อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /กังต๊อก ตอน 37. หุบเขาแห่งดอกไม้

หุบเขาแห่งดอกไม้

 

……….

 

                รีบตื่นแต่เช้าเก็บของลงเป้เสร็จก็หกโมง พอดีกับที่ซูดามาเคาะประตูห้อง มีเสียงบอก

 

                    “ทีไทม์....ดื่มน้ำชาครับ” พอเปิดประตูก็เจอถ้วยชาที่ยังกรุ่นด้วยไอร้อนอยู่ตรงหน้า มันเป็นการตั้งใจมาปลุกที่สุภาพและได้ใจจริงๆ ฉันบอกเขาว่าฉันเสร็จและพร้อมแล้ว เปิดทางให้เขาเข้ามาช่วยยกของ นึกเสียดายที่ต้องอำลาห้องใต้หลังคาที่น่ารัก มันใหม่จนได้กลิ่นสีอ่อนๆที่ยังไม่จางหาย.....ลงมาอีกชั้นเจอน้องสองคนที่หน้าห้องพอดี

 

                อาหารเช้ามื้อนี้มันดูง่ายจนไม่อยากจะเชื่อ ซูดาแจกไข่ต้มคนละฟองกับจาปาตีคนละแผ่น..หามีใครโวยวายไม่...ดั่งต้องมนต์สะกดจากซูดายังไงยังงั้น !

 

                พระเอกของเราวันนี้คือหุบเขายุมถัง รถย้อนกลับทางเดิมที่มาเมื่อวานได้ สักพักจึงไต่ขึ้นเขาอ้อมไปด้านหลังที่พักและหมู่บ้าน ชั่วพริบตามองจากไหล่เขาสูงลงไปยังหมู่บ้านเบื้องล่างก็เห็นเมฆหมอกขาวยามเช้าเกลื่อนไปทั่วหุบเขากว้าง เป็นความงามที่ชวนตลึงมันตระการตาท่ามกลางอากาศเย็นสบายยามเช้า นึกเสียดายที่เมื่อวานไม่ได้เดินขึ้นมาเที่ยวบนนี้ ช่างเหมาะที่จะเป็นเมืองตากอากาศจริงๆนึกแล้วอยากจะพักอยู่ที่นี่สักเดือน

 

                เส้นทางสู่หุบเขายุมถังรู้สึกได้ว่ารถวิ่งไปบนพื้นที่ที่มีความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ มีทั้งพื้นที่เป็นป่ากว้างและเทือกเขาสูง ความงามของทิวทัศน์ยามเช้าที่กอร์ปไปด้วยเมฆหมอกที่ลอยล่องดารดาษไปทั่วนั้น บางส่วนแสงแรกของยามเช้าส่องสะท้อนแวววาวเกิดแสงสีให้เห็น ดูสดชื่นจนสุดจะบรรยาย หนุ่มเบงกาลีคงอดใจไม่ไหวเผลออุทานออกมาซะดังว่า

 

                       “สวรรค์อยู่ที่นี่นี่เอง...”

 

                ซูดาบอกว่าเส้นทางที่เราผ่านอยู่ในเขตอนุรักษ์ซิงบาโรโดเดนดรอน เขาชี้ไปยังราวป่าใหญ่สองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นกุหลาบพันปีซึ่งตอนนี้มีเฉพาะกิ่งและใบเขียวขจีให้เห็น 

 

                       “ ช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม  ทั้งป่ากว้างนี้จะเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีโดยเฉพะดอกกุหลาบพันปีจะมีทั้งแดง ม่วง ชมพู และขาวเต็มไปหมด ” เราสามคนได้แต่คร่ำครวญด้วยความรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เห็นในยามนี้

                 ถนนที่ขรุขระทำให้รถกระเทือนจนไม่อาจถ่ายรูปได้จำใจต้องเก็บซุกดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ไว้ในความทรงจำเท่านั้น ซูดาบอกต่อว่า

 

                       “ช่วงดอกไม้สวยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาเยอะมาก เขานิยมมาเทรคกิ้งกัน” ฟังแล้วก็แสนจะเสียดายที่วัยเรามันล่วงมาซะขนาดนี้แล้ว โอกาสนั้นคงเป็นได้แค่ฝัน....

 

                 และแล้วเราก็มาถึงหุบเขายุมถัง มันห่างจากที่พักมาประมาณยี่สิบสามกิโลเมตร ป้ายความสูงที่ปักไว้บอกสูงหนึ่งหมื่นสองพันฟุต ( สามพันกว่าเมตร ) ดอยอินทนนท์ของไทยที่ว่าสูงที่สุดของประเทศก็ต่ำกว่านี้มาก

 

                อากาศหนาวพอได้ใจพวกเรา ช่องว่างระหว่างหุบเขาไม่กว้างเท่าไรนัก เหมือนเราอยู่ระหว่างเทือกเขาสองเทือกที่ปลายด้านหนึ่งมาบรรจบกันเป็นมุมแหลม อีกด้านหนึ่งเปิดกว้าง ตรงมุมแหลมมีแม่น้ำไหลเป็นทางยาวออกมา เหนือแม่น้ำขึ้นไปเป็นเมฆหมอกขาวลอยเกลื่อนเต็มไปหมดทั้งเหนือทิวไม้และสายน้ำ ริมแม่น้ำมีกระท่อมน้อยอยู่หนึ่งหลังดูจะเป็นส่วนประกอบที่ลงตัวทำให้ภาพวิวทิวทัศน์ที่เราถ่ายดูมีชีวิตชีวาขึ้น

 

                 ถ่ายภาพกันจุใจแล้วเราก็ย้อนกลับไปยังน้ำพุร้อนซึ่งอยู่ห่างกันไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร ที่นี่มีห้องอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนสำหรับคนที่อยากแช่เพื่อความสบายตัว พวกเราได้แต่ชื่นชมบรรยากาศรอบๆแล้วก็รีบกลับขึ้นรถเพราะสายฝนที่ไม่มีการตั้งเค้าได้หล่นลงมาไล่แล้ว

 

                เรามุ่งกลับกังต๊อกโดยไม่อยากแม้แต่แวะเที่ยววัดบนเส้นทางกลับ ซูดาบอกรถจอดเพื่อให้เราขึ้นไปเที่ยววัดสองแห่งแต่พวกเราปฏิเสธ คงเพราะรู้สึกเต็มที่กับวันเวลาดีๆที่ผ่านมาแล้ว เราแวะทานกลางวันที่ร้านเดิมเมื่อวันมาและเราก็ช่วยกันทำอาหารเมนูเดิมและทานได้อย่างเอร็ดอร่อยเหมือนเดิม

 

                 กลับถึงกังต๊อกสี่โมงเย็นพอให้น้องสองคนได้มีเวลาซื้อของฝากกลับเมืองไทย พรุ่งนี้ทั้งคู่จะกลับเมืองไทยแล้ว และฉันก็ถือโอกาสเลื่อนตั๋วเครื่องบินที่จะไปเดลีให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้เช่ารถไปขึ้นเครื่องบินที่เมืองแบกดอร่าด้วยกันกับน้องทั้งสอง หากจะอยู่สิกขิมต่ออาจเสียเวลาจนขึ้นไปเมืองเลห์ ไม่ทัน

                  วันนี้เราสามคนจึงต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพราะเรานัดจี๊ปที่เช่าไว้ตอนตีสี่ครึ่ง เพื่อจะได้ถึงสนามบินแบกดอร่าก่อนสิบโมงเช้าให้ทันเชคอินเที่ยวบินของฉัน และเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องจากกันโดยแยกกันบินไปคนละทาง ฉันก็อดใจหายไม่ได้ น้องสองคนกลับสู่อ้อมกอดเมืองไทยของเรา... ส่วนฉันจะต้องเดินเดี่ยวอีกครั้งมุ่งสู่เดลีก่อนที่จะต่อไปยังเมืองต่างๆแถบทางเหนือของอินเดียตามแผนที่วางไว้...

 

                  แม้ใจบางส่วนอยากจะโบยบินตามน้องทั้งสองกลับเมืองไทยด้วยความคิดถึงแต่ก็เป็นไปไม่ได้...ก่อนจากกันเรานัดกันไว้ว่าเมื่อฉันจบทริปอินเดียแล้วเราจะนัดเจอกันอีกที่เมืองไทย...ของเรา

 

 

……………………….

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 25 พฤษภาคม 2555
Last Update : 26 มกราคม 2557 8:17:04 น.
Counter : 1140 Pageviews.

1 comments
ทริปอเมริกา #9 - แวะไปส่องไทยทาวน์#2 ฟ้าใสทะเลคราม
(1 ก.ย. 2567 22:31:57 น.)
วธ. โดยสศร. ร่วมกับจังหวัดภูเก็ต เปิดตัวผอ.ฝ่ายศิลป์และภัณฑารักษ์ Thailand Biennale, Phuket 2025 อุ้มสี
(31 ส.ค. 2567 11:00:45 น.)
Mini Review : เที่ยวคำชะโนด อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี + วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย Emmy Journey พากิน พาเที่ยว
(29 ส.ค. 2567 16:10:57 น.)
A perfect day for...Buffet' babyL'
(27 ส.ค. 2567 00:10:11 น.)
  
สนุกมากครับ ผมอานรวดเดียวจบเลย รีบเขียนให้จบเร็วๆนะครับ หรือวาตอนนี้ยังไมจบทริป ยังไงก็ขอให้สนุกนะครับ
โดย: alpay IP: 202.28.180.202 วันที่: 14 ตุลาคม 2555 เวลา:23:21:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Tibet3.BlogGang.com

SmileIce
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด