อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน11.มิตรภาพอันยิ่งใหญ่ มิตรภาพอันยิ่งใหญ่
.....
เจ้าของบ้านที่ฉันจะต้องไปพักด้วยมารอรับอยู่แล้ว ท่านลามะแนะนำให้รู้จัก เธอชื่อนิชาอายุน่าจะราวๆสี่สิบต้นๆ และที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเธอก็คือเด็กสาวตัวเล็กที่มีชื่อว่าแซมเทน ท่าทางเธอเป็นเด็กฉลาดเพราะดูเธอคุยโต้ตอบกับท่านลามะได้อย่างฉะฉาน ฉันเดาว่าอายุเธอน่าจะอยู่ราวๆสิบสาม หรือสิบสี่ปี คงจะเรียนไม่เกินชั้น ม. 3 แน่ ท่านลามะบอกว่าเธอพูดภาษาอังกฤษได้ดีพรุ่งนี้เธอจะเป็นไกด์พาฉันไปเที่ยวที่ต่างๆ ในมิริค
ดีเพนขอแยกตัวกลับบ้านเขาบอกพรุ่งนี้ถ้าว่างให้แซมเทนพาไปเที่ยวบ้านเขาก็ได้ แต่มะรืนนี้เขาจะต้องไปทำเรื่องพาสปอร์ตที่โกลกาตาอีกครั้ง ฉันพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และโบกมือลาก่อนที่เขาจะหันหลังให้ ส่วนท่านลามะบอกว่าท่านจะขอไปที่วัดก่อนพร้อมชี้มือไปบนเขาที่อยู่ฟากถนนฝั่งตรงข้าม ตอนเย็นท่านจึงจะแวะไปที่บ้านนิชา
เราสามคนหันหลังให้ถนนแล้วค่อยๆเดินเลียบข้างอาคารศูนย์ประชุมหมู่บ้านลงจากเนินเขาซึ่งเป็นเหมือนทางลาดของไหล่เขาแต่ก็ชันไม่เบา แม้นิชาจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เธอก็พยายามแสดงท่าทีว่าอยากช่วยฉันแบกเป้ใบใหญ่ซึ่งอยู่บนหลัง ฉันขัดขืนเพราะไม่อยากรบกวนเธอมากไป แต่เพื่อไม่เป็นการทำลายน้ำใจที่เธอมีให้ ฉันจึงส่งเป้ใบเล็กที่อุ้มไว้ข้างหน้าให้แทน
ทางลาดของเขาที่เราเดินลงไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของหุบเขากว้างที่ลาดลงสู่ทะเลสาบใหญ่ซึ่งมองเห็นอยู่ข้างหน้าเบื้องล่าง ระหว่างทางเราผ่านบ้านของชาวบ้านสาม - สี่หลังที่ตั้งอยู่บนลาดเขาห่างกันเป็นระยะท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดแย่งกันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
แซมเทนหนูน้อยตัวเล็กบอกว่าวันนี้แม่เธอไม่อยู่บ้านไม่งั้นเธอจะให้ฉันไปพักที่บ้านเธอ ฉันรู้สึกเอะใจกับท่าทีและคำพูดของเธอที่ช่างดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่ก็ละความรู้สึกนั้นเสียเพราะสำนวนและสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษของเธอนั้นทำให้ฉันแปลกใจได้มากกว่า มันน่าทึ่งที่เด็กในหมู่บ้านห่างไกลเมืองใหญ่แบบนี้สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีอย่างคาดไม่ถึง แสดงว่าระบบการสอนภาษาอังกฤษของที่นี่มีประสิทธิภาพจริงๆ มันเป็นเรื่องที่น่าศึกษาว่าเขามีวิธีการสอนกันอย่างไร เทียบกับเมืองไทยแล้วยังห่างกันมาก โดยเฉพาะหากเทียบกับยุคของฉันจบปริญญาตรียังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ขนาดนี้ ความผิดพลาดของการศึกษาเมืองไทยมันอยู่ตรงไหนหรือ... ?
เราเดินลงจากเขามาเรื่อยๆพักใหญ่ก็ถึงบ้านนิชา มองเลยลงไปข้างหน้าอีกไม่เกิน150 เมตรก็เป็นทะเลสาบกว้าง โชคดีที่เป็นการเดินลงเขาท่ามกลางอากาศเย็นสบายฉันจึงไม่เหนื่อยมากนักกับการแบกเป้ที่หนักเอาการ บ้านนิชาเป็นบ้านสองชั้นอยู่บนทางลาดของไหล่เขาและไม่มีรั้วบ้านเช่นเดียวกับบ้านหลังอื่นๆที่ผ่านมา พอขึ้นบันไดซึ่งอยู่ข้างตัวบ้านก็เจอชานที่ยื่นออกมาจากด้านหลังของบ้าน รู้สึกคุ้นเคยทันทีเมื่อเห็นมุมหนึ่งของชานมีตุ่มน้ำอยู่สองใบไว้เป็นพื้นที่ซักล้าง
จากตัวชานหลังบ้านซึ่งอยู่เกือบติดกับไหล่เขาที่เป็นเนินสูงขึ้นไป ทั้งผืนของเนินดูละลานตาไปด้วยสีแดงของดอกเฟื่องฟ้าที่ถูกพาดเกี่ยวด้วยเถาวัลย์สีเหลือง ถัดขึ้นไปเป็นพุ่มพวงชมพู ส่วนที่ลาดต่ำลงมาประดับไปด้วยสีเหลืองของดอกดาวกระจายที่เต็มพรึบไปหมด ฉันตลึงกับภาพข้างหน้า อดถามตัวเองไม่ได้ว่า เรามาพักรีสอร์ทหรือเปล่าเนี่ย ?
นิชาเดินนำเข้าไปในห้องขวามือสุด ชี้ชวนให้วางของไว้บนโซฟาซึ่งอยู่ปลายเตียงนอน ขนาดห้องไม่ได้กว้างนัก และเมื่อใส่ตู้เสื้อผ้า โซฟายาว รวมทั้งเก้าอี้ชุดเดียวกับโซฟาเข้าไปอีกสองตัว แถมโต๊ะหมู่บูชาที่วางสิ่งสักการะและรูปภาพขนาดใหญ่ของไสบาบา(ผู้ชายผมฟูที่เขาเลื่องลือไปถึงเมืองไทยว่าสามารถเนรมิตสิ่งที่เขาต้องการให้มาอยู่ในฝ่ามือได้ในชั่วพริบตา แต่บางคนที่ไม่เชื่อก็บอกว่าเขาเป็นนักเล่นกลตัวฉกาจ สำหรับฉันเขายังเป็นปรัศนีย์ที่น่าสนใจตัวหนึ่ง) ที่เคารพบูชาซึ่งอยู่ข้างเตียงเหนือศีรษะขึ้นไป ห้องนี้จึงดูคับแคบลงถนัดมีที่ว่างเป็นช่องแคบๆไม่เกินสองฟุตเพียงสองด้าน คือระหว่างข้างเตียงกับโต๊ะหมู่บูชา และระหว่างปลายเตียงกับโซฟา ดูจากสิ่งของภายในห้องก็พอเดาออกว่าห้องนี้น่าจะเป็นห้องนอนของนิชาเอง พอออกมานอกห้องแซมเทนก็บอกว่า
พรุ่งนี้คุณไปนอนบ้านฉันนะฉันจะมารับตอนเช้า ตอนนี้ฉันยังคิดอะไรไม่ออก งงๆเหมือนกัน หนูน้อยคนนี้พอเธอเห็นห้องนิชาไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงแต่เธอพูดจาเป็นผู้ใหญ่เกินตัวอีกแล้ว หรือไม่อีกทีอาจเพราะเธอเด็กเกินไปเลยพูดอะไรตรงๆตามใจตัวเองก็ได้ ฉันเลยทำเฉยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ที่สำคัญคงต้องคุยกับท่านลามะก่อนเพราะไม่รู้ว่าท่านลามะได้ตกลงกับนิชาหรือพูดกับแซมเทนไว้อย่างไรบ้าง
