Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 30 คน [? ]
ข้าพเจ้าเป็นสุข และเชื่อว่าใครก็ตามซึ่งมีรสนิยมในการอ่านหนังสือดี ย่อมสามารถทนต่อความเงียบเหงาในทุกแห่งได้ -- วาทะของท่านมหาตมะ คานธี Book Archive by Group หมายเหตุ: โซน Romance และ การ์ตูน ยังไม่ทำเพราะมีน้อย
1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30 31
มีนา...ช้าชัก
30 มีนาคม 2551 งานยังอยู่ที่ 0% เช่นเดิม ดินพอกที่หางกองโตขึ้นเมื่อย่างเข้าอาทิตย์ใหม่ ...ซวยแน่ตู... วันนี้อุตส่าห์เป็นคนดี ไม่แวะร้าน 50% เอ๊ย..แวะสิ แต่เป็นร้านที่อยู่ระหว่างทางไปซื้อของกิน ไม่นับ เพราะไม่ได้อะไรมาด้วย อย่างไรก็ตาม ยังมีเพื่อนคนดีศรีประเสริฐโทรมาลิสต์รายชื่อที่เจอให้ยาวเหยียด เพราะเกรงใจเพื่อนที่แวะร้าน 50% จากสะพานควายไปอนุสาวรีย์ แล้วจะไปเดินงานหนังสือต่ออีก เลยเซย์โนกับหลายเรื่องที่น่าจะอยู่แค่ระดับอ่านเพลิน สรุป วันนี้ฝากซื้อ "นางทาส" กับ "แค้นสังหาร" แค่ 2 เรื่อง แอบเสียดายที่เพื่อนไปถึงร้านช้ากว่าลูกค้าคนหนึ่ง เพื่อนบอกว่าลูกค้าคนนี้ซื้อไปหลายถุงพลาสติก จขบ. แอบเพ้อว่าในนั้นอาจมีหนังสือเพิร์ลเรื่องอื่นแน่เลย (งานนี้ เพิร์ลออกแค้นสังหารกับลัทธิสังหาร แค้นฯ มา แสดงว่าลัทธิฯ ก็น่าจะมาด้วยรึเปล่า?) หรือไม่ก็อาจมีนิยายพิมพ์คำเรื่องอื่น หรือไม่ก็... หรือไม่ก็... สรุปอีกครั้งว่า..ถึงไม่ออกไปช้อป จขบ. ก็ได้เสียตังค์และเสียสติเช่นเดิมค่ะ --- เพื่อนถามว่า "เธอซื้อหนังสือมากกว่าฉันตั้งเยอะ ทำไมไม่อยากไปเดินงานหนังสือ? ทำไมไม่รีบเคลียร์งานไปเดิน" จขบ. เลยอธิบายไปว่า ถ้าได้ไปงานปุ๊บ สติและสมาธิในการทำงานจะลอยหายไปหลายวัน หลังจากเบิกพลังงานและเซลล์สมองมาทุ่มในวันแรกแล้ว พอกลับบ้านมา สมองก็จะประมวลผลโน่นนี่ต่อไป ขุดค้นข้อมูล และเกิดกิเลสมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามประสาคนอ่านโน่นอ่านนี่ไปเสียทุกอย่าง ใจร่ำร้องอยากไปงานอีก อยากไปงานอีก อยากไปงานอีก อุ๊ยลืมซื้อโน่น อ๊ะนี่ก็น่าสน ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย การไม่ย่างเท้าเข้างานเลยแบบนี้ ดีที่สุดแล้ว อาเมน ปล. ขณะที่เขียนนี้อยู่ในโหมด "เจียมตน" (แล้วมาดูกันว่าจะอยู่ในโหมดนี้ได้นานแค่ไหน 555) 28 มีนาคม 2551 ชาวบ้านเขาคุยกันว่าได้อะไรจากงานสัปดาห์ เราคุยว่าได้จากร้าน 50% ค่ะ (เพราะมัวแต่อ่านบล็อกกับเล่นเกม เลยงานไม่เดิน ไม่กล้าไปเดินงานหรอก) วันนี้เซ็งจัด นั่งรถเมล์จากร้านแถวบ้านต่อไปอนุสาวรีย์กับสยาม ได้หนังสือมา ดังนี้ - ณ ทีนี้มีเพียงเธอ ของคุณฬีฬา >> ตอนเห็น นึกไม่ออกว่ามีหรือยัง คือรู้ว่าตัวเองมีเล่มเดียวจบอยู่เรื่อง แต่จำชื่อไม่ได้อ่ะ เล่มนี้เป็นพล็อตข้ามมิติที่ชอบ เลยคิดว่า "ซื้อซ้ำดีกว่าไม่ได้ซื้อ" ... ปรากฎว่าซ้ำจริง ๆ ด้วย ฮ่วย - ผลาญโลกันตร์ ของเซาะงัง >> เรื่องล่าสุดของวิถีบูรพา แค่เรื่องนี้ก็คุ้มกับค่ารถเมล์ถ่อเข้าเมืองแล้ว เย้~ - อลังการ จาก อังคาร กัลยาณพงศ์ >> วันก่อนเพิ่งไปหยิบ ๆ จับ ๆ เล่มนี้ในร้านหนังสือ ในเล่มเป็นงานของท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ที่พิมพ์ตามต้นฉบับ เขียนเป็นอักษรประดิษฐ์เล่นหาง สังเกตได้ว่างานแต่ละช่วงจะลายมือต่างกัน บางหัวข้ออ่านแล้วเหมือนเป็นจิตรกรรมแขนงหนึ่งเลย (ลองไปเปิดดูเองแล้วจะเข้าใจ) แต่บางหัวข้อก็...อ่า ตวัดเกิน อ่านยากอ่ะ จขบ. เคยนึกๆ อยากได้งานของกวีท่านนี้อยู่ เคยซื้อ "กวีนิพนธ์" มาวันก่อน วันนี้ได้เล่มนี้มาในราคาครึ่งเดียวก็ปลื้มมาก เพราะบอกตามตรงว่าไม่ใช่นักอ่านกลอน แค่สนใจอยากอ่านพัฒนาตัวเองเท่านั้น จะให้จ่ายซ้ำซ้อนมากนักก็ไม่ไหวเหมือนกัน (เล่มนี้เป็นปกแข็งน่าเก็บกว่า "กวีนิพนธ์" และมีกลอนเพิ่มมาด้วย) - อย่าหลุดว่าฆ่า เรื่องสั้นญี่ปุ่นของเนชั่น เรื่องใหม่ด้วยนะเนี่ย - ไซฮั่น ตั้งฮั่น นิยายพงศาวดารจีนของสนพ. ศรีสยามปัญญา >> เป็นนิยายแบบเก่าที่สนใจอ่าน (ตอนว่างสุด ๆ สักอีกสิบปีหน้า..มั้ง) จะรอไปซื้อในอนาคตก็กลัวหายาก จะให้ซื้อตอนนี้ก็เสียดายตังค์ เมื่อเจอครึ่งราคาก็ตัดปัญหาได้ทันที เขาพิมพ์เป็นปกแข็งอย่างดี ข้างในมีภาพประกอบนิดนึง ตอนนี้เก็บนิยายแนวนี้ได้ 4 เรื่องแล้ว คือ ไซฮั่น-ตั้งฮั่น, ซิยิ่นกุ้ย, ซวยงัก (แม่ทัพงักฮุย), ซิตงซันกับซิกัง ... ที่บอกนี่ไม่ใช่อวด แต่เอาไว้ดูเองในวันหน้า เพราะมักลืมว่าดองอะไรไว้ เอิ้กๆ เห็น พระเจ้าในห้องสมุด กับ แฮร์รี่ 7 ปกแข็งภาษาไทยด้วย แต่มีแล้วเลยเฉย ๆ เห็น Series of Sion ของดร.ป็อป ด้วย แต่ขี้เกียจซื้ออ่ะ ไม่รู้มันจบหรือมีภาคต่อ เห็น ฮานาเล กับ ขนมจีนป้าทองดี ของกีรตี ชนาที่เอามาพิมพ์ใหม่ด้วย ไม่ได้ซื้อ (เล่มแรกเหมือนจะมีแล้ว เล่มหลังพล็อตถอดมาจากหนังฝรั่งเรื่องนึง ไม่รู้จะซื้อทำไม) ตอนนี้ ที่ร้าน 50% อนุสาวรีย์ มี the Last Supper (จำชื่อไทยไม่ได้อ่ะ), รหัสลับรัสปูติน กับ หนึ่งจันทร์กลางใจ หลายเล่มค่ะ ส่วนผลาญโลกันตร์นี่เหลืออีก 2 ชุด (แต่เดาว่าคงไปอย่างรวดเร็ว) ... บอกเผื่อมีคนสนใจ ถ้าข้อมูลไม่ผิดพลาด