อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/โกลกาตา ตอน 3.เอาตัวรอด

                         เอาตัวรอด
                           ..........


                   ที่เคาท์เตอร์จองแท็กซี่ ลุงแก่ๆกำลังก้มตัวกวาดพื้นห้องแคบๆอย่างขมีขมันอยู่หลังเคาท์เตอร์ ฉันตะโกนบอกเบาๆ
               “แท็กซี่หนึ่งคัน” แกหันมามองและตอบ
               "ได้ซิ รอเดี๋ยวนะ” ว่าแล้วแกก็กวาดห้องต่อเหมือนไม่มีฉันอยู่ตรงนั้น มันนานจนเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ‘ไอ้ที่บอกไปแล้วนั่นมันรู้เรื่องกันหรือเปล่านะ?’ ฉันเงียบใช้ความอดทนในการรอคอยต่อไปอีกพร้อมกับปลอบตัวเองให้ใจเย็นๆ ‘เมืองแขกคงเป็นแบบนี้ล่ะมั๊ง!! ’
                   กว่านาทีทองของฉันจะมาถึงก็ปาเข้าไปเกือบ 5 นาที ความหงุดหงิดมาเยือนชั่วครู่ ตาแก่ละไม้กวาดและหันหน้ามาทางเคาท์เตอร์ ฉันรีบชิงบอกจุดหมายทันที เพราะลึกๆชักกลัวว่าแกจะหันกลับไปจับไม้กวาดอีกรอบ
                   “ไปแถวซัดเดอร์ สตรีท(Sudder street) ” ย่านที่ฉันจะไปพักถ้าเปรียบกับกรุงเทพฯก็คือถนนข้าวสารนั่นแหละ
                   “200 รูปี ขอเพิ่มอีก 10 รูปี” ตาแก่บอกหน้าตาเฉย ไม่มีความละอายใจกับเงินส่วนเกินที่ขอเพิ่มเอาดื้อๆ อยากจะบอกว่ามันเป็นการกระชากเงินออกจากกระเป๋าฉันโดยที่ฉันไม่เต็มใจแต่ไม่มีโอกาสปกป้อง  ว่าแล้วแกก็หยิบปึกตั๋วที่อยู่ใกล้มือออกมาเขียนอะไรยุกยิกลงบนแผ่นแรกก่อนฉีกและยื่นให้
                  ฉันจำใจต้องควักเงิน 210 รูปีออกมาอย่างยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข ถ้าเป็นที่เมืองไทยฉันคงไม่ยอมแน่ แต่ที่นี่ไม่ใช่ จึงได้แต่รู้สึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจเพราะทำอะไรไม่ได้ ฉันได้รับรู้มาก่อนแล้วว่าจะต้องมีการรีดเเงินเพิ่มเอาดื้อๆกันแบบนี้กับคู่กรณีที่เป็นชาวต่างชาติ ฉันจะต้องเรียนรู้และพยายามรับให้ได้กับสิ่งเหล่านี้เพื่อความราบรื่นตลอดการเดินทาง ฉันเตือนและย้ำกับตัวเอง
                  เมื่อคลี่ใบเสร็จออกดู ก็ต้องเกิดอาการมึนงงขึ้นมาทันควัน ก็ในใบเสร็จมีช่องให้เติมชื่อคนขับรถ แต่ไม่มีการเขียนอะไรลงไป ฉันทำหน้าสงสัยพร้อมปล่อยคำถามออกทางสีหน้าไปยังตาแก่จมูกงุ้มและชี้ตรงชื่อคนขับให้แกดู แกทำหน้าเฉยและบอกให้ถือออกไปข้างนอกเดี๋ยวมีคนเดินมารับเอง ฉันแสดงอาการไม่พอใจโดยส่ายหน้าแบบเบื่อหน่ายให้เห็นก่อนที่ตาแก่จะหันหลังให้แบบไม่ใยดี

            หากมีชื่อคนขับรถมันย่อมเป็นหลักประกันความปลอดภัยได้อีกทางหนึ่ง แต่นี่.....เฮ้อ!... ‘เอาล่ะวะมันคงไม่มีอะไรหรอก......’   ปลอบตัวเองด้วยความระเหี่ยใจเพราะไม่อยากให้มันดูวุ่นวายไปมากกว่านี้
                  ออกมาด้านนอก ตอนนี้ไม่มีผู้โดยสารรอแท็กซี่อีกแล้วมีแต่รถแท็กซี่ไม่กี่คันจอดนิ่งอยู่นอกชายคาอาคารท่ามกลางฝนปรอยหลังจากคงตกหนักไปพักใหญ่

             ใต้ชายคาลึกเข้ามาแขกหนุ่มจับกลุ่มคุยกันเสียงดัง ฉันละล้าละลังสักพักก็มีคนหันมามอง ฉันยกใบเสร็จขึ้นโชว์ หนึ่งหนุ่มหน้าดำสนิท(ปกติดูหน้าดำทุกคนอยู่แล้ว)เดินอ้อยอิ่งมารับใบเสร็จแล้วหันไปคุยกับเพื่อนเป็นนัยว่าจะจัดสรรให้ใครดี ท้ายสุดเดินกลับมาและชี้ไปยังแท็กซี่ที่จอดอยู่กลางสายฝนฝั่งขวามือห่างไปจากชายคาประมาณ 10 เมตร พร้อมบอกว่า 
                 “รถอยู่ตรงโน้นสีเหลือง” ท่าทีชวนให้ตีความได้ว่าฉันต้องเดินแบกเป้ฝ่าสายฝนไปขึ้นรถที่นั่น        

         หนุ่มคนขับเดินไปก่อนโดยไม่ได้ใส่ใจฉันแม้แต่นิดเดียว ความหงุดหงิดเริ่มมาเยือนอีกละลอก มันเห็นชัดๆอยู่แล้วว่า แท็กซี่สามารถเลื่อนมารับฉันที่ใต้ชายคาอาคารแล้วออกประตูด้านซ้ายมือได้เลย จะเห็นว่าได้มีการจัดวางที่ทางเพื่อการบริการผู้โดยสารได้ถูกต้องดีแล้ว แล้วนี่ยังจะให้ฉันเดินฝ่าฝนปรอยไปขึ้นรถอีกหรือ ฉันรีรอและถามต่ออย่างหัวเสียหน่อยๆว่า
                “ทำไมไม่เอารถมารับฉันที่นี่ เพราะแค่เลี้ยวมานิดนึง และฉันก็อยู่ทางผ่านที่จะออกจากสนามบินอยู่แล้ว” 
              “ ถ้าให้เอารถมารับก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม” เขาตอบหน้าตาเฉย ฉันมึนและเริ่มอ่อนล้าในหัวใจหน่อยๆกับความงกเงินของคนพวกนี้ 
            “อ้าว...เอากะมันซิไอ้แขก” ฉันเผลอตะโกนเป็นภาษาไทยออกไปโดยไม่รู้ตัว และต่อด้วยภาษาอังกฤษว่า
            “ฉันต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเหรอ?” ถามย้ำพร้อมแสดงสีหน้าหงุดหงิดเข้าใส่ เขาพยักหน้าแบบเนือยๆ แต่แล้วพักเดียวเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธ์มาดลใจให้เปลี่ยนท่าทีดั่งโจรกลับใจ เขาบอก
            “โอเค โอเค เดี๋ยวเขามารับ” พร้อมชี้มือไปที่คนขับซึ่งเดินไปถึงรถพอดี 
           “ไม่ต้องจ่ายพิเศษนะ?” ฉันยังหงุดหงิดเลยย้ำเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง เขาพยักหน้าหงึก ๆ ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย แบบนี้มันเข้าประเภทถ้าหลอกได้ก็เอานี่หว่า...

                  ตอนนี้เลยต้องพยายามเตือนตัวเองว่าต่อไปนี้อย่าพยายามเดาหรือเข้าใจอะไรไปเองง่ายๆเด็ดขาดเพราะอาจเพลี่ยงพล้ำแขกได้
                  แท็กซี่ทรงโบราณ (ถ้าอยู่เมืองไทยคงจะดูเท่ห์ไม่เบาแต่ที่นี่มีเต็มไปหมด) เข้ามาจอดข้างๆ คนขับดูดีหน่อยลงมาช่วยยกเป้ขึ้นรถ แต่พอขึ้นนั่งเบาะหลังเสร็จรถกำลังจะเคลื่อนตัวออก ฉันก็ต้องตกใจจนอยากจะเปิดประตูกระโดดลงจากรถ ก็ไอ้หนุ่มหน้าดำสนิทนั่นดอดเปิดประตูรถและผลุบเข้ามานั่งข้างคนขับด้วยทันที พลันรถก็เคลื่อนตัวออก
                   ฉันตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น คิดอะไรไม่ออก คำถามเดียวที่กำลังจู่โจมเข้ามาก็คือ จะทำไงดี? ก็เคยอ่านหนังสือมาเขาบอกว่ารถแท็กซี่ต้องไม่มีใครนั่งไปด้วยนอกจากเราและคนขับ หากมีนั่นเป็นสัญญาณว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติ และทำนองนี้ก็เคยมีแหม่มถูกฆาตกรรมมาแล้ว หรือหากโชคร้ายนิดหน่อยก็อาจถูกชักชวนหรือถูกหลอกให้มีอันต้องเสียทรัพย์มากกว่าที่ควรก็ได้
                  นึกแล้วสะท้านใจเกรงจะเจอเหตุร้ายแบบนั้น ภายในรถเงียบไม่มีใครพูดอะไร อุ่นใจขึ้นมาหน่อยที่ตอนนี้สว่างมากแล้ว ลอบถอนหายใจทำใจดีสู้เสือ รถผ่านไปได้ระยะหนึ่งเลยลองแหย่คำถามแบบกล้าๆออกไปว่า 
                    “ทำไมแท็กซี่ที่นี่จะต้องมีถึงสองคน ไม่เสียเวลาทำงานของอีกคนไปเปล่าๆเหรอ?” นายคนหน้าดำที่ขึ้นมาทีหลังรีบหันกลับมาตอบทันทีว่า
                   “เพื่อความปลอดภัย เผื่อมีอะไรอีกคนจะได้ติดต่อกับคนที่สนามบินได้ เลยต้องมีสองคน” คำตอบที่ได้รับกลับชวนให้ฉันรู้สึกสะดุ้งใจมากขึ้น แทบอยากจะโต้กลับไปว่า ‘ปลอดภัยของใครกันแน่? แกหรือฉัน?’ แต่สถานการณ์ทำให้ฉันจำต้องเงียบและทำใจให้สงบไว้ก่อน ปลอบใจตัวเองว่า
‘คงไม่มีอะไรร้ายๆเกิดขึ้นหรอกน่ะ ดูหน้าตามันก็ไม่เหี้ยมนักหรอก’
                  นั่งสงบสติอารมณ์ พร้อมใช้สมองคิดหาทางหนีทีไล่อยู่สักพัก พลันเจ้าหน้าดำก็ยกโทรศัพท์ขึ้นคุย ท่าทีเหมือนจะคุยกับคนที่สนามบิน (มองในแง่ดีไว้ก่อนเพื่อความสบายใจของตัวเอง) แต่ใจยังรู้สึกหวั่นๆไม่หาย
                   มองออกไปนอกรถ ฝนหยุดตกไปแล้ว สองข้างทางมีแต่ตึกเก่าๆโทรมๆและดูสกปรก ไม่ค่อยมีผู้คนเดินไปมาเท่าไหร่คงเพราะยังเช้าอยู่            

             บรรยากาศทั่วไปไม่เหมือนที่วาดไว้ล่วงหน้า โกลกาตาน่าจะดูดีกว่านี้เพราะเป็นเมืองธุรกิจมายาวนาน แต่เอาเข้าจริงๆดูเหมือนจะเป็นเมืองธุรกิจแบบยังอาศัยตึกเก่าๆโทรมๆทำธุรกิจโดยไม่สนใจใยดีกับความศิวิไลซ์ที่ควรจะเดินไปพร้อมกับธุรกิจที่งอกงามหรือทันสมัยกระนั้น
                    โทรศัพท์เสร็จเจ้าหน้าดำสนิทก็กลับมาชวนฉันคุยโดยไม่หันหน้ากลับมามอง ยิงคำถามมากมายหลากหลาย ประมาณว่าจะต้องรู้ให้ได้ว่า ฉันเป็นใคร? มาทำอะไรที่นี่? และจะอยู่กี่วัน? จะไปไหนบ้าง? มีเพื่อนอยู่ที่นี่หรือไม่...?

                      เมื่อมาไม้นี้ชักเข้าเค้าว่าอะไรๆที่น่ากลัวมากๆอาจจะไม่ถึงขั้นนั้น ฉันชักเริ่มรู้สึกว่าในเบื้องต้น เจ้านี่คงแค่มีเจตนาที่จะหาข้อมูลเพื่อที่จะประเมินเงินในกระเป๋าฉันก่อนว่าพกมามากน้อยเพียงใด หากรู้ว่าอยู่นานก็ต้องพกเงินมามาก ขั้นต่อไปจะได้อาสาเข้ามาช่วยหาที่พัก หรือบริการเรื่องการเดินทาง หรือเสนอโปรแกรมทัวร์ให้โดยคิดค่าตอบแทนมากกว่าที่ควรจะเป็นหรือพูดง่ายๆก็คือหาช่องทางหลอกเอาเงินฉันนั่นแหละ มันคล้ายกับเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่คนเคยมาเที่ยวอินเดียได้ถ่ายทอดไว้และฉันโชคดีได้อ่านก่อนที่จะมาที่นี่

            ถึงตอนนี้ฉันใจชื้นขึ้นมาก เพราะดูๆสถานการณ์คงไม่เลวร้ายไปกว่าการพยายามหาทางหลอกเอาเงินเรา เมื่อประเมินได้เช่นนี้มีหรือที่ฉันจะยอมเพลี่ยงพล้ำเป็นจำเลยที่ซื่อสัตย์ ฉันเริ่มสบายใจและสนุกที่จะเป็นนักแต่งเรื่องเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ซะแล้ว
                         ฉันบอกเล่าด้วยสำเนียงซื่อๆและดูจริงใจว่า ฉันมาเรื่องงานแต่ออกเดินทางมาล่วงหน้าเพื่อที่จะมาเที่ยวก่อนการทำงานสักสองวันและวันนี้จะมีเพื่อนคนไทยที่อยู่ที่นี่มารับจากที่พักเพื่อออกไปเที่ยว

            ฉันบอกเช่นนี้เพื่อให้เขารู้ว่าฉันไม่ได้มาเที่ยวนานๆและไม่ได้พกเงินมามากมาย นอกจากนั้น ยังให้รู้ว่าฉันมีเพื่อนอยู่ที่นี่ด้วยนะ ลูกไม้นี้ได้ผลทันใจเขาเงียบไป สักพักแท็กซี่ก็จอดข้างทางแล้วเจ้าหน้าดำสนิทก็ลงจากรถ แต่ก็ไม่ลืมหันกลับมายิ้มพร้อมโบกมือลา ฉันยิ้มให้ แอบเก็บอาการดีใจจนเนื้อเต้นไว้ข้างใน... ‘เฮ้อ..ไปซะได้ก็ดี.. อะไรทำไมมันดูง่ายดายแบบนี้....’
                         ฉันต้องขอบคุณผู้ที่ได้เล่าประสบการณ์ที่เจอทำนองนี้ออกมาเป็นตัวหนังสือให้ฉันได้มีโอกาสอ่านและเป็นประโยชน์ต่อฉันมากมายในวินาทีนี้ หวังว่าจากนี้ไปฉันคงไม่เจออะไรแบบนี้อีกนะ.... 

                      .......................
                                                     




Create Date : 29 มีนาคม 2555
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 12:00:27 น.
Counter : 928 Pageviews.

3 comments
Crystal Hotel Hat Yai ที่พักเยื้องเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ แมวเซาผู้น่าสงสาร
(8 ต.ค. 2567 20:54:51 น.)
วัดพระธาตุจอมคำ, พระเจ้าชี้นิ้ว สายหมอกและก้อนเมฆ
(6 ต.ค. 2567 16:51:24 น.)
ครัวสวนปาล์ม @ ตำบลโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย Emmy Journey พากิน พาเที่ยว
(3 ต.ค. 2567 14:15:35 น.)
อรุณสวัสดิ์ย่านเมืองเก่า, หาดไม้ขาว สายหมอกและก้อนเมฆ
(30 ก.ย. 2567 17:37:15 น.)
  
แวะมาเก็บข้อมูลคร้า ปีหน้าจะตามรอยไปกัลกัตตา-ดาร์จีลิ่ง-สิกขิม
โดย: Narinda IP: 180.183.119.236 วันที่: 4 ตุลาคม 2555 เวลา:13:04:45 น.
  
ขอบคุณนะคร้า เรื่องราวการเดินทางละเอียดดีค่ะ
โดย: Narinda IP: 180.183.119.236 วันที่: 4 ตุลาคม 2555 เวลา:13:08:31 น.
  
ขอบคุณเช่นกันค่ะที่เข้ามาอ่าน ดีใจมากหากจะเป็นประโยชน์ต่อการเดินทางของท่านอื่นๆด้วย ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวนะคะ
โดย: SmileIce วันที่: 4 ตุลาคม 2555 เวลา:17:26:04 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Tibet3.BlogGang.com

SmileIce
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด