bloggang.com mainmenu search
   



ฤกษ์งามยามดี (หรือเปล่าหนอ)  ของการเดินทางออกนอกประเทศ 2 ครั้ง

"ไปปักกิ่ง ต.ค. 54"

ช่วงสถานการณ์น้ำท่วม  ก่อนไปบางจุดในกรุงเทพเริ่มน้ำท่วมบ้างแล้ว  ก็ลุ้น ๆ อยู่ว่าโซนบ้านตัวเองจะได้รับผลกระทบหรือเปล่า  แต่ก็ได้เก็บของจากชั้นล่างบ้าง   กลับมาจะเป็นอย่างไร น้ำจะท่วมมั้ย แต่จ่ายเงินค่าทัวร์ไปแล้วนี่  ยังไงก็ต้องไป  ตอนอยู่ปักกิ่งทุกคนในทัวร์นี้ปฏิบัติตัวเหมือนกันคือไม่ติดต่อกลับไทยเพราะรู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้

"ไปญี่ปุ่น พ.ค. 57"

วันเริ่มต้นของเหตุการณ์รัฐประหารราว 16.30 น.  ตามด้วยประกาศเคอร์ฟิวราว 18.00 น. เช็คข่าวสารจาก Facebook พบว่าสายการบินยังเป็นไปตามแผน แค่ว่าต้องรีบออกจากบ้านก่อนเพราะหลัง 4 ทุ่มถึงตี 5 ห้ามออกจากเคหสถาน  เวลาบินของเราคืนราวตี 1   แต่ต้องวางแผนออกจากบ้านเร็วขึ้นเพราะเย็นวันนั้นรถติดมาก ได้ลุ้นเรื่องเวลากันพอสมควร 

 อืม! รู้สึกว่าจะมีเรื่องตื่นเต้นก่อนออกเดินทางมากไปหรือเปล่านี่สำหรับการเดินทางทั้ง 2 ครั้งนี้ 

จนเริ่มถูกแซวว่าการเดินทางครั้งต่อไปของเราจะมีเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองอีกหรือเปล่า

เราเริ่มวางแผนว่าจะไปญี่ปุ่นแน่ ๆ ช่วงปลายเดือน มี.ค. ไปดูแพ็คเกจของค่าย H.I.S. ในที่สุดก็ได้จ่ายเงินงวดแรกไปก่อนสำหรับการซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับและจองที่พักในโตเกียว  ซื้อตั๋ว Airport Limousine จากสนามบินไปกลับ  รวมถึงซื้อเพิ่มทัวร์ 1 วันไปฮาโกเน่ 

เป้าหมายคือเดินทางไปเองแบบแบ็คแพ็ค  ไปกัน 2 คน ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ทั้ง 2 คนไม่เคยไปอีกต่างหาก ดังนั้นจึงต้องศึกษาเส้นทางแผนที่รถไฟฟ้าต่าง ๆ

รวมถึงวางแผนเรื่องทำประกันสุขภาพสำหรับช่วงเวลาที่อยู่ญี่ปุ่นเผื่อไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

เจ้าหน้าที่ของ H.I.S. อธิบายคร่าว ๆ ถึงการเดินทางจากสนามบิน รถ Airport Limousine จะมีจุดจอดรถแต่ละจุดตามที่กำหนด  แต่โรงแรมที่พักของเราจะต้องไปต่อจากจุดที่รถมาส่ง  โดยเราต้องลากกระเป๋าเดินจากจุดนั้นไปยังสถานีรถไฟ และเมื่อลงจากสถานีรถไฟแล้ว  ก็ต้องเดินอีกหน่อยไปยังที่พัก

เข้าไปศึกษาเวปไซด์ของ Hyperdia เรื่องเส้นทางการเดินทางโดยรถไฟ มีทางเลือกให้หลายแบบ แต่ด้วยความที่ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก  ก็สรุปคร่าว ๆ ว่าจุดที่เดินตอนแรกราว 200 เมตร  อีกจุดราว 900 เมตร (900 เมตรปกติไม่กังวลนะเพราะอยู่กรุงเทพก็ใช้บริการรถไฟฟ้าอยู่บ่อย ๆ เดินอยู่บ่อย ๆ  แต่เนื่องจากต้องคำนึงถึงกระเป๋าเดินทางนี่ซี  แต่ก็พอรับได้)

แต่จากการศึกษาแผนที่รถไฟทั้ง JR และ Subway  ประกอบกับเจ้าหน้าที่บอกเราว่าสถานีสุดท้ายที่เราจะไปคือ Shinagawa seaside เวลาดูแผนที่ 2 ชุดนี้มันจะไม่เห็น

เพิ่งถึงบางอ้อเมื่อไปอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้วคือมันมีจิ๊กซอว์อีกอันที่เราไม่รู้  คือเราต้องใช้บริการของสาย Rinkai Line อีกเส้นหนึ่งถึงจะทำให้เราไปเจอ Shinagawa seaside ได้ และโชคดีที่แค่เดินออกจากสถานีนี้ก็มองเห็นโรงแรมอยู่ถนนฝั่งตรงข้าม  ใกล้มาก

ตอนแรกที่ศึกษาเองคิดว่าจะต้องไปลงที่สถานี Amono-Yokocho (ตอนแรกอ่านไม่ออกว่าควรจะอ่านว่าอะไร  เลยตั้งชื่อให้เองเลยว่า "สถานีอายิโนะโมะโต๊ะ")   

เมื่ออยู่ที่นั่นแหละได้ลองเดินไปสถานีอายิโนะโมะโต๊ะเหมือนกัน  สมมติว่าชีวิตจริงต้องใช้สถานีนี้  ก็ไม่จืดเหมือนกันนะกับการลากกระเป๋าเดินราว 900 เมตร

....ที่สนามบินนาริตะ...

ดูเหมือนที่นี่ในเรื่องเอกสารที่ให้กรอกต้องกรอกทุกจุดเลยนะ  แม้กระทั่งว่าเอาเงินมาเท่าไหร่  ตอนแรกเนื่องจากตัวหนังสือเล็ก มันจะมีมุมหนึ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นเรื่องอื่น ๆ ให้ทราบ  พอถึงจุดเจอเจ้าหน้าที่ เขาต้องให้เรากากบาททุกข้อ (น่าจะ 3 ข้อมั้ง)  หลังจากนั้นก็ผ่านฉลุย

แต่บัดดี้เจอคำถามว่ามากี่วัน พักที่โรงแรมอะไร  ขอดูเอกสารเกี่ยวกับตั๋วเครื่องบินขากลับด้วย

.....การผจญภัยกับสถานีรถไฟญี่ปุ่นครั้งแรก....

จากจุดที่รถ Airport Limousine จอด ไม่ไกลคือสถานี Shinagawa ซึ่งเปรียบเสมือน Hub ได้คือเป็นรอยต่อรอยเชื่อมของการไปสถานีต่าง ๆ ได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชินคันเซ็น  JR  รวมถึงอื่น ๆ อีกหลายสาย

 

 

 

ป้ายนี้เจอวันหลังเป็นป้ายแนะนำพวกสถานที่ท่องเที่ยว

สถานีนี้เป็น Hub นี่นา

หัวมึนละทีนี้  หยิบแผนที่ 2 ฉบับมาดูจะไปสถานี Shinagawa seaside ยังไงละนี่  เจอคนญี่ปุ่นคนแรกก็แนะนำเส้นทางให้สำหรับรอยต่อไป Rinkai Line ด้วย  แต่เธอบอกว่าโรงแรมเราอยู่ใกล้รถไฟฟ้า Monorail ด้วยนะ ไปแบบนี้ก็ได้นะ  แต่ด้วยความที่ไม่ได้ศึกษาเส้นทางนั้นมาก็ไม่กล้าลองไป 

ตอนที่ศึกษาแผนที่ ไม่กลัวสำหรับ JR YAMANOTE เลยเพราะเปรียบเสมือนสถานีรถไฟวงกลม  หลง ๆ ก็ยังไม่เป็นไร  พอวนกลับได้

สำหรับคนมาญี่ปุ่นครั้งแรกคิดว่าสถานี Shinagawa นี่ปราบเซียนอยู่เหมือนกัน

ประเด็นถัดมาคือแล้วเราจะต้องไปยืนที่ platform ฝั่งไหน

คนญี่ปุ่นช่วยได้อีก 

อีกสิ่งหนึ่งซึ่งไม่รู้มาก่อน  ปกติเวลาเราใช้บริการรถไฟฟ้าในไทย ถ้าเรายืนที่ platform ฝั่งไหน ก็มีรถไฟฟ้าสายเดียวนั่นแหละ

แต่เจอ Rinkai Line ปราบเซียนต่อคือเจอรถไฟฟ้า 2 สายที่ platform นั้น

เอ่อ! แล้วเราจะไปคันไหนล่ะ  ถามต่อ

ตอนหลังเริ่มสังเกตและจับได้ว่าให้มองป้ายและสัญลักษณ์ตัววิ่งด้านบนว่าจะไปสายไหน  รถจะมาถึงที่จุดยืนเวลาไหน ก็ขึ้นสายนั้นแหละ  แต่วันแรกยังไม่รู้จริง ๆ

ถึงที่พักซะทีแบบดีใจมาก  รอดไป 1 รอบ

 

