อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม./โกลกาตา ตอน 5. ชวดวังเก่าเข้ามัสยิด ชวดวังเก่าเข้ามัสยิด ................. ออกจากที่พักไปยังสถานีรถไฟแต่เช้าเอาของไปฝากไว้ที่ห้องรับฝากของ ค่าฝากถือว่าถูกมากชิ้นละ 10 รูปี วันนี้กำหนดรถไฟออกจากสถานีตั้งทุ่มครึ่ง เมื่อวานมาถึงตอนเช้าทั้งวันก็ไปได้แค่สถานีรถไฟ มันน่าอดสูนัก วันนี้จึงตั้งใจว่าทั้งวันจะต้องไปอย่างน้อยจุดสำคัญๆในเมืองโกลกาตาสักสองสามแห่งให้ได้ โดยเฉพาะที่พิเศษและพลาดไม่ได้เป็นอันขาดก็ต้องบ้านเกิดของบุคคลสำคัญที่สถิตอยู่ในดวงใจของฉันมาโดยตลอด นั่นคือบ้านเกิดของท่านรพินทรนาถ ฐากูร (Rabindranath Tagore) ออกมายืนนอกอาคารสถานีรถไฟ ชั่วพริบตาฉันก็ถูกล้อมด้วยบรรดาคนลากรถและแท็กซี่ ฉันเลือกรถลากที่คนลากดูแก่ที่สุดด้วยอยากช่วยเหลือคนแก่นั่นเอง ดังนั้นเมื่อเห็นใบหน้าดำๆที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของกาลเวลาอีกทั้งสีหน้าที่ดูแสนซื่อในร่างผอมเกร็งที่อยู่ใกล้ๆฉันจึงเทคะแนนสงสารให้ไปหมดทันที ก่อนตกลงฉันได้บอกเขาก่อนว่าจะไปที่ไหนบ้าง ขอบอกว่าการสื่อสารระหว่างเราไม่ได้ง่ายนักหรอก แต่โชคดีที่หนุ่มๆแท็กซี่มารุมช่วยสื่อสารและบอกเส้นทางคร่าวๆให้ซึ่งดูลุงแกจะเข้าใจเป็นอย่างดีสังเกตจากอาการพยักหน้ารับรู้อย่างกระตือรือร้น ซึ่งก็ทำให้ฉันอุ่นใจ และที่น่ายินดีจุดที่ฉันอยากไป 2-3 แห่งซึ่งรวมทั้งบ้านเกิดของท่านรพินทรนาถ ฐากูรด้วย อยู่ในวิสัยที่รถลากจะไปได้ เพราะแกพยักหน้าหงึกหงักยิ้มรับด้วยความยินดีแถมพอถามว่าเท่าไหร่ ยังตอบด้วยท่าทีที่ว่าเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่จะให้ ฉันขึ้นนั่งบนรถด้วยความรู้สึกลิงโลด หวังว่าวันนี้คงเที่ยวอย่างราบรื่นก่อนลาจากเมืองนี้ไป จากหนังสือคู่มือหรือเจ้าโลกเหงาจุดแรกที่น่าสนใจและไม่ไกลมากนักก็คือพระราชวังหินอ่อน ( กำลังเพลินได้ที่รถก็หยุดลง ลุงลากรถหันมาบอกด้วยท่าทีให้รู้ว่าถึงแล้ว ฉันมองตามสายตาแกไปทางซ้ายมือ รู้สึกงงๆเพราะสิ่งที่เห็นก็คือด้านหลังของบ้านเก่าๆสีขาวซีดหลังหนึ่งดูเงียบเหงาอยู่ภายในรั้วโทรมๆ แกพามาด้านหลังของตัวบ้านนั่นเอง ตัวบ้านห่างจากถนนไม่มาก แม้จะดูหลังใหญ่แต่ก็ไม่น่าเข้าขั้นเป็นพระราชวัง บริเวณบ้านคงไม่เกินสองไร่รกร้างไปด้วยต้นไม้ขนาดย่อม