17 ธค 57 นครวัด - Ankor Wat

 

               

               เขียนบันทึกส่วนที่อยากเขียนให้จบ ดังที่เขียนในบันทึกก่อน "เขมร" ไม่เคยคิดอยากไปเลย แต่เมื่อมีธุระความจำเป็นไปก็ไป เสียมราฐไปไม่ยาก ถ้าเดินทางด้วยทางอากาศใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง มองจากแผนที่ เสียมราฐอยู่ใกล้กว่าอุบลราชธานีของไทยเสียอีก แต่ค่าใช้จ่ายเดินทางโดยเครื่องบินทั้งหมดราคาสูง ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ 7,500 บาท

                เสียมราฐ มี นครวัด นครธม เป็นจุดสนใจที่สำคัญที่สุด เป็นแหล่งทำรายได้ให้กับกลุ่มผู้นำ ( ตามไกด์บรรยาย ว่ารายได้ทั้งหมดไม่เคยนำมาปรับปรุงประเทศหรือปรับปรุงสถานที่ดังกล่าว )

 

 

                    บัตรเข้าชม นครวัด รอบคอบเข้มงวด ไม่เคยเห็นประเทศไหนเข้มงวดขนาดนี้ มีทั้งการถ่ายภาพ คล้องบัตรไว้ที่คอ ตรวจเข้ม บริษัทนี้ช่างละเอียดรอบคอบ กับการเก็บงำรายได้ ไม่ให้รั่วไหลไปไหน

 

 

                    เห็นประตูทางเข้านครวัด อยู่ไกลลิบ กลางแดดร้อนจัด สิ่งที่พึ่งพาได้คือกำลังขาของตัวเอง ไม่มีเครื่องทุ่นแรงใดๆ รถเข็น รถรับจ้าง ฯ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ผู้ไม่แข็งแรงเดินทางท่องเที่ยวที่นี่

 

 

                ผ่านซุ้มประตูด่านแรกผ่านสระน้ำไกลลิบนั้น ผ่านอาคารชุดแรก เดินพักภายในพอให้เหงื่อระเหย หนทางยังอีกไกล กว่าจะถึงกลุ่มอาคารภายใน

                 ตลอดทางตั้งแต่ปากทาง มีชาวเขมรรับจ้างถ่ายภาพ เด็กเล็กขอเงินไปทั่วทุกแห่งหน ก่อนมาควรขับถ่ายหนักเบามาให้เสร็จเรียบร้อย อย่าดื่มน้ำมากนัก เพราะถ้ามีความจำเป็น ห้องสุขาต่างแยกออกไปอีกไกลลิบ สภาพห้องสุขาอยู่ภายในวัดใกล้ๆนครวัด มีพระคอยนั่งเก็บเงินคนละ 1000 เรียล ( 10 บาท) ห้องน้ำวัดโบราณคงนึกภาพออก พื้นเป็นปูนปนทราย ประตูไม้เก่าๆและกลิ่นที่ไม่ควรหวนนึกถึง ความยากลำบากของห้องน้ำช่วยยืนยันว่า ค่าเข้าชมรายละ 20 USD ต่อหนึ่งวันนั้น ไม่ได้เคยนำมาปรับปรุงสถานที่ แต่เข้ากระเป๋ากลุ่มคนบางคนเท่านั้น สภาพจึงเป็นอย่างที่เห็น

                  แสงแดดร้อนที่แทงทะลุแผ่นหลังแม้จะปกคลุมไว้ด้วยเสื้อผ้าหนาๆ ทำให้แทบอดทนเดินไปไม่ถึงกลุ่มอาคารข้างใน ถ้าไม่เพราะความจำเป็นที่จะต้องไป เงาใต้ร่มต้นตาลสองสามต้นมีผู้คนผิวเหลือง ( จีน เกาหลี) ยืนกันเต็ม สำหรับฝรั่งผิวขาวเอเชียอย่างเราอย่าไปเปรียบเทียบความแกร่งกับเขาเลย จริงๆนะ

 

เดินมาได้ถึงอาคารชั้นใน ลมเย็น มีช่องเล็กช่องน้อย แง่มุมซอกหลีบมากมาย ปีนป่ายไต่เดินชม ทุกมุมมองให้ภาพเหมือนๆกัน เป็นซอกเป็นหลืบ ปีนป่ายชมชั้นนั้นชั้นนี้ ปีกซ้ายขวาหน้าหลัง มองโดยรวมๆเหมือนกันทุกมุม คล้าย พระปรางค์สามยอด ลพบุรี เมื่อครั้งตอนเด็กที่ยังเปิดให้เข้าชม พวกเราไปท่องเที่ยวกันบ่อยๆ เป็นสิ่งก่อสร้างลักษณะประมาณเดียวกัน

 

 

ความแตกต่างที่ต้องยอมรับในใจ คือ มันเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตอลังการ วิลิศเลิศมาหรามาก มากกว่าสิ่งก่อสร้างลักษณะเดียวกันที่เคยไปพบเห็นที่อื่นๆ สมควรที่นานาชาติจะทนแดด ทนร้อน มาให้เห็นสักครั้งในชีวิต สมควรเป็นมรดกโลกจริงๆ สร้างจากแรงงานกว่าสองแสนคน สกัดหินจากภูเขาพนมกุเลน และลำเลียงมาสร้าง อลังการวิจิตร สลักเสลา ( บางคนให้ความเห็นว่า คนสร้างน่าจะเป็นคนไม่ปกติ คนดีๆปกติคงไม่คิดทำเรื่องแบบนี้ เหมือน ปราสาทนอยชวาลสไตน์ ที่เยอรมันไงล่ะ )

 

                 ทางขึ้นส่วนยอดปราสาทชั้นสูงสุด คือชั้นสาม เจ้าประคุณเอ๋ย แหงนหน้าคอตั้งบ่าเลย ทำไมบันไดมันทั้งแคบทั้งชันซะขนาดนั้น เห็นว่า ชั้นบนสุด จะมีพราหมณ์และกษัตริย์ขึ้นไปทำพิธีบูชายัญ แล้วจะแบกหามกันขึ้นยังไงนะ กษัตริย์จะไม่ตกเป็นลมหงายเงิบมาก่อนรึ

 

              

                   ทางขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวผู้ทรงเกียรติ ( ในอดีตให้ขึ้นเฉพาะกษัตริย์และพราหมณ์เท่านั้น ข้าราชบริพาร หรือราชวงศ์ ก็ยังห้ามขึ้น ) ทางบริษัทจัดทางขึ้นเสริมด้วยไม้ให้องศาความชันของขั้นบันไดน้อยลง และทำราวขนาดกระจุ๋มกระจิ๋มไว้ให้จับ ทางขึ้นนี้อยู่ทางด้านหลังปราสาท คือทางทิศตะวันออก มีซุ้มเจ้าหน้าที่คอยห้ามนั่นโน่นนี่ อ่านไม่ทัน รู้แต่ต้องถอดหมวก เพราะด้านบนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

 

                      ขาขึ้นยังไม่เท่าไหร่ ขาลงมันน่าหวาดเสียว ไม่แนะนำให้ผู้สูงอายุขึ้นเพราะอันตราย ราวบันไดเล็กมาก ถ้ามีใครพลาดตกสักคน คงตกกันลงมาหมด เรามองแต่มือที่จับราวบันไดและขั้นบันได ไม่ได้เหลือบตามองลงด้านล่าง หรือคนภายนอก

 

ภายในชั้นที่สามนี้ ก็เหมือนชั้นอื่นๆ อารมณ์เดียวกัน ยิ่งร้อนเหนื่อยยิ่งต้องดูให้ทั่ว

 

 

ถึงพระปรางค์องค์สูงสุดแล้ว

                ภาพพระพุทธรูปภายในพระปรางค์องค์สูงสุด เดินไปถึงเมื่อมองเห็นตกใจเลย พระพุทธรูปปางปรินิพพาน เราเคยฝันเห็นเมื่อหลายปีก่อน เป็นภาพที่สังเวชนียสถาน ท่านประทับเหมือนองค์นี้เลย ไม่ใช่ปางไสยาสน์เราเรียกปางปรินิพพาน ยกกล้องขึ้นถ่ายภาพ ไม่ได้ถ่ายยากอะไร มีแฟลชพระพุทธรูปอยู่ใกล้ๆ ทำไมภาพมืดนัก ถ่ายอีกสามภาพแฟลชขึ้นทุกภาพ แว่บแรกภาพปกติ เปิดดูซ้ำมืดหมดเลยสี่ภาพ หุหุ เราโดนแล้ว

                  

                 นึกได้ ต้องขออนุญาต ครั้งนึงเคยถ่ายภาพหลวงปู่มั่นที่วัดถ้ำผาบิ้งกล้องกดชัตเตอร์ไม่ลง หลายภาพ เมื่อขออนุญาตแล้วจึงเห็นว่ากล้องกลายเป็นเปลี่ยนโหมดตั้งเวลาถ่ายซะงั้น ครั้งนี้ก็คงเพราะไม่ขออนุญาต คิดในใจขออนุญาตถ่ายภาพ และด้วยวิธีการเดิมๆ ภาพติดชัดแจ๋วหมดทุกภาพ สิ่งที่ตามองไม่เห็น คงอยากให้เรารู้ว่ามีอยู่ แต่ ณ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดถึงอะไร นอกจากความปลาบปลื้มที่ได้กราบองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่เคารพสูงสุด เพราะแต่เดิมไม่ได้คาดหวังว่าจะพบพระพุทธรูปมากมายหลายองค์ เพราะเคยอ่านว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ไว้บูชาเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ และไว้เก็บพระศพของพระเจ้าสุริยวรมัน ไม่ได้อ่านเลยต่อไปว่า กษัตริย์ในภายหลังได้ยกเทวรูปต่างๆออกและนำพระพุทธรูปมาประดิษฐานแทน

                 ใครจะคิดอย่างไรก็ตามแต่ นครวัด ได้ถูกทิ้งร้างมานานหลายศตวรรษและมาฟื้นฟูโด่งดังขึ้นภายหลัง ในความเห็นเราก็ยังคิดว่า เพราะบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประดิษฐานอยู่ภายในนี้นั่นเอง สถานที่ใดมีพระพุทธศานาเจริญรุ่งเรืองก็จะเป็นที่รำลึกถึงของเหล่ามหาชนตราบนานเท่านาน



 

 






Create Date : 17 ธันวาคม 2557
Last Update : 20 ธันวาคม 2557 12:24:15 น.
Counter : 2125 Pageviews.

0 comments
เลี้ยงรุ่น 15/ 04 / 2024 tanjira
(19 เม.ย. 2567 17:52:18 น.)
»FFF#94« "กินเพลินเกินห้ามใจ" ผัดหมี่เส้นจันท์ nonnoiGiwGiw
(16 เม.ย. 2567 15:00:28 น.)
สุขสันต์วันปีใหม่ไทย ๒๕๖๗ haiku
(13 เม.ย. 2567 10:13:33 น.)
โจทย์ตะพาบ ... วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร โปรดมองมาทางนี้ เธอจะเห็นใครคนหนึ่งที่รอเธอ ... tanjira
(9 เม.ย. 2567 14:13:50 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mcayenne94.BlogGang.com

mcayenne94
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 36 คน [?]

บทความทั้งหมด