แต่ประทับใจกับคนญี่ปุ่นมากมายเรื่องบอกเส้นทาง  ก่อนหน้ามาได้ยินกิตติศัพท์เรื่องคนญี่ปุ่นว่าเป็นคนที่ยินดีให้ความช่วยเหลือ  แม้ว่าบางคนจะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้แต่เขาจะพยายามช่วย     จริงที่สุด

 บทสรุปของการเดินทางไปที่พัก

1.สถานี Shinagawa

2.ใช้สาย JR YAMANOTE ไปลงที่สถานี OSAKI

3.เปลี่ยนไปใช้สาย Rinkai Line

4.ไปลงสถานี Shinagawa seaside

 ทั้งหมดนี้ราว 430 เยน (หรือ 134 บาท)

ถนนบริเวณแถวโรงแรมมองไม่เห็นว่าจะมีร้านอาหารเลย  จึงถามเจ้าหน้าที่โรงแรมว่าแถวนี้มีร้านอาหารมั้ย  เจ้าหน้าที่เอาแผนที่มาให้ 

โชคดีมากเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม  มีห้าง AEON ซ่อนตัวอยู่รวมถึงมีร้านอาหารหลายร้านทีเดียว  ไม่อดตายแล้ว

 

มื้อแรกในญี่ปุ่นคือราเม็ง    คนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่บริการดีมาก  ถามนั่นถามนี่เราเป็นภาษาญี่ปุ่น (ซึ่งฟังไม่ออก)  เอาเส้นราเม็ง 2 ประเภทมาให้ดูว่าจะเลือกแบบไหน  พอนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะก็แนะนำเครื่องปรุงบนโต๊ะ (เป็นภาษาญี่ปุ่น) ต่อ

ไม่รู้เพราะทั้งเหนื่อยหรือหิวหรือเปล่า รู้แต่ว่าราเม็งชามนี้อร่อยมาก  ปริมาณชามโตกินจนหมด  ถ้าเป็นปกติไม่น่าจะหมด

ไป Tokyo Sky tree ยามค่ำคืน  ค่อนข้างเพลียเหมือนกันเพราะเดินทางตอนตี 1 ทำให้หลับบนเครื่องบินไม่สนิท  แต่พอเห็นความสวยงามของ Tokyo Sky Tree ก็พอสร้างความสดชื่นได้บ้าง

 

 ก่อนมาศึกษาเวปไซด์โรงแรม ตอนแรกเข้าใจว่ามี WIFI เฉพาะ Lobby ขอ password เขาเรียบร้อย  ตอนแรกก็ใช้บริการที่ Lobby สักพักแล้วก็ขึ้นที่พักเพราะเหนื่อยกับวันแรกมาก  เพิ่งรู้ว่าสามารถใช้ WIFI ที่ห้องพักได้เลย

จึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะ upload รูปและเขียนเรื่องราวเป็นภาษาอังกฤษที่ Facebook ตัวเองเพื่อบันทึกการเดินทาง

 

 




















....รัชชี่.....

 

แนะนำ

: ก่อนซื้อตั๋วเครื่องบิน กรณีที่มีบัตรเครดิตหลายใบ เช็คกับธนาคารว่ากรณีเกิดอุบัติเหตุได้วงเงินคุ้มครองเท่าไหร่ (เพื่อความไม่ประมาท)  แต่ละธนาคารจะไม่เท่ากัน  และที่สังเกตจะเห็นว่าพวกบัตรเครดิตที่ออกเพื่อให้ช็อปปิ้งตามห้างต่าง ๆ จะไม่การคุ้มครองเรื่องนี้

(อ้อ! ได้ความรู้เพิ่มอีกอย่างว่าต้องรูดเงินเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินเท่านั้น ในกรณีที่ซื้อแบบ

โปรโมชั่นเครื่องบิน+ที่พักแล้วรูดบัตรเครดิตรวม ธนาคารจะไม่คุ้มครอง)

 

: ไปเที่ยวเอง  ควรทำประกันสุขภาพสำหรับช่วงเวลาอยู่ญี่ปุ่นไว้ก่อน (เพื่อความไม่ประมาทเช่นกัน)  จ่ายเงินไม่เท่าไหร่หรอก

 

: ไปเที่ยวในช่วงที่ไม่ใช่เทศกาล จะมีความสุขมากเพราะแต่ละที่จะไม่ได้มีฝูงชน

หนาแน่น  จะได้อารมณ์ชิลมากกว่า   

 




  


Create Date :01 มิถุนายน 2557 Last Update :2 มิถุนายน 2557 20:14:15 น. Counter : 1915 Pageviews. Comments :7