ตอนนี้ก็บ่ายสี่โมงกว่าแล้วแซมเทนขอลากลับก่อน เธอบอกพรุ่งนี้เช้าเธอจะมารับฉันไปเที่ยวในเมืองนี้ เธอโผล่เข้าไปในห้องคุยกับนิชาสองสามประโยคแล้วก็จากไป นิชากำลังเก็บห้องให้ดูดีขึ้น เธอสื่อสารโดยพยายามใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่พอจะรู้บ้างประกอบกับท่าทีแสดงให้ฉันรู้ว่าเธอจะให้ฉันนอนห้องนี้ ส่วนเธอจะไปนอนอีกห้องพร้อมชี้มือไปยังห้องริมสุดอีกด้านของตัวบ้าน ฉันมองตามมือเธอทะลุประตูห้องนั้นเข้าไปก็พอรู้ว่าเป็นห้องเล็กๆ ปกติคงไม่มีใครพัก จึงตัดสินใจบอกเธอว่าฉันขอไปนอนห้องโน้นดีกว่าโดยใช้ภาษามือประกอบแล้วฉันก็เอื้อมมือจะไปหยิบเป้เพื่อที่จะย้ายไปห้องใหม่ แต่เธอรีบยกมือห้ามไว้ในขณะที่สีหน้าดูยินยอมพร้อมบอก โอเค ๆ แล้วเธอก็รีบเดินออกไปยังห้องดังกล่าวโดยมีฉันเดินตามไป
ห้องนี้ดูเล็กกว่าห้องของนิชา แต่เป็นห้องนอนอีกห้องหนึ่ง มีเตียง ตู้เสื้อผ้า กองหนังสือเก่าๆและถุงใส่เสื้อผ้าใบโตสองใบกองอยู่หน้าเตียง ระหว่างเตียงและถุงผ้ามีช่องว่างคั่นประมาณหนึ่งฟุต เข้าใจว่าปกติห้องนี้คงไม่มีใครใช้จึงกลายเป็นห้องเก็บของไปในตัวด้วย นิชาดึงผ้าคลุมเตียงลายเสือออกแล้วเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ใหม่ ฉันเข้าไปช่วยเธอจนเสร็จแล้วจึงย้ายของเข้ามาเก็บ
ห้องครัวอยู่ตรงกลางระหว่างห้องนอนทั้งสอง ประตูอีกด้านทะลุออกไปยังระเบียงบ้านด้านหน้า ฉันเดินผ่านห้องครัวไปยังระเบียงหน้าบ้าน มองเห็นทะเลสาปอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล นับว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีทีเดียว ลดระดับสายตาต่ำลงมาตรงหน้าบ้านเบื้องล่างเห็นเถาฟักแม้วที่เขียวขจีเลื้อยพาดพันกันเป็นพุ่มผืนขนาดใหญ่อยู่บนห้างร้านที่จงใจทำขึ้น มันกำลังแตกช่อชูยอดอ่อนสดๆกระจายเต็มไปทั่ว รู้สึกคุ้นเคยและอุ่นใจอย่างประหลาด เหมือนมาพักบ้านบนดอยทางเหนือของเมืองไทยยังไงยังงั้น
ระเบียงบ้านถูกตกแต่งด้วยไม้ดอกเมืองหนาวหลากสีสวยงามดูสะพรั่งตา เพราะถูกจัดวางเป็นจุดๆ ทั้งตามพื้น ระเบียง และสันของลูกกรง รวมทั้ง ที่แขวนจากเชิงชายลงมาก็มี แต่ทั้งหมดดูเหมาะเจาะและลงตัว สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นคนรักสวยรักงามของเจ้าของบ้าน กำลังเพลินกับทิวทัศน์เบื้องหน้า ก็แว่วเสียงนิชาคุยกับใครสักคนมาจากในครัว พอหันกลับไปดูท่านลามะนั่นเองเข้ามานั่งในครัวแล้วฉันเลยเข้าไปสมทบ ท่านถามว่า
เป็นไงบ้าง ที่นอนใช้ได้ไหม ? ฉันรีบตอบว่า ดีมากพร้อมชี้ไปยังห้องนอนของฉันและไม่ลืมที่จะขอบคุณท่านที่ได้กรุณาเอื้อเฟื้อฉันเป็นอย่างดี ทุกอย่างสำหรับฉันต้องรู้สึกดีมากแน่นอนเพราะสิ่งที่ฉันได้รับมาจากความมีน้ำใจอันใสบริสุทธ์ของคนแปลกหน้าล้วนๆ ส่วนฉันไม่มีต้นทุนแม้แต่รูปีเดียวท่านบอกต่อว่า
วันต่อไปถ้าอยากไปพักบ้านแซมเทนก็ได้นะ อาตมาคุยกับแม่แซมเทนแล้วเธอก็ยินดีที่จะให้คุณไปพักที่บ้านเธอ ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไรดีรู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่ได้รับจากคนที่นี่โดยไม่คาดคิด ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ที่บ้านนิชาจึงนับว่าดีมากแล้วสำหรับคนจรอย่างฉันที่พลัดมารบกวนเจ้าของบ้านโดยไม่ได้บอกกล่าวให้เขาได้เตรียมตัวล่วงหน้า เมื่อนึกถึงโปรแกรมการเดินทางที่วางไว้คร่าวๆแล้วฉันคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก เพราะหนทางที่จะไปยังอีกยาวไกล โดยเฉพาะความจำเป็นที่จะต้องขึ้นไปให้ถึงเมืองเลห์ ก่อนสิ้นเดือนกันยายนนี้ไม่งั้นอาจไม่สามารถขึ้นไปได้เพราะถนนจะถูกปิดซะก่อนเนื่องจากหิมะจะตกลงคลุมถนนจนรถยนต์ไม่สามารถวิ่งได้ จะมีทางเดียวที่ไปได้คือทางเครื่องบิน ซึ่งฉันก็ไม่อยากจะทำเช่นนั้น เพราะนอกจากจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแล้วยังจะพลาดโอกาสดีๆที่จะได้ชมทิวทัศน์อันสวยงามระหว่างเส้นทางจากมะนาลีสู่เมืองเลห์ซึ่งหลายๆคนเคยบอกว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางสู่ฝันเลยล่ะ ซึ่งฉันจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เลยตอบท่านไปว่า
คงจะอยู่ที่นี่ได้สักสองหรือสามคืน เพราะจะต้องต่อไปยังเมืองดาร์จีริ่งและกังต๊อก จากนั้นจะต่อไปนิวเดลีเพราะได้ซื้อตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว ท่านลามะพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ ส่วนนิชาคงฟังไม่รู้เรื่องได้แต่ส่งยิ้มอย่างมีไมตรีให้ จากนั้นฉันจึงถือโอกาสถามแกมหารือท่านลามะไปว่า
หากฉันจะพักบ้านนิชาทั้งสามคืน ไม่ทราบจะเป็นการรบกวนเธอมากไปหรือไม่? ที่ฉันถามไปเช่นนี้ก็เพราะได้เห็นความจริงใจของนิชาแล้วและก็ไม่อยากจะขนย้ายของไปยังบ้านแซมเทนอีกครั้งให้มันดูยุ่งยาก ท่านลามะหันไปพูดและถามนิชาต่อ เธอรีบหันมามองฉันพร้อมกับพูดว่า
โน....... ประกอบกับโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธและก็ชี้มือมาที่ตัวฉันก่อนที่จะชี้ลงที่ตัวบ้านของเธอซึ่งพอจะเดาได้ว่าเธออยากจะบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรหรอก คุณพักที่บ้านนี้แหละ ท่านลามะยิ้มและเสริมว่า
เธออยากให้คุณพักที่นี่ ฉันจึงรีบขอบคุณเธอและท่านลามะอีกครั้ง
จากนั้นท่านลามะก็บอกว่าวันนี้จะขอเป็นไกด์พาฉันไปเดินชมรอบๆทะเลสาปก่อน ฉันรีบตอบรับทันทีเพราะตรงกับที่ตั้งใจไว้ก่อนแล้วว่ายังไงเย็นๆจะต้องออกไปเดินเล่นที่ทะเลสาปให้ได้
ระหว่างที่เดินตามท่านลามะลงไปยังทะเลสาป สวนทางกับชาวบ้านสาม-สี่คน ทุกคนทักทายท่านอย่างคุ้นเคยด้วยท่าทีนอบน้อม เราเดินลงมาถึงพื้นราบก็เจอถนนดินที่ทอดยาวเลียบริมทะเลสาปกว้าง สองข้างถนนขนาบข้างด้วยต้นสนขนาดใหญ่ทิ้งระยะห่างกันพอควร เราเลี้ยวซ้ายเดินไปบนถนนไม่ไกลก็เห็นสวนสาธารณะอยู่เบื้องหน้าเป็นพื้นที่ราบกว้างขนาดสองสนามฟุตบอลเชื่อมต่อกัน เราเลี้ยวขวาไปขึ้นสะพานโค้งเพื่อข้ามทะเลสาบซึ่งเป็นจุดที่แคบที่สุด เหมือนทะเลสาปถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ท่านลามะบอกว่าทะเลสาปแห่งนี้ชื่อทะเลสาปซูเมนดู(Sumendu lake) เป็นทะเลสาปที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์มิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เมื่ออยู่บนสะพานมองไปรอบๆจึงรู้สึกได้ว่าที่ราบขนาดสองสนามฟุตบอลพร้อมทะเลสาปกว้างที่ขนานกันไปนั้นก็คือพื้นที่ราบระหว่างหุบเขาที่ถูกล้อมรอบด้วยเขาลูกเล็กและใหญ่ซึ่งมีบ้านคนกระจุกเป็นหย่อมๆตามไหล่เขาระเรื่อยขึ้นไปจนถึงยอดเขาเกือบทุกยอด เขาลูกที่สูงที่สุดอยู่เหนือสวนสาธารณะ มองขึ้นไปตรงยอดเขาเป็นที่ตั้งของวัดสไตล์ทิเบต อาคารสีเหลือง-แดงดูเด่นเป็นสง่าฉันหมายตาไว้แล้วว่าจะต้องไปให้ถึงไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้
เมื่อข้ามสะพานไปอีกฝั่งเราเลี้ยวขวาไปบนทางแคบๆระหว่างตีนเขากับทะเลสาป ภูเขาฝั่งนี้ไม่มีบ้านคน เราเดินเลียบทะเลสาปอ้อมไปตามเชิงเขา มองออกไปกลางทะเลสาปมีเกาะเล็กๆบนเกาะมีสิ่งปลูกสร้างดูแล้วน่าจะเป็นที่ตั้งของศาสนสถาน ถ้าจะไปที่นั่นคงต้องพายเรือไป ซึ่งดูน่าจะยุ่งยากพอควร ท่านลามะบอกว่าที่นั่นเป็นวัดฮินดู ทุกปีจะมีเทศกาลงานบุญประจำปีจัดขึ้นหนึ่งครั้ง ในช่วงจัดงานเทศกาลชาวบ้านจะต้องพายเรือไปทำบุญหรือประกอบพิธีที่นั่น ปกติแล้วที่วัดนี้จะไม่มีคนพักอยู่เลย
ฉันรู้สึกว่าเมืองนี้น่าจะอยู่ในจุดที่สูงพอดู หน้าหนาวคงจะหนาวมากทีเดียว ฉันเคยลองถาม ดีเพนมาก่อนแล้วว่าที่นี่เคยมีหิมะตกหรือไม่ เขาบอกว่าไม่เคยมี แต่ตอนนี้อยากลองแอบถามท่าน ลามะอีกครั้ง ปรากฏว่าท่านตอบว่า ที่นี่เคยมีหิมะตก และน้ำในทะเลสาปก็เคยกลายเป็นน้ำแข็งแต่ว่าเกิดขึ้นนานหลายปีมาแล้ว ฉันเลยถามท่านด้วยความแปลกใจว่า ทำไมดีเพนถึงบอกว่าที่นี่ไม่เคยมีหิมะตกเลย ท่านลามะหัวเราะและบอกว่า ดีเพน เองไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่เท่าไหร่หรอกส่วนใหญ่เขาจะไปทำงานที่อื่น บางทีสองหรือสามปียังไม่ได้กลับมาที่บ้านเลย
แผ่นน้ำกลางทะเลสาปเบื้องหน้าทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงฤดูหนาวกับภาพหิมะที่กำลังโปรยปรายลงสู่ทะเลสาปกว้างที่กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้วก่อนที่จะถูกโรยด้วยปุยหิมะ เหนือขึ้นไปบนเขาเบื้องหน้าป่าสนสูงชะลูดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน แทรกด้วยบ้านสีสันสดใสหลังคาถูกห่อหุ้มด้วยหิมะอีกเช่นกัน....แน่นอนเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากแดนสวรรค์ที่ฉันเคยฝันถึง
เราเดินต่อไปอีก เมื่อพ้นเหลี่ยมเขาข้างหน้าจึงได้เห็นโค้งทะเลสาปกว้างซึ่งเป็นจุดจบของทะเลสาปทางด้านนี้ เมื่อถึงโค้งเราจึงหวนกลับทางเดิม ฉันมองนาฬิกาข้อมือห้าโมงเศษๆรู้สึกได้ชัดว่าอากาศเย็นลง ดวงอาทิตย์ลับยอดเขาสูงไปนานแล้วแต่ยังคงความสว่างไว้บ้างเพราะยังไม่ได้หายไปจากเหลี่ยมโลก
ระหว่างทางกลับฉันได้ขอบคุณท่านลามะอีกครั้งด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจและมิตรภาพที่มีให้ ท่านกลับบอกว่าท่านเข้าใจความรู้สึกของคนเดินทางดีเพราะท่านเองก็ชอบการเดินทาง ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวสิ่งหนึ่งที่คนเดินทางกังวลที่สุดก็คือเรื่องค่าใช้จ่ายว่าจะเพียงพอกับช่วงเวลาของการเดินทางหรือไม่ ท่านเคยไปเมืองไทยมาแล้วคนไทยดูแลต้อนรับท่านดีมาก ท่านเองก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของคนไทยเช่นกัน เมื่อได้ฟังคำตอบจากท่านลามะฉันเองก็รู้สึกปลาบปลื้มและสบายใจขึ้นมาก ตอนนี้เลยรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของคนไทยไปด้วยและอยากขอบคุณคนไทยทุกคนที่มีส่วนทำให้ฉันมีวันดีๆที่นี่เช่นวันนี้....
.....................................
ท่านลามะคงอยากตอบแทน เพราะตอนท่านมาอยู่เมืองไทย คนไทยก้อดูแลท่านอย่างดีค่ะ เมริกสวยมากๆค่ะ
โดย: สุภาวรรณ IP: 49.0.116.45 วันที่: 6 สิงหาคม 2557 เวลา:17:53:31 น.
|
บทความทั้งหมด
|