มองแคบ มองกว้าง ช่วงนี้เหมือนใช้กรรมอยู่ตัวหนึ่ง พอมันมาถึงตรงนี้แล้ว เมื่อคิดขึ้นมาได้ทีไร ก็รู้สึกว่า อะไรที่เป็นผลพวงของการทำมาในอดีต ก็ขอได้โปรดส่งผลให้มันเสร็จๆ แล้วก็คอยระวังการกระทำปัจจุบันเข้าไว้ ในอนาคตจะได้ค่อยสบายหน่อย อาจจะเป็นเพราะตอนนี้ยังรู้สึกว่ากำลังใจยังไหวอยู่ ก็นับว่ายังมีบุญที่ทำให้กรรมปราณี ไม่มาทับถมซับซ้อนเป็นคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า แต่มาตอนนี้ที่ยังไหว ยังยืนได้ ยิ้มได้กับเรื่องอื่นๆ จริงๆมันก็เป็นแค่เรื่องกวนใจไม่กี่เรื่อง ที่ก็มาตามธรรมชาติของมัน โอเค เราอาจจะมีปัญหาอย่างหนึ่งตอนนี้ ถ้าเราโฟกัสอยู่ที่ปัญหา เราก็จะเห็นแต่ปัญหา ถ้าเราเอาตัวออกมาข้างนอก เราจะเห็นมุมที่กว้างขึ้น เหมือนถ้าเราจ้องแต่มือเรา เราก็เห็นแต่มือ ถ้าเราจ้องไปทั้งแขน ขา ตัว เราก็เห็นตัวเราครบถ้วน ถ้าเรามัวแต่จ้องตัวเราครบถ้วน เราก็เห็นแต่ตัวเรา ถ้าเราไม่จ้องอะไรเลย ดูไปกว้างๆ เราก็จะเห็นทั้งตัวเรา มือเรา และใจเรา และ"เรา"...อะแฮ่ม... เรายังเห็นว่า เรายังอยู่ห้องงามๆ ที่ค่าไฟค่าน้ำค่าเช่า ไม่ต้องจ่ายสักแดง ไม่ต้องตื่นเช้ามืดทำงานหาเงิน มีเวลาทำงานในแบบที่พอใจ มีเงินอยู่ในธนาคาร มีสติเป็นระยะ มีอวัยวะครบสามสิบสอง มีไขมันส่วนเกิน แสดงถึงความที่ยังอยู่ดีกินดี ลิสต์ไปลิสต์มา ที่เป็นปัญหาอยู่มันก็เป็นเพียงเรื่องๆหนึ่งท่ามกลางเรื่องดีๆร้อยแปดเท่านั้น เคยอ่านหนังสือที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆของโลกเมื่อนานชาติมาแล้ว จนขนาดลืมชื่อคนเขียนไปแล้ว เพียงแต่จำได้ว่าเป็นคนดีมาก เขาเขียนถึงเรื่องปัญหา เรื่องความลำบาก นี่แหละ ปัญหาบางอย่าง ไม่ใช่ความลำบากนะ มันอาจจะเป็นแค่เพียงความไม่สะดวก ก็เท่านั้น ดังนั้น เราต้องแยกปัญหาให้ดี อันนี้เป็นปัญหาจริงที่ควรแก้ไข หรือเป็นปัญหาที่หลอกให้เราแก้ไข หรือเราไปหลอกตัวเองว่ามันเป็นปัญหา อาจจะพบได้ว่า บางอย่างในชีวิตที่เราถอนหายใจให้มันบ่อยๆเนี่ย นึกว่าเป็นปัญหาอยู่ตั้งนาน ที่แท้ตูหลอกตัวเองนี่หว่า คืนนี้เหมือนฟ้าร้องดังลั่นจนน่ากลัว ตกใจได้ยินความตึกตัก ไม่ใช่เพราะเสียงดัง แต่เป็นความเคลื่อนไหวของอวัยวะภายในตรงตำแหน่งที่บางคนใช้โชว์จตุคามรามเทพ ที่ทำให้ได้รับรู้เสียงตึกตักด้วยความคิดจากสัมผัสทางผิวหนัง ไม่ใช่ด้วยกระดูกทั่ง กระดูกโกลน ธรรมชาติแสดงให้เราเห็นเสมอเลยว่า เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่กายภาพบอบบาง สภาพทางธรรมชาติมักจะมีอะไรมากกว่าเราสองสามดีกรีเป็นอย่างต่ำ ทำให้เราต้องหาที่พักอาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค อาหาร เพื่อมาทำให้ตัวเรา literally ขึ้นมาสมดุลกับสภาพธรรมชาติปัจจุบันให้ได้ อากาศร้อน แดดแรงเกินทน จนคนต้องหลบเข้าไปอยู่ในห้องที่มีลมแอร์ ใส่หมวกกรองแดดจ้า อากาศหนาว หนาวเกินทน จนคนต้องหลบเข้าไปอยู่ในห้องที่มีฮีตเตอร์ ใส่เสื้อผ้าให้ความอบอุ่น ฝนตก กระหน่ำจนมองไม่เห็นอะไร จนคนต้องหาสิ่งก่อสร้างหรือสิ่งประดิษฐ์มาคุ้มกาย ลมพัด ฝุ่นกระจาย ต้องใส่เครื่องนุ่งห่มกันร่างกายคลุกฝุ่น ต้องอยู่ในห้องที่สะอาด คิดไปคิดมา จะมีสักเท่าไหร่กันที่เราอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งที่ช่วยให้เรารู้สึกสบายตัวขึ้น กลับมาที่ฟ้าร้องฟ้าผ่า ก็ยังรู้สึกว่าธรรมชาติปราณีที่ทำให้ฟ้าร้องฟ้าผ่าไม่น่ากลัวเกินไป เพราะอย่างน้อยเราก็เตรียมใจที่จะได้ยินเสียงของมันตั้งแต่ฝนเริ่มตั้งเค้าแล้ว ลองคิดดูว่าถ้าฟ้าผ่าเปรี้ยง ฟ้าร้องก้องดังราวกับฟ้าแยก เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ฟ้าใสๆก็เกิดเปรี้ยงปร้างขึ้นมาได้ โลกนี้ก็คงไม่น่าอยู่ขึ้นจมหู พูดถึงความกลัวฟ้าร้อง จริงๆเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเริ่มโตขึ้นมานี้เอง แม้จะไม่ได้มีมากมายนัก แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจ สมัยเด็กๆจนวัยรุ่นๆไม่เคยกลัวหรือตกใจกับเสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องเลย อาจจะชอบด้วยซ้ำ มันฟังดูทรงพลังดี เวลาฟ้าผ่าฟ้าร้อง ชอบไปเกาะหน้าต่างดูเส้นสายฟ้า ดูเพลินๆ ในขณะที่คนอื่นเขาตกอกตกใจกัน เลยไม่รู้ว่า จริงๆแล้ว ที่เกิดกลัวขึ้นมา เป็นเพราะอะไร เพราะเห็นคนอื่นกลัว แล้วมันฝังจิตสำนึกไปเรื่อยๆจนเริ่มกลัวตามหรือเปล่า ในขณะที่ตอนเราไม่ค่อยประสา เราก็จับหนวดแมลงสาบห้อยต่องแต่งเล่นเป็นงานอดิเรก พอโตมาอีกหน่อยกลับกลายเป็นกลัวจับจิตไปเป็นสิบปี ตอนนี้ความกลัวเริ่มคลายลง ไม่ขนาดเมื่อก่อนที่แค่เห็นศพแมลงสาบก็วิ่งป่าราบแล้ว ขนาดความกลัวที่ฝังแน่น กับความกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในจิตใจ อย่างแรกก็ยังคลายได้ อย่างหลังก็ยังเพาะเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาได้ แสดงให้เห็นได้ชัดว่า ไม่มีอะไรแน่นอน แม้ว่าหลายๆสิ่งกว่าจะแสดงอนิจจังของมันออกมา ก็ร่วมสิบปี ร้อยปี พันปี หมื่นปี ล้านปี ที่เราเห็นบางอย่างไม่เปลี่ยนแปลง อาจจะเป็นเพราะเราอายุสั้นเกินไปที่จะเห็น หรือเราใส่ใจมันน้อยไปที่จะเห็น ก็เป็นได้ |
บทความทั้งหมด
|