อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน 19.จากลา...อาลัย

จากลา...อาลัย

 

............

 

                 วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสำหรับฉันที่จะได้ใช้ชีวิตที่บ้านหลังนี้และเมืองนี้ ช่วงเย็นบรรยากาศชวนให้อยากออกไปเดินเล่นสวนสาธารณะริมทะเลสาป อย่างน้อยก็เป็นการอำลาที่จะต้องจากที่นี่ไปแล้วในวันพรุ่งนี้  สามวันสำหรับที่นี่มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากไม่รีบร้อนที่จะเดินทางต่อไปยังฝั่งตะวันตกด้วยกลัวหิมะจะหล่นลงมาก่อน ฉันคงอยู่ต่ออีกซักสองสามวัน เพราะจากนี้ไปคงไม่มีโอกาสมาที่เมืองนี้และริมทะเลสาบแห่งนี้อีกแล้ว..อย่างไรก็ตามทุกอย่างสำหรับที่นี่จะเป็นอดีตที่มีคุณค่าควรแก่การคะนึงถึงสำหรับฉัน...

 

                 ระหว่างทางคนให้เช่าม้าขี่มาเชิญชวนให้ใช้บริการ ฉันปฏิเสธเพราะอยากนั่งเล่นเพลินๆริมทะเลสาบมากกว่าหรือไม่ก็ถ้าได้พายเรือเล่นตามที่ตั้งใจไว้เมื่อวันก่อนก็จะดี แต่วันนี้เรือจอดสนิทลอยลำดูหงอยเหงาอยู่ที่ท่าไม่มีวี่แววของคนให้บริการ คงจะหยุดงานประท้วงนั่นแหละ

 

                 ที่สวนสาธารณะค่อนข้างเงียบ ผู้คนบางตากว่าวันก่อนมาก ใกล้ๆมีแขกซิกสองคนกำลังนั่งคุยกันไม่สนใจใคร ฉันเลือกที่นั่งที่ดูดีที่สุดเพราะติดริมน้ำ เบื้องหน้าวิวสวย ตรงริมตลิ่งต้นหญ้ากำลังออกดอกสีเหลืองชูช่อกระจายอยู่ทั่ว อากาศน่าจะประมาณ 20-25 องศาใส่เสื้อบางทับอีกตัวกำลังสบาย .....

 

                 ขณะเพลินๆกับวิวเบื้องหน้าพร้อมความคิดคำนึงที่ออกไปไกลถึงเมืองต่างๆที่จะต้องท่องไปในอนาคตอันใกล้ ฉันก็ต้องสะดุ้งกับเสียงที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทแบบไม่ได้ตั้งใจฟัง พอหันกลับไปทางเสียงออกจะงงนิดๆ เด็กหนุ่มวัยรุ่นกำลังเดินเข้ามาหา แว่บเดียวก็พอมองออกว่าเขาไม่ใช่คนปกติเหมือนคนทั่วๆไป แต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะเข้าขั้นเป็นอันตรายกับผู้พบเห็น เพียงแต่ดูออกจะเพี้ยนนิดๆจากคนปกติ  ฉันทำหน้างงกับคำถามที่ยังไม่ทันฟังเขาถามซ้ำ

 

                      “คุณมาจากไหน   ฉันรีรอยังไม่ให้คำตอบและไม่แปลกใจที่เขาพูดอังกฤษได้แต่กลับเกิดอารมณ์สนุกขึ้นมามากกว่า แต่แล้วคำตอบก็แว่บขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีเหตุผล เลยตอบไปแกมอมยิ้ม

 

                      “บราซิล  เขาทวนคำว่าบราซิลตามฉันอย่างงงๆสีหน้าครุ่นคิด คงไม่เคยได้ยินหรือรู้จักคำนี้มาก่อน แต่แล้วก็ดูจะลืมมันไปทันทีพร้อมตั้งคำถามใหม่ที่คงจะอยู่ในใจมาก่อน

 

                      “คนจีนเหรอ  ฉันยิ้มขำๆยังยืนยันคำเดิม

 

                      “ นั่งด้วยคนซิ ”  เขาพูดต่อ

 

                      “โอเค..”  ฉันตอบ พร้อมลุกขึ้นและสละม้ายาวตัวนั้นให้เขา แล้วเดินไปนั่งตัวใหม่ที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นก็ทำเป็นไม่สนใจเขา แต่ก็พอรู้จากหางตาว่าเขาหันมามองฉันตลอดเวลา พักใหญ่เขาก็ลุกจากไปฉันจึงกลับมานั่งที่เดิม.....

 

                 ทบทวนสิ่งที่เข้ามาในชีวิตช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ทุกอย่างมันช่างเหมือนฝัน... สถานที่ที่แปลกใหม่.....ผู้คนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนกับความสัมพันธ์ทางใจที่ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว...มันกลายเป็นเหมือนสายใยที่เชื่อมโยงกันและกันโดยมีความรู้สึกที่ดีต่อกันหล่อเลี้ยง สายใยนี้จะต้องยืนยาวต่อไปด้วยความรู้สึกระลึกและนึกถึงกัน อย่างน้อยเราก็มีช่วงเวลาดีๆของชีวิตร่วมกัน ได้ช่วยเหลือและเอื้ออาทรต่อกัน......

 

                 ขากลับผ่านบ้านที่ขายต้นดอกไม้ เห็นต้นลิลลี่อยู่ในกระถางกำลังออกดอกชูช่อบานขาวสดใสดูสะอาดตาอยู่ในโรงเพาะเลี้ยง เจ้าของนั่งอยู่หน้าบ้านลองถามดูราคา 25 รูปี ที่เมืองไทยชาตินี้คงหาซื้อไม่ได้ เลยขอซื้อสองกระถางกะจะให้นิชาเป็นที่ระลึกก่อนลาจากกัน คิดว่าเธอต้องชอบแน่ๆเพราะเธอเป็นคนชอบดอกไม้

 

                แต่พอคนขายกลับจากไปเอากุญแจหลังบ้านเพื่อมาเปิดโรงเพาะเลี้ยงราคาก็ขยับขึ้นไปเป็นกระถางละ 125 รูปี .....เมื่อเธอเปลี่ยนราคาได้ทันใจฉันก็เปลี่ยนใจได้ทันทีเหมือนกัน!

 

                ตอนเย็นนิชาชวนฉันไปที่ห้องของเธอ เธอเอารูปครอบครัวและน้องสาวอีกคนที่อยู่ที่ดาร์จีลิ่งมาให้ดูเธอเป็นคนสวยมาก พั้งค์กี้บอกว่าน้าเธอมีอาชีพสร้างหนังและเป็นนางแบบด้วย ฉันเห็นรูปพั้งค์กี้ตอนเด็กเธออุ้มตุ๊กตาหมีดูแล้วน่ารักมาก เลยบอกเธอว่า

 

                        “ ขอไปเป็นที่ระลึกได้ไหม ? มีกี่ใบ?”  เธอบอกมีใบเดียวแต่ให้ได้

 

                        “ถ้ามีใบเดียวหนูเก็บไว้เถอะ”  ฉันบอกด้วยความเกรงใจ

 

                        “ไม่เป็นไรหนูให้ได้ ถ้าคุณอยากได้ ” เธอยืนยันพร้อมหยิบรูปมาสลักหลังแล้วส่งให้ ฉันพลิกอ่านดูเธอเขียนว่า “ Remember us ,don’t forget us.”…..แน่นอนพวกเธอจะต้องอยู่ในใจของฉันตลอดไป...พั้งค์กี้

 

