อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน 8.เพื่อนใหม่ เพื่อนใหม่ ........ หลังจากขึ้นมานั่งบนรถไฟเรียบร้อยแล้วฉันก็อดที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่ได้นับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สามารถขึ้นมานั่งบนรถไฟได้อย่างราบรื่น เพราะที่อินเดียแม้จะมีตั๋วรถไฟแล้ว ใช่ว่าเมื่อรถไฟมาจอดจะขึ้นมานั่งได้เลยเหมือนในเมืองไทย ที่นี่ก่อนจะขึ้นรถไฟผู้โดยสารแต่ละคนจะต้องไปตรวจดูรายชื่อของตัวเองบนแผ่นกระดาษที่ติดอยู่ข้างตู้รถไฟเสียก่อน แผ่นกระดาษรายชื่อนี้เจ้าหน้าที่จะเอามาแปะไว้เมื่อรถไฟเข้ามาจอดที่ชานชาลาแล้วซึ่งบางครั้งรถไฟก็จะมาจอดก่อนเวลาออกไม่กี่นาที ดังนั้น เพื่อความมั่นใจผู้โดยสารแต่ละคนจะต้องรีบมาดูว่ามีชื่อตัวเองอยู่ในแผ่นกระดาษนั้นหรือไม่และที่นั่งถูกต้องตามตั๋วที่เรามีหรือเปล่า หากมีและถูกต้องก็ไม่เป็นปัญหาสามารถขึ้นรถได้... แล้วหากไม่มีล่ะ.. ?
ฉะนั้น ฉันจึงรู้สึกกังวลกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นแบบนี้เป็นอย่างมาก เกรงว่าจะฝ่าวงล้อมผู้คนที่แย่งยื้อกันเข้าไปรุมดูรายชื่อในกระดาษแผ่นเล็กข้างตู้รถไฟไม่ได้ หรืออาจจะช้าหรือมีปัญหาจนขึ้นรถไฟไม่ทัน แต่เมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่เหนื่อยมากหน่อยก็ตอนที่รถไฟเข้าเทียบชานชะลาขณะที่บรรยากาศรอบๆตัวกำลังเข้าสู่ความมืด ฉันต้องรีบแบกเป้อันหนัก (เพราะไม่กล้าเอาไปวางไว้ที่ไหน) เข้าไปเบียดเสียดกับบรรดาเจ้าของประเทศทั้งหลายที่กรูกันไปที่ข้างตู้รถไฟเพื่อแก่งแย่งกันตรวจรายชื่อตัวเองจากแผ่นกระดาษ 3-4 แผ่น ด้วยคำถามในใจที่เหมือนกันว่า จะมีชื่อเราอยู่ด้วยหรือเปล่านะ ?
รถไฟยังไม่ออกจากสถานี แต่ผู้คนเริ่มสงบบนที่นั่งของตัวเองแล้ว อดแปลกใจไม่ได้ที่เพื่อนร่วมทางรอบๆตัวหาหน้าอินเตอร์ไม่ยักกะมี มีแต่เจ้าของประเทศทั้งนั้น หน้าตาส่วนใหญ่ดูแล้วหากอยู่เมืองไทยก็คงยากที่จะแยกออกว่าเป็นคนไทยหรือแขกอินเดีย แต่คนที่นี่ไม่ว่าจะไปที่ไหนส่วนใหญ่จะเห็นแต่ผู้ชายไม่ค่อยเห็นมีผู้หญิง รู้สึกว่าผู้หญิงที่นี่จะมีบทบาทในสังคมนอกบ้านน้อยกว่าผู้ชายมาก และตอนนี้ฉันก็กลายเป็นผู้หญิงที่อยู่ท่ามกลางผู้ชายในตู้รถไฟทั้งตู้ จึงไม่แปลกที่ฉันจะเป็นที่น่าสนใจกับคนรอบข้าง ทุกสายตาดูจะวนเวียนอยู่ที่ฉัน มีทั้งประเภทบังเอิญปะทะสายตากับฉันเข้าอย่างจังแล้วก็รีบหลบสายตาลงต่ำเหมือนทำผิดกับฉันอย่างมหันต์ และประเภทแอบๆลอบมองพอเจอสายตาฉันซึ่งมองอยู่ก่อนแล้วก็ทำเป็นเฉไฉสายตาไปที่อื่น ฉันเองเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคนที่นี่จริงๆก็ตอนนี้แหละ
สักพักผู้ชายที่นั่งติดหน้าต่างข้างๆฉันก็หันมามองฉันตรงๆ(พอนั่งลงก็มัวแต่สนใจคนระยะไกลจนลืมมองคนที่อยู่ใกล้ๆ) แล้วถามว่า
คุณมาจากไหน เขาพูดภาษาอังกฤษอย่างไม่เคอะเขิน หน้าตาเขาฉันรู้สึกเหมือนคุ้นๆแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน ถ้าบอกว่าเป็นคนไทยฉันคงเชื่อสนิท แม้เขาจะผิวดำเหมือนแขกแต่ผิวแบบนี้ก็มีอยู่ดาษดื่นในเมืองไทย ฉันยิ้มและตอบความจริงออกไป สีหน้าเขาแสดงอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัดจนฉันอดแปลกใจไม่ได้ เขาบอกว่าเขาเห็นฉันตั้งแต่นั่งทานอาหารอยู่ที่ห้องอาหารของสถานีรถไฟแล้ว ฉันถึงบางอ้อทันที... ใช่แล้วตอนนั่งกินข้าวเย็นอยู่ในห้องอาหารของสถานีรถไฟเขาเดินผ่านหน้าฉันไป ฉันยังรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างเหมือนคนไทยเหลือเกิน แต่ความที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับอาหารที่สั่งมาตรงหน้าเท่าใดนักทำให้ความสนใจในตัวเขาตอนนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เขาแนะนำตัวเองโดยที่ฉันไม่ได้ถาม เขาชื่อดีเพน บ้านอยู่ที่เมืองมิริค(Mirik) เขามาโกลกาตาเพื่อต่อพาสปอร์ตก่อนเตรียมไปทำงานต่างประเทศอีกครั้ง แต่เนื่องจากหลักฐานที่เตรียมไปไม่ครบเลยยังไม่เรียบร้อยต้องกลับไปหาหลักฐานเพิ่มเติมแล้วกลับไปทำที่โกลกาตาใหม่ ฉันออกจะงงกับมิตรภาพและความเป็นกันเองที่เขายื่นให้อย่างรวดเร็วเหมือนอาหารจานด่วนที่ถูกส่งมาอยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่ได้สั่ง
ฉันพยายามรับรู้และทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่เขาตั้งใจบอกกล่าวแต่ชื่อเมืองที่เขาอาศัยอยู่ฉันไม่รู้จักหรอก เรื่องต่อพาสปอร์ตฟังดูหากถึงขั้นต้องนั่งรถไฟระยะยาวข้ามคืนมาทำ ฟังแล้วก็น่าเห็นใจที่จะต้องกลับมาทำเรื่องใหม่อีก นึกเปรียบเทียบกับเมืองไทยของเราตอนนี้เราสะดวกกว่ามาก เพราะมีจุดให้ทำพาสปอร์ตได้ทุกภาค ไม่ต้องเดินทางข้ามคืนแบบนี้
หากจะคาดเดาอายุของชายคนนี้ก็คงจะประมาณ 40-45 ปี เขาเล่าเรื่องราวตัวเองต่อด้วยความตั้งใจ เขาเคยไปทำงานที่บาร์เรนมาแล้ว ทั้งๆที่ไม่อยากจะไปอีกแต่ก็จำเป็นต้องไปเพราะที่อินเดียไม่มีงานให้ทำ ฟังแล้วก็น่าเห็นใจอีก เขาถามฉันเกี่ยวกับเมืองไทยด้วยความสนใจมากมาย ฉันตอบเขาอย่างตรงไปตรงมาเพราะรู้สึกว่าเขาคุยด้วยความจริงใจไม่น่ามีอะไรเคลือบแฝง เขาบอกเขารู้สึกว่าเมืองไทยอุดมสมบูรณ์ คนไทยรวยและหางานง่ายเงินเดือนดี เขาอยากไปทำงานที่เมืองไทย พอจะมีงานให้เขาทำไหม ? ฉันเกือบตั้งตัวไม่ติดเมื่อเขาฟันธงเรื่องที่คุยมาลงที่ฉันเอาดื้อๆ แต่ก็รู้สึกเห็นใจ ได้แต่พยายามอธิบายความจริงให้เขาฟังว่า บางอย่างเกี่ยวกับเมืองไทยเขายังเข้าใจผิด เช่น เมืองไทยเองก็มีคนว่างงานเยอะ และคนใช้แรงงานก็เงินเดือนไม่ได้สูงแบบที่เขาคิด แต่ดูเขาจะไม่เชื่อ
รถไฟเคลื่อนตัวออกตรงเวลา ฉันถือโอกาสก้มลงมองนาฬิกาและเฉไปสนใจบรรยากาศรอบข้างมากกว่าที่จะสนใจคำพูดของเขาต่อ แต่พลันก็ได้ยินเสียงดังแหบห้าวความถี่สูงด้วยภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่องลอยมาไม่ไกล ฉันรู้สึกแปลกใจแกมตระหนกเล็กน้อย ชั่วครู่ต้นตอของเสียงก็ปรากฏ เล่นเอาฉันต้องสะดุ้ง แต่พอตั้งสติได้ก็แทบจะเผลอหัวเราะก๊ากออกมาเพราะที่เห็นอยู่ข้างหน้าไม่ไกลก็คือกระเทยแขกหุ่นผอมเกร็งสองคนหน้าตาออกแนวอุบาทว์(ขอยืมสำนวนของพวกเธอมาใช้ก็แล้วกัน)มากกว่าสะสวย เพราะแต่งหน้าซะเข้มฉูดฉาดในชุดส่าหรีสีสันแสบทรวง สองเธอกำลังประกบคู่หนุ่มแขกทีละคน โดยส่งสายตาเข่นเขี้ยวแทนที่จะออดอ้อนเพื่อขอเงิน ด้วยสีหน้าจริงจังแกมข่มขู่ด้วยเสียงแหบดัง ฉันเห็นหนุ่มแขกเกือบทุกคนจำต้องส่งเงินให้ ทั้งด้วยอาการขำๆ และบ้างก็ค่อนไปทางกึ่งรำคาญ
เธอสองคนเดินมาเกือบถึงฉัน ตอนนี้ฉันรู้สึกกังวลกับตัวเองว่าจะต้องส่งเงินให้เธอด้วยหรือไม่ เพราะท่าทีเธอทั้งสองบางทีก็ดูจริงจังมาก แต่การข่มขู่อยู่ในทีแบบนี้มันไม่น่าสงสารและไม่อยากจะเสียเงินให้ เรื่องอะไรอยู่ดีๆ จะมาข่มขู่เอาเงินกันง่ายๆ แต่ใจหนึ่งก็ชักกลัวๆกับปฏิกิริยาที่อาจจะถูกโต้กลับ
สักครู่ทั้งคู่ก็มาถึงช่องที่ฉันนั่งเขาผ่านฉันไปยังดีเพนก่อนพร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าเหมือนจะบอกว่า ส่งเงินมาให้ฉันซะดีๆ ดีเพนรีรอสักพักก็ยอมแพ้ล้วงเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นแบงค์ย่อยส่งให้ (ไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่เพราะยังไม่คุ้นกับเงินรูปี) เธอรับด้วยความมั่นใจเหมือนจะย้ำว่า มันเป็นสิ่งที่เธอจะต้องให้ฉัน!
สุดท้ายก็มาถึงฉันแต่ตอนนี้สีหน้าเธอทั้งสองลดความจริงจังลง ฉันเริ่มรู้สึกได้ว่าความน่ากลัวของพวกเธอได้ลดลงด้วยเช่นกันและเดาว่าด้วยความเป็นผู้หญิงของฉันคงไม่น่าเป็นที่ใส่ใจในความรู้สึกของพวกเธอเท่าไรนัก แต่ฉันจะปฏิเสธอย่างไรดีเพื่อไม่ให้เป็นที่ขุ่นเคืองในอารมณ์ของเธอ?.... แต่ก็ช่างโชคดีฉับพลันประกายความคิดก็เกิดขึ้น... ฉันน่าจะแอบอ้างเป็นเพื่อนดีเพนซะเลยน่าจะดี ดังนั้นเมื่อเธอทั้งสองยื่นมือมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่ไม่ได้จริงจังอะไรฉันเลยรีบชี้มือไปที่ดีเพน พร้อมบอกว่า
เพื่อนฉันจ่ายไปแล้วไง... รอดตัวไปเธอทั้งสองผ่านไปโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ฉันถอนหายใจโล่งอก ดีเพนมองฉันด้วยสีหน้าชื่นชมและอมยิ้มพร้อมยกนิ้วหัวแม่มือให้ ฉันเองรู้สึกขำขำแต่ก็ไม่ลืมขอบคุณเขาไป.......ตอนนี้ชักเริ่มรับรู้ถึงความเป็นมิตรของเขามากขึ้น
ประมาณสองทุ่มกว่าพนักงานก็มาจัดเตียงนอนให้ ความจริงก็ไม่มีอะไรมากรถไฟชั้นนี้ไม่ได้หรูหราอะไร ผ้าปูที่นอนหรือหมอนก็ไม่มีก็แค่ดึงเอาเตียงลงมาให้ เตียงนอนบนรถไฟที่นี่ต่างจากเมืองไทย ของเรามีสองชั้น แต่ที่นี่รถไฟอินเดียมีถึงสามชั้น คือมีสามเตียงนั่นเอง ฉันเลือกเตียงบนสุดเพราะรู้สึกอิสระและจะได้ไม่รำคาญผู้คนที่เดินผ่านไปมา ที่กลัวสุดก็คือกลัวของหายเลยยกสัมภาระทั้งหมดขึ้นไปนอนด้วย ที่นอนเลยดูออกจะเกะกะและอึดอัดซักหน่อยแต่ก็สบายใจและก็หวังว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างคงจะสดใสมากกว่าวันนี้
|
บทความทั้งหมด
|