อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน 9.คิดถึงเมืองไทย คิดถึงเมืองไทย
เช้าตื่นขึ้นมาหกโมงกว่าผู้โดยสารหายไปส่วนหนึ่ง เมื่อคืนคงลงระหว่างทาง ฉันย้ายไปนั่ง ฝั่งตรงข้าม เหม่อมองออกไปนอกรถ แว่บนึงรู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถไฟจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่เพราะบรรยากาศและทิวทัศน์ข้างทางดูช่างไม่ต่างกันเลยจริงๆ ดีเพนย้ายตามมานั่งตรงกันข้ามฉันยิ้มทักทาย เขาบอกเจ็ดโมงกว่าก็จะถึงสถานีนิวจัลปายกูริแล้วถ้าฉันจะต่อไปยังดาร์จีลิ่งจะต้องนั่งรถเล็กที่สถานีรถไฟไปยังคิวรถที่จะไปดาร์จีลิ่ง
เขาไม่รู้ว่าฉันได้เปลี่ยนใจแล้วหลังจากเมื่อคืนได้อ่านหนังสือคู่มือพบว่าสิริกูริเมืองที่อยู่ใกล้ๆนิวจัลปายกูริก็เป็นเมืองที่น่าหยุดพักทักทายซัก 1-2 วัน ฉันจึงบอกเขาไปว่าฉันเปลี่ยนใจอาจจะไปพักที่สิริกูริสัก 1-2 วัน ความที่ฉันชอบภูเขา จึงถามไปว่าเมืองนี้มีภูเขาเยอะไหม ถ้าคุณชอบภูเขาไปเที่ยวบ้านผมสิ..เมืองมิริค (Mirik) ที่นั่นเมืองภูเขาเลยล่ะ แถมมีทะเลสาบสวยงามอยู่กลางเมืองด้วย มีที่พักหลายแห่งเพราะมีนักท่องเที่ยวไปเยอะ คำโฆษณาที่เขาโปรยออกมาเล่นเอาฉันตื่นใจรีบควักหนังสือคู่มือออกมาค้นหาชื่อเมืองที่ได้ยินเป็นครั้งที่สองแต่ใหม่เอี่ยมในความรู้สึก..... มิริคเป็นเมืองเล็กๆอยู่ระหว่างสิริกูริและดาร์จีลิ่ง ใกล้ชายแดนเนปาล จากยอดเขาของเมืองยังสามารถมองเห็นเทือกเขากังเชนจุงกา หนึ่งใน 13 ยอดเขาสูงสุดของเทือกเขาเอเวอร์เรสต์ได้....ตัวอักษรไม่กี่บรรทัดแต่มีพลังพอที่จะทำให้ฉันตื่นเต้นและเปลี่ยนใจได้ สิริกูริ ดูวุ่นวายและไม่สวยเท่ามิริคหรอก เขาเชิญชวนต่อเมื่อเห็นฉันปิดหนังสือและคงมีท่าทีโอนเอียงไปทางเขาอย่างเห็นได้ชัด ..เขากลายเป็นเซลล์แมนของบริษัททัวร์ไปโดยไม่รู้ตัว การเดินทางคนเดียวมันก็ดีไปอย่าง ชีวิตเป็นของเราไม่ผูกพันกับใครจะตัดสินใจอย่างไรก็ได้หากเราชอบที่จะทำ แล้วผู้ชายคนนี้ล่ะจะไว้ใจได้แค่ไหน ? เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจ จากการได้พูดคุยกับเขามาตั้งแต่เมื่อวานก็ดูเขาซื่อๆ เมืองนี้หากฉันจะไปด้วยตัวเองก็คงไม่ยากเพราะข้อมูลมีพร้อมในหนังสือคู่ใจ แต่หากจะไปกับคนในท้องที่ก็น่าจะดีกว่าแถมได้เพื่อนใหม่ ฉันเลยตัดสินใจบอกเขาว่าฉันเปลี่ยนใจขอไปเที่ยวมิริคกับเขาแล้วกัน... ดูท่าทีเขาจะดีใจเอามากๆกับคำตอบของฉัน ฉันถามเขาถึงเรื่องเมืองมิริคต่อ ดูเขาภูมิใจที่จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเกิดของเขาจริงๆ แต่ท้ายสุดของการพูดคุยกลับมาจบเอาที่เมืองไทยโดยที่เขาเป็นฝ่ายซักและฉันกลายเป็นฝ่ายต้องตอบคำถามโดยไม่รู้ตัว! สายๆก็ถึงสถานีนิวจัลปายกูริเขาพาฉันลงต่อรถโดยสารเล็กซึ่งจอดรอผู้โดยสารอยู่เต็มไปหมดที่ลานจอดรถกว้าง เราจะต้องนั่งรถเล็กเข้าไปยังตัวเมืองสิริกูริก่อนเพื่อต่อรถไปยังมิริค ระยะทางไม่ไกลมากจ่ายไปคนละ 10 รูปี ฉันรู้สึกดีใจที่มีเพื่อนนำทางเป็นคนท้องถิ่น ไม่งั้นฉันคงเหน็ดเหนื่อยกับการหลบหลีกพวกรถรับจ้างอีกรอบแถมอาจถูกหลอกเรื่องค่าโดยสารอีกด้วย ระหว่างอยู่บนรถโดยสารเล็ก อย่างนึกไม่ถึงท้องเจ้ากรรมก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมา และก็เพิ่งนึกได้ว่าตลอดเวลาทั้งคืนบนรถไฟไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยเพราะรู้มาก่อนว่าห้องน้ำบนรถไฟที่นี่ไม่ค่อยจะโสภานักเลี่ยงได้ก็เลยพยายามจะเลี่ยง แต่ตอนนี้ท้องเจ้ากรรมมันเริ่มประท้วงแล้วสิ.. เอาไงดี? พยายามสงบสติอารมณ์และทำสมาธิ แอบเว้าวอนสิ่งไม่มีตัวตนมาเป็นที่พึ่งสุดท้ายเผื่ออานุภาพอันสูงส่งของสิ่งเหล่านั้นจะช่วย ได้ โอย.....ธัมโม สังโฆ คุณพระ คุณเจ้าช่วยด้วย.... และก็ได้ผลนิดหน่อย ช่างโชคดีที่รถมาถึงปลายทางหรือคิวรถแล้ว ที่นี่เขาเรียกว่าบัสแสตน(bus stand) ดีเพน บอกว่าเขามีนัดกับเพื่อนคนหนึ่งที่จะช่วยจัดการเรื่องเอกสารในการต่อพาสปอร์ตให้เรียบร้อย ซึ่งเราต้องนั่งออโต้ริกชอว์ไปเจอเพื่อนคนนี้ก่อนแล้วถึงจะไปมิริคได้ ถึงตอนนี้ฉันไม่นึกถึงอะไรทั้งสิ้นประเมินอาการตัวเองแล้วไม่ไหวจริงๆ ถ้าไม่ได้เข้าห้องสุขาซะก่อนภายใน 5 นาทีนี้คงได้ขายหน้าแน่ๆ รีบบอกความจริงกับดีเพนไปแต่ด้วยรู้สึกอายเล็กน้อยเลยต้องสงวนท่าทีให้ดูดีหน่อย ตอนนี้ฉันขอเข้าห้องน้ำก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยไปเจอเพื่อนคุณ แถวนี้พอจะมีห้องน้ำไหม? ฉันคงเก็บงำความรู้สึกภายในได้ดีเกินไป ดีเพนรับฟังอย่างปกติ พร้อมบอกว่าเดี๋ยวไปเข้าที่บ้านเพื่อนเขาซึ่งอยู่ไม่ไกล จะด้วยแถวนี้ไม่มีห้องน้ำหรือเขาอาจหวังดีอยากให้ฉันเข้าห้องน้ำที่ดูดีหน่อย ตามประสาคนที่ผ่านต่างประเทศมาและบ้านเพื่อนเขาคงอยู่ไม่ไกล(พยายามมองในแง่ดีไว้ก่อน) ฉันเลยต้องเก็บอาการต่อด้วยหวังว่าบ้านเพื่อนเขาคงอยู่ไม่ไกลจริงๆ เขาเรียกออโต้ริกชอว์คันเดียว ฉันไม่ว่าอะไรความที่อยากไปให้ถึงจุดหมายเร็วๆ เบียดนิดหน่อยก็ยอมทน อาการปวดท้องทั้งหนักและเบามันมาเป็นระลอกๆ ช่วงที่โหมมาก็ขนลุกซู่ซะทีนึง ฉันพยายามใช้สมาธิเข้าช่วยโดยนึกถึงเรื่องอื่นแทนซึ่งมันก็จะค่อยๆหายไปแต่แล้วก็เกิดขึ้นอีก ฉันเพิ่งประจักษ์ชัดแจ้งตอนนี้เองว่าที่ใดไม่มีห้องสุขาที่นั่นมีทุกข์จริงๆ ออโต้ริกชอว์ผ่านไปบนถนนแคบๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยโรงแรมขนาดเล็กและเกสต์เฮ้าส์ คงด้วยอานุภาพแห่งจิตที่จดจ่ออยู่ตลอดเวลาภาพห้องสุขาจึงมาลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ดีเพนคงแปลกใจที่ฉันเงียบไป เขาชวนคุยต่อเรื่องเพื่อนที่เขาจะไปพบ เขาบอกเพื่อนเขาคนนี้เป็นลามะ ฉันฟังแล้วก็หูผึ่ง แต่ความตื่นเต้นที่ควรจะมีกลับหายไปไหนหมดไม่รู้ ฉันเคยอ่านเรื่องราวของลามะหรือนักบวชในพุทธศาสนาสายวัชรยานในทิเบตมาพอสมควร ซึ่งก็ทำให้ฉันสนใจและอยากรู้จักวิถีชีวิตหรือวัตรปฏิบัติของท่านเหล่านั้นมานานแล้ว แต่ตอนนี้แม้จะรู้ว่าจะได้มีโอกาสพบและรู้จักกับนักบวชสายพันธุ์ที่น่าทึ่งดังกล่าว ฉันกลับเหลือแค่ความรู้สึกที่ว่า เมื่อไหร่จะถึงบ้านเพื่อนดีเพนซะทีนะ? และแล้วความอดทนของฉันก็ขาดผึงลงตรงที่ข้าศึกมันบุกมาจ่อตรงประตูเมืองและไม่มีทีท่าว่าจะถอยกลับ ไม่ไหวแล้ว .จิตสำนึกเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่าไม่ไหวจริงๆ ตอนนี้ความอายไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว ฉันรีบบอกดีเพนว่า ฉันขอเข้าห้องสุขาตามเกสต์เฮ้าส์ข้างถนนนี่ก่อนเถอะ เพราะไม่ไหวจริงๆ ดีเพนดูจะเข้าใจทันที เขารีบบอกออโต้ริกชอว์จอดแล้วรีบเดินเข้าไปยังเกสต์เฮ้าส์ข้างถนน ฉันวิ่งตามไปติดๆด้วยความหวังเต็มเปี่ยม แต่แล้วหลังจากดีเพนได้เจรจาภาษาที่ฉันฟังไม่รู้เรื่องแล้วใบหน้าของเขาก็มีอาการหงอยบวกแววเห็นใจฉันพร้อมบอกว่า ถ้าไม่พักเกสต์เฮ้าส์ของเขาๆก็ไม่ให้เข้าห้องสุขา ฉันตลึงกับคำพูดของเขาความหวังสลายลงทันใด โอ...พระเจ้าช่างโหดร้ายกับฉันเหลือเกิน... ฉันโอดครวญในใจ ความโมโหเริ่มก่อตัวขึ้น ตอนนี้คิดถึงเมืองไทยสุดๆ ถ้าเป็นเมืองไทยเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่เราจะเห็นใจกันมากที่สุด ดีเพนไม่ลดละดูเขาจะเข้าใจสถานการณ์ของฉันเป็นอย่างดี เขารีบเดินนำฉันข้ามถนนไปยังเกสต์เฮ้าส์ ฝั่งตรงข้าม ฉันเดินตามด้วยความหวังใหม่ แต่แล้วมันกลับดูโหดร้ายยิ่งกว่า ดีเพนหันกลับมาบอกว่า เขาคิดเงินค่าใช้ บริการ 150 รูปี คำตอบทำให้ฉันสะดุ้งตกใจพร้อมความโมโหพุ่งขึ้นสุดขีดโดยไม่รู้ตัว อะไรจะมากมายและโหดร้ายขนาดนั้น ? ดูเหมือนว่าทุกคนกำลังจงใจจะแกล้งฉันกระนั้น!! เขาคิดเท่าค่าห้องหนึ่งคืน ดีเพนบอกด่อ ฉันถึงบางอ้อทันที นัยว่าถ้าคุณจะใช้สุขาที่นี่ คุณจะต้องจ่ายเหมือนเป็นลูกค้าที่นี่เท่านั้น ความน้อยใจเกิดขึ้นพร้อมคำถามในใจที่ว่า คำว่าน้ำใจมีหรือไม่นะสำหรับคนที่นี่ ? รู้สึกแค้นเคืองกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง... แต่ก็แปลกที่ความอดทนของฉันกลับมีมากขึ้นและพลันสมองก็ดูปราดเปรื่องขึ้นมาทันทีเช่นกัน.... ใช่แล้วร้านอาหาร! ฉันรีบบอกดีเพนทันทีว่า ไปร้านอาหารดีกว่า และทานมื้อเช้าด้วยเลย พอจะมีไหมแถวๆนี้ ดีเพนตาเป็นประกายขึ้นมาแว่บนึง รีบตอบ โอเค โอเค.... เหมือนสวรรค์บัญชามาชั่วแว่บเราก็มาถึงร้านอาหาร จากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่น...เฮ้อ!.... ฉันได้ความสุขกลับมาสู่อ้อมใจอีกครั้ง ไม่อยากจะบรรยายอะไรทั้งสิ้น ซึ้งแล้ว ทุกข์ สุขเป็นเรื่องธรรมดาคละเคล้ากันไป . ดีเพนดูคุ้นเคยกับเจ้าของร้านและเด็กในร้านเป็นอย่างดี เขาบอกร้านนี้เจ้าของเป็นคนเนปาลี บ้านอยู่เนปาลแต่เข้ามาเปิดร้านอาหารที่อินเดีย ดีเพนทานข้าวอย่างเร่งรีบ เสร็จแล้วบอกขอตัวออกไปทำธุระสักเดี๋ยวจะกลับมา ฉันเข้าใจทันทีเพราะฉันเป็นต้นเหตุให้เราจำต้องแวะที่นี่กลางคันก่อนถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้แต่แรก เขาทิ้งของส่วนตัวทั้งหมดไว้ที่ร้าน เหมือนเป็นนัยว่าเขาไม่ทิ้งฉันหรือหนีหายไปไหนแน่ ฉันถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำตัวสบายๆผ่อนคลายอารมณ์บ้าง เจ้าของร้านและลูกจ้างอัธยาศัยดีมาก ชวนคุยอย่างเป็นกันเอง ฉันรู้สึกว่ามันคนละโลกกับที่ผ่านมาไม่ถึงชั่วโมงนี้จริงๆ เด็กหนุ่มในร้านมาจากเนปาลเขาดูอารมณ์ดี และก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีไม่แพ้อารมณ์ของเขาทีเดียว ที่น่าขอบคุณก็คือเช้านี้เขาได้ช่วยฟื้นฟูอารมณ์ของฉันให้ดีขึ้นจนเป็นปกติด้วยการชวนคุยเรื่องประเทศเนปาลซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา ประเทศนี้ฉันเคยไปเที่ยวมาแล้วประทับใจทั้งผู้คน ทิวทัศน์ที่สวยงามและความเป็นประเทศที่ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความมีอารยะธรรมที่สูงส่งในแบบฉบับของตัวเองไว้ให้เห็น ต้องยอมรับว่าได้คุยถึงประเทศนี้ทีไรมันมีความสุขทุกที !
....................................
สนุกค่ะ มีทุกอารมณ์เลย
โดย: สุภาวรรณ IP: 49.0.116.45 วันที่: 6 สิงหาคม 2557 เวลา:16:02:42 น.
|
บทความทั้งหมด
|