อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /กาลิมปง ตอน 29. ถึงแล้ว...เดโล่

ถึงแล้ว...เดโล่

 

................

 

                              ฉันเดินย้อนกลับมาทางเดิมถึงทางแยกมีป้ายบอกทางไปเดโล่ 6 กิโลเมตร กะว่าจะลองเดินไปก่อนหากมีรถโดยสารผ่านมาค่อยโบกขึ้น สองข้างทางส่วนใหญ่เป็นบ้านคน เดินไปเรื่อยๆหลายช่วงเป็นเนินสูงค่อนข้างชันแดดเริ่มร้อนและเหนื่อยได้ที่ต้องหยุดพักเป็นระยะๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเดินแบบฉันหรือแม้แต่รถโดยสารที่รอคอยด้วยความหวังว่าจะมีผ่านมา ก็ไม่เห็นแม้แต่คันเดียวโชคดีที่เส้นทางไม่ได้ซับซ้อนเพียงเดินไปบนถนนที่เป็นเนินสูงและคดเคี้ยวตามไหล่เขา แต่ก็เหนื่อยเอาการเพราะเป็นการเดินเพียงลำพังและถูกกดดันด้วยเป้าหมายที่ยังไม่ชัดเจน

 

                              รู้สึกว่าเดินมาได้ไกลมากทั้งเหนื่อยทั้งหอบแถมร้อนจนเหงื่อโชก เริ่มรู้ตัวว่าชีวิตไม่มีทางเลือกซะแล้วต้องเดินหน้าอย่างเดียวจะถอยหลังก็สายไปแล้ว ฉันก้มหน้าก้าวขาขึ้นเนินสูงไปตามถนนอย่างช้าๆด้วยอาการหอบและเหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง พลันคำถามผุดขึ้นมาในใจ ‘วันนี้จะไปถึงไหมนี่ ?’  ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง นอกจากเงยหน้าขึ้นสูดหายใจแรงๆเพื่อปั๊มออกซิเจนเข้าปอดเผื่อร่างกายจะผ่อนคลายลงบ้าง พลันอาคารสไตล์อังกฤษก็ตระหง่านอยู่ตรงหน้า… Dr. Graham's Home นั่นเอง

 

                              งง...นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอสถานที่แห่งนี้เอาที่นี่ เมื่อคืนยังแปลกใจว่ามันสำคัญยังไงถึงได้เป็นสถานที่น่าสนใจ อ่านผ่านๆเลยพอรู้ว่าเป็นโรงเรียนสอนเด็กกำพร้าที่มิชชันนารีชาวสก๊อตก่อตั้งขึ้นมีอายุกว่าร้อยปีแล้ว เน้นการสอนและให้ความรู้เกี่ยวกับการทำไร่ชา เหนืออาคารเรียนขึ้นไปเป็นโบสถ์สวยเคียงข้างไหล่เขาสูง แต่ตอนนี้ประตูหน้าโรงเรียนปิดสนิท

 

                              หากประตูเปิดฉันก็คงไม่มีแรงพอที่จะเข้าไปชมหรอก เพราะถนนที่จะไปต่อมันทำให้ฉันแทบหมดแรงไม่อยากแม้จะควักกล้องออกมาถ่ายรูปอาคารและโบสถ์สวยบนไหล่เขา ก็ถนนมันเลี้ยวขวาหักข้อศอกขึ้นไปบนไหล่เขาสูงชันอีกด้านแล้ว ตอนนี้จึงได้แต่ยืนเก็บภาพข้างหน้าไว้ในความทรงจำด้วยความรู้สึกอ่อนล้า ถอนหายใจก่อนที่จะหันหลังให้และเรียกพลังเพื่อมุ่งมั่นไปข้างหน้าต่อ

 

                              ทุกช่วงที่เดินดูเหมือนถนนจะมีความชันมากขึ้นอาการของฉันเข้าขั้นที่เรียกว่า ‘หอบแฮ่กๆ’ เงยหน้ามองยอดเขาเหมือนจวนจะถึงแต่ก็ไม่ถึงซักทีเพราะมันมียอดเขาลูกใหม่มาให้เห็นอีก เดินมาเจอเด็กนักเรียนหญิงสามคนกำลังเดินกลับบ้าน พวกเธอบอกว่า

 

                                 “อีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว” รู้สึกเหมือนจะเป็นคำปลอบใจมากกว่า เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ เด็กคนหนึ่งบอกว่าพ่อของเธอทำงานอยู่บนนั้น เดินขึ้น-ลงทุกวันใกล้นิดเดียว ฟังแล้วชวนให้นึกถึงคำว่า ‘กิโลแม้ว’  ฉันแอบถามว่า

 

                                 “เคยมีใครมาเดินขึ้นเขาคนเดียวแบบฉันบ้างไหม?”  เด็กๆบอกว่า มี ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นทั้งหญิงและชาย ฟังแล้วค่อยอุ่นใจขึ้นมาหน่อยที่ฉันไม่ได้แผลงทำอยู่คนเดียว ฉันเองเคยรู้จักวัยรุ่นญี่ปุ่นต้องยอมรับว่าพวกเขามีความเก่งและกล้าอยู่ในสายเลือดจริงๆ มีความมุ่งมั่นสูงที่จะทำในสิ่งที่เขาต้องการให้บรรลุผล โดยเฉพาะจะน้อยหน้าเพื่อนฝูงไม่ได้นับเป็นเรื่องแปลกแต่น่ายกย่อง

 

                              พูดถึงความไม่ยอมน้อยหน้าเพื่อนของคนญี่ปุ่นฉันเคยมีประสบการณ์ด้วยตัวเองเมื่อหลายปีก่อนครั้งมีโอกาสคลุกคลีกับคนญี่ปุ่น วันหนึ่งฉันและเพื่อนญี่ปุ่นได้ชวนกันไปปั่นจักรยานเที่ยวที่ป่าใหม่(new forest)ซึ่งพวกเราไม่เคยไปมาก่อน บังเอิญมิซาโยะเพื่อนหญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเกิดติดธุระไม่สามารถไปได้ วันนั้นทั้งวันพวกเราสนุกสนานกันมาก พอกลับมาเจอมิซาโยะเธอถามฉันว่า

 

                                  “ไปปั่นจักรยานเป็นไงบ้าง?”

 

                                  “สนุกมากไม่น่าเชื่อว่าเราปั่นกันได้ไม่ต่ำกว่าสามสิบห้ากิโลเมตร” ฉันตอบตามความรู้สึกที่แท้จริงแกมอวดอยู่ในทีเพราะไม่คิดว่าตัวเองและเพื่อนๆจะทำกันได้

 

                             สามอาทิตย์ผ่านไปมิซาโยะมาชวนฉันไปปั่นจักรยานบ้าง เธอบอกว่าเธอจะชวนเพื่อนญี่ปุ่นไปด้วย พอถึงวันไปจริงๆเธอชวนเพื่อนญี่ปุ่นไปแค่คนเดียวซึ่งเป็นคนใหม่ที่ไม่ได้ไปกับฉันครั้งก่อน มิซาโยะขอให้ฉันพาปั่นไปตามเส้นทางเดียวกับที่ฉันเคยไปครั้งก่อน วันนั้นฉันก็สนุกสนานเช่นเดิมเพราะได้ทำในสิ่งที่ชอบ ถึงที่พักฉันเลยถามมิซาโยะบ้างว่าเป็นไงบ้างสนุกไหม คำตอบที่ฉันได้รับก็คือ

 

                                  “จริงๆแล้วฉันไม่ได้ชอบปั่นจักรยานมากนักหรอกแต่ที่อยากไปก็เพราะอยากจะพิสูจน์ว่าฉันก็ทำได้เหมือนเพื่อนคนอื่นๆเหมือนกัน    

 

                                   “…?...”

 

                             พักเดียวเด็กนักเรียนก็แยกย้ายกันลงข้างทางเข้าบ้านที่ซุกตัวอยู่ตามไหล่เขาต่ำลงไปจากขอบถนน หนูน้อยคนหนึ่งใจดีชวนฉันแวะเข้าบ้านไปคุยกับยายที่อยู่ในบ้าน ฉันได้แต่ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่เธอมอบให้ริมทาง แต่ฉันไม่มีเวลามากขนาดนั้น

 

                              เดินต่อด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะรอบตัวไม่เห็นผู้คนมีแต่ต้นไม้เรียงรายเต็มสองข้างทางที่ลางเลือนอยู่ในกลุ่มหมอก ไอหมอกผ่านมารู้สึกเย็นวูบทั้งๆที่เหงื่อยังโชกตัวอยู่ เมื่อพักใหญ่มองเห็นผู้หญิงเดินจูงลูกเล็กๆอยู่ข้างหน้า แต่ว่าพักเดียวก็เดินล้ำหน้าไปไกล ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้วอาจลงข้างทางหรือแทรกอยู่ในกลุ่มหมอกหนาข้างหน้าก็เป็นได้ ‘หมอกหนาข้างหน้าน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าใกล้ถึงยอดเขาเข้าไปแล้ว’ฉันคิดเองและก็ไม่ผิด

 

                              สักพักก็ขึ้นมาถึงบนยอดเขาเดโล่ที่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเมืองกาลิมปงหรือสูงถึง 1,704 เมตร ฉันถอนหายใจโล่งอกแต่ก็แทบหมดแรง เจอร้านขายของและรถกระป๋องสองสามคันจอดอยู่ ดีใจที่จะมีรถกลับ สอบถามดูรถคันสุดท้ายจะลงไปไม่เกินห้าโมงเย็น ชักสงสัยว่ารถสองสามคันนี้ขึ้นมาได้อย่างไรและตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ระหว่างทางฉันไม่เห็นมีรถผ่านขึ้นมาเลยแม้แต่คันเดียว

 

                             พื้นที่ราบกึ่งเนินกว้างข้างหน้าเป็นสวนสาธารณะต้องเสียค่าผ่านประตูคนละ 5 รูปี ส่วนที่เป็นเนินถูกตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีมีศาลาชมวิวได้ 360 อาศา ถัดไปเป็นอาคารที่พักหลังใหญ่สไตล์ยุโรปดูหรูอยู่บนพื้นที่ราบกว้างมีชื่อว่าเดโลทัวร์ริสต์ลอด์จ (Deolo Tourist Lodge) เป็นของหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว(Department of Tourism) ค่าที่พักเตียงคู่ คืนละ 1,500 รูปี ถือว่าไม่แพงเพราะดูดีมีระดับแถมได้บรรยากาศ

 

                             ฉันสูดอากาศเย็นๆเข้าปอดให้เต็มที่แล้วเดินไปชมตามจุดต่างๆของหน้าผา หวังเล็กๆว่าจะได้เจอวิวสวยข้างล่างตามที่บิจอยได้บอกไว้ แต่เอาเข้าจริงๆทุกจุดเต็มไปด้วยเมฆและหมอกค่อนข้างหนามีบางจุดเท่านั้นที่พอมองเห็นทิวทัศน์ต้นไม้และบ้านคนเบื้องล่างได้ลางเลือน

 

                             มีครอบครัวหนึ่งขับรถขึ้นมาเที่ยว เด็กๆวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย ถือว่าที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ดีมากๆแห่งหนึ่งของผู้คนในเมืองนี้ทีเดียวหากมีรถส่วนตัวนับว่าไม่ไกลมาได้สะดวกมาก ฉันหมายมั่นไว้แล้วหากมีโอกาสมาเยือนเมืองนี้อีกครั้งจะต้องขึ้นมาพักที่นี่ให้ได้อย่างน้อยสักคืนก็ยังดี

 

                            ขากลับในรถมีฉันคนเดียวที่ลงมาจากยอดเขานอกนั้นขึ้นตามรายทางที่รถผ่าน ก่อนขึ้นรถได้ลองถามถึงค่ารถคนขับบอกสามสิบรูปี แต่ฉันรู้มาก่อนว่าราคาแค่สิบรูปี จึงต่อรองดูได้ที่ยี่สิบรูปีแต่ยังไม่ได้จ่ายเงิน รถวิ่งลงมาจากยอดเขาได้ไม่ไกลก็แยกลงอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งฉันเพิ่งสังเกตเห็น นี่คือคำตอบที่ระหว่างเดินขึ้นมาทำไมฉันไม่เห็นรถผ่านตัวฉันขึ้นไปบนเขาแม้แต่คันเดียว ก็มันมีเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่งที่คลาดสายตาฉันไปตรงข้างทางนี่เองเส้นทางใหม่นี้ผ่านย่านชุมชนใหญ่มีร้านค้าและบ้านคนมากมาย ที่สำคัญระยะทางถึงจุดหมายนั้นดูสั้นกว่าเส้นทางที่ฉันเดินมากทีเดียว

 

                              เมื่อถึงคิวรถทุกคนจ่ายแค่คนละสิบรูปีฉันเลยทำเป็นส่งเงินสิบรูปีให้บ้าง แต่คนขับไม่ยอมทำหน้าละห้อยจะเอายี่สิบรูปี นับว่าเป็นโชคดีของเขาบังเอิญอารมณ์เห็นใจของฉันมันผุดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลหรือว่าเหตุผลก็คือได้เผลอตกลงไปแล้วก็ไม่รู้ ฉันเลยยอมๆไปเขาตะเบ๊ะรับเงินด้วยความดีใจ

 

                             บางทีฉันอาจต้องทำใจยอมรับความไม่เป็นธรรมในเรื่องพวกนี้ให้ได้    จริงๆแล้วเท่าที่ฉันได้สัมผัสมา ผู้คนที่นี่ส่วนมากมีพื้นฐานจิตใจที่ดีมากๆทีเดียว แต่ด้วยความยากจนของคนส่วนใหญ่ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นประกอบกับผู้คนที่หากินกับนักท่องเที่ยวมักจะมีความเชื่อว่านักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมีเงินหรือร่ำรวยจึงสามารถเดินทางมาเที่ยวถึงประเทศเขาได้ ซึ่งก็คงไม่ต่างจากพ่อค้า-แม่ค้ารวมถึงแท็กซี่และตุ๊กตุ๊กทั้งหลายที่เมืองไทย ฉันเคยแอบได้ยินเขาโก่งราคาสินค้าและบริการกับนักท่องเที่ยวจนให้รู้สึกสงสารนักท่องเที่ยวที่มาเยือน หากเขารู้ราคาที่แท้จริงคงเหนื่อยหน่ายที่จะต่อรองหรือหมดสนุกที่จะเที่ยวต่อไปเลยก็ได้ แบบที่ฉันได้เคยรู้สึกมาแล้วจากโกลกาตา

 

                              แต่ปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น โดยเฉพาะอาศัยทางอินเทอเนทนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเริ่มรู้เท่าทันพ่อค้า-แม่ค้าทั้งหลายมากขึ้น บางทีเขาต่อรองราคาซะเล่นเอาพ่อค้า-แม่ค้าเมืองไทยแทบทรุดเลยก็มี หลายรายรู้แหล่งซื้อสินค้าราคาถูกในกรุงเทพฯมากกว่าคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ซะอีก              

………………………….

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 25 พฤษภาคม 2555
Last Update : 8 ตุลาคม 2555 19:34:14 น.
Counter : 553 Pageviews.

0 comments
ณ เชียงตุง วันแรก, วัดอินทบุปผาราม สายหมอกและก้อนเมฆ
(3 ต.ค. 2567 19:34:01 น.)
ครัวสวนปาล์ม @ ตำบลโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย Emmy Journey พากิน พาเที่ยว
(3 ต.ค. 2567 14:15:35 น.)
เทศกาลกินเจ 2567 อิ่มกาย อิ่มใจ ได้บุญ DigitalMarketing
(28 ก.ย. 2567 14:28:12 น.)
บางปู : นกหัวโตหลังจุดสีทอง ผู้ชายในสายลมหนาว
(26 ก.ย. 2567 09:19:19 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Tibet3.BlogGang.com

SmileIce
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด