อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน 10.น้ำใจคนแปลกหน้า น้ำใจคนแปลกหน้า
ฉันฆ่าเวลารอดีเพนต่อด้วยการควักปากกาและสมุดโน้ตออกมาจดบันทึกการเดินทาง ดีเพนกลับมาเอาเกือบเที่ยง และเราก็ถือโอกาสอุดหนุนร้านอาหารต่อด้วยมื้อกลางวัน จากนั้นจึงนั่งออโต้ริกชอว์ไปยังบ้านเพื่อนดีเพนเพื่อที่จะไปพบท่านลามะที่นั่น
บนถนนที่จอแจและแออัดไปด้วยรถราหลากชนิด สองข้างทางเป็นตึกแถวเก่าๆสูงต่ำไม่เป็นระเบียบ รถไปได้ช้ากว่าปกติ เพราะมีคนเดินข้ามถนนตัดหน้ารถเป็นระยะๆ แต่ไม่นานเราก็ไปถึงบ้านเพื่อนดีเพนซึ่งตัวบ้านมีบริเวณ ด้านหน้าบางส่วนปรับเป็นร้านอาหารเล็กๆแบบร้านอาหารของชาวบ้านต่างจังหวัดในเมืองไทย
ปรากฏว่าท่านลามะยังมาไม่ถึงซึ่งเราก็ต้องรอ ดีเพนได้แนะนำให้ฉันรู้จักสองสามีภรรยาเจ้าของบ้าน ทั้งสองคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสและต้อนรับฉันเป็นอย่างดีพร้อมถามผ่านดีเพนว่าฉันกินอาหารกลางวันมาหรือยัง เมื่อทราบคำตอบว่าเพิ่งกินมาเขาก็ยังเอาน้ำมาเสริฟให้ ฉันรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจที่ได้รับจากสองสามีภรรยาคู่นี้ แม้เราจะสื่อสารกันทางตรงไม่ได้แต่สายตาและรอยยิ้มที่ทั้งสองส่งให้นั้นบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ใจอย่างไม่มีข้อกังขา ด้วยอุปสรรคทางภาษาเราจึงไม่ได้พูดคุยกันมากนักแต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะขอถ่ายรูปของทั้งสองไว้เป็นที่ระลึก พร้อมขอที่อยู่อีเมล์ไว้เพื่อจะได้ส่งภาพมาให้ภายหลัง
ระหว่างรอท่านลามะดีเพนได้เล่าให้ฟังว่าลามะท่านนี้เคยเดินทางไปเมืองไทยมาแล้ว ถึงตรงนี้ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมดีเพนจึงดูมีข้อมูลและคุ้นเคยกับเมืองไทยเป็นพิเศษเมื่อเวลาพูดถึง เรารอเกือบชั่วโมงท่านลามะจึงมาถึง ผิดไปจากที่คาดไว้มาก เบื้องแรกฉันคิดว่าท่านลามะคงจะดูแก่วัยและเงียบขรึมอยู่ในที แต่นี่ดูหนุ่มและอ่อนวัยกว่าฉันมาก ที่แปลกไปอีกก็คือดูอารมณ์ดีใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา ฉันยกมือไหว้ด้วยความรู้สึกเดียวกับไหว้พระสงฆ์ที่เมืองไทยท่านทักทายฉันเป็นภาษาอังกฤษพอเป็นพิธี แต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกว่าท่านเคยไปเมืองไทยมาแล้วเมื่อสามปีที่ผ่านมาและท่านได้รับการดูแลจากคนไทยเป็นอย่างดี
คนไทยใจดีมาก ท่านบอกต่อ ฉันยิ้มรับคำชมด้วยความปลาบปลื้มและอยากขอบคุณคนไทยทุกคนที่มีส่วนทำให้ผู้คนที่ไปเยือนเมืองไทยรู้สึกได้เช่นนี้ และฉันก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าที่ดีเพนดูเป็นมิตรกับฉันมากก็เพราะได้รับการถ่ายทอดเรื่องเมืองไทยในทางบวกจากท่านลามะนี่เอง
ฉันยอมรับทันทีว่าสิ่งดีๆที่ได้รับในวันนี้ถือเป็นอานิสงค์ที่ส่งต่อมาถึงฉันเพราะความเป็นคนมีจิตใจโอบอ้อมและเอื้ออารีของคนไทยที่มีต่อแขกผู้ไปเยือนอย่างแน่นอน จากนั้นท่านก็หันไปดูเอกสารกับดีเพน ฉันเลยถือโอกาสเลี่ยงออกไปเดินเล่นและถ่ายรูปบริเวณหน้าบ้านและริมถนน
ฉันคิดว่าก่อนหน้าที่ท่านลามะจะมาเจอฉัน ดีเพนคงได้โทรศัพท์พูดคุยเรื่องของฉันกับท่านลามะไปบ้างแล้วเพราะดูท่านจะเข้าใจที่มาที่ไปของฉันพอสมควร ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก เสร็จธุระแล้ว เราทั้งสามก็นั่งออโต้ริกชอว์ไปยังคิวรถที่จะต่อไปยังเมืองมิริค
รถที่จอดอยู่ที่คิวรถส่วนใหญ่จะเป็นรถจี๊ปยี่ห้อทาทาและซูโม่ มีแลนด์โรเวอร์แซมบ้าง พื้นที่แถบนี้เป็นภูเขาทั้งสิ้นจำเป็นต้องใช้รถโฟร์วิลล์สภาพแข็งแรงและทนทานเป็นพิเศษ แต่ขนาดของรถทำให้จุผู้โดยสารได้ไม่มาก เมื่อไปถึงรถคันที่จะออก ปรากฏว่ามีที่นั่งเหลือให้เรา 3 ที่นั่งพอดี โดยด้านหน้าข้างคนขับยังว่างน่าจะนั่งได้สองคน สำหรับแถวหลังถัดไป ผู้โดยสารที่ดูเป็นคนท้องถิ่นทั้งหมดซึ่งนั่งกันเต็มพื้นที่อยู่ก่อนแล้วพอเห็นเราก็ได้พยายามขยับเบียดกันเพื่อให้เกิดที่ว่างริมสุดขึ้นอีกหนึ่งที่ นับเป็นความมีน้ำใจอย่างน่าชื่นชมของผู้โดยสารด้วยกันโดยแท้
ดีเพนและท่านลามะมีท่าทีที่อยากจะให้ฉันได้นั่งข้างหน้าระหว่างคนขับกับท่านลามะ ฉันพอจะรู้มาก่อนว่าลามะที่นี่สามารถที่จะใกล้ชิดหรือแตะต้องผู้หญิงได้ แต่ในความรู้สึกของฉันขณะนี้ไม่สามารถยอมรับเช่นนั้นได้ เพราะรู้สึกว่าท่านก็คือพระสงฆ์รูปหนึ่ง และท่านเองก็อาจลืมนึกไปถึงข้อปฏิบัติของคนไทยที่มีต่อพระสงฆ์ซึ่งแตกต่างออกไปจากวิถีปฏิบัติของที่นี่
ฉันแอบเลี่ยงไปด้านหลังและรีบบอกท่านลามะไปว่า ฉันขอปฏิบัติต่อท่านเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อพระสงฆ์ที่เมืองไทย พอได้ฟังเช่นนั้นดูท่านลามะจะนึกอะไรขึ้นมาได้และเข้าใจความหมายที่ฉันพูดทันที พลันท่านก็บอกให้ดีเพนขึ้นไปนั่งข้างคนขับแล้วท่านจึงตามขึ้นไปนั่งข้างๆ ส่วนฉันเลี่ยงขึ้นไปนั่งที่ว่างแถวหลัง จากนั้นท่านลามะก็หันกลับมาบอกว่าท่านเพิ่งนึกได้ว่าคนไทยเคารพและปฏิบัติต่อพระสงฆ์พิเศษมาก
รถวิ่งออกมาไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกมือขอขึ้นรถอยู่ข้างทาง รถชะลอแล้วจอดข้างเธอ ฉันออกจะงงว่าเธอจะขึ้นมานั่งตรงไหนได้อีก เพราะแถวที่ฉันนั่งก็เต็มที่แล้วไม่สามารถขยับให้ได้อีกแน่นอน แต่พอเห็นท่านลามะเตรียมขยับที่นั่งให้ก็เข้าใจได้ทันที ฉันออกจะรู้สึกแปลกๆที่เห็นหญิงสาวนั่งเบียดชิดกับพระสงฆ์อยู่ข้างหน้าแถมพูดคุยกันอย่างคุ้นเคยในขณะที่ทุกคนในรถกลับไม่ได้รู้สึกอะไร.....คงเพราะมันคือสิ่งปกติสำหรับที่นี่....ฉันซึ้งได้ทันทีกับคำกล่าวที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนถูกสมมุติขึ้นทั้งสิ้น..!
บนเส้นทางระหว่างสิริกูริกับมิริคชวนให้นึกถึงการนั่งรถขึ้นเขาลงห้วยไปตามดอยต่างๆในพื้นที่ทางเหนือของเมืองไทย จะต่างก็ตรงสองข้างทางที่นี่เต็มไปด้วยไร่ชาสีเขียวเข้มสุดลูกหูลูกตาสลับกับเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนซึ่งบางช่วงก็แทรกเข้าไปในกลุ่มเมฆหมอกขาวที่ลอยเกลื่อน
ตอนนี้บรรยากาศทั่วไปเริ่มดูมืดครึ้มคล้ายกำลังย่างเข้าสู่ยามเย็น แต่ความจริงแล้วยังคงเป็นยามบ่ายหากท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีดำของฤดูฝนต่างหาก อากาศเย็นเยือกขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานฝนก็พรำลงมา ทุกคนในรถต่างเงียบเหมือนทุกอย่างคือความปกติ นานๆจะมีรถสวนมาสักคัน บรรยากาศชวนให้เกิดความรู้สึกเหงาๆและงงๆว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่อยากเชื่อเลยว่าขณะนี้ฉันอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนตั้งหลายพันไมล์ รอบข้างมีแต่ผู้คนแปลกหน้าที่ยากจะสื่อสารภาษากันโดยตรงได้ มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่เป็นสื่อให้เข้าใจในอารมณ์กันได้บ้าง
ไม่รู้ว่าอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นอย่างไร แม้แต่เย็นนี้จะไปพักที่ไหนก็ยังมืดมน เมื่อเช้าดีเพนบอกว่ามีที่พักอยู่หลายแห่ง หวังว่าคงหาได้สักแห่งและคงจะดูดีและน่าพักมากกว่าเมื่อคืนที่โกลกาตา กำลังอยู่ในห้วงความคิดเพลินๆ ดีเพนก็หันกลับมาบอกว่า
อีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็จะถึงมิริคแล้ว คุณอยากพักบ้านบนเขาหรือริมทะเลสาบ ฉันสะดุ้งและแปลกใจเล็กน้อยเหมือนเขาจะล่วงรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ มันเป็นคำถามที่ฟังแล้วดูดีและเท่ห์มาก ชวนให้นึกไปถึงบ้านสวยบนเนินเขาที่ตกแต่งด้วยไม้ดอกเมืองหนาวหลากหลายสีสันท่ามกลางอากาศเย็นเยือกของยอดเขา และอีกหลังคงจะเป็นบ้านปีกไม้ริมทะเลสาบอันเงียบสงบมองลงไปเห็นเงาของเทือกเขาแสนสวยสะท้อนลงในทะเลสาป ช่างชวนฝันเหมือนในหนังฝรั่งหรือโปสเตอร์ แต่เมื่อฉุกใจนึกถึงค่าเช่าก็ต้องชะงักคงจะแพงพอดู เลยถามกลับไปว่า ค่าเช่าแต่ละแห่งเป็นอย่างไร
ฟรี... ท่านลามะจะฝากให้คุณพักที่บ้านของชาวบ้าน คำตอบดีเพนทำให้ฉันงงและอึ้งชั่วขณะ โอ...อะไรกันนี่ อดรำพึงกับตัวเองไม่ได้ ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับสิ่งดีๆแบบนี้จากคนต่างชาติต่างภาษาที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เราเพิ่งจะรู้จักกันยังไม่ถึงหนึ่งวันเลย ฉันออกจะรู้สึกเกรงใจขึ้นมาทันที เกรงใจทั้งท่านลามะ และทั้งชาวบ้านที่ฉันจะไปพักด้วย เลยบอกไปว่า
ฉันรู้สึกว่าจะเป็นการรบกวนท่านลามะมากเกินไปแล้ว ถ้ายังไงฉันขอพักโรงแรมหรือเกสต์เฮ้าส์ก็ได้ แต่แล้วท่านลามะก็หันกลับมาตอบทันทีว่า
ไม่เป็นไรหรอก เจ้าของบ้านเขาเต็มใจ และยินดี พูดเสร็จโดยไม่รอคำตอบท่านลามะก็กดโทรศัพท์ในมือ ขณะที่ฉันเองก็รู้สึกว้าวุ่น นึกไม่ออกว่าควรจะตอบรับหรือไม่?อย่างไร? สุดท้ายท่านลามะก็เสร็จจากการโทรศัพท์และหันมาบอกว่า
ตอนนี้ติดต่อบ้านริมทะเลสาปได้แล้วเขายินดีที่จะให้คุณไปพักที่บ้านเขา แต่บ้านบนเขายังติดต่อไม่ได้ มาถึงตอนนี้ฉันคงปฏิเสธน้ำใจที่ท่านลามะมอบให้ไม่ได้แล้ว เลยต้องรีบบอกขอบคุณและขอพักที่บ้านริมทะเลสาป เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องยุ่งยากในการติดต่อบ้านบนเขาอีก
รถวิ่งไปตามไหล่เขาลูกแล้วลูกเล่าผ่านหมู่บ้านและชุมชนชาวเขาหลายแห่ง สภาพพื้นที่โดยทั่วไปดูไม่ต่างไปจากหมู่บ้านชาวไทยภูเขาทางเหนือของไทยสักเท่าไหร่ และแล้วก็เข้าสู่ชุมชนขนาดใหญ่สังเกตได้จากรถผ่านเข้าไปในตลาดที่มีร้านค้าเป็นห้องแถวยาวผู้โดยสารลงจากรถเป็นระยะ รถผ่านเลยตลาดไปพักใหญ่จึงจอดให้เราลงตรงเนินเขาหน้าอาคารที่มีป้ายชื่อเขียนไว้ว่าศูนย์ประชุมหมู่บ้าน แล้วเราทั้งสามก็ลงเกือบเป็นชุดสุดท้าย ..
โชคดีจังค่ะ ได้เจอมิตรภาพที่ดี
โดย: สุภาวรรณ IP: 49.0.116.45 วันที่: 6 สิงหาคม 2557 เวลา:16:26:06 น.
|
บทความทั้งหมด
|