อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /กาลิมปง ตอน 30.ทุลักทุเลอำลา ทุลักทุเลอำลา
..............
วันนี้รีบตื่นแต่เช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่งเผื่อเวลาเก็บของเพราะรถที่จะไปนามชิ(Namchi) ออกตอนแปดโมงเช้า เมื่อวานเย็นกลับจากเดโล่มาลงที่คิวรถเลยซื้อตั๋วรถไว้ล่วงหน้า กะว่าจะออกซักเจ็ดโมงครึ่งก็คงได้เพราะจากที่พักไปคิวรถระยะทางไม่ไกล เมื่อวานซื้อตั๋วเสร็จก็เดินกลับบนเส้นทางลัดที่ใกล้กว่าเส้นที่รถมาส่งวันแรกอีก แต่วันนี้มีของพะรุงพะรังคงต้องนั่งรถแต่จะลองจ่ายห้ารูปีไปก่อนหากคนรถไม่ยอมค่อยเพิ่มให้อีกยังไงก็ไม่น่าเกินสิบรูปี แต่พอประมาณเจ็ดโมงเก็บข้าวของสัมภาระเสร็จฝนที่ตกปรอยๆตั้งแต่เช้ามืดก็เทลงมามากขึ้นบรรยากาศดูอึมครึมไปทั่ว ชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่ซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้านั้นเป็นความรอบคอบหรือไม่ แต่ก็ยังโชคดีสักพักฝนก็ซาลงกลับมาปรอยๆเหมือนเดิมแต่ที่หนักกว่านั้นก็คือไม่มีรถผ่านมาหน้าที่พักแม้แต่คันเดียว รอ...แล้วก็รอ...ไม่มีแม้แต่เสียงเครื่องยนต์จากระยะไกล
ฝนยังปรอยอยู่เหมือนจะบอกว่านี่คือระดับมาตรฐานของมัน นาฬิกาบอกอีกยี่สิบนาทีแปดโมง ฉันตัดสินใจโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้นใส่เสื้อกันฝนแล้วแบกเป้ใหญ่ขึ้นหลังกอดเป้เล็กไว้ข้างหน้าฝ่าสายฝนย่ำเท้าออกจากที่พัก มันเป็นวิธีเดียวที่ต้องทำในภาวะเช่นนี้ฉันไม่อยากสูญเงินค่ารถเจ็ดสิบรูปี ไม่อยากเสียเวลาไปอีกหนึ่งวัน ไม่อยากรอคอยสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่อยากอยู่นิ่งๆ....เวลาผ่านไปควรมีอะไรใหม่ๆเติมให้กับชีวิตบ้างมิใช่หรือ?
ฉันขอบคุณตัวเองที่เมื่อวานตัดสินใจเดินจากคิวรถเพื่อกลับที่พัก ไม่งั้นวันนี้คงเดินด้วยความไม่มั่นใจและวิตกกังวลกับเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เพราะทางแยกเยอะแถมไม่มีผู้คนคอยให้สอบถามเส้นทางเพราะต่างหลบฝนอยู่ในบ้านกันหมด เป้สองใบหนักอึ้งเสื้อข้างในภายใต้เสื้อฝนรู้สึกจะโชกด้วยเหงื่อซึ่งคงไม่ต่างจากเป้สองใบหน้า-หลังที่เปียกโชกด้วยฝนเช่นกัน ความรู้สึกเหมือนเส้นทางจะดูไกลกว่าเมื่อวานมาก.. ต้องให้กำลังใจตัวเองตลอดเวลาอยากขอบคุณพ่อ-แม่ ที่มอบโครงสร้างร่างกายที่แข็งแรงมาให้ พยายามนึกถึงลุงลากรถที่โกลกาตานึกถึงความมานะพยายามที่เต็มเปี่ยมของแก....มันทำให้ฉันมีกำลังใจดีขึ้น..... ต้องรับให้ได้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น... ฉันบอกตัวเองและแอบคิดเชิงบวกเข้าไว้ ฤาฟ้าจะไม่เต็มใจให้เราไปจากเมืองนี้ก็เป็นได้.... สุดท้ายก็มาถึงจุดหมาย พวกเด็กรถที่ขายตั๋วให้เมื่อวานนี้ต่างมองมาที่ฉันอย่างขบขันฉันออกจะหงุดหงิดต่อท่าทีของพวกเขา เขาคงขำขันในความทุลักทุเลและสะบักสะบอมของฉัน เป้ที่แบกทั้งหน้าและหลังก็เปียกหมดเสื้อข้างในก็โชกด้วยเหงื่อ..เฮ้อ..คงมอมแมมน่าดู....เหตุการณ์วันนี้คงจะติดอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป เป็นชาวต่างชาติใช่ไหม เด็กรถถามเมื่อฉันยื่นตั๋วให้ดู ใช่ ฉันตอบ
ไปนามชิ...คุณมีพาสปอร์ตแล้วใช่ไหม? ฉันไม่ตอบแต่ควัก
พาสปอร์ตให้ดู ใช่สินะ..นามชิเป็นเมืองที่อยู่ในเขตของรัฐสิกขิม
เด็กรถยกเป้ขึ้นหลังคาเขาเอาผ้าปลาสติกคลุมให้อย่างดี.. แต่มันเปียกไปหมดแล้ว...จะมีความหมายอะไรเล่า? อดคิดประชดไม่ได้
ฉันเป็นผู้โดยสารคนแรกที่มาถึงเลยขึ้นไปนั่งข้างหน้า แต่ยังไงก็คงต้องนั่งเบียดกันสี่คนอยู่ดีแถมหนึ่งคนเป็นคนขับรถด้วย ชักไม่แน่ใจว่านั่งแถวหน้าจะดีกว่าแถวหลังแล้วซิ แต่อาจจะดีหน่อยตรงได้ใกล้ชิดกับทิวทัศน์นี่แหละ!
เจ้าโลกเหงาบอกว่านามชิเป็นเมืองเล็กๆอยู่ในเขตสิกขิม มีความสำคัญตรงที่เป็นที่ตั้งของที่ทำการสำนักงานใหญ่ของรัฐสิกขิมใต้ สถานที่น่าสนใจก็คือวัดทิเบตสองสามแห่งและจุดชมวิว ฉันกะว่าจะพักสักหนึ่งคืนเพื่อติดต่อท่านลามะก่อนขึ้นไปยังสิกขิมเผื่อท่านจะแนะนำคนรู้จักในสิกขิมได้
ระหว่างทางรถวิ่งฝ่าสายฝนและเมฆหมอกตลอดทาง ข้างหน้าแทบมองไม่เห็นอะไรที่พอเห็นได้ก็คือสายน้ำที่อยู่เบื้องล่างดูขาวขุ่นและไหลแรงขนานไปกับถนน แม่น้ำสายนี้ชื่อทีสตา(Teesta) เป็นแม่น้ำที่เปรียบเสมือนพรมแดนระหว่างรัฐสิกขิมกับอินเดีย
ถึงนามชิก่อนเที่ยงฝนก็ยังไม่หยุดตกบ้านเมืองดูเงียบๆ ฉันลองไปโทรศัพท์หาท่านลามะปรากฏว่าติดต่อไม่ได้ ลองโทร.หานิชาเธอบอกว่าท่านลามะยังไม่กลับจากกาฐมัณฑุ ลองนั่งรถไปดูที่พักปรากฏว่าเก่าและแพงรู้สึกไม่ประทับใจที่สำคัญหากฝนตกตลอดเวลาแบบนี้คงไปไหนไม่ได้ เลยตัดสินใจที่จะต่อรถเข้าสิกขิม
คนขับรถรูปหล่อหุ่นเทห์(น่าจะไปเป็นนายแบบหรือดารามากกว่ามาขับรถ)ที่ฉันนั่งมาด้วยจากกาลิมปงเมื่อเช้าเห็นฉันย้อนกลับมาที่คิวรถอีกก็เข้ามาถามว่า ไม่พักที่นี่หรือพอฉันบอกว่าเปลี่ยนใจจะไปต่อสิกขิมเขาก็กุลีกุจอมาช่วยบริการซื้อตั๋วและยกเป้ขึ้นหลังคารถที่จะไปสิกขิมให้เป็นอย่างดี ฉันได้แต่ขอบคุณด้วยความจริงใจ
ความจริงเมืองนี้มีความน่ารักอยู่ในตัวอย่างเงียบๆ มีอะไรที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่นรูปปั้นองค์ใหญ่ของพระปัทมสัมภวะ(Padmasambhava) ที่เป็นองค์คุรุทางพุทธศาสนาที่ชาวทิเบตนับถือมากองค์หนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขา มีวัดเก่าที่น่าชื่นชมและสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่าปีนเขา(Trekking) เพื่อชมวิวสวยก็น่าแวะทักทายสักสองสามวัน หากฉันมีโอกาสมากาลิมปงอีกครั้งฉันก็คงมาที่นี่อีกแต่ไม่ใช่ช่วงเวลาหน้าฝนเช่นนี้
เที่ยงตรงฉันจำต้องอำลานามชิเมืองที่เท่ห์ด้วยความหมายว่าฟ้าสูง(sky high) และจูงใจเมื่อแรกเห็นชื่อ แต่เสน่ห์กลับลดลงเมื่อได้สัมผัสยามหน้าฝน...ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน...จงสังวรไว้ แอบเตือนตัวเอง
คนรถบอกว่าประมาณสองถึงสามชั่วโมงก็จะถึงกังต๊อกเมืองหลวงแห่งรัฐสิกขิม หวังว่าเมื่อถึงที่นั่นประวัติศาสตร์ที่คิวรถคงไม่ซ้ำรอยเหมือนที่กาลิมปงหรอกนะและคาดว่าฉันคงหาที่พักได้ไม่ยาก...หวังเช่นนั้น......
.
|
บทความทั้งหมด
|