อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม./โกลกาตา ตอน 4. ยอมเสีย...เพราะที่นี่อินเดีย ยอมเสีย เพราะที่นี่อินเดีย ................. ถึงย่านซัดเดอร์ สตรีทที่แออัดไปด้วยตึกเก่าๆ ซึ่งถูกปรับมาเป็นที่พักในรูปแบบเกสต์เฮ้าส์ และโรงแรมราคาถูกสำหรับนักท่องเที่ยวประเภทแบคแพค ฉันเดินดูที่พัก 2-3 แห่งที่อยู่ใกล้ๆกัน เมื่อเทียบสภาพกับราคาแล้วไม่ประทับใจสักแห่ง ตัดสินใจไปดูที่ใหม่ตามคำแนะนำของแท็กซี่ที่บอกจ่ายเพิ่มอีก 40 รูปี ได้ที่ดีและถูกกว่านี้แน่ ฟังแล้วก็อดถามใจตัวเองข้างธรรมมะก่อนไม่ได้ว่า มันจะเชื่อได้ไหมหว่า....? ใจข้างธรรมมะตอบกลับมาว่า ลองๆยอมเชื่อดูหน่อยก็แล้วกันน่ะ เขาบอกว่าไปไกลพอสมควร แต่พอไปจริงๆมันใกล้นิดเดียวไม่ถึงป้ายรถเมล์ เพียงแต่ทะลุออกไปอีกซอยหนึ่งเท่านั้น ถือว่ามันก็ย่านเดียวกันนั่นแหละ ฉันขึ้นไปสำรวจดูสภาพเกสต์เฮ้าส์ ที่บอกว่าราคาถูกแต่ดี มันไม่ต่างจากที่ผ่านมาซักเท่าไหร่ สรุปแล้วก็หลวมตัวเสียค่าโง่ไปเปล่าๆอีก 40 รูปี .. เฮ้อ ! เหนื่อย ! เริ่มคิดได้ไม่อยากเสียเวลาและเสียค่าโง่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว เลยตัดสินใจเอามันที่นี่ซะเลยโดยกะว่าพักแค่คืนเดียวเพราะรู้สึกไม่ประทับใจเมืองนี้ซะแล้ว ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องซื้อตั๋วรถไฟเพื่อต่อไปยังดาร์จีลิ่งในวันพรุ่งนี้ให้ได้ สอบถามเรื่องตั๋วรถไฟจากที่พัก เขาคิดค่าบริการตั้ง 100 รูปี เลยตัดสินใจที่จะจัดการเองซึ่งน่าจะดีกว่าเพราะที่พักไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไหร่ เด็กประจำเกสต์เฮ้าส์กุลีกุจอช่วยยกของและนำขึ้นไปยังห้องพักซึ่งอยู่ชั้นสอง พอเปิดประตูห้องเข้าไป แว่บเดียวสายตาฉันก็ทะลุทุกซอกมุมของห้องเล็กๆรวมทั้งห้องน้ำซึ่งมองเห็นไปถึงด้านใน พลันอารมณ์หงุดหงิดก็เกิดขึ้นพร้อมๆกับเด็กวางของลงบนเก้าอี้ ฉันฝืนบอกขอบใจแล้วแกล้งทำเฉยหันหลังให้เพราะไม่สบอารมณ์กับสภาพห้องพักที่ไม่สมกับราคาเอาซะจริงๆ และตอนนี้ก็ไม่อยากจ่ายค่าทิปใดๆทั้งสิ้น แต่เจ้าเด็กนั่นยังไม่ยอมออกจากห้องกลับรีบหันมาทวงเอาเงินกันดื้อๆว่า คุณจะไม่ให้อะไรผมเลยเหรอ? แน่ะ..ทวงเอาเงินกันดื้อๆฉันเลยต้องแก้รำคาญโดยควักให้ ไป 10 รูปี... เฮ้อ...ถูกขืนใจอีกแล้ว... เป้เปียกไปกว่าครึ่งคงเพราะน้ำฝนเมื่อคืนนี้ เลยต้องรื้อของออกให้หมดเพื่อจะได้เอาเป้ผึ่ง โชคดีของทุกอย่างได้ใส่ถุงพลาสติกใสไว้ชั้นหนึ่งก่อนแล้วทุกชิ้นเลยปลอดภัย จัดการกับภารกิจยามเช้าแล้วก็รีบออกจากห้องพักที่แสนจะคับแคบและอบอ้าว แวะกินข้าวเช้าที่ร้านอาหารใกล้ๆที่พักราคาอาหารค่อนข้างยุติธรรมระดับ 15-45 รูปี ขึ้นกับชนิดของอาหาร ข้าวขาว 8 รูปี นับว่าใช้ได้ แต่ข้าวผัดที่สั่งดูจะแห้งแล้งไปหน่อยเพราะข้าวมันแข็งจนฝืดคอ ออกจากร้านอาหารจะไปสถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋วไปดาร์จีลิ่ง บนถนนแคบๆพอรถสวน เจอผู้คนมากมายรวมทั้งแท็กซี่และริกชอว์(รถที่มีลักษณะคล้ายรถสามล้อเมืองไทยแต่ตรงตำแหน่งคนถีบและล้อหน้าถูกปรับให้เป็นช่องเพื่อใช้คนลากแทน ดูคล้ายรถลากในหนังจีนสมัยโบราณ แต่ถ้าหากตรงคนลากถูกปรับเป็นรถขับด้วยเครื่องยนต์ก็จะเรียกว่าออโต้ริกชอว์ ในที่นี้ ขอเรียกว่ารถลากก็แล้วกันเพราะดูย้อนยุคและเข้ากับบรรยากาศดี ) พาหะนะเหล่านี้ต่างแข่งกันโกลาหลอยู่บนถนน บางช่วงของริมถนนเกลื่อนไปด้วยกองผักผลไม้ที่พ่อค้าแม่ค้าเอามาวางขาย ดูแล้ววุ่นวายสับสนกว่าย่านถนนข้าวสารของเมืองไทยกว่าร้อยเท่า ผู้คนที่ขวักไข่วดูมากมายหลายเชื้อชาติ นอกจากแขกเจ้าถิ่นแล้วก็มีทั้งฝรั่ง เกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ คนขับแท็กซี่และรถลากที่จอดเรียงรายอยู่ริมฟุตบาทต่างใช้สายตาที่ดูประดุจดังสายตาเหยี่ยวคอยจับจ้องเหยื่อ มันพุ่งตรงไปที่ลูกค้าซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินเตร็ดเตร่ไปมา หน้าตาฉันคงจะดูเหรอหราและมีอาการไม่คุ้นเคยกับพื้นที่เหมือนเหยื่อรายใหม่ที่เพิ่งหลงมา ฉันเผลอส่งสายตาพาดผ่านพวกเขาไปโดยไม่ได้ตั้งใจและอย่างคาดไม่ถึงตายังไม่ได้กระพริบพวกเขาก็กรูเข้ามากลุ้มรุมฉันชนิดที่ตั้งตัวไม่ติด ดีอยู่นิดเดียวที่ยังไม่ถึงขั้นเข้ามาทึ้งและแล้วก็มีมือดำๆข้างหนึ่งยื่นเข้ามาประชิดสะกิดแขนเหมือนคุ้นเคยกันมาแรมปี ฉันสะดุ้งตกกะใจแขนที่ถูกสะกิดถูกดึงเข้ามาแนบตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาเหลือบขึ้นไปมองหน้าเจ้าของมือดำๆข้างนั้น พลันให้รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ได้เผลอแสดงอาการเหมือนรังเกียจออกไปโดยไม่รู้ตัวเช่นนั้น ใบหน้าดำกร้านเจ้าของมือข้างนั้นส่งแววตาแสนซื่อสื่ออารมณ์เว้าวอนออกมาให้เห็น ฉันพ่ายแพ้ต่อสายตาคู่นั้นทันที .... จะด้วยรู้สึกผิดหรืออารมณ์สงสารเข้าครอบงำฉันไม่อาจแจกแจงได้หรือบางคนอาจบอกว่าฉันตกกระไดให้ต้องกระโจนมากกว่าฉันก็คงไม่เถียง ฉัน รีบตัดสินใจเลือกเจ้าของสายตาคู่นั้นบอกไปยังสถานีรถไฟซีลดา(Sealda)ทันที เขาเป็นคนร่างแกรนแม้จะอยู่ในวัยแก่แต่ก็ดูแก่เกินวัยคงเพราะด้วยอาชีพดูๆก็น่าสงสาร เราตกลงราคากันได้ 50 รูปี คิดแล้วถ้าขากลับจ่ายอีก 50 รูปี ก็เท่ากับค่าบริการซื้อตั๋วจากที่พักที่เขาเรียกพอดี...