ว่าด้วยการตีกรอบ เมื่อวานสิ่งที่ตั้งใจไว้ก็สำเร็จลงได้ นั่นก็คือถือศีลแปดวันจันทร์ถึงวันศุกร์ แม้จะมีเผลอๆพร้อยๆไปบ้าง ตามสถานการณ์ แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ ด้วยอาการปวดหลังเล็กๆ เพราะนอนพื้น มีแค่ yoga mat บางๆรองเท่านั้นเอง วันนี้ก็เลยเถิดศีลแปดไปอีกวันเป็นวันที่หก เพราะไม่มีใครกินข้าวเย็นด้วย 555 จริงๆเมื่อวานมองดาร์กช็อกโกแลตในตู้เย็น ก็นึกเล่นๆว่าก็ถือจนกว่าจะกินช็อกโกแลตหมดบาร์ไปเลย (เหลืออีกกว่าครึ่ง) แต่คิดว่า พอแล้วดีกว่า พรุ่งนี้ก็น่าจะกลับมาใช้ชีวิตปรกติได้แล้ว แบบว่าเราจะติดนิสัย ถ้าทำได้ครบวันแล้ว จะชอบทำต่อไปอีก ถือเป็น challenge อย่างช่วงกินเจ ก็มักจะกินเกินวันอยู่เรื่อยๆ ก็รู้สึกว่ายังทำได้ต่อไป ก็เลยทำ มื้อแรกที่มีเนื้อสัตว์หลังการกินเจ จึงเป็นอะไรที่รู้สึกแปลกๆเสมอ จะว่าไปสิ่งที่หนักหนาที่สุดสำหรับเราในการถือศีลแปดคือ ไม่กินอะไรหลังมื้อเที่ยง (ยกเว้นน้ำ และดาร์กช็อกโกแลต) เพราะจะอยากอาหารเย็นอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็หิวจริง บางครั้งก็แค่อยาก บ่อยครั้งมีคนเอานู่นนี่มาให้กินแล้วไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ส่วนเรื่องที่อยู่ออฟฟิศแล้วทุกๆเย็นเห็นคนอื่นเขากินข้าวกัน อันนี้เฉยๆ ส่วนข้ออื่นๆ เช่น ไม่แต่งหน้า ปรกติก็ไม่ได้แต่งอยู่แล้ว แค่ทากันแดดกะทาแป้งแคร์ไม่ให้ดูหน้ามันจากครีมกันแดดเท่านั้นเอง ไม่ดูมหรสพ ปรกติก็ไม่ได้ดูหนัง และไม่ดูทีวี ไม่มีเรื่องประเวณี โหย อันนี้ก็ไกลตัวมาก ไม่นอนที่นิ่มๆสูงๆ ก็นอนพื้น ก็ชักจะปวดหลังแต่ก็ไม่อะไรมาก ศีลห้านี่ก็ปรกติไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรให้ละเมิด ก็คือทำตัวปรกติมากๆ (แต่วันนี้แอบศีลด่างเพราะแกล้งแมว) ก็เลยจะว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษนักเพราะใช้ชีวิตใกล้เคียงชีวิตประจำวันปรกติอยู่แล้ว ก็ได้ แต่จะว่ามีอะไรพิเศษ ก็คงกรอบที่เติมมา พอมันมีกรอบ มันก็รู้สึกว่าโดนบังคับละ ทั้งๆที่บางอย่างก็ทำค่อนข้างปรกติ หรือต่างจากปรกติไปเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้สติมาได้เนืองๆอยู่เหมือนกัน ถ้าถามว่าถือศีลแปดไปทำไม เอางี้ก่อน เอาเป็นว่าเหตุผลเหล่านี้ ไม่ใช่เหตุผลในการถือศีลแปดของเรา 1. ให้ดูมีรัศมีผู้ปฏิบัติธรรม 2. ให้ดูเป็นคนดี 3. เพราะศรัทธา 4. เพราะเป็นชาวพุทธ 5. สะเดาะเคราะห์ แต่เหตุผลในการถือศีลแปดของเราคือ 1. ฝึกความอดทน 2. ฝึกแยกแยะระหว่างความจำเป็น กับความอยาก 3. ฝึกดูจิต 4. ฝึกถือเพื่อปล่อยวาง 5. ให้โอกาสตัวเองว่างจากการงานและการบันเทิงเสียบ้าง 6. ฝึกคิดก่อนทำ 7. ฝึกพัฒนาจิตใจ 8. กลับมามองตัวเองดู เราก็เฉยๆนะ ถ้าใครจะไม่ลองถือศีลแปดดู แต่เราว่ามันก็เป็น challenge ดีเหมือนกัน เราไม่รู้จริงๆหรอกว่าศีลแปดจะทำให้โชคชะตาดีขึ้นหรือเปล่า แต่มันก็ทำเหมือนการตั้งกรอบอะไรให้ตัวเองสักอย่าง เช่น จะกินผักให้ได้ทุกวันติดต่อกันหนึ่งเดือน อะไรงี้ คือพอมันไปถึงจุดหมาย มันไม่ใช่แค่ว่าการที่ได้กินผักทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนไง มันอยู่ที่เส้นทางเดินระหว่างนั้น ความคิดเราจะเปลี่ยนไป พลังใจเราจะเปลี่ยนไป มันมีความแตกต่างระหว่างการที่ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ กับการที่มุ่งมั่นจะทำให้ได้ (คนละแบบกับหัวดื้อนะ) มันจะเห็นได้ชัดเลยว่าพลังใจที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นมันต่างกัน แล้วพลังใจตอนที่ทำสำเร็จ กับตอนที่ยอมแพ้แต่ความขี้เกียจหรือความอยาก ก็ต่างกันมากๆ และเมื่อพลังใจเปลี่ยน แน่นอน ความคิดจะเปลี่ยน และเมื่อความคิดเปลี่ยน ชีวิตมันก็เปลี่ยน ปัญหาอย่างเดียวกัน คนพลังใจน้อย ก็ท้อง่าย พอท้อ ความคิดที่จะหยุด จะถอย ก็มีมาก ชีวิตที่เขาเลือก ก็คือการที่ทนอยู่กับปัญหานั้น เซ็งๆ เบื่อๆ แต่ก็ไม่มีกำลังใจจะแก้ให้มันหายไป คนพลังใจมาก ความมุ่งมั่นสูง ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง หรือก้าวไปข้างหน้า มันก็มีมาก ชีวิตที่เขาเลือก จึงเป็นการเผชิญปัญหา แก้ปัญหาให้ลุล่วงไป ถึงแก้ไม่ได้ อย่างน้อยครั้งหนึ่งเขาก็ได้พยายามแล้ว และเขาก็มักจะประสบความสำเร็จ ใช้ชีวิตอย่างคนที่แก้ปัญหา ไม่ใช่ทนอยู่กับปัญหาไปวันๆ เมื่อวานเข้าไปเดินเล่นในบอร์ดลานธรรม เจอคำถามนึง ถามว่า เมียไปทำกรรมอะไรมา จึงต้องมีผัวแบบเขา ผัวแบบที่วันๆเอาแต่เล่นเกม ไม่ช่วยการงาน อยากจะช่วย แต่ห้ามใจไม่ให้เล่นเกม ไม่ให้แชตไม่ได้ แน่นอนคนฟังคำถามนี่คงอยากจะด่าผู้ชายคนนี้ในใจ มันก็ตลกนะ เดี๋ยวนี้คำว่า ห้ามใจไม่ได้ มันกลายเป็นเหตุผลไปแล้ว เหตุผลที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เหตุผลเพื่อขอความเห็นใจ พยายามแสดงออกถึงความน่ารัก เค้าใจอ่อนนะ เค้าอ่อนไหว เค้าห้ามใจตัวเองไม่ได้ ในบางเคส เลยกลายเป็นเหตุผลที่ positive ไปซะงั้นด้วยซ้ำ ทั้งๆที่คนๆนั้นสมควรที่จะยันโครมตัวเองเอาซะมากๆ คนเดี๋ยวนี้พลังใจต่ำลงนะ ของยั่วความอยากก็มีอยู่มากมาย ก็ไม่น่าสงสัยอะไร แล้วคนเราก็ไม่ค่อยจะสนเรื่องการย้อนมาดูตัวสักเท่าไหร่ สำคัญเอาว่าทำอย่างไรถึงจะสนองความอยากจะผุดขึ้นมายุบยั่บนั้นได้มากกว่า จึงได้พากันวิ่งไขว่คว้าหาความอยากมาสนองความอยากที่จะสนองความอยากอีกตัว มันก็เลยพัลวันพันตูเช่นนี้ บางทีเราก็สนองความอยากไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าตัวเองเทคแอคชั่นสนองไปเรียบร้อยแล้ว ทริกในการทำให้ย้อนกลับมาดูตัวเอง มาดูจิตใจตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นศีลแปดก็ได้ จะเป็นมุขอะไรก็ได้ที่คิดค้นได้ขึ้นมา (อย่างถูกทาง) บางวันก็ตีกรอบให้ชีวิตเสียบ้าง ให้ตัวเราได้พักใจ หยุดคิดทบทวนนิดหนึ่ง แล้วจะเห็นได้ชัดว่า เราไม่ต้องวิ่งตามใจตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ ก็สามารถจะมีความสุขกับชีวิตได้แบบพอเพียง เราไม่ต้องไปเที่ยวหานิยามคำว่าพอเพียงจากหนังสือเล่มไหน ถ้าใจมันยังไม่พอเพียง วันๆเราก็จะเขวไปตามนิยามนั้นบ้าง นิยามนี้บ้าง ไม่มีวันจะเข้าใจจริงๆ บางคนคิดว่าการตีกรอบคือการทำให้ชีวิตขาดอิสระโดยไร้เหตุผล จะไปตีกรอบให้มันยุ่งยากทำไม ชีวิตก็อิสระที่จะเลือกอยู่แล้ว ชีวิตดีอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ได้ทำ เป็นเพราะว่า เขายังไม่เห็นว่า ตัวเขาเองไม่ได้อิสระจริงๆเสียหน่อย ตัวเขาเองยังเป็นทาสความอยากของตัวเองอยู่ วันนี้อยากกินอันนี้ ก็ต้องถ่อไปกินให้มีความสุขเปรมปรีดิ์ วันนั้นอยากกินอันนั้น แต่ถ่อไปไม่ได้ ต้องเก็บความอยากกระแด่วๆไว้กับตัว จนกว่าจะมีโอกาส ก็จะวิ่งไปกินสนองความอยากให้ได้อีก ถ้าชีวิตอิสระคือชีวิตที่ต้องวิ่งสนองความอยากตัวเองไปจนตาย ก็ไม่น่าจะนิยามว่านั่นคือชีวิตอิสระอย่างแท้จริง ลองดูสักวันก็ได้ ตีกรอบให้ตัวเอง อะไรสักเรื่อง เช่น ถ้าชอบเปิดทีวีดูทุกวัน ก็ไม่เปิดสักวัน แล้วถ้ากรอบมันทำให้ทำสิ่งที่อยากทำไม่ได้ ก็อย่าไปโกรธกรอบมัน ให้หันมาดูว่าแล้วทำไมตัวเองต้องอยากจนโกรธกรอบด้วย มาพิจารณาว่าที่อยากดูทีวีน่ะ มันจำเป็นขนาดไหน อยู่เงียบๆแบบไม่มีทีวีสักวัน ชีวิตมันยังดำเนินต่อไปได้หรือเปล่า แล้วที่เกิดอารมณ์หงุดหงิดอึดอัดขึ้นมา มันเกิดจากที่ชีวิตมันลำบากขึ้น หรือแค่ความอยากไม่ได้รับการสนองกันแน่ ถือว่าเป็นอะไรสนุกๆก็ได้ แบบที่ถ้าไม่ได้ตีกรอบ ก็จะไม่ได้มานั่งคิดหรือนั่งรู้สึกอย่างนี้ ตีกรอบเพื่อให้โอกาสพิเศษกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะพบว่า มีอะไรให้ค้นพบในชีวิตปรกติเยอะเลย |
บทความทั้งหมด
|