Into the wild
เข้าป่าหาชีวิต


กำกับ : Sean Penn
นำแสดง : Emile Hirsch
ความยาว : ๑๔๘ นาที
ระดับความชอบ : ๙.๕/๑๐

จัดเป็นหนังทรงพลังแห่งปีเลยทีเดียว
ชอบลีลาในการแสดงของ Sean Penn มาแต่ไหนแต่ไร เป็นดาราที่ดูเรื่องไหนแล้วแสดงดีทุกเรื่องเลย ล่าสุดเห็นทำหน้าใสในหนังเรื่อง Milk จนได้รางวัลออสการ์ไปครอง
อีกหนึ่งบทบาทกับการเป็นผู้กำกับ เลยทำให้อยากดูฝีมือมาก

หนังเรื่องนี้ยาวมาก แต่ดูไม่เบื่อเลย ดนตรีประกอบเพราะมาก เข้ากับหนังได้ดี มีปรัชญา แง่คิด คำคมตลอดเรื่องเลย

น่าสนใจว่าทำไมพระเอกจึงเป็นอย่างนี้ ยอมเรียนจนจบ ก่อนที่จะออกเดินทาง ทิ้งครอบครัว พ่อแม่ และน้องสาว อย่างหน้าตาเฉย
เป็นเพราะพ่อแม่นั่นแหละที่เลี้ยงแบบบังคับ หลอกลวง ทำให้ลูกเสียความเชื่อถือ เลยหมดศรัทธาในสถาบันครอบครัว จึงคิดจะเข้าป่า เข้าสู่อ้อมกอดของธรรมชาติโดยถาวร จะว่าไปน่าจะเหมือนการตัดสินใจบวช แล้วออกเดินทางธุดงค์ เดินป่าหาความหมาย แต่การบวชยังมีกรอบให้คิด ให้ฝึก หากสำเร็จก็หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด เสียดายที่พระเอกไม่พบพุทธศาสนา ไม่งั้นมีสิทธิรุ่ง

แต่การเดินทางแบบไร้ตัวตนของพระเอกก็สร้างความประทับใจให้คนรักอิสระทั้งหลายได้ดีทีเดียวครับ จะมีหนังสักกี่เรื่องที่โหมไฟแห่งอิสรภาพได้มากถึงเพียงนี้ นี่เป็นหนึ่งในเรื่องประเภทนั้น ดูแล้วก็มาทบทวนว่า นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ความหมายในชีวิตของเราคืออะไร ทำไมต้องออกห่างจากธรรมชาติมากขึ้นทุกวัน ทั้งๆ ที่เราก็เกิดมาจากที่นั่น สุดท้ายเราก็ไปหามัน
ฉากพระเอกเดินมาถึงแม่น้ำที่ใหญ่และไหลเชี่ยวกราก ให้ความรู้สึกของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ดีเหลือเกินครับ อย่าลำพองกันนักเลยมนุษย์เอ๋ย

ฉากที่พบผู้คนก็ดีมาก ทุกคนรักพระเอกหมดเลย น่าสนใจ เขามีอะไรดีจึงทำให้ทุกคนรัก มีใจแน่วแน่ในจุดหมายเป็นข้อเด่นของเขา ความจริงใจที่มอบให้ผู้คนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คงเป็นอีกข้อที่มีให้เห็นในตัวพระเอก

การจดบันทึกเป็นนิสัยที่เขาทำเป็นประจำอีกข้อที่น่าทำตามเป็นอย่างยิ่ง ใครอยากเป็นอัจฉริยะ ให้จดบันทึกครับ

นิสัยรักการอ่านมีในตัวพระเอกมาโดยตลอดเช่นกัน เมื่ออ่านแล้วก็ทดลอง
แต่สุดท้ายด้วยความไม่รู้ก็ทำร้ายตัวเขาเอง แสดงว่ามีเรื่องราวอีกมากที่เราไม่รู้

ฉากเจอคุณลุงและยุให้เดินขึ้นเขา สุดยอดเลยครับ ดูดี มีความสุขมาก

หลายคำโดน ที่นึกได้คือการแบ่งปันประสบการณ์ (Share) ที่พระเอกเขียนไว้ว่าให้หมั่นทำ ด้วยวิธีการต่างๆ

ลงตัวครับหนังเรื่องนี้ เนื้อเรื่องดี เพลงเพราะ ดาราที่มาแสดงทำได้ดีทุกคน ไหลลื่น สุดยอดภาพยนตร์ที่ทุกคนต้องชม
โดยเฉพาะคนที่รักอิสระเป็นทุนเดิม ดูหนังเรื่องนี้อาจทำให้คุณลุกขึ้นคว้าเป้ประจำกาย ออกเดินทางอีกครั้งก็ได้
ก็ใน Wild มันมีอะไรให้น่าค้นหา และเป็นหนึ่งเดียวกับมัน (Into) ออกจะตายไป

เข้าไปในป่าแล้วค้นหาตัวเองกันครับ อย่าให้เสียโอกาสที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ยากมากนะครับที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ แถมได้เจอธรรมะของพระพุทธองค์ โชคดีเป็นสองเท่าเลย

สูดหายใจลึกๆ ลองเข้าป่าแล้วหาใจให้เจอ

ขอให้โชคดีครับ

Link ที่เกี่ยวข้อง : หนังในดวงใจ




Create Date : 12 พฤษภาคม 2552
Last Update : 8 กันยายน 2552 22:27:45 น.
Counter : 4063 Pageviews.

22 comments
  
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

สำหรัเราตอนนี้พักเรื่องเข้าป่าเพราะเดินที่แล้วอยู่ป่ามาตลอด อิอิอิ
เดือนนี้เลยอยู่ในเมือง
เดือนหน้าก็จะไปป่าใหม่
ไปป่าแต่ละที่ก็จะไหนวิถีชีวิตที่ใส
และบริสุทธิ์
ล่าสุดไปถามกะเหรี่ยงที่ราชบุรีว่า
เป็นไงชีวิตในเมือง
กะเหรี่ยงตอบว่า
อยู่ไม่ไหวทุกอย่างต้องใช้เงินหมด
สูอยู่บ้านก็ไม่ได้
ไม่ต้องใช้เงินก็มีกิน
จบข่าวดื้อๆ แบบนี้แหละ หุหุหุ
โดย: อุ้มสี วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:13:09 น.
  

Comment Hi5 Glitter


แวะมาทักทายกันในวันสีชมพูจ้า กลับมาประจำการแล้ว
ไปเวียนเทียนวันวิสาขบูชามา เอาบุญมาฝากคุณพ่อคนดีเด้อ

โดย: หอมกร วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:34:09 น.
  

จากเมนท์ที่บลอกถามว่าหนังสือของสาวไกด์ ใช่เรื่องเด็กในกรงหรือปล่าว
คิดว่าไม่ใช่ค่ะ ยังไงถามและยืมเจ้าตัวที่บลอกเธอนะคะ เราไม่ได้ยืมค่ะ ^^
โดย: อออ IP: 202.176.89.115 วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:34:47 น.
  
โดย: Ghoeby วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:9:04:54 น.
  
พอดีได้ทั้งดูหนังเรื่องนี้ แล้วก็อ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยค่ะ(Into The Wild by John Krakauer) คิดว่าตัวหนังเองก็ทำได้ดีในส่วนของหนัง แต่ว่าเนื้อเรื่องมันผิดเพี้ยนไปจากความเป็นเป็นที่เกิดขึ้นในหนังสือพอสมควร(ทั้งสาเหตุการตายก็ต่างกัน ถึงแม้ความในความเป็นจริงทางการจะยังไม่สามารถลงสาเหตุการตายที่แน่ชัดได้แต่ว่ามีแนวโน้มที่Chrisจะตายจากการกินเชื้อราที่อยู่ในเมล็ดพืช มากกว่าที่สับสนไปกินเมล็ดพืชมีพิษ และเนื่องจากร่างกายอ่อนแออยู่แล้วทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานอาการเชื้อราเป็นพิษได้ (เชื้อรานี้ทำให้ท้องเสีย อาเจียร ร่างกายขาดน้ำและขัดขวางระบบmetabolismในร่างกาย ทำไห้ร่างกายไม่สามารถดูดซับสารอาหารที่กินเข้าไปได้ ร่างกายก็จะขาดสารอาหาร ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจจะไม่ถึงตาย แต่ว่าคนที่อยู่ในสภาพแบบChrisนี่ก็โอกาสรอดยาก) )

ตัวของChris McCandlessนั้น จากในหนังสือจะเป็นคนที่Idealisticมาก คืออ่านหนังสือแล้วก็obsessedเพ้อฝันกับพวกหนังสือเข้าป่า นักขียนชาวAlaskanแล้วก็พวกหนังสือหนักๆของGogol, Jack London, Tolstoy ฯลฯ ซึ่งพอเราทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้นก็พอจะเห็นได้ชัดว่า เค้าเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังตามหาอะไรบางอย่าง โดยที่ตัวเค้าเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ปัจจัยเรื่องครอบครัวเป็นแค่สิ่งที่มากระตุ้นให้เค้าเตลิดหลังเรียนจบ(ช่วงเรียนหนังสือก็จะเป็นเด็กที่ชอบเข้าป่าอยู่แล้ว ติดนิสัยรักธรรมชาติจากคุณตา ทุกปิดเทอมก็จะขับรถหายเข้าป่าไปตั้งแค้มป์) มากกว่าที่จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เค้าหันหลังให้สังคม การที่เค้ารู้สึกว่าสังคมมนุษย์นั้นจอมปลอมน่าจะเป็นอิทธิพลจากหนังสือแนวปรัชญาทั้งหลายที่เค้าอ่านมาตั้งแต่เด็กมากที่สุด ทำว่าให้ตัวChrisจะเป็นคนที่แอนตี้ระบบทุนนิยมและวัตถุนิยม พอตอนหลังครอบครัวเริ่มหาเงินได้มากขึ้นเค้าเลยมองว่าการที่พ่อแม่เค้าเริ่มใช้เงินฟุ่มเฟือยขึ้นมันเป็นสิ่งที่น่าละอาย แล้วพอตอนหลังมารู้เรื่องว่าพ่อตัวเองมีชู้(เมียน้อยก็คือแม่ของเค้านั่นเอง ก่อนที่พ่อจะหย่าขาดกับเมียคนแรก แม้แต่ตอนที่Chrisเกิดแม่เค้าก็ยังเป็นเมียน้อยอยู่ )ก็เลยยิ่งหมดศรัทธาในตัวพ่อแม่


บันทึกการเดินทางของเค้าเอง แท้จริงก็ไม่ได้เขียนแบบประติดประต่อ เพราะเค้าเป็นคนที่ไม่ได้มีนิสัยรักการเขียนJournalแบบต่อเนื่อง(ยกเว้นตอนหลังที่เค้าไปcampอยู่ในรถบัส142ในป่าFairbanks / Alaska) แต่ว่าเรื่องราวของเค้าได้ถูกรวบรวมขึ้นโดยนักเขียนและนักปีนเขาที่เข้าออกFairbanksมามากกว่า 20 ครั้ง ชื่อJohn Krakauer และจากความเป็นจริง หลายๆอย่างที่เค้าทำลงไปเช่น การทิ้งรถ ทิ้งของ โดยมากก็เกิดขึ้นจากภาวะจำยอม (ยกตัวอย่าง ทิ้งรถเพราะว่าแอบขับรถเข้าไปในเขตReservoirแล้วตั้งcampที่นั่น พอเข้าช่วงน้ำหลากน้ำก็ท่วมรถ รถเลยสตาร์ทไม่ติด และก็ไม่มีความอดทนพอที่จะรอให้รถแห้ง พยายามจะสตาร์ทรถซ้ำๆจนสุดท้ายแบตฯหมด เลยจำใจต้องทิ้งรถไปเพราะว่าถ้าไปขอความช่วยเหลือจากrangerก็จะโดยจับข้อหาเข้ามาcampในเขตหวงห้าม แล้วรถของเค้าเองก็ทะเบียนขาดมานานแล้วด้วย.... อีกตัวอย่างคือ ทิ้งกล้องถ่ายรูป เพราะจริงๆแล้วดันลืมคิด เอากล้องไปฝังดินเพราะขี้เกียจแบกกล้องข้ามไปฝั่งแมกซิโก(อาจจะกลัวโดนปล้น)เลยเอาฝังดินไว้ในป่า แล้วพอขากลับมาก็มาขุดเอาคืน ปรากฏว่ากล้องมันก็เสียไปแล้ว เลยต้องทิ้ง(อันนี้Chrisเขียนบันทึกไว้ว่าโมโหตัวเองมากที่โง่ขนาดเอากล้องไปฝังดิน))

สิ่งที่เห็นชัดที่สุดที่ที่นำพาเค้าไปสู่ความตายก็คือ ความดื้อ และความมั่นใจในตัวเองเกินไป(Chrisเป็นคนหัวดี เรียนเก่ง ทำอะไรก็ดีไปหมดในโรงเรียน) และดูถูกธรรมชาติ เราคิดว่าถึงเค้าจะเป็นคนฉลาดแต่ว่าการไปใช้ชีวิตในback country(ป่า)นั้น ความฉลาดอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีประสบการณ์(ซึ่งเค้าไม่มี) และความรอบคอบ(ไม่มีอีกเช่นกัน) เลยต้องมาเสียชีวิต แล้วสาเหตุการเสียชีวิตก็มาจากความสะเพร่าของเค้าเกือบทั้งหมด

อย่างแรกคือการข้ามแม่น้ำในต้นฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งหิมะ+น้ำแข็งเพิ่งเริ่มละลาย ไปอีกฝั่งของป่าเพื่อไปตั้งแค้มป์ โดยที่ลืมคิดไปว่าพอกลาง-ท้ายฤดูน้ำแข็งก็จะละลายมากขึ้น แม่น้ำตื้นๆก็จะกลายเป็นน้ำหลาก ทำให้ข้ามกลับไม่ได้ตอนที่เค้าจะข้ามกลับออกมา ทำให้ติดแหง่กอยู่ในป่า

ส่วนอย่างอื่นก็คือ ความไม่ชำนาญในการล่าสัตว์ การเก็บของป่า การเก็บรักษาเนื้อสัตว์ไว้กินนานๆ สิ่งbasicพวกนี้Chrisจะไม่มีความรู้เลย เพราะมั่นใจว่าตัวเองเอาตัวรอดได้ และไม่เคยคิดหาความรู้ก่อนเข้าป่า ทำให้ช่วงหลังๆในการอยู่ป่าชีวิตของเค้าหมดไปกับการหมกมุ่นในการหาของกินประทังชีวิตไปวันๆ ไม่ได้สนใจธรรมชาติและความสวยงามของป่าเขาเลยและไม่ได้ใช้เวลาในการ “คิด” อย่างที่เค้าตั้งใจไว้ อยู่ไปเพียงเพื่อรอว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาเจอเค้าและพาเค้าออกไปจากป่า (ในช่วงสุดท้ายร่างกายเค้าอ่อนแอมากจนไม่สามารถเดินออกจากป่ามาเองได้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วถ้าเค้าเดินอ้อมแนวแม่น้ำเค้าจะออกไปเจอกับtrailที่ตรงไปสู่ทางhighway เพียงไม่กี่ไมล์ เพราะจริงๆแล้วรถบัสที่Chrisไปอาศัยอยู่นั้นไม่ได้อยู่ในป่าลึกอย่างที่เค้าเข้าใจ ห่างไปจากรถบัสร้างไม่เพียงถึง 10ไมล์ก็จะเป็นtrailและห่างไปอีกฝั่งประมาณ 16ไมล์ก็จะเป็นจุดที่ตั้งแคมป์ของนักท่องเที่ยว แต่ว่าปัญหาก็คือChrisไม่มีแผนที่นั่นเอง

สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวการเดินทางของChrisคือ เราชื่นชมเค้าเรื่องนึงคือการที่เค้าทำความฝันของเค้าให้เป็นจริง คือได้ลงมือทำ ได้อออกเดินทาง ไม่ใช่แค่เพียงคิดฝัน ถึงแม้มันจะเป็นการเดินทางแบบลุ่มๆดอนๆ ทำผิดพลาดซ้ำๆ แต่จริงๆแล้วมันก็ยังดีกว่าคนที่ไม่เคยกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรที่ตัวเองอยากจะทำเลย

ข้อคิดที่ได้อีกอย่างนึงคือ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเค้า หนังสือเล่มสุดท้ายที่เค้าอ่านคือBoris Pasternak ของ Doctor Shivago ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความสุขที่แท้จริงและการอยู่เพื่อคนอื่น ทำให้Chrisคิดได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตว่า แท้จริงแล้วความสุขที่เค้าตามหาอยู่นั่นไม่ไกลเลย คือการที่เค้าได้Sacrificeเพื่อคนรอบข้างนั่นเอง(ซึ่งผิดกับในช่วงแรกของชิวิตที่เค้าคิดแต่ว่าการที่เค้าจะมีความสุขได้คือต้องทำให้ตัวเองพอใจ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ หลีกหนีคนที่เค้าไม่ชอบไปให้ไกลๆ ไปอยู่คนเดียว) ในช่วงนี้Chrisคิดได้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เค้าคิดว่าเค้าพบเจอ ความสนุกและความสวยงามในการเดินทางของเค้า มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยหากเค้าไม่ได้มีคนที่จะมารับรู้ความสุขอันนี้ไปพร้อมๆกับเค้า สุดท้ายเค้าได้เขียนข้อความไฮไลท์ตัวหนาไว้ในบันทึกของเค้าว่า “HAPPINESS IS REAL WHEN SHARED” และเหมือนกับว่าตัวChrisเองนั้นพร้อมแล้วที่จะกลับออกไปใช้ชีวิตในสังคมมนุษย์แบบเดินทางสายกลาง แต่ว่าวันนั้นก็ไม่มีวันมาถึงเพราะกว่าจะคิดได้มันก็สายไปแล้ว




แท้จริงแล้ว Chris J. McCandless ไม่ได้เป็นคนแรกและคนเดียวที่สังเวยชีวิตให้กับความคิดอุดมการณ์ในป่าFairbanks นะคะ ในหนังสือเล่มนี้มีเรื่องราวของคนหนุ่มสาวมากมายที่หลงใหลความคิดในอุดมคติจากการอ่านหนังสือเหล่านั้น เดินทางโบกรถไปFairbanksแล้วก็ไม่ได้กลับออกมา (มากกมายจนมีคนเคยพูดว่าการHitchhikeในAlaskaนั้นยากมาก เพราะคนแถวนั้นเบื่อหน่ายกับคนหนุ่มสาวที่มายืนโบกรถที่มีให้เห็นเป็นประจำวันละหลายๆคน จนชาวบ้านแถวนั้นที่ขับรถไปมาไม่อยากจะจอดรับใครขึ้นรถเลย)



โดย: ลิลลี่(•ิ_•ิ) วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:56:11 น.
  
สวัสดีครับพี่ปรีดิ์

เคยอ่านเรื่องของนายคนนี้มาก่อนแล้ว ก็เพิ่งมาได้ยินว่ามีการสร้างหนังออกมา ยิ่งรู้ว่าเฮียเพนน์กำกับยิ่งน้ำลายหกอยากดู

เด๋วไปฟอร์จูนจะไปสอยมาเพิ่มครับ
โดย: jonykeano วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:00:07 น.
  
หนังเขาดีจิงๆ
โดย: komyooth วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:05:45 น.
  
หนังสือเคยเห็นอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ว่าสำหรับหนังนั้นยังไม่เคย
พอมารู้ว่าทำเป็นหนังก็คิดว่าอยากดูมาเชียว ยิ่งได้อ่านรีวิวและก็ได้
อ่านเม้นท์ของคุณลิลลี่เพิ่มเติมด้วยก็น่าดูมาก ...

แล้วจะหามาดูและอ่านด้วยนะคะว่าจะอินขนาดไหนน๊อ
โดย: JewNid วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:06:26 น.
  
เรื่องนี้ไม่ได้ไปดุค่ะ สถานที่ไกลไปหน่อยไม่สะดวกค่ะ
โดย: สายของพิณ IP: 210.246.144.60 วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:24:34 น.
  
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โดย: baareeraa วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:14:00 น.
  
อ่านแล้วน่าสนใจมากๆ ค่ะ

ตอนนี้ติดคิวดูหนังที่น่าดูหลายเรื่องมั่กๆ
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:21:20 น.
  
+ ผมไปเม้นต์เรื่อง Mr.Holland's opus ให้แล้วนะขอรับ

+ เรื่อง Into the wild นี่เห็นมีเพื่อนเคยได้ดูแล้วก็บอกว่าชอบมากๆ เช่นกันครับ ส่วนผมยังไม่มีโอกาสชมอ่า

+ เคยดูสารคดีเรื่องหนึ่งของ ผกก.แวเนอร์ เฮอร์โซก ที่เค้าชมๆ กัน เป็นเรื่องของพระเอกที่เข้าป่าไปหาหมี เอ๊ย! ไปอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติเช่นกัน ชื่อ Grizzly man ... แต่เรื่องนั้นไม่ถูกจริตผมแฮะ มันคงดิบไปหน่อยมั้ง แล้วก็รู้สึกว่าทำไมพระเอกถึงได้มีความคิดพิสดารเยี่ยงนั้น (อาจคล้ายๆ กับ แมคเคลนเดสในเรื่องนี้ก็เป็นได้) พอไม่ค่อยเข้าใจพฤติกรรมของตัวเดินเรื่อง ก็เลยพาลไม่ค่อยชอบเท่าไหร่อ่ะครับ ... แต่กับเรื่องนี้ ผมว่าน่าจะถูกจริตผมแฮะ อย่างน้อยก็มีการปรุงแต่งให้เป็นหนังมากขึ้นหน่อยอ่า
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:47:19 น.
  
หายไปนานจากบล็อค"เริงฤดีนะ" นะคะ
คงเป็นเพาะว่าขับช้านั่นเอง
และวงโคจรของคุณคงจะกว้างมาก
เหมือนดาวหาง...ดีใจที่แวะเวียนยาเยี่ยมกันค่ะ

อ่านหนังเรื่องนี้ตามที่เล่ามาก็ถูกชะตาค่ะ
ชอบพระเอก.ชอบใบปิด....ใด้ใจเราดี

อยากไปค้นหาตัวเองบ้าง...
(บางทีอยากรู้ว่าตายแล้วไปไหน
เราจะมีชีวิตอย่ซักกี่ปีดี..เราจะกำหนดอายุไขของเราดีมั๊ย!!!)
แต่ไม่ชอบเข้าป่า..กลัว
แค่อยู่เงียบๆคนเดียว(แบบเพลงพี่ Bird)ได้ป่าว!!!

โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:35:09 น.
  








โดย: Ghoeby วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:08:47 น.
  
ดูแล้วรู้สึกอยาก "เดินทาง" ก็จริงครับ
แต่ตอนจบก็ยิ่งเข้าใจว่าโลกแห่งความจริงไม่เปิดโอกาสให้ "เดินทาง" ได้ง่ายๆ
โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 13 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:07:51 น.
  
คุฯลิลลี่ตอบยังกับสร้างกระทู้

แต่ก็แจ่มมาครับ
โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 13 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:14:57 น.
  
คนเราต้องเดินทางถึงจะค้นตัวเองได้พบเหรอ ? บางทีก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ยังติดอะไรหลายๆอย่าง ถ้าไปอยู่เงียบๆแล้วจะรู้สึกดีขึ้นแล้วจะพบคำตอบของชีวิตเหรอ ?
โดย: สร้อยสยาม IP: 203.172.117.45 วันที่: 29 พฤษภาคม 2552 เวลา:19:54:40 น.
  
ชอบ ครับหนังแนวนี้ หลายคนในครอบครัวของคนไทยโดนพ่อแม่ลิขิตให้เดิน แต่ก็ใช่หละสุภาิษิตไทย อาบน้ำร้อนมาก่อน ใกล้เคียง ดูหนังแล้วย้อนดุตัวเอง
โดย: สุรน้อย IP: 58.147.107.20 วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:8:26:34 น.
  
ู^
^
เฮ มาเม้นท์แล้ว เดี๋ยวส่งเรื่องต่อไปให้ดูนะครับพี่
โดย: คนขับช้า วันที่: 7 มิถุนายน 2552 เวลา:20:31:36 น.
  
สุดยอดจริงๆ อิอิ
เอาข้อคิดมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันเราดีกว่า

โดย: คิดแต่ยังไม่ได้ลุก IP: 113.53.21.48 วันที่: 28 มีนาคม 2553 เวลา:20:56:55 น.
  
ตอนนี้ทางชมรมเอาเรื่องนี้มาฉายคะ

ขออนุญาตลิงค์แนะนำหนังจากเวปนี้นะคะ

ขอบคุณคะ ^^
โดย: zessuru IP: 203.131.211.154 วันที่: 20 กรกฎาคม 2553 เวลา:14:07:00 น.
  
^
^
ฉายเมื่อไหร่ครับ
ได้เลยครับ สำหรับ Link
โดย: คนขับช้า IP: 222.123.231.167 วันที่: 21 กรกฎาคม 2553 เวลา:13:31:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Amp-atom.BlogGang.com

คนขับช้า
Location :
นครศรีธรรมราช  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]

บทความทั้งหมด