คิดซะว่าได้ไปดูลาดเลาสถานีรถไฟไว้ก่อน น่าจะถือเป็นข้อได้เปรียบน่ะ บอกตัวเอง ระหว่างทางผ่านย่านตึกแถวเก่าๆ และตลาดใหญ่ที่แออัดไปด้วยผู้คนมากมายขวักไขว่ไปกับกิจกรรมชีวิตของตัวเอง ฉันนั่งอยู่บนรถลากถือว่าทัศนะวิสัยดีเยี่ยม อยู่บนมุมสูงมองได้รอบทิศ เห็นความเคลื่อนไหวของผู้คนทั้งหมด ส่าหรีสีสันสดใสพลิ้วไสวไปมามองแล้วให้รู้สึกเพลิดเพลินเหมือนชีวิตทุกชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้สายตาของเราแต่ผู้เดียว เพลินจนรถหยุดและคนลากรถต้องบอกให้ลง มือดำชี้ทะลุผ่านแผงลอยแม่ค้าขายเสื้อผ้าใต้สะพานลึกเข้าไปท่าทีเหมือนบอกว่าเดินทะลุช่องนี้ไปอีกนิดเดียวก็ถึง ฉันไม่โต้แย้งเพราะดูระยะทางกับราคาแล้วน่าจะเหมาะสมดี แต่....พอตาลุงแก่หน้าซื่อรับเงิน 50 รูปีไปแล้วก็กลายเป็นตาแก่เจ้าเล่ห์ไปโดยพลัน ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นฉายแววขี้โกงออกมาชัดเจนพร้อมกับมือดำข้างเดิมยื่นออกมาขอตังค์เพิ่มอีก 20 รูปี สำทับต่อด้วยท่าทีที่บอกว่ามาตั้งไกล .... อ้าว...เฒ่าผู้น่าสงสารได้เปลี่ยนบทเล่นแล้วหรือนี่ ไม่อยากจะเชื่อเลย ....มันทุกสถานการณ์ ให้ได้ลับสมองทดลองปัญญาซะจริงๆ ฉันยืนกรานที่จะไม่ให้เช่นกันเลยบอกเสียงแข็งไปว่า โน.....ตกลงมาเท่านี้ก็ต้องเท่านี้ ว่าแล้วฉันก็หันหลังให้แล้วเดินฝ่าผู้คนมุ่งไปยังทิศทางที่แกชี้นำอย่างหงุดหงิดและทำเป็นไม่แยแส (ช่วยไม่ได้จริงๆตอนนี้อารมณ์มันบอบช้ำจนใจฝ่ายอธรรมต้องเข้ามาบงการซะแล้ว!) จริงๆแล้วในใจก็หวาดๆและกลัวเหมือนกันว่าแกจะโวยวายให้ผู้คนรอบข้างรับรู้แล้วตามมาอาละวาดต่อ...ชั่วครู่จึงลองแอบหันกลับไปดูอย่างหวั่นๆ แต่... เฮ้อ...โล่งอกจนบอกไม่ถูกเพราะแกลากรถออกไปแล้วเห็นแค่หลังไวไว... ฮา...ไม่แน่จริง! ห้องจองตั๋วหาไม่ยากอยู่ชั้นสองของตัวอาคาร แต่พอโผล่เข้าไป อุแม่เจ้า.....ผู้คนเข้าแถวยาวเหยียดสิบกว่าแถวตามช่องบริการที่มีให้ มองหาหน้าอินเตอร์ไม่เจอแม้แต่หน้าเดียว ช่องแรกแจกแบบฟอร์มให้กรอก ช่องอื่นๆเป็นช่องยื่นแบบฟอร์มที่กรอกเสร็จแล้ว ในแบบฟอร์มจะต้องกรอกรายละเอียด เช่น จะไปไหน เมื่อไหร่และด้วยรถไฟขบวนใดเป็นต้น ซึ่งก็มีรายชื่อขบวนรถไฟที่ยาวเหยียดและถี่ยิบอยู่บนกระดานใหญ่ติดไว้ที่ผนังห้องด้านข้างให้ดู มีทั้งภาษาอังกฤษและฮินดี ดูแล้วตาลายไปหมด ฉันสงบสติอารมณ์พร้อมกับเรียกความพยายามและความอดทนให้มาอยู่เคียงข้าง และแล้วแบบฟอร์มก็กรอกเสร็จเรียบร้อยด้วยน้ำใจจากสาวน้อยยุคใหม่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่อยู่ข้างๆซึ่งเธอก็กรอกของเธอไปด้วย เข้าใจว่าเธอคงจะเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเพราะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องและดูจะคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ตอนนี้คิดว่าไม่หนักใจกับเรื่องการสื่อสารกับคนที่นี่แล้ว สงสัยอะไรพยายามมองหาและประกบเด็กวัยนักศึกษาเข้าไว้เพราะทั้งเก่งภาษาอังกฤษและฉลาด สูตรนี้เคยใช้ได้ดีเมื่อคราวไปเที่ยวเมืองจีน....และนี่ก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของประเทศที่กำลังจะยิ่งใหญ่ในอนาคต คราวนี้ก็ไปเข้าคิวเพื่อยื่นแบบฟอร์มและซื้อตั๋ว เลือกแถวที่ดูคนน้อยกว่าแถวอื่นๆ แต่พอยืนรอไปเรื่อยๆชักรู้สึกว่าแต่ละแถวแทบไม่มีการขยับขึ้นเลยหรือไปได้ช้ามากทั้งๆที่แต่ละช่องมีคอมพิวเตอร์บริการทุกช่อง ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าคอมพิวเตอร์จะเป็นตัวช่วยที่ดีหรือ เป็นตัวถ่วงให้ช้าลงก็ไม่รู้ เพราะสังเกตเห็นพนักงานทุกคนดูจะขลุกอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ซะนานเกินกว่าเหตุชวนให้คิดได้ว่า คงจะเพิ่งมาฝึกคอมพิวเตอร์เอากันวันนี้ล่ะมั๊ง ผ่านไปยี่สิบนาทีฉันยังไม่สามารถขยับขึ้นไปถึงครึ่งแถวของคนกว่ายี่สิบคน เริ่มรู้สึกว่าเวลาที่สูญเสียไปพร้อมกับความร้อนอบอ้าวที่รุมเร้าเข้ามามันกระชากความอดทนของฉันไปเกือบหมดแล้ว มองกวาดไปแต่ละแถวเพื่อดูอาการเพื่อนร่วมชะตากรรม ดูเหมือนว่าเขาเหล่านั้นจะยอมรับสภาพชะตาชีวิตที่เป็นอยู่อย่างไม่สะทกสะท้านกันถ้วนหน้า และแล้ววินาทีนั้นเจ้าความพยายามและความอดทนของฉันมันก็โบกมือลาไปก่อนซะแล้ว... แล้วฉันจะทนอยู่ทำไมล่ะ?...ก็ฉันยังพอมีทางเลือกอยู่อีกหนึ่งทาง...ก็ที่ที่พักไงล่ะ ออกมาสำรวจที่ทางสถานีรถไฟไว้เผื่อวันพรุ่งนี้จะได้ไม่หลง ดีทีเดียวมีห้องพักให้นักเดินทางที่จองตั๋วระดับชั้นหนึ่งและชั้นสองที่ต้องแกร่วอยู่ที่สถานีนานๆด้วย บางห้องมีเก้าอี้ให้นั่ง บางห้องถึงขั้นมีเตียงให้นอนเพราะเห็นเตียงนอนเรียงกันเป็นแถวยาวอยู่ในห้องโถงใหญ่แต่ละเตียงปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวที่ไม่ค่อยจะขาวเท่าไรแต่ดูแล้วก็ให้ความรู้สึกดีได้....ทั้งสองแบบมีห้องน้ำให้ใช้ด้วยที่รู้ก็เพราะกลิ่นส่งมาถึงทางเดินนั่นเอง กลับถึงที่พักช่วงเย็นรีบไปเจรจาเรื่องตั๋วกับลูกชายเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ นายคนนี้บอกว่าเขาไปเมืองไทยบ่อยมากเพื่อทำธุรกิจการค้าระหว่างไทยกับอินเดีย คุยว่ามีบ้านส่วนตัวอยู่กรุงเทพฯซะด้วย ความที่เห็นเขาพูดถึงเมืองไทยด้วยความคุ้นเคย เลยแอบหวังว่าจะได้รับความจริงใจจากเขาบ้าง ที่ไหนได้เล่ห์เหลี่ยมแกแพรวพราวเอาทุกช่องทางที่จะได้เปรียบเรา ยิ่งกว่านั้น ยังออกลายนิสัยขี้ขโมยให้เห็นกันซึ่งๆหน้าชนิดไม่แคร์นรกกันเลยทีเดียวเชียว วีรกรรมของแกก็คือเจ้าปากกาลูกลื่นสีสวยรุ่นใหม่เขียนได้หลากสีในด้ามเดียวซึ่งฉันชอบมากและตั้งใจซื้อมาเพื่อใช้บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ ฉันควักขึ้นมาใช้ขีดเขียนต่อรองราคาบนโต๊ะ เผลอแผล็บเดียวมันก็อันตรธานหายไปโดยไม่รู้ตัว เพราะจะหยิบขึ้นมาใช้อีกทีหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอไม่ว่าจะบนโต๊ะ ใต้โต๊ะ หรือค้นในกระเป๋าอีกครั้ง ฉันแปลกใจมากจนต้องโพล่งถามด้วยความงุนงงว่า เอ๊ะ....ปากกาฉันที่ใช้อยู่เมื่อกี้มันหายไปไหน? หน้าตาเขาเฉยบริสุทธิ์จริงๆ แต่ไอ้ที่ไม่รับรู้คำถามของฉันนี่สิมันทะแม่งๆอยู่ เขาได้แต่พยายามจะเจรจาโก่งราคาตั๋วให้สูงขึ้นท่าเดียว เมื่อเขาทำเป็นไม่สนใจคำถามฉัน ฉันก็เลยแกล้งทำเป็นไม่สนใจท่าทีหรือคำพูดของเขาเช่นกัน ตั้งหน้าตั้งตาค้นหาปากกาต่อ
ของสำคัญยิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่สมเหตุผลแบบนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไง ฉันรื้อและค้นตามกองเอกสารบนโต๊ะต่อ ด้วยเชื่อว่ามันจะต้องอยู่แถวนี้ตามหลักที่ว่าสะสารย่อมไม่สูญหายไปจากโลก
แต่แล้วไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ เขาคงทนต่อท่าทีของฉันไม่ได้ที่ไม่ใยดีต่อสิ่งใดแม้แต่คำพูดของเขา สุดท้ายเขาจึงดึงลิ้นชักโต๊ะด้านหน้าตรงสะดือออกมาแล้วหยิบปากกาแสนสวยของฉันขึ้นมาวางบนโต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันตะลึงงงชั่วขณะมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อและคาดไม่ถึง
จากนั้นความรู้สึกเอือมระอาก็เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ได้ตั้งใจ..... อุแม่เจ้า..แค่ปากกาด้ามเดียวมันยังแอบยักยอกไปต่อหน้าหรือต้องบอกว่าเอากันหน้าด้านๆ... นี่มันดินแดนส่วนไหนของโลกกันแน่? ฉันอดรำพึงในใจไม่ได้
รู้สึกหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันความเบื่อหน่ายต่อความเลวร้ายหลายครั้งที่เจอะเจอมาภายในวันนี้วันเดียวจู่โจมเข้ามาจนต้องบอกกับตัวเองว่า คงอยู่เมืองนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ยังไงพรุ่งนี้จะต้องไปจากที่นี่ให้ได้
อาการมึนเฉยต่อความผิดที่ตัวเองกระทำของเจ้าตัวแสบทำให้ฉันท้อที่จะโต้ตอบด้วยคำพูดใดๆ แต่เขายังไม่หยุดที่จะใช้กลเม็ดลูกล่อลูกชนต่อเพื่อที่จะขายตั๋วให้ได้ราคาและค่าบริการที่สูงขึ้น
ถึงตรงนี้ฉันต้องยอมรับความบกพร่องของตัวเองที่ไม่ได้ตรวจสอบราคาตั๋วรถไฟไว้ล่วงหน้า จึงต้องเชื่อไปตามที่เขาบอก เชื่อเขาแม้กระทั่งที่เขาบอกว่ารถไฟที่ฉันต้องการนั่งขากลับเพื่อแวะวาราณสีก่อนต่อไปยังนิวเดลีนั้นแน่นมากไม่สามารถซื้อตั๋วตามช่วงเวลาที่ฉันต้องการได้
เขาพยายามแนะนำและโน้มน้าวให้นั่งเครื่องบินจากสนามบินแบกดอร่า( นิวเดลีจะดีกว่า ฉันเองซึ่งก็เกรงจะเสียเวลาจนไม่สามารถขึ้นไปเมืองเลห์ได้ตามกำหนด เลยตัดสินใจตามที่เขาโน้มน้าว ทั้งๆที่เสียดายมากที่ต้องพลาดโอกาสที่จะแวะวาราณสีจุดหนึ่งที่ตั้งใจเต็มที่ว่าจะต้องแวะให้ได้ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องตัดใจไปก่อน ( ตอนหลังจึงรู้ว่ารถไฟไม่ได้แน่นตามที่เขาบอกแต่เขาจะได้ประโยชน์จากการโก่งราคาตั๋วเครื่องบินและค่าบริการที่มากกว่าขายตั๋วรถไฟ ) เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงจนรู้สึกเบื่อที่จะเสียเวลาต่อรองให้มันมากไปกว่านั้น คิดอย่างเดียวว่าซื้อความรำคาญและเอาเวลาอันมีค่าไปนอนดีกว่า จ่ายเกินราคาบ้างก็ช่างมันเถอะ เพราะอยากกลับไปอาบน้ำนอนเต็มทน จึงตกลงซื้อทั้งตั๋วรถไฟจากโกลกาตาไปยังเมืองนิวจัลปายกูริ(New Jalpaiguri :NJP)เพื่อจะต่อไปดาร์จีลิ่งอีกที กับขากลับเป็นตั๋วเครื่องบินจากสนามบินแบกดอร่า(Bagdora) ไปยังเมืองนิวเดลลี โดยต่อรองราคาได้อีกเล็กน้อย (แต่สุดท้ายมารู้ภายหลังว่าเขาคิดค่าตั๋วรถไฟและตั๋วเครื่องบินสูงกว่าราคาจริงเกือบพันรูปี นอกจากค่าตั๋วที่แพงกว่าดังกล่าวแล้วยังคิดค่าบริการซื้อตั๋วเกือบพันรูปีอีกด้วย งานนี้กะเหรี่ยงพื้นราบโดนเชือดไปสองชั้นรวมแล้วเกือบสองพันรูปี !! )
สรุปแล้ววันนี้ทั้งวันเสียเวลาไปกับเรื่องตั๋วอย่างเดียว แถมให้รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับสิ่งรอบข้างอีกด้วย หากต้องอยู่ต่ออีกซักหนึ่งคืนคงไม่ไหวแน่ นอกจากค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นอีกมากกว่าพันรูปีแล้ว ที่สำคัญเริ่มไม่สนุกกับที่นี่ซะแล้วคิดแล้วขอต่อไปยังดาร์จีลิ่งแดนสวรรค์ที่รออยู่ข้างหน้าดีกว่า
..
|
บทความทั้งหมด
|