อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน 13.แม่-ลูกผูกพัน แม่-ลูก ผูกพัน
...............
กลับจากวัดมาถึงบ้าน นิชารออยู่แล้วเราเลยออกเดินทางกัน เส้นทางที่รถผ่านรู้สึกคุ้นๆ มันคือเส้นทางที่ฉันผ่านมาจากสิริกูริเมื่อวานนั่นเอง รถเลียบไหล่เขาไปเรื่อยๆ ไม่ไกลมากก็ถึงทางเข้าหมู่บ้านน้องสาวของเธอ เราเดินลงข้างทางลัดเลาะไปตามไหล่เขา ผ่านบ้านคน 2-3 หลังที่อยู่ห่างกันพอสมควร ช่างได้บรรยากาศเหมือนกำลังจะเดินไปยังหมู่บ้านชาวเขาบนดอยทางเหนือของเมืองไทยซะเหลือเกิน แต่ที่นี่แผ่นดินดูชุ่มชื้นมากกว่า พุ่มไม้ที่อยู่ในร่มบางจุด จนป่านนี้ยังมีน้ำค้างเกาะพราวอยู่เลย
สักพักก็ถึงบ้านน้องสาวนิชา บ้านชั้นเดียวบนพื้นราบก่อด้วยอิฐทาสีเขียวไม่มีรั้วเป็นขอบเขตดูแล้วช่างกลมกลืนไปกับป่าไม้รอบบ้านซะจริงๆ จะมีสีสันโดดเด่นออกมาก็เฉพาะตรงหน้าบ้านที่มีกระถางดอกไม้หลายชนิดกำลังออกดอกหลากสี ทั้งกุหลาบ ลิลลี่ และดาวเรือง ฯลฯ ถูกวางเรียงรายเป็นชั้นๆอยู่ติดผนังด้านหน้าของตัวบ้าน มันบ่งบอกถึงความเป็นคนมีอารมณ์สุนทรีย์ของเจ้าของบ้านได้เหมือนกัน
น้องสาวเธอกำลังต้มเหล้าอยู่ข้างตัวบ้าน เธอเดินไปทักทายและหัวเราะกันอย่างรื่นเริงก่อนที่จะแนะนำฉันและน้องให้รู้จักกัน ส่วนพั้งค์กี้ลูกสาวของเธอกับหลานๆอยู่ในครัว เมื่อเราเดินเข้าบ้านไปที่ครัว พั้งค์กี้กับเด็กสาวคนหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกันน่าจะ10-12 ขวบกำลังนั่งขูดลูกฟักแม้วออกเป็นชิ้นเล็กๆอยู่บนพื้นในครัวโดยมีเด็กชายวัยอ่อนกว่าประมาณ 5-7 ขวบ 2-3 คน กำลังรุมล้อมดูอยู่
พั้งค์กี้หันมาเห็นแม่ฉันทันได้เห็นแววตาส่อความดีใจแต่ก็ชั่วขณะแล้วสงบลงเมื่อเธอมองมาเห็นฉัน ดูเธอเหนียมอายแกมขัดเขินอยู่ในที แล้วก็ข่มความยินดีไว้ลึกๆ ใช่...หนูน้อยที่กำลังจะโตเป็นสาวเธอดีใจที่ได้เจอแม่หากแต่พยายามเก็บอาการไว้ จะด้วยเขินอายคนแปลกหน้าอย่างฉัน หรืออาจเพราะเป็นอุปนิสัยพื้นฐานของชาวตะวันออกที่ไม่ชอบแสดงออกทางอารมณ์อย่างโจ่งแจ้งก็ได้ เธอเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก สวยคมเหมือนแม่ ดูขี้อายหน่อยๆ ท่าทางจะขยันช่วยทำงานบ้าน ท่าทีดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ
นิชาบอกว่าเด็กๆกำลังจะทำโมโม่ทานกัน (แป้งห่อด้วยไส้ที่ทำด้วยผักผสมเครื่องปรุงหลายอย่างลักษณะและการห่อแบบเดียวกับเกี๊ยวซ่าของญี่ปุ่นแต่โมโม่เอามานึ่งแทนการทอดแบบญี่ปุ่น) นิชากับฉันเลยเข้าไปช่วยทำ สำหรับฉันตอนที่ห่อใส้โมโม่นี่มันยากแสนเข็ญ สุดปัญญาที่จะจับจีบให้สวยเหมือนคนอื่นๆที่ทำได้อย่างคล่องแคล่วและสวยงามเหมือนตัวเกี๊ยวซ่าที่ฉันเคยเห็นมา
ดูทุกคนท่าจะหิวข้าวกลางวันซึ่งก็รวมทั้งฉันด้วย เพราะพอห่อโมโม่ได้ส่วนนึงนิชาก็รีบเอาไปนึ่งเพื่อมาทานก่อน เธอแบ่งใส่จานให้ฉันต่างหากมันดูมากกว่าจานที่เป็นของทุกคนอีก ฉันเลยบอกว่าทั้งสองจานนี้ทานด้วยกันทุกคนนั่นแหละ ดังนั้น พอจานวาง ทุกคนก็คว้าคนละอันจิ้มน้ำจิ้มเข้าปาก ด้วยอาการที่ร้อนทั้งในมือและในปาก ซึ่งก็ทำให้ทุกคนต้องเผลอหัวเราะออกมาดังๆพร้อมกันไปทั่วห้อง
แว่บเดียวโมโม่ก็หมดสองจานแรก นิชาต้องรีบเอาไปนึ่งใหม่ต่อ บอกได้คำเดียวว่า ณ เวลานั้นอร่อยมาก... พร้อมๆกัน นิชาก็รินเหล้าใสๆแต่กลิ่นฉุนพอตัวใส่แก้วส่งให้ฉัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเหล้าที่น้องสาวเพิ่งต้มเสร็จหรือเปล่า แต่เธอบอกว่าที่นี่ต้มเหล้ากินกันเองทุกบ้านและไม่ผิดกฎหมาย ฉันจิบไปหนึ่งจิบ ต้องรีบส่งคืนด้วยรสและกลิ่นรุนแรงสะดุดลิ้นและจมูกมาก นิชามองฉันด้วยอาการขบขัน ฉันอดนึกไปถึงเหล้าจีนใสแจ๋วในจอกขนาดจิ๋วที่เขารินเสริฟก่อนอาหารที่เมืองจีนไม่ได้ มันจี๊ดจ๊าดบาดลิ้นได้เฉียบพลันไม่ต่างจากเหล้าที่นี่จริงๆ
เสร็จจากกินโมโม่ซึ่งถือเป็นมื้อกลางวันของทุกคนสำหรับวันนี้ นิชาก็พาฉันไปโผล่ดูห้องรับแขกซึ่งตกแต่งอย่างหรูหราตามสไตล์ของที่นี่ พื้นห้องปูพรมสีแดง ชุดเก้าอี้รับแขกตัวใหญ่ทำด้วยไม้ ขัดและลงแลคเกอร์ซะมัน มีเบาะนั่งและหมอนอิงกำมะหยี่ลายดอกไม้สีแดงกลีบโตวางอยู่บนเก้าอี้และโซฟาครบทุกตัว ในห้องตกแต่งด้วยรูปภาพและดอกไม้พลาสติกสีสันสดใสในแจกันใบใหญ่ตามมุมห้องและบนโต๊ะรับแขก บรรยากาศในห้องออกโทนแดงไปทั้งห้อง ดูแล้วเหมือนจะตกแต่งไว้ดูมากกว่าเข้าไปนั่ง นิชาเชิญชวนให้ฉันเข้าไปนั่งโซฟา ฉันปฏิเสธเพราะดูออกจะเป็นพิธีการเกินไป แต่ก็ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
ฉันตามนิชาเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นห้องนอนของพั้งค์กี้เพราะนิชาเปิดตู้เสื้อผ้าอย่างคุ้นเคยแล้วค้นเอาเสื้อผ้าที่น่าจะเป็นของพั้งค์กี้ที่ยังไม่ซักออกมากองข้างนอก สักครู่พั้งค์กี้ก็ตามเข้ามา
นิชาพับเสื้อผ้าแบบง่ายๆยัดใส่เป้ที่เธอสะพายติดตัวมาด้วยจนเต็ม แต่ผ้ายังไม่หมดเธอมองซ้าย- ขวาเหมือนจะหาอะไรมาใส่เพิ่มแต่ไม่เจอ จากนั้นเธอจึงหันมามองเป้ของฉันอย่างมีความหมาย ฉันรับรู้ความต้องการของเธอทันทีเลยรีบเคลียร์ช่องกลางของเป้ใบเล็กที่ติดตัวมาเพื่อใส่กล้องและของจุกจิก แล้วเปิดอ้าให้เธอใส่ผ้าส่วนที่เหลือลงไป
จัดการเรื่องเสื้อผ้าเสร็จ เธอก็หันไปจับตัวพั้งค์กี้เข้ามาใกล้เพื่อหวีผมสลวยและถักเปียให้อย่างคล่องแคล่วและตั้งใจทำโดยไม่ได้พูดจาอะไรมากมาย มันเหมือนเป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยและเต็มใจที่จะทำให้ลูกทุกครั้งที่มาที่นี่ ฉันเพิ่งรู้สึกถึงความเป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบของเธอก็ตอนนี้เอง ส่วนพั้งค์กี้ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆขึ้นมาทันที เธอดูจะพึงพอใจและมีความสุขกับสิ่งที่แม่ทำให้ เธอคงจะรอคอยมันมาทั้งอาทิตย์ อาการของเธอตอนนี้มันต่างจากเมื่อแรกที่ฉันเห็นตอนมาถึงฉันอดถามเธอไม่ได้ว่า
พั้งค์กี้.....ดีใจไหมที่แม่มารับกลับบ้านวันนี้? ดวงตาเธอวาวโรจน์ขึ้นมาชั่วขณะ แต่ยังมีท่าทีเอียงอายแบบเด็กๆพร้อมตอบว่าดีใจด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่ชัดเจนและคุ้นเคยเป็นอย่างดี..... ก็เธอเก่งภาษาอังกฤษชนิดเป็นล่ามให้ฉันได้สบายๆ....มันคือผลพวงจากการที่เธอต้องจากบ้านมาพักที่นี่ ด้วยที่นี่อยู่ใกล้โรงเรียนฝรั่งไงล่ะ!
ระหว่างทางเดินกลับจากบ้านน้องสาวของนิชา ฉันมองเห็นเขาสูงลูกหนึ่งอยู่ไกลลิบ บนยอดเขาเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ฉันถามพั้งค์กี้ว่า
นั่นใช่มิริคหรือเปล่า ?
ไม่ใช่..นั่นคือเมืองเคอซง เธอตอบ ฉันไม่ได้ถามต่อเพราะไม่คุ้นกับชื่อเมืองนี้ คิดเอาว่าเมืองนี้ก็คงมีลักษณะคล้ายๆกับมิริค
เราสามคนกลับถึงบ้านประมาณบ่ายสามโมง นิชาบอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพั้งค์กี้ ก่อนช่วงเย็นเธอจึงชวนฉันไปซื้อของให้พั้งค์กี้ที่ตลาดของหมู่บ้าน
...........................................
|
บทความทั้งหมด
|