อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน12.อุ่นใจในมิตรไมตรี อุ่นใจในมิตรไมตรี
...............
เช้าแรกที่มิริคฉันถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงหัวเราะที่ดังมาจากห้องครัว เมื่อลืมตาขึ้นถึงได้รู้ว่ามันสายเกินควรสำหรับผู้อาศัย.....หลับเพลินไปหน่อยคงเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง จัดการกับตัวเองเสร็จจึงเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องครัว นิชากำลังสาละวนกับการเตรียมอาหารเช้าโดยมีเพื่อนบ้านต่างวัยชื่อกาชีชวนคุยไปด้วย เธอมีลูกสาวและลูกชายตัวน้อยขี้มูกเกรอะกรังแอบอิงอยู่ข้างๆ ทั้งสองหันมายิ้มให้เมื่อฉันทักทาย
อาหารมื้อเช้า หนึ่งอย่างเป็นปลาสลิดทอดที่ฉันหอบมาจากเมืองไทยโดยมอบให้นิชาไปทั้งหมด เธอบอกว่าเธอได้แบ่งให้เพื่อนบ้านลองไปทานกันด้วย ฉันดีใจที่มีโอกาสได้แบ่งปันสิ่งที่ตัวเองมีบ้าง คนที่นี่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงและความศิวิไลซ์ทางวัตถุมาก คงเพราะเหตุนี้เขาจึงรุ่มรวยในน้ำใจซึ่งต่างจากคนเมือง
กาชีบอกว่าปลาอร่อยดี ปกติแล้วพวกเธอจะไม่ค่อยได้มีโอกาสทานปลาหรอก ฉันเดาเอาว่าที่นี่ปลาคงหายาก เพราะอากาศที่หนาวเย็นมากเป็นเวลา 2 -3 เดือนในรอบปี ช่วงนั้นปลาในทะเลสาปคงไม่สามารถอยู่รอดได้ กาชีทำให้ฉันแปลกใจอีกแล้ว เธอสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษให้ฉันพอเข้าใจได้ แม้จะกระท่อนกระแท่น แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเธอยังพอจะคุ้นเคยกับมัน
วันนี้เป็นวันเสาร์นิชาบอกว่าเธอจะต้องไปรับลูกสาวกลับบ้าน ลูกสาวเธอไปเรียนหนังสืออยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งโดยพักที่บ้านน้องสาว เสาร์-อาทิตย์ จึงจะกลับมาบ้าน ดังนั้น ฉันจึงขอติดตามไปด้วยโดยจะไปเที่ยวช่วงเช้ากับแซมเทนก่อนแล้วกลับมาเจอเธอตอนเที่ยงที่บ้าน
ที่ผ่านมาความที่เราไม่สะดวกในการสื่อสารระหว่างกันเท่าไรนัก แม้ฉันจะอยากรู้เรื่อราวของครอบครัวเธอหลายเรื่องไม่ว่าจะเรื่องสามีหรือลูกแต่ฉันก็ไม่ได้ถาม เพราะกลัวเธอจะต้องใช้ความพยายามเกินขีดความสามารถในการตอบ แต่ตอนนี้เธอเปิดเรื่องลูกสาวขึ้นมาฉันเลยถือโอกาสถามเรื่องคนอื่นๆในครอบครัวดู เอาเท่าที่จะสื่อได้ ซึ่งก็พอทำให้ได้รู้ว่าเธอมีลูกสองคนอีกคนเป็นผู้ชายทำงานแล้วแต่ไปทำที่เมืองอื่น ส่วนสามีไปเป็นทหารรับจ้างในกองกำลังทหารกูรข่าที่ปากีสถาน นานๆถึงจะมีโอกาสได้กลับมาบ้านสักที ฉันรับรู้ด้วยความรู้สึกเห็นใจและเข้าใจในความจำเป็นของครอบครัวที่จะต้องแยกไปใช้ชีวิตกันคนละทางด้วยหน้าที่การงานและความจำเป็นทางเศรษฐกิจ มันคือเส้นทางชีวิตของแต่ละครอบครัว และนั่นไม่ได้หมายความว่าความรักและจิตใจของพวกเขาจะถูกแยกจากกันตามไปด้วย ยังไงก็ยังดีกว่าบางครอบครัวที่อยู่ด้วยกันทุกวันแต่จิตใจกลับเหมือนจะห่างกันคนละมุมโลก