                 จากนั้นนิชาก็หารูปที่มีเธอและพั้งค์กี้ถ่ายด้วยกันมาให้อีกหนึ่งใบ ยิ่งกว่านั้นยังไม่พอเธอบอกเธออยากให้อะไรฉันอีกสักอย่างและแล้วเธอก็เดินหารอบห้องค้นตรงนั้นตรงนี้ก็ยังไม่ได้ด้วยความเกรงใจฉันเลยบอกว่า

 

                        “ไม่เป็นไรหรอกฉันมาพักกับคุณที่นี่ได้อะไรจากคุณตั้งเยอะมากมายแล้ว”  แต่เธอก็ไม่ลดละสุดท้ายก็ไปหยิบเอาสร้อยที่อยู่บนหิ้งหน้ารูปไสบาบาขึ้นมา ฉันรีบบอกเธอด้วยความเกรงใจอีกว่า

 

                        “ นิชาเก็บไว้เถอะ สำหรับฉันไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องให้ก็ได้” เธอไม่ยอมรีบเอาสร้อยมาคล้องคอให้ฉันทันที ในที่สุดตอนนี้ฉันมีอะไรห้อยคอถึงสามเส้นเป็นสร้อยตัวเองหนึ่ง ด้ายมงคลจากท่านรินโปเชอีกหนึ่งและอีกหนึ่งก็คือสร้อยท่านไสบาบาจากนิชานั่นเอง

 

                ฉันขอบคุณนิชาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เอื้อเฟื้อและมีน้ำใจอย่างดีต่อฉันตลอดเวลาที่ฉันมาพักที่บ้านเธอ แล้วบอกต่อว่า

 

                        “ฉันคงไม่ลืมวันคืนที่นี่แน่นอนและหากเป็นไปได้ก็อยากให้นิชาและพั้งค์กี้ไปเที่ยวเมืองไทยบ้างฉันจะได้มีโอกาสพาคุณสองคนเที่ยวบ้าง…พรุ่งนี้เราก็ต้องจากกันแล้วซินะ” นิชาทำหน้าเศร้าตาแดงๆ เธอบอกว่า

 

                        “ฉันรู้สึกเหมือนคุณเป็นพี่สาวของฉันคนหนึ่งถ้ามีเงินและโอกาสฉันก็อยากจะไปเที่ยวเมืองไทย” ฉันบอกเธอต่อว่าฉันยินดีเสมอที่จะได้ต้อนรับเธอที่เมืองไทย              

 

               คืนนี้ท่านลามะแวะมาเอาตอนทุ่มกว่า เราคุยกันแข่งกับเสียงท่องหนังสือภาษาอังกฤษของพั้งค์กี้ที่ดังมาจากห้องนิชา เธอเป็นเด็กขยันอย่างน่าชื่นใจ  

 

              ท่านลามะบอกว่าท่านได้ติดต่อเจ้าของบ้านที่จะให้ฉันไปพักด้วยที่ดาร์จีริ่งแล้ว เขาเป็นนายตำรวจใหญ่ ตำแหน่งของเขาก็คือหัวหน้าตำรวจที่ดูแลพื้นที่เมืองดาร์จีริ่ง และถ้าฉันสนใจเมืองเคอซงเขาก็จะเอารถพาฉันไปเที่ยวที่นั่นจนทั่วก่อนก็ได้แล้วจึงจะพาฉันกลับไปพักที่ดาร์จีริ่ง เนื่องจากบ้านที่เคอซงมีเพียงลูกชายกับลูกสะใภ้สองคนเท่านั้นอาจไม่สามารถต้อนรับฉันได้ดีเท่าที่ควร แต่บ้านที่

 

ดาร์จีริ่งภรรยาเขาอยู่ที่นั่นด้วยดูจะสะดวกกว่า ฉันขอบคุณท่านลามะและยอมรับทุกอย่างที่ท่านจัดการให้  ท่านบอกต่อว่าพรุ่งนี้เช้าท่านจะโทรศัพท์มาบอกนิชาอีกทีว่าจะให้ฉันออกไปรอรถกี่โมง และคืนนี้ท่านก็กลับเอาเกือบสี่ทุ่ม

 

                เช้านี้ฉันถูกปลุกแต่เช้ากว่าทุกวันด้วยแสงไฟในห้องนอนที่ถูกเปิดจากข้างนอกเพราะฝีมือพั้งค์กี้นั่นเอง เธอคงอยากปลุกให้ฉันลุกขึ้นมาเตรียมตัวพร้อมๆกับเธอเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์เธอจะต้องไปเรียนหนังสือและไปพักบ้านน้าสาวตลอด 5 วันเช่นเคย

                แต่เพียงชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงท่องภาษาอังกฤษดังออกมาจากห้อง เธอลุกขึ้นมาอ่านหนังสือนี่เอง ถามดูได้ความว่าวันนี้จะสอบวิชาวิทยาศาสตร์ทุกวิชาเธอเรียนเป็นภาษาอังกฤษ...... มิน่าล่ะพั้งค์กี้ถึงได้เก่งภาษาอังกฤษมากๆ และก็คงไม่แปลกที่เด็กหรือคนที่นี่ส่วนใหญ่จะเก่งและคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษไปด้วย

 

                ระหว่างที่นิชาทำอาหารเช้าฉันเลี่ยงไปรดน้ำต้นไม้ที่ระเบียงบ้านเพื่อแบ่งเบาภาระเธอบ้าง เธอโผล่มาบอกว่า

 

                      “เอาจาปาตีไปทานด้วยนะ”  ฉันตอบรับและบอกว่า

 

                      “เอาสองแผ่นก็พอ”  

 

               พอเข้ามาในครัวพบว่าเธอต้มไข่ให้อีกเธอบอกว่า

 

                      “เอาไข่ต้มไปทานด้วยนะ” ฉันตอบ “โอเค”

 

               หลังจากนั้นเธอก็เอากล่องข้าวรูปการ์ตูนสีสันน่ารักของพั้งค์กี้ ออกมาใส่ไข่และจาปาตีให้ ฉันเห็นแล้วเสียดายแทนเลยบอกว่า

 

                      “ไม่ต้องใส่กล่องสวยให้หรอก ใส่ถุงพลาสติกก็ได้” แต่เธอก็ไม่ยอม

 

                เราสามคนทานข้าวด้วยกันเสร็จก็มาถ่ายรูปร่วมกัน แล้วนิชาก็ขอไปส่งพั้งค์กี้ขึ้นรถไปโรงเรียนฉันกอดลาพั้งค์กี้ด้วยความรู้สึกใจหายเมื่อคิดว่าเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็ได้ในชีวิตนี้....คนเราเจอกันก็เพื่อจะจากกันนี่เอง....

 

                นิชากลับจากส่งพั้งค์กี้แล้วแต่ท่านลามะก็ยังไม่โทรมานัดหมายเวลาให้ออกไปเจอ ฉันเลยถือโอกาสออกไปเดินเล่นที่ทะเลสาบอีกสักครั้ง ปรากฏว่าเช้านี้หมอกลงจัดคลุมไปทั่วทะเลสาปแม้แต่สะพานโค้งที่อยู่ไม่ไกลก็มองไม่เห็น

 

                 มีนักเรียนเดินไปโรงเรียนเป็นกลุ่ม เครื่องแบบของพวกเขาทั้งหญิงและชายบอกได้เลยว่าสำเนามาจากเครื่องแบบนักเรียนอังกฤษนั่นเอง เสื้อสูทผูกไทด์ ถุงเท้ายาวเกือบถึงเข่า ดูแล้วเป็นระเบียบและภูมิฐานเอามากๆ แต่ดูๆไปอีกทีก็ออกจะขัดกับบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวในขณะนี้อยู่เหมือนกัน

 

                 เกือบสิบโมงท่านลามะถึงได้โทรให้ออกไปเจอท่านที่จุดขึ้นรถ ซึ่งก็คือจุดเดียวกับที่เราลงจากรถวันแรกที่มาถึงนั่นแหละ นิชาไม่ยอมให้ฉันแบกเป้ใหญ่ที่หนักอึ้งของฉันเธอคว้ามันไปแบกซะเอง คราวนี้มันหมายถึงการเดินขึ้นเขาอย่างเดียว ซึ้งน้ำใจเธอจริงๆ

 

                 ถึงจุดรอรถพักเดียวท่านลามะก็มาสมทบ ฉันขอบคุณสำหรับความกรุณาของท่านที่ได้ช่วยเหลือทุกอย่างให้ฉันได้มีโอกาสดีๆสำหรับช่วงหนึ่งของชีวิต ณ ดินแดนที่ห่างไกลบ้านเช่นนี้และไม่ลืมขอบคุณสำหรับไกด์ที่ท่านให้มาดูแลเธอสุดแสนฉลาดอย่างคาดไม่ถึง ท่านเสริมว่าแซมเทนเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในหมู่บ้าน นอกจากนั้น เธอยังเก่งภาษาอังกฤษ แม่ของเธอเป็นคนมีฐานะดีระดับแนวหน้าของหมู่บ้านที่สำคัญเป็นคนที่ศรัทธาในศาสนามาก ได้คอยช่วยเหลือเกื้อหนุนวัดของท่านมาตลอด ......มิน่าล่ะแซมเทนถึงได้ดูเป็นเด็กที่มีความกล้าและมั่นใจในตัวเองสูง  เพราะเธอมีพลังเสริมจากทางบ้านนี่เอง

 

                 ท่านลามะได้มอบผ้าคาตัก (ผ้าพันคอสีขาว ถือเป็นตัวแทนของสิ่งดีๆจะมอบให้กันเพื่อแสดงความรู้สึกที่ดีต่อกันเช่นในโอกาสแสดงความเคารพ การต้อนรับหรือการจากลา) และด้ายสีแดงเส้นเล็กๆเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับฉัน ท่านบอกว่านายตำรวจที่ฉันจะไปพักด้วยชื่อยูเอสจะมารอรับฉันที่สถานีรถไฟเมืองกูม(Ghoom) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้กับดาร์จีริ่ง จากนั้นท่านก็รอส่งฉันจนขึ้นรถ

 

                  ส่วนนิชาสีหน้าเธอดูเศร้า เมื่อรถมาถึงเราโอบลากันด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน….ใจหาย...พูดไม่ออก....เพราะการจากครั้งนี้เราอาจไม่ได้เจอกันอีกเลยก็ได้ มันเป็นความอาลัยที่ยากจะบรรยาย นิชาตาแดงๆพร้อมบอกว่า  “ อย่าลืมฉันนะ ....”  นั่นคือประโยคสุดท้ายแทนคำบอกลาก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออก....

 

 

.....................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 30 มีนาคม 2555
Last Update : 15 เมษายน 2555 8:56:22 น.
Counter : 520 Pageviews.

0 comments
ถ้าคุณ"หลงรัก" วัดโพธิ์ แสดงว่าคุณควรมา "วัดราชโอรสาราม" peaceplay
(27 ก.ย. 2567 17:26:28 น.)
บางปู : นกหัวโตหลังจุดสีทอง ผู้ชายในสายลมหนาว
(26 ก.ย. 2567 09:19:19 น.)
ร้านอาหารในเพชรบูรณ์ที่รู้จัก โดย tuk-tuk@korat tuk-tuk@korat
(21 ก.ย. 2567 15:52:23 น.)
ร้านไก่ย่าง สารคาม อาหารอีสานรสแซบ ตัวเมืองบางเลน นครปฐม นายแว่นขยันเที่ยว
(20 ก.ย. 2567 14:08:12 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Tibet3.BlogGang.com

SmileIce
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด