ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
7 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

สัญญาจ้าวราชันย์ ผู้ชักใย (16)

วาณิชเดินเข้ามาคุกเข่าลงพร้อมกับยกมือขึ้นลูบไปบนใบหน้าเพื่อปิดดวงตาคู่นั้นลง เขาท่องบ่นอะไรบางอย่างก่อนที่จะยกมือทั้งสองของกล้าณรงค์ขึ้นมาวางประสานกันไว้บนหน้าอก

ในตอนนั้นเองที่วาณิชมองเห็นจี้แปลกๆ ที่กล้าณรงค์สวมใส่อยู่ รูปร่างของมันดึงดูดความสนใจของเขาในทันที 'หรือว่าจะเป็นสิ่งนั้น' ดวงตาของเขาเบิกโตขึ้นเล็กน้อย ชายคนนี้มีของที่คาดไม่ถึงติดตัวอยู่ด้วย น่าเสียดายที่เขาต้องมาจากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ จึงไม่อาจรู้ได้ว่า เขามีอดีตความเป็นมาอย่างไรกันแน่

วาณิชเอื้อมมือไปดึงจี้อันนั้นออกมา 'จะปล่อยมันทิ้งไว้แบบนี้ไม่ได้' พร้อมกันนั้นก็ได้หยิบดาบของเขาขึ้นมาด้วย

“ทำอะไรน่ะ”

ข้าวเขียวส่งเสียงโวยวายขึ้น เมื่อเห็นสิ่งที่เขาทำ

“ไม่ต้องโวยวายไป เก็บมันเอาไว้ให้เพื่อนของเธอด้วย”

เขาส่งจี้อันนั้นให้กับข้าวเขียว ที่ยื่นมือออกมารับไปอย่างงงๆ ก่อนจะส่งดาบเล่มนั้นให้กับรัตติกาล และในจังหวะนั้นเขาก็ฉวยโอกาสเหลือบไปมองมายา ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เอะใจอะไรเกี่ยวกับจี้อันนี้ 'ดีแล้ว ดูเหมือนเธอจะยังไม่เห็นมัน'

“เก็บดาบเล่มนี้ไว้ให้กับเขาด้วย...แต่เธออาจจะต้องใช้มันก่อนในคืนนี้”

รัตติกาลรับดาบเล่มนั้นมาถือเอาไว้ มันมีน้ำหนักมากกว่าที่เขาคาดมาก นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกนับถือกล้าณรงค์มากขึ้นไปอีกที่สามารถกวัดแกว่งมันได้อย่างรวดเร็ว และเนิ่นนานขนาดนั้น

เขาลองปรับตำแหน่งของมือโดยเลื่อนมาจับบริเวณปลายด้ามตามที่ได้เห็นกล้าณรงค์ทำ ก่อนที่จะทดลองกวัดแกว่งดาบดูอีกครั้ง ด้วยตำแหน่งการจับแบบนี้ทำให้แรงทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกไปยังปลายดาบได้อย่างไม่ติดขัด

วาณิชสำรวจดูวิธีการจับดาบของเด็กคนนี้อย่างสนใจ 'ถ้านี่เป็นการใช้ดาบเล่มนี้เป็นครั้งแรก เด็กนี่ก็สามารถเข้าใจในลักษณะเฉพาะของดาบเล่มนี้ได้อย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ' เขาไม่รู้ว่ามันเกิดจากการที่รัตติกาลนั้นพยายามจดจ่อ และจดจำทุกรายละเอียดจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงหน้านั่นเอง

“ไปกันได้แล้ว”

มายาส่งเสียงเร่งรัดพวกเขาอีกครั้ง

“เราจะทิ้งเขาเอาไว้แบบนี้หรือครับ”

รัตติกาลเอ่ยถามขึ้น พวกเด็กๆ ไม่มีใครยอมขยับตัวเลยแม้แต่คนเดียว

“นี่เป็นวิถีของนักรบ เมื่ออยู่ในยามสงคราม เราก็ต้องทำแบบนี้...”

วาณิชเป็นคนอธิบาย

“แต่ว่า...”

ข้าวเขียวยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่เขาก็นึกไม่ออก เมื่อก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน พวกเขายังคงมีความสุขดีอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ แต่เมื่อคนแปลกหน้าสองคนนี้ผ่านเข้ามา ก็คล้ายดั่งเป็นพายุใหญ่ที่พัดให้ชีวิตของพวกเขาต้องพังทลาย โลกแสนสวยงามที่เคยรู้จักถูกฉีกกระชากจนไม่มีชิ้นดี

“...ตรงหน้ายังมีศัตรูที่ร้ายกาจรออยู่ ตอนนี้ต้องช่วยกันฝ่าออกไปก่อน”

มายาพูดขึ้น ก่อนที่วาณิชจะพูดต่ออีกว่า

“...ถ้าไม่อยากให้การสละชีพของเขาเสียเปล่า ก็ต้องเก็บชีวิตเอาไว้ให้ได้”

รัตติกาล กับข้าวเขียวจึงยอมตัดใจเข้าไปช่วยกันแบกร่างของกล้าไพรขึ้นมาอีกครั้ง โคยคราวนี้พวกเขาต้องแบกร่างของเพื่อนขึ้นพาดบนบ่า ข้าวขวัญที่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ก็รีบเดินตามพวกเขาไปด้วย เธอยกมือขึ้นปาดเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าของเขา พร้อมกับใช้นิ้วมือปิดดวงตาของเขาลง แววตาที่ว่างเปล่าของเขาทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าเขาจะไม่มีวันได้กลับมาหาเธออีกเลย

วาณิชกลับมาเดินนำหน้าอีกครั้ง พายุหมุนเคลื่อนตรงเข้าหาผู้เคลื่อนไหวในยามค่ำคืนที่กำลังยืนส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่อย่างบ้าคลั่ง เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะรับมือกับสายลมที่รุนแรงนี้ได้อย่างไร และเขาก็ไม่ประมาทจนคิดเอาเองง่ายๆ ว่าขุนพลของเคออสจะพ่ายแพ้ง่ายดายเช่นนี้

#####

หลังจากที่พวกตัวประหลาดหายไปจากรอบๆ ลานกลางหมู่บ้านได้พักหนึ่ง เสียงร้องน่ากลัวก็ดังออกมาจากที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ผู้คนที่ร่วมชุมนุมกันอยู่ในที่นั้นพลันเงียบเสียงลงในทันที ขนที่หลังคอของทุกคนลุกตั้งชัน ความรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจแผ่กระจายขึ้นมาพร้อมๆ กัน หลังจากนั้นก็มีแต่เพียงความเงียบ และแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินที่ทุกคนสามารถร่วมรู้สึกได้

มีตัวอะไรบางอย่างอยู่ข้างนอกนั่น และมันต้องมีขนาดที่ใหญ่โตไม่น้อยเลยทีเดียว

#####

กลุ่มของเงาประหลาดที่ยืนรายล้อมอยู่ทางด้านหน้าเริ่มแตกกระจัดกระจายออกไปอีกครั้งเมื่อลมพายุที่พัดแรงเริ่มเคลื่อนไปข้างหน้า

“เหลือเวลาอีกเท่าไร”

มายากระซิบถามเบาๆ วาณิชหันมาส่งยิ้มให้เธอ มันเป็นรอยยิ้มที่เธอเรียกว่า 'ยิ้มซ่อนดาบ' รอยยิ้มของพ่อค้าที่พร้อมจะขูดรีดกำไรให้ได้มากที่สุด

“...มากพอละกัน”

มันเป็นคำตอบที่ฟังดูกำกวมทีเดียว ถึงแม้ว่าตัวเขาจะเป็นสายเลือดหลักที่สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากสี่ราชา แต่ก็คงไม่สามารถที่จะใช้พลังที่รุนแรงแบบนี้ได้เนิ่นนานนัก เธอจึงได้แต่หวังว่ามันจะอยู่ได้นานพออย่างที่เขาบอกจริงๆ

เด็กๆ ต่างพากันหันไปมองร่างของกล้าณรงค์ที่ถูกทอดทิ้งไว้ทางเบื้องหลัง ขอบด้านในของพายุหมุนค่อยๆ เคลื่อนใกล้ร่างของเขาเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างนั้นก็หลุดออกไปอยู่นอกอาณาเขตของพายุ แต่ก็ยังดีที่พวกเงาประหลาดข้างนอกนั่นดูเหมือนจะไม่ให้ความสนใจกับร่างของเขา พวกมันเอาแต่ไล่ติดตามพายุมาอย่างไม่ลดละ

ผู้เคลื่อนไหวในยามค่ำคืนส่งเสียงร้องออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนที่จะพุ่งตรงเข้าใส่พายุ วาณิชรู้สึกประหลาดใจกับการตัดสินใจของมัน 'ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไรก็ตาม ถ้าหากพุ่งเข้ามาตรงๆ แบบนี้ก็ต้องได้เจ็บตัวแน่ ไม่สมกับที่เป็นแม่ทัพใหญ่เลย'

เสียงประหลาดดังขึ้นเมื่อร่างของมันปะทะเข้ากับกำแพงพายุ แต่แรงลมกลับไม่อาจพัดร่างของมันให้กระเด็นออกไปได้ รัตติกาลมองเห็นดวงตาทั้งแปดดวงของมันจ้องเขม็งเข้ามาในพายุอย่างเคียดแค้น ลูกตาของมันค่อยๆ ขยายโตขึ้นทีละน้อย และในตอนนั้นเองมันก็งอกแขนที่เกิดจากเงาออกมาเพิ่มเป็นหกข้าง ซึ่งทั้งหมดกำลังช่วยกันแหวกฝ่ากำแพงลมเข้ามา

“...มันเป็นตัวอะไรกันแน่”

ข้าวเขียวพึมพำออกมาด้วยความหวาดกลัว 'ตาแปดดวง กับแขนหกข้าง ถ้ารวมขาเข้าไปด้วยก็เป็นแปด' ภาพของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งโผล่ขึ้นมาในความคิดของรัตติกาล เขาร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

“...แมงมุม...มันเป็นแมงมุม...”

มายาพลันนึกถึงชื่อมากมายของมันที่เธอเคยอ่านพบ ผู้เคลื่อนไหวในยามค่ำคืน ผู้เฝ้ารอในความมืด ผู้ซ่อนในเงา ผู้เชิดหุ่น ผู้กางกับดัก ผู้ชักใย ฯลฯ ที่จริงแล้วทั้งหมดนั่นต่างหมายถึงสิ่งเดียวกันและนั่นคือแมงมุมนั่นเอง

“มัน...ตัวมันกำลังโตขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

ข้าวเขียวร้องออกมาอย่างตกใจ แต่คนที่ตกใจยิ่งกว่าในตอนนี้คือวาณิช เขาไม่คิดเลยว่ามันจะสามารถหยุดพายุหมุนของเขาเอาไว้ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ตั้งแต่ที่เริ่มปะทะกันเขาก็ไม่สามารถรุกคืบหน้าต่อไปได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว นอกจากนั้นแรงผลักของมันก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

เงาประหลาดที่เคยรายล้อมอยู่รอบพายุพากันเคลื่อนตัวเข้าไปหาร่างของผู้ชักใย ก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ หลอมรวมร่างเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างของผู้ชักใยค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น และรูปร่างของมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปจนเหมือนกับแมงมุมในที่สุด มันใช้สองขาหลังยันพื้นเอาไว้ ส่วนขาที่เหลืออีกหกข้างต่างช่วยกันพยายามเจาะทะลุกำแพงลมเข้ามา

“เกิดอะไรขึ้น”

มายาส่งเสียงเรียบๆ ถามวาณิช เมื่อเธอเห็นเขาเริ่มก้าวถอยหลังแล้ว

“...ไม่ไหว พลังของมันมากเกินไป”

“ไม่เห็นเหมือนที่คุยไว้เลย”

วาณิชหันมาหาเธอ ชั่วพริบตานั้นก่อนที่จะได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มที่ถูกปั้นเอาไว้เป็นประจำ เธอทันได้เห็นอีกใบหน้าหนึ่งของเขา และนั่นทำให้เธอรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก

“คนเราก็ต้องรู้จักยืดหยุ่นกันบ้าง ถ้าสู้ไม่ไหวก็ต้องหนี”

รอยยิ้มที่คุ้นเคยกลับมาฉายอยู่บนใบหน้าของเขาอีกครั้ง แต่มายารู้สึกได้ว่ามันเป็นยิ้มที่สุดฝืน และแววตาของเขาก็ไม่ได้ยิ้มไปด้วยแม้แต่น้อย

เธอเงยหน้ามองดูร่างที่ใหญ่โตของแมงมุมยักษ์สีดำ ซึ่งกำลังยืนค้ำพวกเขาอยู่ ดวงตาสีแดงทั้งแปดดวงจ้องเขม็งตรงมาหาเธอ ข้างใต้นั้นเป็นปากขนาดใหญ่ที่ไม่มีเขี้ยวอย่างที่ควรจะเป็น คงมีเพียงความมืดแห่งความว่างเปล่าอันไร้ที่สุดเท่านั้น ส่วนที่ปลายขาทั้งแปดข้างของมันก็มีเล็บแหลมเหมือนเขี้ยวติดอยู่ หากถูกมันจับเอาไว้ได้คงไม่ต้องสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“คงหนีไม่ได้ง่ายๆ แน่”

“ตัวใหญ่แรงดี แต่มันก็น่าจะมีข้อเสียอยู่ด้วย”

มายาลดเสียงให้เบาลง เธอเข้าใจความคิดของเขาได้ในทันที

“...คิดจะทิ้งพวกเด็กๆ อย่างนั้นหรือ”

ทั้งสองต่างมองตากัน ในความคิดของวาณิชนั้น ขนาดตัวที่ใหญ่โตขึ้นของมันในตอนนี้ย่อมต้องทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงเป็นแน่ หากแยกย้ายกันหนีก็มีโอกาสที่จะทำให้รอดไปได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีฝีมือติดตัวอย่างเขา และอีกคนที่เขาต้องช่วยออกไปให้ได้ก็คือมายา เพราะเธอยังคงมีความสำคัญกับเขาอยู่

ขาข้างหนึ่งของแมงมุมยักษ์แทงทะลุผ่านกำแพงลมเข้ามาได้ แต่แรงหมุนของพายุยังคงแรงพอที่จะผลักดันมันให้กระเด็นกลับออกไป แมงมุมยักษ์ซวนเซเสียหลักไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกระแทกร่างใหญ่โตของมันเข้าใส่พายุ วาณิชรีบฉวยจังหวะนั้นถอยห่างออกมาจึงทำให้แรงปะทะลดลงไปมาก

ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจของพวกเด็กๆ วาณิชก็กระซิบเร่งรัดมายาอีกครั้ง

“รีบตัดสินใจเร็วเข้าเถอะ”

มายาพยายามนึกถึงสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น 'ถ้าแยกกันจริงมันต้องตามฉันกับวาณิชไปแน่ เด็กๆ คงจะปลอดภัย แต่...มันก็อาจจะไม่เป็นอย่างนั้น' เธอเหลียวมองเด็กๆ ทั้งสี่คน 'พวกเธอต้องเป็นสิ่งที่ฉันตามหาอยู่แน่ๆ ไม่อย่างนั้น มันก็คงจะไม่มาปรากฎตัวในหมู่บ้านชายแดนห่างไกลแบบนี้ ไม่แน่ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของมันอาจจะเป็นพวกเธอก็ได้' ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง หากแยกกันเมื่อไร ก็มีโอกาสที่มันจะหันไปหาพวกเด็กๆ โดยไม่สนใจพวกเธอเลย

ดูเหมือนว่ากำแพงพายุจะค่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันถูกโจมตีอย่างรุนแรงติดต่อกัน หรือเป็นเพราะพลังของวาณิชมาถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว พวกเด็กๆ ต่างขยับตัวเข้ามาใกล้กับผู้ใหญ่ทั้งสองเพื่อความปลอดภัย

“ยังมีไม้ตายอย่างอื่นอีกใช่ไหมครับ”

ข้าวเขียวถามขึ้นมาดื้อๆ โดยครั้งนี้เป้าหมายของเขาคือวาณิช ไม่ใช่มายา

“อ้อ...แน่นอน แต่ต้องรออีกนิดให้มันเหนื่อยมากกว่านี้อีกสักหน่อยน่ะ”

วาณิชปั้นรอยยิ้มตอบคำถามนั้น มายาได้แต่แอบถอนใจ 'เด็กพวกนี้ยังไม่รู้อะไรเลย พวกเขามองโลกในแง่ดีเกินไป...แต่จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ เพราะโลกที่พวกเขาเติบโตมานั้นมันเงียบสงบเกินไป' แล้วเธอก็ฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง 'ใช่แล้ว ไม้ตายสุดท้าย อาจถึงเวลาต้องใช้มันแล้วก็เป็นได้' เมื่อคิดได้ดังนั้น ความรู้สึกเชื่อมั่นของเธอก็ค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้ง

วาณิชหยุดยืนนิ่งมองดูสิ่งที่อยู่ในมือของมายาอย่างไม่เชื่อสายตา เขาไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นมันถึงสองครั้งภายในคืนเดียวแบบนี้ นี่คือสิ่งที่เธอเคยนำออกมาใช้ในตอนที่ต่อรองกับกล้าณรงค์ มันคือสิ่งที่ทำให้ทหารเก่าคนนั้นยินยอมทำตามความต้องการของเขาแต่โดยดี

กล่องใบขนาดย่อมที่มีตราสัญลักษณ์รูปสายลมอันเก่าแก่ประดับอยู่ตรงกลาง เครื่องหมายที่เหล่าทหารหาญแห่งอดีตมหาอาณาจักรวาตะ ทุกคนต่างจดจำได้เป็นอย่างดี แต่กับเหล่าบรรดาพ่อค้าใหญ่ทั้งหลายที่กำลังดูแลดินแดนแห่งนั้นอยู่ในเวลานี้ อาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยว่า ในโลกใบนี้จะมีของสิ่งนี้อยู่ด้วย 'สายลมแห่งราชา' คือชื่อที่ใช้เรียกหามัน

“นี่คือไม้ตายสุดท้ายของเขา”

“...กล่องเก่าๆ นี่หรือครับ ข้างในมันมีอะไรกันแน่”

ข้าวเขียวถามขึ้น เขาไม่ได้เอะใจสักนิดเลยว่านี่คือสิ่งที่เขาไม่ทันได้เห็นในตอนที่ยืนอยู่บนเวทีนั่นเอง

“...มันคือ...สุดยอดศาสตราวุธ”

วาณิชพึมพำออกมา พร้อมกับยื่นมือออกไปข้างหน้าอย่างลืมตัว 'ของสิ่งใดที่อยู่ในมือของนักมายากล ย่อมต้องตกเป็นสมบัติของนักมายากลผู้นั้น' ตอนนี้เขาได้รู้ความจริงแล้วว่า แม้แต่สิ่งที่อยู่ในมือของนักมายากลนั้น ก็ยังอาจจะถูกแย่งชิงไปได้เช่นกัน

ความเชื่อเก่าๆ นั้นบางครั้งก็ไม่ได้เป็นความจริงเสมอไป แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า ตัวเขาเองนั้นยังไม่อาจฉวยจังหวะเวลาที่มายาเผลอ หรือสามารถที่จะเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วแบบเด็กคนนั้นได้ สำหรับเขาแล้วคำพูดนั้นจึงยังคงถือว่าเป็นความจริงอยู่นั่นเอง

มายาจ้องหน้าเขานิ่ง ความทรงจำที่ดำมืดระหว่างทั้งสองต่างทยอยผุดขึ้นมาดุจดั่งระลอกคลื่นที่ถาโถมเข้าหาฝั่ง เธอพลันได้ข้อสรุปในเรื่องหนึ่งขึ้นมาในที่สุด 'ฉันเกลียดคุณเป็นที่สุด...นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นหน้ากัน และฉันต้องการให้มันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว'

“มาจบเรื่องของเราเสียที”

“...เธอว่าอะไรนะ”

วาณิชละสายตาจากกล่องใบนั้นกลับมายังใบหน้าของเธอที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม มายายกมือขึ้นช้าๆ พร้อมกับเปิดหมวกของเสื้อคลุมแห่งราตรีออก ใบหน้างดงามที่ดูอ่อนวัยของเธอทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง หากคะเนอายุจากใบหน้านี้ทุกคนต่างต้องคิดว่าเธอคงเป็นเพียงหญิงสาวที่อายุยังไม่เกินยี่สิบปีเป็นแน่

พวกเด็กๆ ต่างจ้องดูใบหน้านั้นอย่างตาไม่กระพริบ โดยเฉพาะข้าวเขียวที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นเลย แต่คนที่ต้องประหลาดใจที่สุดคงหนีไม่พ้นวาณิช เพราะตลอดการเดินทางอันยาวนานที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ แบบนี้มาก่อน แต่จากท่าทางการแสดงออกของเธอนั้นทำให้เขามั่นใจว่าเธอจะต้องมีอายุมากแล้ว ไม่มีเด็กสาวคนใดที่จะเป็นอย่างที่เธอเป็นได้ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าใบหน้านี้คงจะต้องมีลูกเล่นอะไรซ่อนอยู่แน่

“ฉันจะคืนสายลมแห่งราชาให้กับคุณ...”

เธอยิ้มกว้าง ใบหน้าของเธอในยามนี้ทำเอาพวกหนุ่มๆ ต่างพากันลืมเลือนผู้ชักใยที่กำลังยื้อยุดสุดกำลังกับพายุที่อยู่ตรงหน้าไปชั่วขณะ

“...โดยมีข้อแม้เพียงข้อเดียว”

สายเลือดพ่อค้าในกายของวาณิชเตือนให้เขารู้ในทันทีว่านี่อาจจะเป็นการค้าที่เขาต้องขาดทุนครั้งใหญ่ การค้าขายกับคนสวยนั้นไม่เคยทำกำไร และการค้าขายกับคนสวยที่ฉลาดนั้นอาจหมายถึงการขาดทุนไปชั่วชีวิต

ถึงแม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่นี่คือโอกาสที่เขาเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน โอกาสที่จะได้เป็นเจ้าของพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้ โอกาสที่จะได้รับรู้ถึงพลังแห่งสัญญาอันจริงแท้ ที่สี่ราชาได้เคยใช้เพื่อรวบรวมมหาอาณาจักรทั้งหมดเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน และนั่นคือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเขา

การรวมแผ่นดินทั้งหมดให้กลายเป็นหนึ่งอีกครั้ง โดยในครั้งนี้เขาจะเป็นจ้าวราชันย์เพียงผู้เดียวที่ยืนอยู่ในจุดที่สูงที่สุด ซึ่งแม้แต่เคออสเองก็ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของเขา




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2553
1 comments
Last Update : 7 มิถุนายน 2553 7:34:15 น.
Counter : 579 Pageviews.

 

รอตอนต่อไปเช่นเดิม

 

โดย: (ขพจ.) (บ้านที่ไม่มีอะไร ) 7 มิถุนายน 2553 19:19:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.