ์ตูนดี ๆ ออกมาหลายเรื่อง    จนคิดว่าถ้าวันหนึ่งไปญี่ปุ่นจะแวะไปสตูดิโอจิบลิ

 

ปรากฎว่าช่วงที่เราวางแผนมาญี่ปุ่น ดูเวปพบว่าสตูดิโอจิบลิปิดซะงั้นช่วงนั้น

 เลยต้องวางแผนใหม่

 

บัดดี้เปิดดูข้อมูลโปรแกรมทัวร์ในช่วงที่ผ่านมาเห็นแต่ละโปรแกรมมักนำเสนอไปพิงค์มอส  บัดดี้เลยถามว่างั้นไปพิงค์มอสไหม 

 ยกเวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ ให้พิงค์มอสไปเลย

 

โอเค  ไม่มีปัญหา 

 

พอดีเป็นช่วงเทศกาลดอกไม้บานของชิบะซากุระ ราวช่วงปลายเดือน เม.ย. ถึง พ.ค.

ปีนี้งานจัดช่วง 19 เม.ย.- 6 มิ.ย. 

เป็นโชคดีอีกอย่างที่ได้เห็นดอกไม้แม้ว่าจะไม่ได้มา

ช่วงดอกซากุระบาน

หรือช่วงใบไม้สีแดง

 เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีทุ่งชิบะซากุระ Shibazakura หรือที่รู้จักกันในนามพิงค์มอส Pink Moss ปลูกไว้อย่างสวยงามกว่า 400,000 ต้นบนพื้นที่ 17,600 ตร.ม. สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Chichibu จังหวัด Saitama และด้านในสวนมีลักษณะเป็นภูเขาที่มีชื่อว่า Shibazakura Hill สามารถชมวิวเมือง Chichibu ได้ทั้งเมืองจากจุดนี้ โดย

ทุ่งพิงค์มอสจะบานออกดอกสะพรั่งเต็มที่

ชิบะซากุระ เป็นพันธุ์ที่มาจากอเมริกาเหนือ เรียกว่า Tweet มีลักษณะคล้ายกับดอกซากุระแต่บานและออกดอกบนพื้นดิน จึงเป็นที่มาของชื่อ Shiba (พื้นดิน)

+ Zakura (ซากุระ)

จากที่ศึกษาข้อมูล  เราต้องเดินทางด้วยรถไฟออกนอกเมือง 2 ต่อ ต่อแรกเริ่มจากสถานีชินจูกุไปยัง Chuo Line Express ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ไปลงที่สถานี Otsuki จากนั้นต่อรถไฟอีกสายคือ Fujikyu Railway ไปลงที่สถานี Kawaguchiko ใช้เวลาอีกราว 45 นาที

 

 

เราวางแผนซื้อตั๋วไปกลับพิงค์มอสให้เรียบร้อยในวันที่ท่องเที่ยวในโตเกียวตอนที่ไปแวะสถานีชินจูกุ   พนักงานให้บัตรเรามาตามนี้  พร้อมกับแนบเอกสารเล็ก ๆ ให้อีก เธอบอกว่าเป็นรายละเอียดแต่เนื่องจากเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งเอามาก็อ่านไม่ออกก็เลย

คืนเธอไป

 

 

มีตั๋วไปกลับเรียบร้อยในมือแล้วสบายใจ วันไปจริงจะได้ไม่ต้องร้อนรน

 

ช่วงนั่งชิลในรถไฟ Chuo Line Express เรานั่งมองข้างทางเพลิน ๆ ไปพร้อมกับลงมือเขียนโปสการ์ดส่งกลับตัวเอง และชมรมคนรักโปสการ์ดอีก 4 คน  (การเขียนโปสการ์ดส่งกลับตัวเองได้แรงบันดาลใจเมื่อ 10 กว่าปีก่อนที่อ่านหนังสือของพระเทพ   เวลาท่านไปประเทศไหนถ้ามีโอกาสท่านจะแวะซื้อโปสการ์ดเขียนส่งกลับตัวเอง  หรือถ้าท่านไม่สะดวกท่านจะให้ผู้ติดตามซื้อให้   ดังนั้นทุกครั้งที่ไปต่างประเทศจึงเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่จะหาซื้อโปสการ์ด )

 

ระหว่างทางมีพนักงานเข็นรถมาขายของแบบบนเครื่องบินเลย  ด้วยความที่มาญี่ปุ่นงวดนี้ไม่ได้ตั้งใจมาช็อปปิ้ง   เราตั้งใจมาดูสถานที่ต่าง ๆ มากกว่า   ดังนั้นการช็อปปิ้งถ้าจะเกิดขึ้นก็คือเมื่อเดินผ่านร้านต่าง ๆ แล้วสนใจค่อยแวะซือ

ราคาของที่ขายบนรถไฟ  มีทั้งกาแฟ อาหารว่าง และแม้กระทั่งโมเดลรถไฟ   

 

สรุปเราเลยได้ช็อปปิ้งรถไฟเล็ก ๆ ระหว่างนั่งรถไฟนี่เอง

พอใกล้เวลาครบ 1 ชม.  เริ่มมีสัญลักษณ์ตัววิ่งด้านหน้ารถเป็นภาษาญี่ปุ่น (อย่างเดียว) พร้อมกับเสียงพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น (อีกต่างหาก)  เราได้แต่เดาว่าน่าจะถึงสถานี ณ จุดที่เราต้องแวะต่อรถไฟอีกสายแล้วล่ะ  เพราะรถไฟญี่ปุ่นตรงเวลามาก

 

ถามคนญี่ปุ่นที่กำลังจะลงที่สถานีรถไฟสายนี้   เป็นคุณป้าที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้   เธอพูดว่า Kawaguchiko  (สงสัยคงจะรู้ว่านั่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไป)  เมื่อรถไฟจอดเธอเดินนำพวกเราไปยังรถไฟอีกสายที่ต้องต่อ

 

มาคราวนี้ประทับใจคนญี่ปุ่นจริง ๆ เอาเป็นว่าทุกคนที่ถามข้อมูลนี่ร้อยทั้งร้อยให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

 

และจากที่เคยอ่านและได้ข้อมูลว่าไม่ต้องกลัวหรอก  คนญี่ปุ่นน่ารักมากแม้ว่าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่จะพาเราไปยังเป้าหมาย 

 

และก็เจอกับตัวจริง

บนสถานีรถไฟสายที่ 2

 

 

ด้านบนจะแปะป้ายเทศกาลดอกชิบะซากุระ

รถไฟสายที่สองที่จะไปยังเป้าหมายของเรา  บัดดี้ใช้คำว่า “รถไฟหวานเย็น” คือจะวิ่งด้วยความเร็วช้าหน่อย  แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะสองข้างทางสวยงามให้ชมแบบเพลิดเพลินอยู่แล้ว  เมื่อรถไฟมาถึงสถานี Mt.Fuji  ภาพภูเขาฟูจิที่เห็นตรงหน้าทำเอานักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจถ่ายรูปแชะกันใหญ่   มีคนออกไปนอกรถไฟเพื่อถ่ายรูป

เราเลยเอามั่ง 

 

 

ความรู้สึกในตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าฟูจิคือนางงามที่กำลังถูกช่างภาพถ่ายภาพแบบกระหน่ำยังไงยังงั้น

มีเรื่องให้ขำเล็กน้อย นายสถานีของรถไฟหวานเย็นทำหน้าที่ทุกอย่างในคน ๆ เดียวตั้งแต่ขับรถไฟ (อ้อ! รถไฟวิ่งแบบออโต้ได้)  แล้วระหว่างทางก็เดินมาเก็บตังค์จ่ายตั๋วรถไฟให้คนขึ้นใหม่  (เข้าใจว่าสถานีรถไฟแถบนั้นคนไม่เยอะ  เลยไม่มีพนักงานประจำ) และเวลาที่จอดตามสถานีต่าง ๆ นายสถานีต้องวิ่งไปเก็บตั๋วรถไฟจากคนที่ลงสถานีนั้น

แต่ท่าทางนายสถานีไม่มีเบื่อหน่ายนะ ยังดูมุ่งมั่น 

(นี่เป็นอีกความประทับใจอีกอย่างที่เห็นคนญี่ปุ่นทำงาน  ทุกงานทุกตำแหน่งไม่รู้นะว่าเขารักงานหรือเปล่า แต่ว่าเขาตั้งใจทำงานให้สมกับ"ตำแหน่งงาน"อย่างเต็มที่)

อืม! นับถือ ๆ

 

ถึงสถานี Kawaguchiko เราแวะไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมพิงค์มอสก่อน  รวมทั้งหมด 1,900 เยน  รวมขึ้นรถบัสไปกลับและค่าเข้าชม  เจ้าหน้าที่บอกว่าให้ดูตามเวลาว่ารถจะออกกี่โมงและมายืนรอรถที่สถานี  

 

มีตั๋วแล้วสบายใจ  เรากลับมาจัดการกับอาหารกลางวันก่อน  ได้อุด้งมา 1 ชามกับสั่ง Iced coffee สรุปว่า Iced coffee ออกแนวโอเลี้ยงบ้านเราแต่ไม่หวานเลยต้องไปหา Syrub มาเติม

 

เสร็จแล้วกลับมายืนรอรถ

ป้ายสถานีที่ยืนรอ หมายเลข 7 รถออกตามเวลาที่เขียนในป้าย

 

เดิมเข้าใจว่านั่งรถเข้าไปแป๊บเดียว   แอบคิดว่า 1,900 เยนนี่ก็ไม่ถูกนะ  นั่งรถพอประมาณจนคิดว่าคุ้มค่าตั๋วแล้วล่ะ 

 

พอรถจอดปุ๊บ  ฝนเริ่มโปรยเล็กน้อย (พกร่มมากับตัว)   แต่ยังโชคดีอย่างฝนตกไม่นาน   ก็เดินดูบริเวณดังกล่าวจนทั่ว  

 

 

มองเห็นซากุระเป็น background ของดอกไม้  เสียดายถ้าฟ้าแจ่มกว่านี้บริเวณตรงนี้จะสวยมากกว่าที่เห็นอีก

 

 

 

 

อุณหภูมิบริเวณตรงนี้น่าจะราว 15 องศา  ตอนที่นั่งรถเข้ามาจะเจอป้ายแสดงอุณหภูมิเป็นระยะ ๆ

 

หลังจากนั่งรถขาออกมายังจุดสถานี Kawaguchiko  เมื่อเช็คกับเจ้าหน้าที่เพิ่งรู้ว่าตั๋วไปกลับที่เราซื้อรวมค่ารถท่องเที่ยวแบบ sightseeing ด้วย เป็นรถ Retro bus ที่จะพานักท่องเที่ยวแวะตามจุดต่าง ๆ

 

ถ้าไม่มีตั๋วไปกลับนี้  สามารถขึ้นรถคันนี้ได้โดยจ่ายเงินตามระยะทางแต่ละจุดที่ต้องการแวะ  หรือถ้าคิดว่าจะแวะหลายจุดมากก็ให้ซื้อตั๋วแบบ one day pass ราคาราว 1,000 เยน

 

แต่สำหรับเราก็แค่ยื่นตั๋วให้คนขับดู  เนื่องจากเวลาใกล้เย็นแล้วเราเลยแวะแค่จุดเดียวคือป้ายหมายเลข 22  พอดีโชคดีเจอคนไทยกำลังจะขึ้นรถ  เขาบอกว่าจะไปที่จุดนี้เป็นจุดที่สวยที่สุดในการถ่ายรูปก็เลยตามเขาไปด้วย

 

และพบว่าที่จุดนี้เปรียบเสมือนภาพวาดของธรรมชาติที่งดงาม  ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นความงามของฟูจิถึงขนาดนี้  เรามักได้ยินว่าฟูจิเป็นภุเขาไฟที่ขี้อายมาก  ไม่ค่อยยอมให้คนเห็นได้ง่าย ๆ มักจะมีเมฆหมอกปกคลุมตลอด

 

ได้มาเห็นแค่นี้ก็คุ้มแล้วล่ะ  

 

 

 

ตรงจุดชมวิวตรงนี้มีร้านขายของและขายไอศครีม  เข้าไปซื้อไอศครีมโคน 1 แท่งแล้วออกมานั่งนอกร้านชมความงามของฟูจิที่เบื้องหน้า 

บรรยากาศและอากาศยอดเยี่ยมมาก 

 

ถังขยะแยกประเภทที่ร้าน

ป.ล.หลังจากกลับมาแล้วเปิดอ่านพันทิปเห็นคนรีวิวท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ไปกับทัวร์  เขาได้แวะที่พิงค์มอสแค่ครึ่งชั่วโมง  รู้สึกน่าเสียดายมาก   เวลามันน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับความสวยงามที่จุดนี้

 

ในขณะที่เรายกเวลาทั้งวันเลยให้กับการมาที่นี่ที่เดียว   ช่วงหลังเราชอบการท่องเที่ยวแบบเนิบช้ากับซาบซึ้งกับบรรยากาศตรงนั้นมากกว่า  

 

เป็นวันที่มีความสุขอีกวัน  เจอฟูจิทั้งวัน

 ...รัชชี่....

 

Create Date :08 มิถุนายน 2557 Last Update :8 มิถุนายน 2557 12:41:30 น. Counter : 3288 Pageviews. Comments :5