อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/โกลกาตา ตอน 7 .อนุเสาวรีย์แห่งชัยชนะ อนุเสาวรีย์แห่งชัยชนะ
..................
ออกจากบ้านท่านรพินทรนาถ ฐากูร เอาเกือบเที่ยง ฉันบอกลุงรถลากให้ต่อไปยังวิกตอเรียเมมโมเรียล(Victoria Memmorial) แกถามผู้คนแถบนั้นแล้วพาฉันออกไปบนถนนใหญ่ที่เสียงดังและวุ่นวายไปด้วยผู้คนกับพาหนะหลากชนิด แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคือที่ใด ไปได้พักใหญ่แกก็หยุดลงข้างฟุตบาท เล่นเอาฉันงงๆ เพราะมองไปรอบๆก็เห็นแต่ผู้คนและรถราเต็มท้องถนนไปหมด ไม่เห็นจะมีวี่แววของสถานที่สำคัญหรือตัวอาคารวิกตอเรียเมมโมเรียลตามที่ฉันเคยเห็นในรูปภาพ
คราวนี้แกไม่ปล่อยให้ฉันงงอยู่นาน แกละจากรถแล้วเดินไปยังเด็กหนุ่มสาววัยรุ่นคู่หนึ่งที่ยืนอยู่บนฟุตบาท แกคุยอยู่สักครู่ทั้งสองคนก็เดินตามแกมาที่ฉันขณะที่ฉันยังนั่งรออยู่บนรถ หนุ่มน้อยถามฉันเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วว่า ฉันต้องการจะไปไหน ฉันจึงตอบเขาไป เขาบอกว่า
วิกตอเรียเมมโมเรียล อยู่ไกลจากที่นี่มาก คุณสามารถนั่งรถใต้ดินไปได้โดยใช้เวลาไม่นาน เขาบอกพร้อมชี้ไปยังช่องทางเดินลงไปใต้ดินซึ่งอยู่บนฟุตบาทห่างไปไม่กี่ก้าว ฉันลงจากรถแต่ก็ยังงงๆอยู่รีบถามต่อว่า
ใช้เวลานานเท่าไหร่ ?แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงที่นั่นแล้ว? ใบหน้าฉันคงส่อแววยุ่งยากให้เขาเห็นพอควร กอปรกับคงเป็นความโชคดีของฉันด้วย เพราะเขาบอกต่อว่า
เดี๋ยวคุณไปกับเพื่อนผมก็ได้ เธอจะบอกคุณเองว่าถึงเมื่อไหร่ ว่าแล้วเขาก็หันไปยังเพื่อนสาวเป็นเชิงไหว้วาน แต่เพื่อนสาวของเขาดูจะยังงงๆอยู่แกมไม่พอใจเล็กน้อยด้วยเธอคงอยู่ในสถานะจำยอมหรือตกกระไดพลอยโจนเพราะยังไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม หนุ่มน้อยก็น่ารักใจหายเขารีบหันไปพูดเชิงขอร้องเธออีกครั้งพร้อมกับท่าทีที่ให้กำลังใจเธอเต็มที่ เพื่อนสาวจึงมีท่าทีอ่อนลงและดูดีขึ้นทันที ฉันรีบขอบคุณเขาทั้งสองและไม่ลืมที่จะจ่ายเงินให้ลุงรถลากที่ยืนพยักหน้าลุ้นอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
ฉันตัดสินใจส่งเงินแบงค์ร้อยรูปีให้ไปแบบลองเชิงดูก่อน แกไม่รับและมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ฉันเลยควักให้แกเพิ่มไปอีกห้าสิบรูปี คราวนี้แกยื่นมือมารับด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น ฉันไม่มีเวลามากพอที่จะต่อรองอะไรทั้งสิ้น แต่ดูแล้วก็น่าจะยุติธรรมดี
หลังจากหนุ่มสาวโบกมือลากันแล้ว ฉันก็ตามติดสาวน้อยลงบันไดไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทันที เธอมีอาการดีขึ้นแต่ไม่ช่างพูด ฉันถามเธอว่าประมาณกี่นาทีจะถึงวิกตอเรียเมมโมเรียล เธอตอบไม่เกินสิบห้านาที
ในรถไต้ดินแออัดไปด้วยผู้คนเราจึงไม่ถนัดที่จะคุยกัน ฉันได้แต่ส่งยิ้มให้เธอด้วยความขอบคุณ ช่วงเวลาสั้นๆฉันอดนึกไปถึงวันเวลาที่ฉันอยู่ในรถไฟใต้ดินที่ปักกิ่งไม่ได้ โดดเดี่ยวท่ามกลางคนแปลกหน้าเช่นเดียวกับวันนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันมากระหว่างวันนั้นกับวันนี้ก็คือสีผิวและหน้าตาของคนแปลกหน้าที่ล้อมรอบตัวฉัน เพราะทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้นช่างต่างกันเหมือนอยู่คนละฟากโลก ยิ่งกว่านั้นมาวันนี้ฉันได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้าเป็นอย่างดี แต่วันนั้นผู้คนไม่ค่อยจะใส่ใจกันและกันเท่าไรนัก ฉันมอบคำขอบคุณให้สาวน้อยอีกครั้งก่อนลาและออกจากรถไฟใต้ดินแล้วเดินตามผู้คนไปยังช่องทางออก
ระหว่างทางเดินได้รับน้ำใจจากสาวน้อยคนใหม่ช่วยบอกเส้นทางที่จะเดินไปยังวิคตอเรียเมมโมเรียลซึ่งอยู่ไม่ไกล ก่อนจากกันฉันอวยพรให้เธอโชคดีในการสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงานในที่ทำงานแห่งใหม่ในช่วงบ่ายวันนี้ เธอหัวเราะอย่างร่าเริงพร้อมตอบขอบคุณ เธอทำให้ฉันนึกถึงวันแรกที่ฉันต้องไปสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงาน มันผ่านมาเนิ่นนานแล้วแต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะได้ไปสอบเช่นเดียวกับเธอ ฉันค่อนข้างจะมั่นใจว่าเธอต้องผ่านการสอบอย่างแน่นอน เพราะเธอดูเป็นสาวน้อยที่สดใส น่ารัก เปิดเผยและมีความมั่นใจในตัวเอง ฉันจากเธอด้วยความรู้สึกที่ดี แม้เราจะได้พูดคุยกันแค่ช่วงเวลาของการเดินไม่เกินร้อยห้าสิบก้าว แต่เธอกลับทำให้ฉันนึกถึงเธอได้จนถึงวันนี้
ฉันเดินมาถึงหน้าพลาเนททาเรี่ยม (planetarium)หรือท้องฟ้าจำลอง ก่อนที่จะไปถึงวิคตอเรียเมมโมเรียลซึ่งมองเห็นอยู่ห่างออกไปอีกฟากหนึ่งของถนน อาคารพลาเนททาเรี่ยมสีขาวรูปทรงครึ่งวงกลมคว่ำที่อยู่เหนืออาคารมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับท้องฟ้าจำลองของไทย แต่ชวนให้อยากเดินเข้าไปสำรวจดูและคงจะดีหากได้เข้าชมแต่นึกถึงเวลาแล้วคงไม่อำนวย ถ้ารอเข้าชมรอบต่อไปคงไปขึ้นรถไฟไม่ทันแน่ เลยต้องเดินผ่านต่อไปยังวิคตอเรียเมมโมเรียลที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล
อาคารใหญ่โตทำด้วยหินอ่อนสีขาวหลังคาทรงโดมสไตล์วิคตอเรียลซึ่งจำลองมาจากประเทศอังกฤษ บางคนบอกว่านี่คืออนุสาวรีย์แห่งชัยชนะของอังกฤษที่มีต่ออินเดีย
มองจากระยะไกลนอกรั้วโปร่งตัวอาคารดูโดดเด่นอยู่กลางพื้นที่กว้างใหญ่ ล้อมด้วยสระน้ำขนาดเขื่องที่แสดงขอบเขตของสถานที่อันรโหฐานอีกชั้นหนึ่ง เดินมาถึงประตูทางเข้าด้านหนึ่งรู้สึกเหนื่อยเอาการ มองจากระยะไกลเห็นรูปปั้นพระนางวิคตอเรียชนิดคุ้นๆเหมือนจะเป็นบล็อกเดียวกับที่อยู่หน้าอาคารสถานทูตอังกฤษในกรุงเทพฯ
ระยะทางจากประตูรั้วไปสู่ตัวอาคารที่ไกลมากพอสมควร ประกอบกับความเหนื่อยและเวลาที่เหลือน้อยลง ทำให้ฉันต้องตัดสินใจแค่ชมอยู่ภายนอก เพราะเกรงจะกลับไปไม่ทันรถไฟ ไม่ทราบว่าที่นี่ไกลจากสถานีรถไฟเพียงใด และขากลับการจราจรจะติดขัดแค่ไหน หากเข้าชมคงเสียเวลาไม่น้อยกว่าชั่วโมง หรือมากกว่านั้น เพราะอาคารนี้ที่ทราบมา ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงหลักฐาน ความเป็นมาเกี่ยวกับการเข้ามาปกครองแผ่นดินอินเดียของคนอังกฤษ เช่น มีรูปปั้นของบุคคลสำคัญ อาวุธ แผนที่เก่าๆ อีกทั้ง ภาพเขียน หรือแม้แต่ เหรียญเงิน และ แสตมป์ เก่าๆ ฯลฯ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากเหมือนเช่นพิพิธภัณฑ์ทั่วไป นอกจากนั้น ยังมีผลงานภาพเขียนชั้นเยี่ยมของจิตรกรดังอยู่ในทั้งแกลเลอรี่ภาพของพระนางวิกตอเรีย และผู้นำของประเทศอินเดีย
ฉันใช้เวลาถ่ายภาพจากนอกรั้วในมุมต่างๆของอาคารพักใหญ่ แล้วจึงเดินต่อไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ห่างกันสักเท่าไร ซื้อของแถวหน้าสวนสาธารณะมากินเล่นๆแทนมื้อกลางวันพอแก้หิวไปก่อนกะว่าจะไปกินมื้อใหญ่ตอนเย็นก่อนขึ้นรถไฟที่สถานี
ใต้ร่มไม้ใหญ่หน้าสวนสาธารณะ ลมพัดเอื่อยๆพอเย็นสบายชวนให้เคลิ้มอยากจะหลับ แต่เวลานี้ผู้คนมากมายที่เข้าแถวไหลเข้าไปในสวนสาธารณะน่าสนใจกว่า เพราะหน้าตา ผิวพรรณ การแต่งตัว และอากัปกริยาของพวกเขาดูแปลกและน่าจดจำสำหรับฉัน เขาเหล่านี้ออกจะมีลักษณะเหมือนชาวบ้านจากชนบท หรือชนชั้นที่ด้อยในสังคมและที่น่าขำกว่านั้นฉันเองก็คงเป็นอะไรที่แปลกประหลาดสำหรับพวกเขาเช่นกัน เพราะฉันเห็นแทบทุกคนจะมองมาที่ฉันด้วยสายตาแปลกๆปนอมยิ้มแล้วหันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนๆที่มองมาที่ฉันเช่นกัน
ได้เวลาอันสมควรฉันใช้บริการแท็กซี่ที่จอดเรียงแถวรอผู้โดยสารอยู่หน้าสวนสาธารณะ เขาบอก 150 รูปี เพราะไกลมากฉันก็ขอต่อรองตามธรรมเนียมเหลือ 100 รูปี แต่พอรถเคลื่อนตัวออกได้ไม่ถึง 10 เมตรเครื่องก็ดับสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด เลยต้องเปลี่ยนไปคันใหม่ที่จอดอยู่ใกล้ๆ คันนี้ฉันลองแอบใช้วิชาลองเชิงชิงบอกราคาแบบผิดศีลห้าหนึ่งข้อไปก่อนว่า
70 รูปีนะ เท่ากับคันที่ไปไม่ได้เมื่อกี้ คนขับพยักหน้ารับทันทีด้วยความพอใจ .....
ฮ้า...นี่มันคืออะไร....ทำไมมันดูง่ายดายฉะนี้!! .....ใครโดนใครหลอกกันแน่หว่า...
..................
|
บทความทั้งหมด
|