Into the wild กำกับ : Sean Penn โดย: หอมกร วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:34:09 น.
จากเมนท์ที่บลอกถามว่าหนังสือของสาวไกด์ ใช่เรื่องเด็กในกรงหรือปล่าว คิดว่าไม่ใช่ค่ะ ยังไงถามและยืมเจ้าตัวที่บลอกเธอนะคะ เราไม่ได้ยืมค่ะ ^^ โดย: อออ IP: 202.176.89.115 วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:34:47 น.
โดย: Ghoeby วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:9:04:54 น.
พอดีได้ทั้งดูหนังเรื่องนี้ แล้วก็อ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยค่ะ(Into The Wild by John Krakauer) คิดว่าตัวหนังเองก็ทำได้ดีในส่วนของหนัง แต่ว่าเนื้อเรื่องมันผิดเพี้ยนไปจากความเป็นเป็นที่เกิดขึ้นในหนังสือพอสมควร(ทั้งสาเหตุการตายก็ต่างกัน ถึงแม้ความในความเป็นจริงทางการจะยังไม่สามารถลงสาเหตุการตายที่แน่ชัดได้แต่ว่ามีแนวโน้มที่Chrisจะตายจากการกินเชื้อราที่อยู่ในเมล็ดพืช มากกว่าที่สับสนไปกินเมล็ดพืชมีพิษ และเนื่องจากร่างกายอ่อนแออยู่แล้วทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานอาการเชื้อราเป็นพิษได้ (เชื้อรานี้ทำให้ท้องเสีย อาเจียร ร่างกายขาดน้ำและขัดขวางระบบmetabolismในร่างกาย ทำไห้ร่างกายไม่สามารถดูดซับสารอาหารที่กินเข้าไปได้ ร่างกายก็จะขาดสารอาหาร ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจจะไม่ถึงตาย แต่ว่าคนที่อยู่ในสภาพแบบChrisนี่ก็โอกาสรอดยาก) )
ตัวของChris McCandlessนั้น จากในหนังสือจะเป็นคนที่Idealisticมาก คืออ่านหนังสือแล้วก็obsessedเพ้อฝันกับพวกหนังสือเข้าป่า นักขียนชาวAlaskanแล้วก็พวกหนังสือหนักๆของGogol, Jack London, Tolstoy ฯลฯ ซึ่งพอเราทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้นก็พอจะเห็นได้ชัดว่า เค้าเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังตามหาอะไรบางอย่าง โดยที่ตัวเค้าเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ปัจจัยเรื่องครอบครัวเป็นแค่สิ่งที่มากระตุ้นให้เค้าเตลิดหลังเรียนจบ(ช่วงเรียนหนังสือก็จะเป็นเด็กที่ชอบเข้าป่าอยู่แล้ว ติดนิสัยรักธรรมชาติจากคุณตา ทุกปิดเทอมก็จะขับรถหายเข้าป่าไปตั้งแค้มป์) มากกว่าที่จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เค้าหันหลังให้สังคม การที่เค้ารู้สึกว่าสังคมมนุษย์นั้นจอมปลอมน่าจะเป็นอิทธิพลจากหนังสือแนวปรัชญาทั้งหลายที่เค้าอ่านมาตั้งแต่เด็กมากที่สุด ทำว่าให้ตัวChrisจะเป็นคนที่แอนตี้ระบบทุนนิยมและวัตถุนิยม พอตอนหลังครอบครัวเริ่มหาเงินได้มากขึ้นเค้าเลยมองว่าการที่พ่อแม่เค้าเริ่มใช้เงินฟุ่มเฟือยขึ้นมันเป็นสิ่งที่น่าละอาย แล้วพอตอนหลังมารู้เรื่องว่าพ่อตัวเองมีชู้(เมียน้อยก็คือแม่ของเค้านั่นเอง ก่อนที่พ่อจะหย่าขาดกับเมียคนแรก แม้แต่ตอนที่Chrisเกิดแม่เค้าก็ยังเป็นเมียน้อยอยู่ )ก็เลยยิ่งหมดศรัทธาในตัวพ่อแม่ บันทึกการเดินทางของเค้าเอง แท้จริงก็ไม่ได้เขียนแบบประติดประต่อ เพราะเค้าเป็นคนที่ไม่ได้มีนิสัยรักการเขียนJournalแบบต่อเนื่อง(ยกเว้นตอนหลังที่เค้าไปcampอยู่ในรถบัส142ในป่าFairbanks / Alaska) แต่ว่าเรื่องราวของเค้าได้ถูกรวบรวมขึ้นโดยนักเขียนและนักปีนเขาที่เข้าออกFairbanksมามากกว่า 20 ครั้ง ชื่อJohn Krakauer และจากความเป็นจริง หลายๆอย่างที่เค้าทำลงไปเช่น การทิ้งรถ ทิ้งของ โดยมากก็เกิดขึ้นจากภาวะจำยอม (ยกตัวอย่าง ทิ้งรถเพราะว่าแอบขับรถเข้าไปในเขตReservoirแล้วตั้งcampที่นั่น พอเข้าช่วงน้ำหลากน้ำก็ท่วมรถ รถเลยสตาร์ทไม่ติด และก็ไม่มีความอดทนพอที่จะรอให้รถแห้ง พยายามจะสตาร์ทรถซ้ำๆจนสุดท้ายแบตฯหมด เลยจำใจต้องทิ้งรถไปเพราะว่าถ้าไปขอความช่วยเหลือจากrangerก็จะโดยจับข้อหาเข้ามาcampในเขตหวงห้าม แล้วรถของเค้าเองก็ทะเบียนขาดมานานแล้วด้วย.... อีกตัวอย่างคือ ทิ้งกล้องถ่ายรูป เพราะจริงๆแล้วดันลืมคิด เอากล้องไปฝังดินเพราะขี้เกียจแบกกล้องข้ามไปฝั่งแมกซิโก(อาจจะกลัวโดนปล้น)เลยเอาฝังดินไว้ในป่า แล้วพอขากลับมาก็มาขุดเอาคืน ปรากฏว่ากล้องมันก็เสียไปแล้ว เลยต้องทิ้ง(อันนี้Chrisเขียนบันทึกไว้ว่าโมโหตัวเองมากที่โง่ขนาดเอากล้องไปฝังดิน)) สิ่งที่เห็นชัดที่สุดที่ที่นำพาเค้าไปสู่ความตายก็คือ ความดื้อ และความมั่นใจในตัวเองเกินไป(Chrisเป็นคนหัวดี เรียนเก่ง ทำอะไรก็ดีไปหมดในโรงเรียน) และดูถูกธรรมชาติ เราคิดว่าถึงเค้าจะเป็นคนฉลาดแต่ว่าการไปใช้ชีวิตในback country(ป่า)นั้น ความฉลาดอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีประสบการณ์(ซึ่งเค้าไม่มี) และความรอบคอบ(ไม่มีอีกเช่นกัน) เลยต้องมาเสียชีวิต แล้วสาเหตุการเสียชีวิตก็มาจากความสะเพร่าของเค้าเกือบทั้งหมด อย่างแรกคือการข้ามแม่น้ำในต้นฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งหิมะ+น้ำแข็งเพิ่งเริ่มละลาย ไปอีกฝั่งของป่าเพื่อไปตั้งแค้มป์ โดยที่ลืมคิดไปว่าพอกลาง-ท้ายฤดูน้ำแข็งก็จะละลายมากขึ้น แม่น้ำตื้นๆก็จะกลายเป็นน้ำหลาก ทำให้ข้ามกลับไม่ได้ตอนที่เค้าจะข้ามกลับออกมา ทำให้ติดแหง่กอยู่ในป่า ส่วนอย่างอื่นก็คือ ความไม่ชำนาญในการล่าสัตว์ การเก็บของป่า การเก็บรักษาเนื้อสัตว์ไว้กินนานๆ สิ่งbasicพวกนี้Chrisจะไม่มีความรู้เลย เพราะมั่นใจว่าตัวเองเอาตัวรอดได้ และไม่เคยคิดหาความรู้ก่อนเข้าป่า ทำให้ช่วงหลังๆในการอยู่ป่าชีวิตของเค้าหมดไปกับการหมกมุ่นในการหาของกินประทังชีวิตไปวันๆ ไม่ได้สนใจธรรมชาติและความสวยงามของป่าเขาเลยและไม่ได้ใช้เวลาในการ คิด อย่างที่เค้าตั้งใจไว้ อยู่ไปเพียงเพื่อรอว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาเจอเค้าและพาเค้าออกไปจากป่า (ในช่วงสุดท้ายร่างกายเค้าอ่อนแอมากจนไม่สามารถเดินออกจากป่ามาเองได้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วถ้าเค้าเดินอ้อมแนวแม่น้ำเค้าจะออกไปเจอกับtrailที่ตรงไปสู่ทางhighway เพียงไม่กี่ไมล์ เพราะจริงๆแล้วรถบัสที่Chrisไปอาศัยอยู่นั้นไม่ได้อยู่ในป่าลึกอย่างที่เค้าเข้าใจ ห่างไปจากรถบัสร้างไม่เพียงถึง 10ไมล์ก็จะเป็นtrailและห่างไปอีกฝั่งประมาณ 16ไมล์ก็จะเป็นจุดที่ตั้งแคมป์ของนักท่องเที่ยว แต่ว่าปัญหาก็คือChrisไม่มีแผนที่นั่นเอง สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวการเดินทางของChrisคือ เราชื่นชมเค้าเรื่องนึงคือการที่เค้าทำความฝันของเค้าให้เป็นจริง คือได้ลงมือทำ ได้อออกเดินทาง ไม่ใช่แค่เพียงคิดฝัน ถึงแม้มันจะเป็นการเดินทางแบบลุ่มๆดอนๆ ทำผิดพลาดซ้ำๆ แต่จริงๆแล้วมันก็ยังดีกว่าคนที่ไม่เคยกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรที่ตัวเองอยากจะทำเลย ข้อคิดที่ได้อีกอย่างนึงคือ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเค้า หนังสือเล่มสุดท้ายที่เค้าอ่านคือBoris Pasternak ของ Doctor Shivago ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความสุขที่แท้จริงและการอยู่เพื่อคนอื่น ทำให้Chrisคิดได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตว่า แท้จริงแล้วความสุขที่เค้าตามหาอยู่นั่นไม่ไกลเลย คือการที่เค้าได้Sacrificeเพื่อคนรอบข้างนั่นเอง(ซึ่งผิดกับในช่วงแรกของชิวิตที่เค้าคิดแต่ว่าการที่เค้าจะมีความสุขได้คือต้องทำให้ตัวเองพอใจ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ หลีกหนีคนที่เค้าไม่ชอบไปให้ไกลๆ ไปอยู่คนเดียว) ในช่วงนี้Chrisคิดได้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เค้าคิดว่าเค้าพบเจอ ความสนุกและความสวยงามในการเดินทางของเค้า มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยหากเค้าไม่ได้มีคนที่จะมารับรู้ความสุขอันนี้ไปพร้อมๆกับเค้า สุดท้ายเค้าได้เขียนข้อความไฮไลท์ตัวหนาไว้ในบันทึกของเค้าว่า HAPPINESS IS REAL WHEN SHARED และเหมือนกับว่าตัวChrisเองนั้นพร้อมแล้วที่จะกลับออกไปใช้ชีวิตในสังคมมนุษย์แบบเดินทางสายกลาง แต่ว่าวันนั้นก็ไม่มีวันมาถึงเพราะกว่าจะคิดได้มันก็สายไปแล้ว แท้จริงแล้ว Chris J. McCandless ไม่ได้เป็นคนแรกและคนเดียวที่สังเวยชีวิตให้กับความคิดอุดมการณ์ในป่าFairbanks นะคะ ในหนังสือเล่มนี้มีเรื่องราวของคนหนุ่มสาวมากมายที่หลงใหลความคิดในอุดมคติจากการอ่านหนังสือเหล่านั้น เดินทางโบกรถไปFairbanksแล้วก็ไม่ได้กลับออกมา (มากกมายจนมีคนเคยพูดว่าการHitchhikeในAlaskaนั้นยากมาก เพราะคนแถวนั้นเบื่อหน่ายกับคนหนุ่มสาวที่มายืนโบกรถที่มีให้เห็นเป็นประจำวันละหลายๆคน จนชาวบ้านแถวนั้นที่ขับรถไปมาไม่อยากจะจอดรับใครขึ้นรถเลย) โดย: ลิลลี่(ิ_ิ) วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:56:11 น.
สวัสดีครับพี่ปรีดิ์
เคยอ่านเรื่องของนายคนนี้มาก่อนแล้ว ก็เพิ่งมาได้ยินว่ามีการสร้างหนังออกมา ยิ่งรู้ว่าเฮียเพนน์กำกับยิ่งน้ำลายหกอยากดู เด๋วไปฟอร์จูนจะไปสอยมาเพิ่มครับ โดย: jonykeano วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:00:07 น.
หนังสือเคยเห็นอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ว่าสำหรับหนังนั้นยังไม่เคย
พอมารู้ว่าทำเป็นหนังก็คิดว่าอยากดูมาเชียว ยิ่งได้อ่านรีวิวและก็ได้ อ่านเม้นท์ของคุณลิลลี่เพิ่มเติมด้วยก็น่าดูมาก ... แล้วจะหามาดูและอ่านด้วยนะคะว่าจะอินขนาดไหนน๊อ โดย: JewNid วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:06:26 น.
เรื่องนี้ไม่ได้ไปดุค่ะ สถานที่ไกลไปหน่อยไม่สะดวกค่ะ
โดย: สายของพิณ IP: 210.246.144.60 วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:24:34 น.
อ่านแล้วน่าสนใจมากๆ ค่ะ
ตอนนี้ติดคิวดูหนังที่น่าดูหลายเรื่องมั่กๆ โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:21:20 น.
+ ผมไปเม้นต์เรื่อง Mr.Holland's opus ให้แล้วนะขอรับ
+ เรื่อง Into the wild นี่เห็นมีเพื่อนเคยได้ดูแล้วก็บอกว่าชอบมากๆ เช่นกันครับ ส่วนผมยังไม่มีโอกาสชมอ่า + เคยดูสารคดีเรื่องหนึ่งของ ผกก.แวเนอร์ เฮอร์โซก ที่เค้าชมๆ กัน เป็นเรื่องของพระเอกที่เข้าป่าไปหาหมี เอ๊ย! ไปอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติเช่นกัน ชื่อ Grizzly man ... แต่เรื่องนั้นไม่ถูกจริตผมแฮะ มันคงดิบไปหน่อยมั้ง แล้วก็รู้สึกว่าทำไมพระเอกถึงได้มีความคิดพิสดารเยี่ยงนั้น (อาจคล้ายๆ กับ แมคเคลนเดสในเรื่องนี้ก็เป็นได้) พอไม่ค่อยเข้าใจพฤติกรรมของตัวเดินเรื่อง ก็เลยพาลไม่ค่อยชอบเท่าไหร่อ่ะครับ ... แต่กับเรื่องนี้ ผมว่าน่าจะถูกจริตผมแฮะ อย่างน้อยก็มีการปรุงแต่งให้เป็นหนังมากขึ้นหน่อยอ่า โดย: บลูยอชท์ วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:47:19 น.
คงเป็นเพาะว่าขับช้านั่นเอง และวงโคจรของคุณคงจะกว้างมาก เหมือนดาวหาง...ดีใจที่แวะเวียนยาเยี่ยมกันค่ะ อ่านหนังเรื่องนี้ตามที่เล่ามาก็ถูกชะตาค่ะ ชอบพระเอก.ชอบใบปิด....ใด้ใจเราดี อยากไปค้นหาตัวเองบ้าง... (บางทีอยากรู้ว่าตายแล้วไปไหน เราจะมีชีวิตอย่ซักกี่ปีดี..เราจะกำหนดอายุไขของเราดีมั๊ย!!!) แต่ไม่ชอบเข้าป่า..กลัว แค่อยู่เงียบๆคนเดียว(แบบเพลงพี่ Bird)ได้ป่าว!!! โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:35:09 น.
ดูแล้วรู้สึกอยาก "เดินทาง" ก็จริงครับ
แต่ตอนจบก็ยิ่งเข้าใจว่าโลกแห่งความจริงไม่เปิดโอกาสให้ "เดินทาง" ได้ง่ายๆ โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 13 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:07:51 น.
คุฯลิลลี่ตอบยังกับสร้างกระทู้
แต่ก็แจ่มมาครับ โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 13 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:14:57 น.
คนเราต้องเดินทางถึงจะค้นตัวเองได้พบเหรอ ? บางทีก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ยังติดอะไรหลายๆอย่าง ถ้าไปอยู่เงียบๆแล้วจะรู้สึกดีขึ้นแล้วจะพบคำตอบของชีวิตเหรอ ?
โดย: สร้อยสยาม IP: 203.172.117.45 วันที่: 29 พฤษภาคม 2552 เวลา:19:54:40 น.
ชอบ ครับหนังแนวนี้ หลายคนในครอบครัวของคนไทยโดนพ่อแม่ลิขิตให้เดิน แต่ก็ใช่หละสุภาิษิตไทย อาบน้ำร้อนมาก่อน ใกล้เคียง ดูหนังแล้วย้อนดุตัวเอง
โดย: สุรน้อย IP: 58.147.107.20 วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:8:26:34 น.
ู^
^ เฮ มาเม้นท์แล้ว เดี๋ยวส่งเรื่องต่อไปให้ดูนะครับพี่ โดย: คนขับช้า วันที่: 7 มิถุนายน 2552 เวลา:20:31:36 น.
สุดยอดจริงๆ อิอิ
เอาข้อคิดมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันเราดีกว่า โดย: คิดแต่ยังไม่ได้ลุก IP: 113.53.21.48 วันที่: 28 มีนาคม 2553 เวลา:20:56:55 น.
ตอนนี้ทางชมรมเอาเรื่องนี้มาฉายคะ
ขออนุญาตลิงค์แนะนำหนังจากเวปนี้นะคะ ขอบคุณคะ ^^ โดย: zessuru IP: 203.131.211.154 วันที่: 20 กรกฎาคม 2553 เวลา:14:07:00 น.
^
^ ฉายเมื่อไหร่ครับ ได้เลยครับ สำหรับ Link โดย: คนขับช้า IP: 222.123.231.167 วันที่: 21 กรกฎาคม 2553 เวลา:13:31:31 น.
|
บทความทั้งหมด
|
เดือนนี้เลยอยู่ในเมือง
เดือนหน้าก็จะไปป่าใหม่
ไปป่าแต่ละที่ก็จะไหนวิถีชีวิตที่ใส
และบริสุทธิ์
ล่าสุดไปถามกะเหรี่ยงที่ราชบุรีว่า
เป็นไงชีวิตในเมือง
กะเหรี่ยงตอบว่า
อยู่ไม่ไหวทุกอย่างต้องใช้เงินหมด
สูอยู่บ้านก็ไม่ได้
ไม่ต้องใช้เงินก็มีกิน
จบข่าวดื้อๆ แบบนี้แหละ หุหุหุ