ดูสภาพแล้วเหมือนไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ยาวนานเป็นปี นึกไม่ออกว่าหน้าบ้านจะเป็นอย่างไร คนขายมะพร้าวอ่อนบอกว่าวันนี้เขาปิด ฉันหยิบหนังสือคู่ใจขึ้นมาอ่านถึงได้รู้ว่าวันนี้เขาไม่ได้เปิดให้เข้าชม สำหรับความเป็นมา พระราชวังนี้มีอายุมากกว่า 170 ปีแล้ว สร้างด้วยหินอ่อนโดยราชาราเจนโดร มุลลิค บาฮาเดอร์ มีพระบัญชาให้สร้างขึ้น ด้านในมีของตกแต่งที่มีค่าสไตล์วิคตอเรียล ในส่วนของพื้นที่สวนที่เห็นเคยเป็นสวนสัตว์ย่อมๆ มีทั้งกวาง นก และ.... น่าเสียดาย..ทั้งหมดนี้ดูจากภายนอกมันเป็นอดีตไปแล้วจริงๆ !!! ก่อนละจากฉันซื้อมะพร้าวอ่อน 2 ลูกเผื่อลุงลากรถด้วย กินน้ำมะพร้าวหวังแก้ความวังเวงในใจก่อนไปต่อที่มัสยิดนัคโฮดา(Nakhoda Mosque) ก่อนถึงมัสยิดนัคโฮดาลุงลากรถผู้มีความอดทนสูงพาฉันแวะเวียนเข้าซอยเล็กซอยน้อยเบียดเสียดผู้คนไปอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แกแวะถามผู้คนตามรายทางบ่อยมาก ถามไปถามมาดอดวนกลับมาที่เดิม ถึงตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าแกไม่ได้แสนรู้เหมือนท่าทีรับงานตอนแรก แกดูว้าวุ่นซึ่งตรงกันข้ามกับเมื่อเช้าที่ดูเหมือนอัจฉริยะกลับชาติมาเกิดเพราะแกพยักหน้ารับรู้ทุกอย่างที่เพื่อนแท็กซี่บอกเหมือนไม่มีข้อกังขาใดๆ แต่ยังไงตอนนี้ฉันก็เริ่มสงสารในความอดทนของแกมากกว่าที่จะหงุดหงิด... หรือไม่...บางทีฉันอาจจะเริ่มชาชินกับความไม่เข้าท่าที่มันเวียนผ่านเข้ามาบ่อยๆในชีวิตของฉันช่วงนี้แล้วก็ได้!! สุดท้ายความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั่นจริงๆ แกพาฉันมาถึงเป้าหมายด้วยอาการของนักวิ่งมาราธอนผู้กำชัยชนะแต่มาสลบเอาตรงเส้นชัย แกมีอาการหอบหนักขณะที่ใบหน้าที่หันมายังเปื้อนยิ้มและเหงื่อโชก ฉันเลยส่งยิ้มเยี่ยงเพื่อนไปให้เพื่อปลอบใจก่อนลงจากรถ มัสยิดนัคโฮดาเป็นมัสยิดที่ใหญ่และเก่าแก่มีอายุกว่า 80 ปี สร้างด้วยหินทรายสีแดงอยู่ติดกับถนนและย่านชุมชนการค้า ก่อนเข้ามัสยิดต้องถอดรองเท้าไว้ข้างนอก ฉันกังวลเล็กน้อยเพราะกลัวหายแต่ก็ต้องตัดใจ ช่วงสายมากแบบนี้ภายในมัสยิดพิธีการทางศาสนาต่างๆเสร็จไปแล้ว จึงดูค่อนข้างเงียบ มีเพียงผู้ชาย 2-3 คน เดินไปมาบนลานกว้างข้างบ่อน้ำพุ คนหนึ่งกำลังทำความสะอาด กวาด ถูพื้น ทุกคนเห็นฉันแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ คงจะชาชินกับการมีนักท่องเที่ยวมาแบบนี้บ่อยๆ ซึ่งก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจที่จะเดินสำรวจพื้นที่ให้ทั่วไม่ว่าจะชั้นล่างหรือชั้นบนของมัสยิด บ่อน้ำพุสี่เหลี่ยมกว้างพอควรที่พวยพุ่งอยู่กลางลานชั้นล่างมองดูแล้วเย็นใจขึ้นเยอะ จุดเด่นของมัสยิดแห่งนี้น่าจะเป็นตัวอาคารที่สร้างด้วยหินทรายสีแดงดูตระหง่านท่ามกลางตึกเก่าๆรอบข้าง ยอดโดมที่สูงเสียดฟ้าทาสีหนักไปทางเขียวขณะนี้ดูโดดเด่นบนผืนฟ้าที่ดูสีฟ้าสนิทแซมปุยเมฆขาวบางส่วน ชั้นบนของอาคารสดุดตาตรงกรอบหน้าต่างไม้ที่แกะสลักลายสวยงาม ประณีต ดูอ่อนช้อยอย่างมีศิลปะ เสียดายที่ฉันไม่มีความรู้ด้านศิลปะพอที่จะถ่ายทอดความงามและที่มาที่ไป ได้อย่างเต็มที่ ฉันโผล่หน้าผ่านกรอบหน้าต่างลายสวยออกไปดูบรรยากาศภายนอก เบื้องล่างถนนสายยาวทอดไปไกลจนลับไปกับเหลี่ยมมุมอาคารสูงหลายชั้นที่ขนาบไปกับถนน อาคารเหล่านี้ดูเก่าแก่และทรุดโทรม ความเก่าแก่ของตัวอาคารชวนให้สงสัยยิ่งนักถึงความรุ่งเรืองที่เคยมีมาแต่อดีตว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร?ช่วงไหนกันนะ? และมันร่วงโรยไปได้อย่างไร ? น่าคิด....น่าคิด.....
..........
ด้วยความขอบคุณคุณนายกวักเป็นอย่างยิ่ง สำหรับข้อติงที่เป็นประโยชน์และได้ช่วยให้งานเขียนของดิฉันมีควมถูกต้องมากขึ้น ไม่โกรธเลยค่ะ กลับรู้สึกดีใจมากๆ
รู้สึกว่าได้กัลยาณมิตรเพิ่มขึ้นมาอิกหนึ่งท่าน ดีใจจริงๆค่ะ และก็อยากให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านได้ช่วยชี้แนะ และติติงข้อบกพร่องในข้อเขียนที่พบเห็นเช่นนี้ตลอดไปด้วยค่ะ 1.ยินดีและจะพยายามแก้ไขคำนี้ให้ถุกต้องทุกๆที่ในงานเขียนชิ้นนี้ต่อไปค่ะ 2. ได้แก้ไขคำอธิบายในภาพให้ถูกต้องตามที่ชี้แนะแล้วค่ะ(ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดแย่ๆเพราะเกิดจากความเลินเล่อจริงๆค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ) อยากบอกว่าคุณนายกวักทำให้ดิฉันมีกำลังใจมากขึ้น ที่จะเขียนประสบการณ์ช่วงต่อๆไปในอินเดียออกมาอีกค่ะ และจะพยายามใส่รูปภาพให้มากขึ้นค่ะ โดย: SmileIce วันที่: 4 ตุลาคม 2555 เวลา:13:39:37 น.
|
บทความทั้งหมด
|
ปล.ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร กลัวว่าจะโกรธนิดหน่อยครับ จริงๆแล้วปลื้มคุณมากที่ได้ทำอะไรแบบนี้ (เป็นคนแบบเดียวกัน เที่ยวคนเดียว นานๆได้) wiztid@yahoo.com