อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /กาลิมปง ตอน 25. งุนงงแกมตระหนก งุนงงแกมตระหนก
..........
เจ้าซูโม่กลางเก่ากลางใหม่เคลื่อนตัวออกจากคิวรถ (bus stand) ที่อยู่ริมถนนแคบๆอย่างมั่นใจ...ซูโม่ก็คือยี่ห้อรถจี๊ปของอินเดียอีกยี่ห้อหนึ่งที่ดังและเป็นที่นิยมไม่แพ้ยี่ห้อทาทา พวกนี้มันถนัดในการป่ายปีนไปตามไหล่เขาอย่างสมบุกสมบันและทรหดอดทน หากเปรียบเป็นคนมันก็คือทาสที่ซื่อสัตย์ระหกระเหินไปได้ทุกที่เคียงข้างเจ้านายผู้บงการหลังพวงมาลัยและเมื่อถึงคราจำเป็นมันก็ยอมตายถวายชีวิตให้กับเจ้านายได้ วันนี้ก็คงจะเหมือนทุกๆวันที่มันจะต้องรับภาระแบกข้าวของและผู้คนจนหลังแอ่นแล้ววิ่งไปให้ถึงจุดหมายที่นายสั่ง
โชคดีที่ฉันมาก่อนผู้โดยสารหลายคนเลยได้นั่งข้างหน้าและไม่ติดคนขับ คงจะเป็นเพราะรถที่ไปกาลิมปงมีไม่กี่เที่ยว เที่ยวนี้จึงแน่นเบียดกันทุกแถวมันล้นขึ้นไปถึงหลังคา รอบๆหลังคาทั้งด้านข้างและด้านหลังมีขาห้อยลงมาเป็นคู่ๆเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ผู้โดยสารนอกจากจะถูกแบ่งเป็นชนชั้นแล้วยังถูกแบ่งเพศไปโดยอัตโนมัติด้วย ชนชั้นบนเป็นชายทั้งสิ้น ส่วนชั้นล่างก็เป็นหญิงหมด แถวหน้าแน่นอนรวมคนขับเป็นสี่ มันแน่นจนให้รู้สึกเห็นใจสาวน้อยคนที่นั่งข้างคนขับเธอต้องเบี่ยงก้นล้ำแดนไปแชร์ที่นั่งกับคนขับเกือบครึ่ง ด้านหลังมีทั้งสาวรุ่นนักท่องเที่ยวจากแถบยุโรปและสาวอินเดีย รวมทั้งชาวบ้านต่างวัยนั่งเบียดกันเต็มพื้นที่
ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้ากับการเริ่มต้นอย่างโดดเดี่ยวอีกครั้งทำให้ฉันอดที่จะกลับมาสำรวจความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ...คำตอบที่ได้ตอนนี้ก็คือไม่ค่อยรู้สึกกลัวอะไร ออกจะมั่นใจกับการเดินทางตามลำพังมากขึ้น ดูๆมันก็เหมือนการเดินทางที่เมืองไทยเมื่อเรามีจุดหมายว่าจะไปไหนและรู้ว่าจะไปอย่างไรเราก็ไปได้โดยไม่รู้สึกหวั่นไหว โดยเฉพาะผู้คนทั่วไปส่วนใหญ่ดูมีความเป็นมิตรสูง... แต่..พอนึกอีกที...กาลิมปง...เมืองที่ฉันเพิ่งได้ยินจากปากของรูปาภรรยายูเอสเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ แต่บังเอิญได้รับรู้ข้อมูลเชิงบวกเพิ่มเติมจากบิจอยแม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็พึงใจเลยเผลอตัดสินใจหยิบขึ้นมาเบียดหน้าสิกขิมทันทีในฐานะที่อยู่ใกล้กับดาร์จีลิ่งมากกว่า
แต่ยังไงก็ตาม จนบัดนี้ฉันยังไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลพื้นฐานให้แน่นพอที่จะก้าวไปเสี่ยงไม่ว่าจะข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ที่พักหรือแม้แต่สถานที่เที่ยวที่น่าสนใจก็ยังไม่มีรายละเอียดอะไร คิดแต่เพียงว่าเจ้าโลกเหงา (lonely planet) เพื่อนยากคงจะช่วยได้แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ว่างที่จะเปิดมันอ่านซักทีเพราะพอมีช่วงว่างนิดหน่อยความขี้เกียจก็วิ่งเข้ามาแทรกทุกครั้ง คงเพราะความอ่อนล้าจากการเที่ยวชนิดนันสต้อป (non-stop) นั่นแหละจนนาทีนี้ฉันก็ยังนึกภาพเมืองกาลิมปงไม่ออกได้แค่ประเมินคร่าวๆจากคำบอกเล่าของรูปาและบิจอยที่ว่า
กาลิมปงก็น่าไปนะถ้าคุณชอบขึ้นเขาสูง แนะนำให้คุณขึ้นไปเดโล่(Deolo)ที่นั่นจะเป็นเหมือนสวนสาธารณะที่อยู่บนยอดเขา อากาศเย็นสบายดอกไม้สวย บนนั้นมีที่พักด้วย รูปาบอกกล่าวเชิงชี้แนะผ่าน บิจอยขณะที่เราสามคนมีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน ส่วนหนึ่งคงเพราะบิจอยได้ถ่ายทอดคำเปรยของฉันให้เธอรู้ว่าฉันออกจะเสียดายที่ไม่ได้ไปเคอซงเมืองบนยอดเขา เพราะหากจะไปตอนนี้ก็จะกลายเป็นการย้อนเส้นทางที่มาเพราะจุดต่อไปฉันตั้งใจจะต่อขึ้นไปสิกขิมที่อยู่สูงขึ้นไปอีก บิจอยเสริมแม่ต่อว่า
คุณแวะกาลิมปงก่อนไปต่อสิกขิมก็ดีนะเพราะกาลิมปงอยู่ระหว่างดาร์จีลิ่งกับสิกขิม ที่นั่นคุณสามารถดูกังเชนจุงกาได้ด้วย แน่ะเอากังเชนจุงกามาล่อฉันอีก
แล้วที่สิกขิมดูกังเชนจุงกาได้ใหม? ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าที่สิกขิมก็สามารถเห็นกังเชนจุงกาได้แต่เพื่อความมั่นใจเลยขอถามย้ำอีกทีเพราะเห็นเขาเชียร์ให้ไปดูที่กาลิมปง
ดูได้เหมือนกัน แต่ที่กาลิมปง เดโลก็น่าไปพวกเราเคยไปที่นั่นดอกไม้สวยมาก อากาศดีจริงๆอยู่บนนั้นถ้าท้องฟ้าไม่มีเมฆหมอก มองลงมาจากยอดเขาจะเห็นวิวทิวทัศน์รอบๆสวยงามมาก เขาเชียร์ต่อ
แรงเชียร์ของสองแม่-ลูกเกี่ยวกับกาลิมปง แม้จะแค่สามหรือสี่ประโยคก็เพียงพอแล้วสำหรับการตัดสินใจของฉันผู้ซึ่งคลั่งไคล้ไหลหลงที่สูง มันเป็นความสุขอย่างเยี่ยมยอดเมื่อมีโอกาสได้ขึ้นไปยืนอยู่บนเขาสูงๆแล้วมองลงไปเบื้องล่างรอบๆตัวเรามันเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกอยู่ภายใต้สายตาแห่งเรา ฉะนั้น กาลิมปงหากจะประมาณหรือประเมินตามที่ได้รับรู้จากสองแม่-ลูกก็คงจะเป็นเมืองเล็กๆหรือหมู่บ้านที่ใหญ่หน่อยอยู่ท่ามกลางป่าเขาเช่นเมืองหรือหมู่บ้านหลายๆแห่งที่เคยนั่งรถผ่านมา หรือถ้าเป็นเมืองใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็อาจจะไม่ต่างจากมิริคเท่าไหร่ การที่แต่ละเมืองในแถบนี้จะมีสถานที่พักผ่อนหรือที่ท่องเที่ยวบนยอดเขาคงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะแถบนี้ถือเป็นถิ่นภูเขาอยู่แล้ว จึงหวังว่าเมื่อไปถึงที่นั่นคงจะเดินหาที่พักพิงสักแห่งได้ไม่ยาก
นับจากนี้ไปเจ้าโลกเหงาคงจะเป็นตัวช่วยตัวเดียวที่ฉันมอบชีวิตให้นำทาง
เส้นทางที่รถแล่นเลี้ยวและลุยไประหว่างป่าเขาดูแล้วไม่แตกต่างจากเส้นทางมิริคกับดาร์จีลิ่ง ความงามของทิวทัศน์เบื้องหน้าและสองข้างทางบอกได้คำเดียวว่าสวยได้ใจจริงๆ ไม่ว่าจะ หุบเขา เมฆหมอก ต้นไม้ หรือแม้แต่สายธารเล็กๆที่รถต้องแล่นลุยตัดผ่านไปล้วนก่อเกิดและประกอบกันขึ้นมาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของธรรมชาติทั้งสิ้น แต่ที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นทุกอย่างดูมันเคลื่อนไหวเป็นตัวของมันเองได้อย่างน่าประทับใจ ชื่นชมความงามของสองข้างทางอยู่ได้ไนาน อาการง่วงเหงาหาวนอนและอ่อนเพลียจาก ชีวิที่สมบุก สมบันเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาก็เริ่มแผลงฤทธิ์ มันง่วงสุดๆหนังตาหนักอึ้งพยายามจะฝืนก็ ไม่เป็นผล ตอนนี้ความมีชีวิตชีวาของสองข้างทางไม่ได้มีอิทธิพลเหนืออารมณ์ใดๆแล้ว สุดท้ายเลยต้องปล่อยเลยตามเลยมีเพียงจิตสำนึกลึกๆที่รับรู้อาการสัปหงกโยกไปเอนมาและกระทบ กระแทกเอาคนข้างๆ แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันช่างสุขเหลือล้ำเหนือความเกรงใจผู้ใดทั้งสิ้น... แต่พอได้สติตื่นขึ้นมาจากอาการสลบไสลก็อายจนแทบจะไม่อยากมองหน้าใครๆในรถ ไม่นานรถก็วิ่งพ้นแนวป่ามองเห็นชุมชนใหญ่อยู่เบื้องหน้า ตึกรามบ้านช่องที่ดูค่อนไปทางเก่าแก่และทรุดโทรมเรียงรายตามไหล่หรือหุบเขาเต็มไปหมดยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นกาลิมปงหรือไม่ ออก จะก้ำกึ่งเพราะดูเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าที่คาดไว้ แต่พอรถจอดให้ผู้โดยสารลง ณ จุดที่น่าจะเป็นใจกลางเมืองเพราะมีผู้คนรถราเต็มไปหมด รอบๆเป็นร้านค้าและตึกสูงบรรยากาศรู้สึกได้ถึงความแออัดและโกลาหล ฉันมองท่าทีผู้โดยสารข้างๆทุกคนอยู่ในอาการเตรียมพร้อมที่จะลง เพื่อความมั่นใจฉันถามคน ข้างๆด้วยคำพูดคำเดียวว่า กาลิมปง? เธอพยักหน้าตอบ ลงจากรถบรรยากาศโดยรอบชวนให้รู้สึกตระหนกหนุ่มแขกตัวดำต่างเข้ามากลุ้มรุมผู้โดยสารที่ลงจากรถทันทีพร้อมส่งเสียงเซ็งแซ่แข่งกันแย่งลูกค้าฉันเองยังตั้งตัวไม่ติดด้วยทุกอย่างรอบตัวมันต่างไปจากที่คาดไว้มาก พอมองรอบตัวพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหนุ่มหนึ่งเอื้อมมือขึ้นไปรับเป้ของฉันซึ่งกำลังถูกส่งลงมาจากหลังคารถคิดว่าเขาจะช่วยรับวางลงที่พื้น แต่เปล่าเขากลับหิ้วมันเดินฝ่าผู้คนที่โกลาหลอยู่รอบๆรถออกไป ฉันตกใจจึงรีบวิ่งตามอีกใจก็ยังพะวงกับถุงนอนที่ยังอยู่บนหลังคารถเมื่อถึงตัวเขาฉันจึงรีบคว้าเป้กลับมาด้วยความโมโห แล้วรีบกลับมาที่รถเพื่อรอรับถุงนอน ....'เกือบไปแล้วใหมล่ะ ดีนะที่ตาไวมองเห็นซะก่อน....' แต่แล้วฉันก็เห็นเขาเดินกลับมาที่รถอีกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้เลยชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขาจงใจจะฉวยโอกาสขโมยเป้ของฉันหรือว่านี่คือการจับจองเชิงบังคับลูกค้าหรืออาจเป็นการช่วยบริการลูกค้าเบื้องต้นเพื่อจูงใจให้ลูกค้าต้องใช้บริการรถเขาก็ไม่รู้ แต่ลักษณะอาการแบบนี้มันเสี่ยงจริงๆยากที่จะให้มองในแง่บวกได้ จะยังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้ฉันขวัญเสียไปแล้ว ได้ถุงนอนเลยรีบแบกเป้ฝ่าวงล้อมผู้คนออกมาให้พ้นจากความวุ่นวายและเซ็งแซ่รอบๆรถซะก่อน แต่แล้วก็ไม่วายมีไอ้หนุ่มอีกสองสามคนรวมทั้งเจ้าคนที่ฉกเป้ของฉันไปเมื่อสักครู่ตามมาตื้อเพื่อจะให้ใช้บริการรถของพวกเขา ฉันร ฉันรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นและออกจะงุนงงเพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดีไม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับที่พักและสถานที่ต่างๆของเมืองนี้ไว้ล่วงหน้า คิดไว้แต่ว่าที่นี่น่าจะออกแนวหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆที่เดินแบกเป้หาที่พักได้ไม่ยาก แต่เอาเข้าจริงๆมองไปทางไหนมีแต่ผู้คนเต็มไปหมด ตึกรามบ้านช่องก็ดูเก่าๆค่อนไปทางสกปรก ผู้โดยสารหลายคนที่มารถคันเดียวกันรวมทั้งฝรั่งนักท่องเที่ยวสาวรุ่นสามสี่คนก็อันตรธานไปทางไหนอย่างรวดเร็วก็ไม่รู้หวังจะเป็นที่พึ่งซะหน่อยก็ไม่ได้ บอกตัวเองว่าดีที่สุดตอนนี้ต้องรีบเดินออกไปตั้งตัวให้ห่างจากพวกคนรถที่ตามตื๊อเสียก่อน ฉันรีบเดินหนีผู้คนชนิดไม่ยอมสนใจหรือสบตาใครทั้งสิ้น นับว่ายังโชคดีที่มาถึง ช่วงเที่ยงกว่าๆมีเวลาเหลือเฟือที่จะได้ตั้งตัวและถือโอกาสทำความรู้จักเมืองนี้กับเจ้าโลกเหงาเพื่อนยากอย่างเป็นทางการซะที เดินออกจากคิวรถ(เมืองนี้เขาเรียก motor stand ) มาได้สักพักลองมองย้อนกลับไปดูที่เดิมอีกที.... อ๊าว.. ไอ้หนุ่มตัวดำหนึ่งในสามที่ตามตื๊อเมื่อสักครู่ยังอุตส่าห์เดินตามมาห่างๆอีก... ฉันล่ะอ่อนใจกับคนพวกนี้จริงๆ เลยเดินต่อและทำเป็นไม่สนใจหันกลับไปดูอีก นึกๆดูอีกทีก็ขำ ไม่ได้เจอบรรยากาศแบบนี้ซะหลายวันเพราะมัวแต่วาสนาดีมีคนอุ้มชูพาเที่ยวแบบไฮโซเลยชักจะลืมๆกำพืดเดิมไปซะแล้ว เอาวะ...ก็ดีเหมือนกันเจอๆเพื่อเตือนให้ได้รู้ไว้มั่งว่าชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปหรอกน่ะ นับจากนี้ไปเจ้าจะต้องกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเจ้าแล้ว... บอกตัวเอง เดินออกมาไกลพอควรเจอทางแยกมีร้านขายขนม ในร้านมีขนมสไตล์แขกๆหลากชนิดหลายรูปแบบโชว์อยู่ในตู้กระจกดูแล้วน่าจะพอกินได้ ที่เยี่ยมกว่านั้นมีโต๊ะและเก้าอี้ยาวสองสามตัวยังว่างอยู่ ช่างเหมาะที่จะได้อาศัยเป็นที่นั่งเสวนากับเจ้าโลกเหงาเพื่อนยากให้ได้เรื่องได้ราวซะที ปะเหมาะจะได้สอบถามผู้คนเพิ่มเติมอีกเพราะบางทีเจ้าโลกเหงาก็รู้ไม่ทันโลกปัจจุบันทั้งหมดหรอก บางอย่างต้องอัพเดทจากผู้คนในพื้นที่อีกที หลังจากจัดแจงวางของอันพะรุงพะรังให้เข้าที่เข้าทางในร้านเพื่อไม่ให้เกะกะชาวบ้านแล้ว พอเงยหน้าขึ้นก็เจอกับสายตาทุกคู่ที่อยู่ในร้าน รวมทั้งของเด็กหนุ่มๆคนงานในร้านที่มีอยู่สองสามคนพุ่งเป้ามาที่ฉัน มันไม่ใช่สายตาที่มองคนธรรมดาทั่วไปแต่เป็นสายตาแปลกๆเหมือนมองมนุษย์ต่างดาวมากกว่าที่จะมองมนุษย์เดินดินกินข้าวเหมือนๆกัน เขาทำให้ฉันต้องหันกลับมาสำรวจตัวเองและข้าวของที่จัดวางไปเมื่อสักครู่อีกครั้งว่ามันบกพร่องหรือก่อกวนสิ่งแวดล้อมในร้านให้เป็นที่น่าขัดเคืองผู้คนตนใดหรือไม่ แต่ดูแล้วก็เรียบร้อยดีทุกสิ่ง และพอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ยังทันได้เห็นอาการรีบเบนสายตาจากฉันของผู้คนแล้วหันไปหัวเราะให้กันเเหมือนขบขันในอากัปกริยาหรือท่าทีของฉันเสียเต็มประดา.. เอ๊ะหรือว่าเขาคิดว่าฉันเป็นมนุษย์มาจากต่างดาวจริงๆก็ไม่รู้ ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณเรียกเด็กในร้านหนึ่งในนั้น พร้อมลุกขึ้นไปหน้า ตู้กระจกที่มีขนมเรียงรายอยู่ข้างใน แล้วก็ ชี้...ชี้......ชี้....เอาอย่างละชิ้น สไปรท์บอกไปคำเดียวพร้อมยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ของกินมาเสริฟตรงหน้าแถมอมยิ้มขำๆจากคนเสริฟชนิดฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาขำอะไรนักหนา นึกหาเหตุที่คนที่นี่มองฉันแบบแปลกๆไม่เจอ เลยสรุปเอาว่าคงเป็นเพราะหน้าตาฉันมันแปลกไปจากคนที่นี่เช่นเดียวกับที่ฉันได้เจอมาแล้วที่หน้าสวนสาธารณะที่โกลกาตา... มันแน่นอนอยู่แล้วหน้าตา กะเหรี่ยงย่อมไม่เหมือนฝรั่งนักท่องเที่ยวจากแดนไกลที่เขารู้สึกคุ้นเคยมากกว่า แถมเป็นกะเหรี่ยงหญิงระหกระเหินมาเดี่ยวๆคนเดียวคงจะเป็นอะไรที่พิสดารมากๆสำหรับคนที่นี่ ฉันก้มหน้าก้มตาเสวนากับเจ้าโลกเหงาเพื่อนยามยากไปพร้อมๆกับการละเลียดขนมแขกที่หวานจนแสบคอสลับกับการตอกย้ำความหวานให้สะใจด้วยการกรอกสไปรท์ลงคอไปอีกเผื่อว่าชีวิตจะได้เจออะไรที่ดูหวานๆขึ้นมาบ้าง
ได้เวลาอันควรจึงตัดสินใจเลือกเกสต์เฮ้าส์ที่คิดว่าราคาไม่แพงนัก แถมมีดาดฟ้า(roof top)ให้ชมวิวทิวทัศน์ยอดเขาด้วย มันตั้งอยู่บนถนนไตรพาย(tripai) ในย่านเดียวกันมีเกสต์เฮ้าส์ระดับใกล้เคียงกันอีกสองสามแห่ง ไว้เป็นทางเลือกใหม่หากไม่พอใจแห่งแรก แต่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนนั้นยังไม่รู้น่าจะประมาณได้จากค่ารถที่คนขับเรียกเอาได้ เจอรถสองแถวขนาดเล็กเรียกว่ารถกระป๋องน่าจะเหมาะกว่าเพราะมันดูกระป๊องกระป๋อง ลักษณะเหมือนตุ๊กๆเมืองไทยแต่ตัวล้อเล็กกว่ามากชนิดวิ่งเร็วๆแล้วเลี้ยวก็เสียวคว่ำเอาง่ายๆได้ ฉันบอกชื่อเกสต์เฮ้าส์ไปเขาพยักหน้าบอกราคา สามสิบรูปี ฉันต่อตามธรรมเนียมที่ยี่สิบรูปีเขาส่ายหน้า ฉันถามต่อว่า สามสิบรูปี ฉันไปคนเดียวใช่ไหม? เขาพยักหน้าฉันเลยตะกายขึ้นรถ รถวิ่งไปได้ไม่ถึงนาทีเขาก็ผิดสัญญาโดยรับเด็กหนุ่มที่โบกอยู่ข้างทางขึ้นมา ฉันทำเฉยเพราะไม่อยากเสียพลังงานอ้าปาก สักพักเด็กหนุ่มก็ลงไปและจ่ายเงิน รถวิ่งขึ้นเนินเขาที่มีตึกรามบ้านช่องทั้งสองข้างทางได้อึดใจหนึ่งก็จอดหน้าตึกเก่าทรงยุโรป ฉันชะงักเล็กน้อยไม่อยากเชื่อว่าถึงแล้ว แต่พอมองผ่านเหนือประตูรั้วทึบขึ้นไปก็เห็นป้ายชื่อเกสต์เฮ้าส์ตัวโตติดอยู่บนผนังตึก ชัดเจนว่าถึงแล้วเขาพามาไม่ผิดที่ แต่ผิดสัญญานิดหน่อยกอปรกับระยะทางประมาณว่าไม่เกินสามร้อยเมตรเทียบกับราคาแล้วฟันธงได้เลยว่า โดนแขกหลอกให้แล้ว เพื่อไว้เชิงซักนิดก่อนควักเงินเลยต่อว่าไปซะหน่อย อะไรใกล้นิดเดียวเอาตั้งสามสิบรูปี เขาทำหน้ามึนๆเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น... ป่วยการที่จะไปต่อล้อต่อเถียง ตึกเก่าสองชั้นทรงยุโรปถูกปรับมาเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ดูรวมๆก็คลาสสิกดี ด้านหน้าตึกอาจจะดูแคบแต่พอเดินทะลุไปด้านหลังกลับเจอพื้นที่กว้างขึ้นจัดเป็นสวนหย่อมตกแต่งด้วยไม้ดอกเมืองหนาวดูน่ารักแถมมีที่นั่งพอเป็นที่หย่อนใจของแขกที่มาพัก ถัดเข้าไปด้านในเป็นตึกสูงทรงสมัยใหม่สำหรับห้องพักที่ขยายเพิ่ม ชั้นสูงสุดมีดาดฟ้า ฉันพักที่ตึกหน้าซึ่งภายในได้ปรับปรุงให้ดูใหม่ ในห้องมีสองเตียงห้องน้ำสะอาดใช้ได้เมื่อเทียบกับราคาถือว่าไม่แพง เทียบกับที่พักที่โกลกาตามันคนละเรื่องกันเลย พยายามมองหาแขกที่มาพักไม่ยักกะเจอซักราย เดาเอาว่าคงเพราะช่วงนี้เป็นหน้าฝนไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยวของเมืองแถบนี้ ................................
|
บทความทั้งหมด
|