16 กพ 57 มรณานุสติ

                        เมื่อครั้งปีใหม่นอกจากจะได้หยุดพักผ่อนแล้ว  สิ่งที่มักไปเที่ยวชมเสมอคือ "วัด" วัดเป็นสถานที่ล้ำค่า  มีสิ่งมีค่าทั้งข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์  โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัฒนธรรม มากมายจาระไนไม่หมด   ถ้าเรามีความรู้ทางโบราณคดีคงจะดีไม่น้อย  ว่าสิ่งก่อสร้างใดลักษณะใดสมัยใด ชาติใด ฯ  ที่พอมีก็ทางประวัติศาสตร์พอให้เที่ยวชมได้ความรู้อยู่บ้าง

                    ภาพถ่ายปีใหม่ ที่ไม่คิดว่าจะนำมาลง เพราะถ้าพูดถึงภาพถ่ายมันไม่สวยงามอะไร  มันถูกบันทึกอย่างเร่งรีบเพื่อเก็บสาระและความทรงจำ  ไม่ใช่ทริปถ่ายภาพเหมือนที่เราเห็นผู้ไปชมวัดแห่งนี้ส่วนใหญ่กระทำกัน   เพราะวัดนี้มีมุมและแสงสีที่สวยงามสำหรับบันทึกภาพ    วันนี้ นำภาพสองสามภาพมาลง ประกอบ พอให้เห็นภาพค่ะ

 

 

                  วัดเก่าแก่ยาวนาน  มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บรรยากาศคล้ายวัดป่า  ด้วยการปกครองของ  ท่านปัญญานันทภิกขุ  ผู้พัฒนาวัด  เราเดาว่า คงนำแนวสวนโมกขพลาราม มาด้วย เพราะมีโรงมหรสพทางวิญญาณ 

 

จุดเด่นของวัด อยู่ที่ทางเดินภายในอุโมงค์ใต้ฐานพระเจดีย์ 

เป็นมุมมองที่หลายๆคนเก็บภาพถ่ายกันมาก

 

 

สำหรับเราชอบป้ายหินหรือปูนแกะสลักต่างๆเหล่านี้ แม้จะผุพังไปมาก

 

"เห็นกันอยู่เมื่อเช้า  สายตาย

สายยังอยู่สุขสบาย  บ่ายม้วย

บ่ายชื่นรื่นรวยราย   เย็นดับ ชีพแฮ

เย็นเล่นกับลูกด้วย  ค่ำม้วย อาสัญ "

                       ถ้ายึดตามป้ายนี้เป็นพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 4  แต่บุคคลทั่วไปมักรับทราบว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 5  เราไม่ทราบแน่เป็นของรัชกาลใด  แต่เมื่อเห็นข้อความ ทำให้ระลึกได้ถึง มรณานุสติ 

                       ข่าวการเสียชีวิตของบุคคลผู้เป็นที่รักของท่านต่างๆ  เราได้ยินมาตลอด รวมทั้งคืนนี้ก่อนนอน ที่กำลังฟังเทศน์และเจริญสติสมาธิ  จึงลุกขึ้นรวบรวม  เรื่องราวมรณานุสตินี้  เพื่อคลายความโศกเศร้าให้แก่บุคคลที่สูญเสียผู้เป็นที่รัก อย่างไม่มีวันกลับมา  พระรัตนตรัย  พระธรรมคำสอนของพระศาสดาเท่านั้น ที่จะคลายความโศกเศร้าออกจากใจได้  เมื่อยังมีชีวิตพึงสะสมบุญและความดีงาม  บุญจะเป็นที่พึ่งที่ระลึกถึงและนำพาไปไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกหน้า  เราขออุทิศบุญกุศลให้ไปสู่สุคติ ภพภูมิที่ดี

การเจริญมรณานุสสติ

มีพระคาถาบทหนึ่งใน ขุททกนิกาย ทสรถชาดก กล่าว่า
“ทหรา จ หิ เย วุฑฺฒา เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา
อทฺธา เจว ทลิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุปราายนา”
ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนโง่และคนฉลาด
ทั้งคนจนและคนรวย ล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยูทั้งสิ้น

                  ครั้งหนึ่งพระบรมศาสดา ได้เทศนาโปรดชาวเมืองอาฬวี ให้เจริญมรณานุสสติว่า “ท่านทั้งหลายจงพิจารณาว่าชีวิตของเราไม่หยั่งยืนแต่ความ ตาย เป็นของแน่นอน ตัวเราก็จะต้องตายในที่สุด” ในจำนวนมหาชนที่ฟังธรรมอยู่นั้น มีธิดาของนายช่างหูกคนหนึ่ง ได้ตั้งใจปฏิบัติตาม พุทธโอวาท ด้วยการเจริญมรณานุสสติทุกวัน ไม่ว่านางจะทำภารกิจ หรือทำการงานอะไร ก็จะนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ทำอยู่อย่างนี้ถึง ๓ ปีทีเดียว
                  วันหนึ่งพระบรมศาสดา ทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ได้เห็นกุมาริกานั้นเข้ามา ในข่ายพระญาณ ทรงทาบว่ากุมาริกามีอินทรีแก่กล้า พอที่จะบรรลุธรรม แต่วันนี้นางจะไม่สามารถรอดพ้น จากความตาย เพราะการตายของปุถุชนย่อมมีคติไม่แน่นอน ถ้านางได้ฟังธรรมแล้ว จะได้บรรลุธรรม ละโลกแล้วจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
                    ด้วย พระมหากรุณาธิคุณอันไม่มีประมาณ พระองค์จึงเสด็จไปโปรดนางที่เมืองอาฬวี ฝ่านกุมาริกาเอง เมื่อทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา ก็เกิดความปีติปราโมทย์ใจ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปฟังธรรม แต่เนื่องจากวันนั้น พ่อของนางได้สั่งให้ทอหูกให้เสร็จเสียก่อน นางจึงต้องรีบทอหูกให้เสร็จตามที่พ่อบอก เพื่อจะได้ไปฟังธรรม ชาวเมืองอาฬวีได้ถวายภัตตาหารแด่พระบรมศาดาแล้ว ยืนรอคอยการอนุโมทนาจากพระองค์อยู่ แต่พระองค์กลับประทับนิ่ง ไม่ตรัสอะไรเลย เพราะทรงดำริว่า “เราเสด็จมาไกลถึง ๓๐ โยชน์ เพื่อโปรดกุลธิดาช่างหูก แต่นางยังไม่มา เราจะรอจนกว่านางจะมา”
                     ฝ่าย กุมาริกาทอหูกไป ก็นึกถึงแต่พระบรมศาดา อยากจะฟังธรรมเป็นอย่างยิ่ง หลังจากทอหูกเสร็จแล้ว ก็รีบเดินทางมายังที่ฟังธรรม ได้ยืนอยู่ด้านหลังของพุทธบริษัท แลดูพระพุทธองค์ด้วยจิตอันเลื่อมใส นางทราบว่าพระองค์กำลังรอนางอยู่ จึงรีบเดินเข้าไปในท่ามกลางพุทธบริษัท แล้วก้มลงกราบพระพุทธองค์

พระองค์ทรงถามกุมาริกาว่า “กุมาริกา เธอมาจากไหน?”
กุมาริกาตอบว่า “ไม่ทราบ พระเจ้าข้า”
“เธอจักไป ณ ที่ไหน?” “ไม่ทราบพระเจ้าข้า”
“เธอไม่ทราบหรือ?” “ทราบ พระเจ้าข้า”
“เธอทราบหรือ?” “ไม่ทราบพระเจ้าข้า”

                  เมื่อ มหาชนได้ยินธิดาช่างหูกพูดเช่นนี้ ก็นึกว่านางพูดเล่นลิ้นพระบรมศสาดา จึงเกิดเสียงฮือฮา วิพากษ์วิจารณ์กัน พระบรมศาสดาทรงรู้ข้อกังขาของมหาชน จึงตรัสถามอีกครั้งว่า “กุมาริกา เมื่อเราถามว่าเธอมาจากไหน ทำไมจึงตอบว่า ไม่ทราบ” กุมาริกาจึงทูลว่า “พระองค์ ย่อมทรงทราบว่า หม่อมฉันมาจากเรือนช่างหูก แต่ที่พระองค์ตรัสถามนั้น ย่อมประสงค์ว่า ก่อนมาเกิดหม่อมฉันมาจากที่ไหน? แต่หม่อนฉันไม่ทราบว่า ตัวเองเกิดมาจากไหน จึงตอบว่าไม่ทราบ พระเจ้าข้า”
                 พระบรมศาสดาได้ประทานสาธุการ แก่กุมาริกานั้นว่า “ดีละ ๆ เธอตอบได้ถูกแล้ว” จากนั้นจึงตรัสถามข้อต่อไป “เมื่อเราถามว่าเธอจะไปไหน แล้วทำไมจึงตอบว่าไม่ทราบ” “พระองค์ทรงทราบ หม่อมฉันผู้ถือกระเช้าด้ายหลอดเดินไปยังเรือนช่างหูก พระองค์ย่อมประสงค์ถามว่า หม่อมฉันจากโลกนี้ไปแล้ว จะเกิดในที่ใด?” ก็หม่อมฉันไม่ทราบว่า ตายแล้วจะไปเกิดในที่แห่งใด จึงตอบว่าไม่ทราบพระเจ้าข้า”
                   พระบรมศาสดา ได้ประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่ ๒ อีก แล้วตรัสถามต่อไปว่า “ที่ เราถามเธอไม่ทราบหรือ เพราะเหตุไรจึงตอบว่า ทราบ” “หม่อมฉันทราบว่าตัวเองจะต้องตายแน่นอน ไม่สามารถรอดพ้นความตายไปได้ จึงกราบทูลอย่างนั้นพระเจ้าข้า”
                   แม้ครั้งที่ ๓ พระบรมศาสดาก็ประทานสาธุการแก่นาง แล้วตรัสถามถึงข้อต่อไปว่า “ที่ เราถามว่า เธอทราบหรือ ทำไมจึงตอบว่า ไม่ทราบ” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันย่อมทราบว่าตัวเองต้องตายแน่นอน แต่ไม่ทราบจะตายในเวลาไหน เพราะเหตุนั้น จึงทูลอย่างนั้น พระเจ้าข้า”
                    แม้ ครั้งที่ ๔ พระบรมศาสดาทรงให้สาธุการแก่นางว่า ตอบได้ถูกต้องแล้ว เธอแก้ปัญหาที่เราถามได้ถูกแล้ว จากนั้นได้ตรัสเตือนพุทธบริษัทให้หมั่นเจริญมรณานุสสติ นึกถึงความตายเนืองๆ จะได้ไม่ประมาทในวัยและชีวิต แล้วให้เร่งรีบสั่งสมความดี เพราะไม่มีใครรู้ว่าความตายจะเกิดขึ้นเมื่อไร จึงตรัสเตือนให้หมั่นทำความเพียรว่า


“อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ

 โก ชญฺญา มรณํ สุเว

น หิ โน สงฺครนฺเตน

 มหาเสเนน มจฺจุนา”


พึงรีบทำความเพียรในนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในพรุ่ง
เพราะว่าความผัดเพี้ยน ต่อมฤตยูผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย

                  เมื่อ จบพระธรรมเทศนา มหาชนได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นจำนวนมาก ต่างก็ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ส่วนกุมาริกาได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน แล้วนางได้ถวายบังคมพระบรมศาสดา
ฝ่าย บิดาของนางกำลังนั่งหลับอยู่ เมื่อนางกลับถึงบ้านแล้ง ก็ได้น้อมกระเช้าด้ายหลอดส่งให้บิดา กระเช้าด้ายหลอดกระทบที่ฟืม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องทอผ้า ทำให้เกิดเสียงดัง ส่งผลให้บิดาตกใจ เลยเผลอไปกระตุกฟืมอย่างแรง ปลายฟืมกระแทกหน้าอกของนาง ทำให้นางเสียชีวิตในทันที และได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

                ดังนั้น การเจริญมรณานุสสติ หมั่นระลึกนึกถึงความตายบ่อยๆ จึงมีอานิสงส์มาก นึกถึงแล้วเราจะได้ไม่ประมาทในชีวิต จะได้ตั้งใจทำความดีสร้างบุญสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ถึงเวลาจะละโลก เราจะไม่เกิดความกลัว จะไม่หวาดหวั่นต่อมรณภัยที่กำลังเกิดขึ้น เหมือนบุคคลเห็นงูพิษขวางอยู่ข้างหน้าในที่ไกล ก็สามารถตั้งสติเอาไว้ได้ แล้วหาไม้เขี่ยให้พ้นออกจากทาง

 




Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2557 12:50:57 น.
Counter : 2049 Pageviews.

0 comments
Day..10 โฮมสเตย์ริมน้ำ
(11 เม.ย. 2567 08:25:45 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 28 : กะว่าก๋า
(5 เม.ย. 2567 04:10:07 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 27 : กะว่าก๋า
(4 เม.ย. 2567 05:11:37 น.)
การได้มาซึ่งธรรมะ ปัญญา Dh
(2 เม.ย. 2567 17:00:57 น.)

Mcayenne94.BlogGang.com

mcayenne94
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 36 คน [?]

บทความทั้งหมด