ใจป่าแห้ง กับใจป่าชายเลน เดินไปกลับสบายๆก็ใกล้เวลาถวายผ้ากฐิน กลับมาจากเดินนี่เหงื่อออกเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ไกลมาก สงสัยเป็นเพราะอากาศมันอบอ้าวมั้ง ก็เลยไปหาที่นั่ง ก็ได้นั่งตรงขอบๆหินเป็นเพื่อนกับมดดำอีกหลายแสนตัว แล้วก็นั่งดูนั่นดูนี่ไป สักพักก็รู้สึกว่า ที่เรารู้สึกอึดอัดวุ่นวายคนเยอะเนี่ย มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเลย อยู่ที่ตัวเองนี่แหละ จะทุกข์จะร้อนจะสุขจะเบ้ออะไร มันก็เราพยายามไปทึกทักเองทั้งนั้น เห็นเลยว่านั่งๆอยู่ก็ดันไปรำคาญคนที่อยู่ริมสุดไกลนู่นนน หรือไปหงุดหงิดกลุ่มชาวบ้านที่นั่งตรงข้ามที่คุยกันเสียงดัง ขัดใจกับพวกที่ยังไปที่ซุ้มโรงทานอยู่ทั้งๆที่พิธีจะเริ่มแล้ว นั่งพิจารณาความคิดไป เลยเห็นได้ว่า ใจเรานี่แหละที่เที่ยวไปยุ่งกับคนอื่น แต่ก็หลงคิดไปว่า ก็คนอื่นมันเป็นอย่างนี้อย่างนั้น คนอื่นมันทำอย่างนี้อย่างนั้นนี่นา โอ้ยคนเยอะน่ารำคาญ ทั้งๆที่เอาเข้าจริงๆแล้ว ไม่เห็นจะมีใครเข้ามายุ่งกะตูซะหน่อย โอเค คนอื่นพวกนั้นอาจจะทำอะไรไม่เข้าท่าจริงๆก็ได้ แล้วมันกงการอะไรที่เราจะเอามานั่งแบกให้อารมณ์มันตุๆล่ะเนี่ย คือ ก็ไม่ได้พูดไม่ได้คิดให้มันอุดมคติจ๋านะ อย่างเราก็คงไม่ได้หน้าชื่นบานได้ถ้ามีคนเข้ามาชี้หน้าด่าตรงๆ หรือแค่ขับปาดหน้ารถเราเราก็ฉุนแล้ว แต่ถ้าพิจารณาตรงไปตรงมาไม่เข้าข้างตัวเองหรือใคร มันก็จะเห็นจริงๆว่า มันอยู่ที่ใจตัวเองชะมัดเลยว่าจะทุกข์จะร้อนจะรนขนาดไหน สมมติมีคนสองคนเจอเหตุการณ์นึง คนที่หนึ่งโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ คนที่สองโดนอย่างเดียวกันแต่ก็เฉยๆ ถ้าเหตุการณ์นี้มันก่อให้เกิดความโมโหจริงๆ ทำไมมันถึงไม่ก่อกับคนที่สองล่ะ? แล้วถ้าคนที่หนึ่งจะบอกว่า ก็เพราะเหตุการณ์นี้แหละทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ เพราะคนนั้นคนนี้นั่นแหละทำให้ฉันต้องโมโห ที่กล่าวมานี้เป็นความเห็นที่ถูกต้องแล้วเหรอ? ถ้าเปรียบเทียบว่าเหตุการณ์เป็นไฟ ใจคนที่หนึ่งเป็นป่าแห้ง ใจคนที่สองเป็นชายเลน เพราะความแตกต่างของคุณภาพใจนี่แหละที่จะทำให้โมโหเกิดหรือไม่เกิด ทำให้โมโหเกิดนานหรือไม่นาน |
บทความทั้งหมด
|