แซมเทนมาถึงตามนัดแต่ฉันกลับเป็นฝ่ายที่ยังไม่พร้อมเพราะกำลังทานข้าว ประโยคแรกที่เธอพูดกับฉันอย่างมั่นใจก็คือ
วันนี้คุณย้ายไปพักบ้านฉันนะ สีหน้าจริงจังบอกถึงความจริงใจที่เธอมีให้ กลับทำให้ฉันรู้สึกลำบากใจจนไม่อยากตอบ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการฉันจะต้องบอกให้เธอเข้าใจ เหตุผลก็คือ นิชาได้แสดงความมีน้ำใจและเต็มใจอย่างชัดเจนที่จะให้ฉันพักกับเธอต่อไป ฉันจึงไม่กล้าทำลายความรู้สึกของเธอตรงนี้ นอกจากนั้น ฉันเองได้ซักเสื้อผ้าขนานใหญ่ซึ่งยังไม่แห้ง การเคลื่อนย้ายคงจะลำบาก โดยเฉพาะย้ายเพื่อที่จะไปพักเพียงสองคืน ดูแล้วไม่น่าจะต้องทำเช่นนั้นเพราะดูจะทำให้ยุ่งยากกันทั้งสองบ้าน
สุดท้ายฉันจำใจต้องปฏิเสธเธอไป แต่เมื่อปฏิเสธไปแล้ว ก็รู้สึกเสียใจเมื่อเห็นสีหน้าที่ผิดหวังและหงอยลงทันทีของเธอ โดยเฉพาะเมื่อฉันบอกว่า ฉันซักผ้าไว้ตั้งเยอะยังไม่แห้งคงลำบากในการขนย้าย เธอกลับรีบตอบทันทีว่า
ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันช่วยคุณย้ายเอง เพื่อรักษาความรู้สึกและน้ำใจที่ดีของเธอ ฉันจึงต้องรีบขอบคุณพร้อมบอกว่า
ยังไงวันหลังฉันจะขอไปเที่ยวบ้านเธอนะ สีหน้าเธอจึงดูดีขึ้น
ครึ่งวันเช้าเธอพาฉันไปชมวัดโบการ์ (Bokar Gompa) ซึ่งเป็นวัดพุทธศาสนาฝ่ายวัชระยานหรือวัดสายทิเบตที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ซึ่งฉันหมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแรกมองขึ้นไปเห็นแล้ว ระหว่างทางเราต้องเดินขึ้นทางลาดเป็นเนินเขาระยะไกลพอควร แต่ก็เพลินเพราะอากาศเย็นสบาย บางช่วงเมฆหมอกเบาบางพัดผ่านตัวไปช่างเหมือนเดินเหินอยู่บนท้องฟ้า
บริเวณวัดค่อนข้างกว้าง ประตูอาคารวัดยังไม่เปิด เราจึงเดินไปด้านข้างที่เป็นเหมือนจุดชมวิวสามารถมองลงไปเห็นมิริคได้ทั้งเมือง หลังคาบ้านหลากสีสลับซับซ้อนลดหลั่นลงไปตามไหล่เขาสู่ทะเลสาปเบื้องล่าง สายมากแล้วแต่เมฆหมอกก็ยังลอยเลื่อนเกลื่อนอยู่ตรงหน้าบางช่วงชั่ววูบก็หายไปกับสายลม ลามะน้อย 4-5 รูปกำลังหัวเราะสนุกสนานกับการปีนป่ายกำแพงวัดเล่น ขณะเดียวกันก็กัดกินขนมขบเคี้ยวในมือไปด้วยอย่างสำราญใจ.. ....ไม่ต่างจากเด็กทั่วๆไปจริงๆ
เราเดินกลับมาที่ด้านหน้าอาคารวัดอีกครั้ง คราวนี้ประตูวัดเปิดแล้ว เราเข้าไปชมในตัวอาคาร กรอบประตู ผนัง และเพดานห้องถูกวาดลวดลายและป้ายสีสันลงอย่างสวยงาม ระหว่างนั้น มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาและทักทายแซมเทนอย่างคุ้นเคย นัยว่าเป็นญาติกับเธอ พวกเขาเอาของมาถวายท่านรินโปเช่ (ตำแหน่งเจ้าอาวาสใหญ่ของวัด) พร้อมกับมาขอพรจากท่านให้กับหลานเนื่องในวันคล้ายวันเกิดด้วย ของที่พวกเขาหอบหิ้วมาถวายนอกจากผลไม้เมืองหนาวที่ดูสดน่ากินแล้วยังมีต้นลิลลี่ที่กำลังออกดอกสีขาวชูช่อบานสะพรั่งถูกอุ้มมาเป็นกระถางดูแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
นับว่าเป็นโชคดีของเราสองคน แซมเทนบอกว่าไม่ง่ายนักที่ใครจะได้เข้าพบท่านรินโปเช่ แต่เราก็ได้รับโอกาสนั้นด้วยญาติของแซมเทนสนิทและคุ้นเคยกับท่าน พวกเขาได้ชวนเราขึ้นบันไดไปพบท่านที่ชั้นสอง กว่าจะได้เข้าพบต้องรอลามะหนุ่มพักใหญ่เพื่อมานำเข้าไปในห้อง เขาให้เราสองคนเข้าไปก่อน โดยแซมเทนเป็นคนแรก เธอเข้าไปกราบพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนแท่นสูงก่อน โดยไหว้คล้ายๆคนจีนไหว้เจ้าคือก้มลงกราบจนหัวจรดพื้นแล้วลุกขึ้นยืนคารวะ ทำแบบนี้ 3 ครั้ง ฉันรู้สึกอยากจะทำแบบเธอตามธรรมเนียมของที่นี่บ้าง แต่ออกจะรู้สึกขัดเขินในใจอยู่เลยเอาแค่นั่งลงกราบ 3 ครั้งตามธรรมเนียมของไทย แล้วจึงหันไปกราบท่านรินโปเช่อยู่ห่างๆ ทุกคนทยอยตามกันเข้ามากราบท่านรินโปเช่ใกล้ๆทีละคนโดยท่านจะเอามือแตะที่ศีรษะแล้วให้พรแบบร่ายยาวจนครบทุกคน จากนั้นเขาจึงถวายของที่นำมาให้ท่าน
เมื่อท่านรู้ว่าฉันมาจากเมืองไทย ท่านก็บอกว่าท่านไปไต้หวันเมื่อหลายปีก่อนได้มีโอกาสแวะเมืองไทย 2-3 วัน จึงได้ไปเที่ยววัดสำคัญๆในกรุงเทพฯ
เราเป็นชาวพุทธเหมือนกันนะ ท่านพูดดวงตาฉายแววเมตตา
ก่อนที่เราสองคนจะลาท่านออกมาก่อนคนอื่นๆ ท่านได้เรียกเราให้เข้าไปใกล้ๆแล้วมอบด้ายนำโชคโดยคล้องคอให้พร้อมแตะศีรษะให้พรเหมือนคนอื่นๆก่อนหน้า แล้วก็แถมแอ๊ปเปิ้ลให้อีกคนละลูก ฉันถือว่าแอ๊ปเปิ้ลลูกนี้เป็นผลไม้มงคลสำหรับฉันที่จะนำแต่สิ่งดีๆมาให้ตลอดการเดินทางในอินเดีย วันนี้จึงเป็นวันที่ฉันรู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื่นหัวใจเป็นอย่างมากนับจากวันที่ได้ห่างจากแผ่นดินไทยมา
ขากลับเราผ่านย่านเจริญของเมืองมิริค สองข้างถนนมีทั้งเกสต์เฮ้าส์และโรงแรม เพิ่งรู้สึกได้ถึงความศิวิไลซ์ทางวัตถุของเมืองนี้ก็ที่นี่แหละไม่คิดว่าจะมีได้ขนาดนี้ มันช่างแตกต่างจากตัวหมู่บ้านบนไหล่เขาที่ฉันพัก ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างที่ถิ่นเจริญเขามีกัน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม หรือเกสต์เฮ้าส์ผู้คนที่ขวักไขว่ไป-มา ร้านค้าที่ขายของตามสมัยนิยม หรือ แม้แต่ธนาคาร แซมเทนขอตัวเข้าไปทำธุระในธนาคาร ฉันจึงถือโอกาสเดินเล่นข้างนอก และหลบเข้าไปในซอยเล็กๆข้างทางเพื่อชมวิวเขาสูงที่อยู่ด้านหลังร้านค้า กำลังฝันเพลินกับวิวเบื้องหน้าก็มีผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งมายืนอยู่ใกล้ๆและถามว่า
คุณกำลังจะไปไหน งงเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเขายิ้มให้เยี่ยงมิตรก็เลยตอบตามตรงไป
กำลังชมวิวสวยรอบๆ พร้อมกับกวาดมือไปยังเทือกเขาสูงเบื้องหน้าประกอบ เขายิ้มต่อด้วยความพึงใจแล้วบอกว่า
ถ้าคุณสนใจไปที่โบสถ์ซิ เขากำลังมีการร้องเพลงสวดให้ท่านไสบาบากัน ฉันหูผึ่ง เดินตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ค่อนข้างเชื่อมั่นในบุคลิกของเขาและคิดว่าคงไปไม่ไกล และไม่ถึง 50 ก้าวก็เลี้ยวเข้าซอยเล็กๆขวามือ พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงเพลงสวดดังแว่วมา สักครู่ก็ถึงต้นกำเนิดเสียง
ห้องแถวกว้างสองห้องรวมกันมีผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่ต่ำกว่า 30 คน กำลังนั่งกับพื้นแยกเป็นสองฝ่าย หญิง-ชาย คั่นด้วยแนวยาวของดอกไม้สีเหลืองที่ถูกจัดวางเป็นจุดๆ บนพื้นห้อง ทุกคนกำลังร้องเพลงสวดอย่างตั้งอกตั้งใจโดยหันหน้าไปยังเวทีที่ตั้งเครื่องสักการะและรูปภาพขนาดใหญ่ของท่านไสบาบา 2 ภาพ เป็นรูปเดียวกับที่ฉันได้เห็นอยู่บนหิ้งบูชาในห้องของนิชานั่นเอง
เขาแสดงท่าทีเชื้อเชิญให้ฉันเข้าไปนั่งร่วมในพิธีด้วย เพื่อไม่เป็นการทำลายความรู้สึกที่ดีที่เขาอุตส่าห์ชวนมา ฉันเลยเข้าไปนั่งลงแถวหลังสุดของฝ่ายหญิง ส่วนเขาเดินไปยืนหน้าเวทีร่วมร้องเพลงสวดเสียงดัง ฉันนั่งสงบฟังการสวดอยู่พักหนึ่ง หญิงวัยกลางคนสองคนก็ลุกขึ้นพร้อมมือถือถ้วยใบเล็กบรรจุผงสีน้ำตาลปนเขียว เดินไปยังคนที่กำลังสวดแล้วใช้นิ้วแตะผงในถ้วยเอาไปแตะหน้าผากทีละคนจนครบ สุดท้ายก็มาถึงฉันเธอยิ้มให้ ฉันเลยยื่นหน้าผากไปให้เธอแต้มผงให้พร้อมไหว้รับและขอบคุณ เธอยิ้มรับอย่างพึงพอใจ สักพักการสวดก็จบลง แต่ก็มีทีท่าว่าจะเริ่มสวดบทใหม่ ฉันจึงรีบขอลากลับเพราะกลัวแซมเทนจะรอ เดินออกมาแล้วอดบอกกับตัวเองไม่ได้ว่า มันเป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียวที่ได้มีโอกาสเช่นนี้
แซมเทนบอกเธอเดินหาฉันอยู่พักหนึ่งเลยต้องขอโทษเธอไป ขากลับผ่านร้านไอศกรีม ด้วยเวลาที่จำกัดเพราะกลัวไปไม่ทันนัดนิชา เลยได้เลี้ยงแค่ไอศกรีมเธอไปก่อนสำหรับวันนี้ กะว่าวันหลังจะเลี้ยงตอบแทนน้ำใจเธอมากกว่านี้
ระหว่างทางเห็นคนงานกำลังซ่อมถนน บางคนแบกบุ้งกี๋ที่ใส่หินก้อนโตๆถึง 2-3 ก้อน น่าทึ่งจริงๆพวกเขาช่างแข็งแรงเอามากๆ แค่ก้อนเดียวอย่างเราๆให้ยกก็ไม่ไหวแล้ว แซมเทนบอกว่า คนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวเนปาลีมีทั้งที่ย้ายมาจากเนปาลตั้งแต่บรรพบุรุษและที่เข้ามาทำงานชั่วคราว เพราะมิริคเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนเนปาลจึงมีคนเนปาลมาอาศัยอยู่ที่นี่มาก นอกจากนั้น คนอินเดียและคนเนปาล ยังสามารถเข้า- ออกระหว่างประเทศทั้งสองได้โดยเสรีไม่จำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตหรือวีซ่า
เป็นครั้งแรกที่แซมเทนบอกกล่าวในเรื่องราวที่เป็นความรู้และน่าสนใจด้วยท่าทีของผู้รู้ที่ทรงภูมิ นอกจากเธอจะอธิบายได้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วเธอยังได้ให้ความรู้ใหม่ๆกับฉันอีกด้วย โดยเฉพาะที่เธอพูดถึงพาสปอร์ตและวีซ่า เธอพูดอย่างคนที่รู้เรื่องและเข้าอกเข้าใจในเนื้อหาเป็นอย่างดี เธอเป็นเด็กฉลาดจริงๆ ไม่น่าเชื่อเด็กมัธยมต้นแห่งเมืองในหุบเขาจะฉลาดหลักแหลมได้เพียงนี้ ตอนนี้เธอเป็นหนูน้อยที่น่าทึ่งสำหรับฉันแล้ว และฉันก็เพิ่งจะนึกได้ว่าคนที่มิริคที่ฉันเห็นๆอยู่ทั่วไปก็น่าจะต้องเป็นคนเนปาลีหรือคนจากประเทศเนปาลเกือบทั้งหมดด้วย
..
|
บทความทั้งหมด
|