คิดว่าอีกหน่อยจะมีชุดไมลอน โบลิทาร์บางตอนเข้ามาด้วย ที่รู้เพราะวันก่อนไปซอกแซกเห็นตัวอย่างหนังสือที่เขาเอามาเสนอทางร้าน เป็นหนังสืออมรินทร์เพียบเลย การ์ตูนเด่นที่อ่านช่วงนี้: The Top Secret (บงกช) - ออกเล่ม 1 แล้ว ในเล่มมีสองตอน ตอนแรกเคยเป็นการ์ตูนท้ายเล่มในตูนเล่มเดียวจบของชิมิสึ เรย์โกะ อีกตอนมีให้โหลดในเน็ตนานแล้ว แต่ให้อ่านอีกกี่รอบ ก็โคตรทึ่งกับไอเดียคนวาดอยู่ดี รออ่านเล่มต่อไปด้วยใจระทึก (ว่าแต่..อีกเรื่องที่วิบูลย์กิจออกเล่ม 1 มาเป็นชาติแล้ว หายไปไหนฟะ?) Silver (บงกช) - สองเล่มจบภาค ความจริงเรื่องนี้เห็นบ่อยแต่ไม่เคยหยิบ วันก่อนซื้อมาอ่านแก้เซ็ง พบว่าเป็นเรื่องราวความรักระหว่างสาวน้อยกับหุ่นยนต์ (นึกถึงแนวหุ่นยนต์รักกับมนุษย์ของชิมิสึสมัยก่อนขึ้นมาทันที ถ้าวางพล็อตดี ๆ แนวนี้จะดราม่าโคตรๆ) เรื่องนี้ลายเส้นออดอ้อนน่ารัก พล็อตก็โอเคเลย เดินเรื่องเนิบ ๆ เขยิบความสัมพันธ์ไปทีละขั้นเป็นธรรมชาติดี ... ไว้จะไปหาว่าออกภาคต่อหรือยัง Paradise Star โดย Aya Oda - เรื่องรักสองเล่มจบของบงกช พล็อตเกี่ยวกับปีศาจชื่อเคโระที่จ้องจะดูดพลังชีวิตของทามะ หนุ่มพรหมจรรย์ที่กำลังลำบากเพราะหนี้ที่พ่อสร้างไว้ เลยต้องมาเป็นนักร้องคู่กับเคโระตามที่ปีศาจอีกตัวจัดฉากให้ ตอนแรกนึกว่าแนวกุ๊กกิ๊กธรรมดา ประเภทอ่านจบก็ขายได้ไม่เสียดาย ปรากฏว่า...กลิ่นวายหึ่งเชียว เริ่มเรื่องได้หวิววาย แต่จบง่ายไปหน่อย แน่นอนว่า..คอการ์ตูนคงรู้แล้วใช่ไหมว่ามี "เจ้าสาวซาตาน" รีปริ้นท์แบบไม่มีลิขสิทธิ์แล้ว? จขบ. ไปหาไม่เจอเล่ม 1 เสียที เลยยังไม่ได้ซื้อ "เพื่อนแบบนี้มีคนเดียวในโลก" ก็เห็นพิมพ์ใหม่แล้ว ..แต่ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าที่เคยอ่านมันแปลดีกว่านี้น่ะ??? 24 มีนาคม 2551 เมื่อวานซืน ไปเจอเพื่อนเพื่อเอาหนังสือที่ฝากซื้อ ตอนจะกลับ เพื่อนโทรถามน้องที่ร้าน 50% ว่าวันนี้มีอะไรเข้าไหม น้องคนขายบอกว่าเก็บนิยายแจ่มใสให้เล่มนึง เพื่อนก็ลั๊ลลา เตรียมจับรถไปที่ร้าน จขบ. ไม่อยากกลับมาทำงานเลยติดสอยห้อยตามไปด้วย พบกองหนังสือที่เห็นแต่ซื้อไม่ได้ ดังนี้ 365 วันแห่งรัก, ฝากรักไว้กับสายลม, ไนล์, เจ้าหัวใจทะเลทราย, สาปหัวใจ, เรื่องล่าสุดของ Zuo Jia, บ่วงพราน, เรื่องใหม่ของปริ๊นเซสที่เกี่ยวกับโจรสลัด กับเรื่องรักอีกสองเรื่อง, นิยายรักออกใหม่ของฟิสิกส์ที่จำชื่อไม่ได้แล้ว, แจ่มใสแบบสองคนแต่งหนึ่งเรื่อง, ฯลฯ (เรารู้ว่าต้องมีคนอ่านแล้วกรี๊ด ) พวกนี้คือหนังสือที่โดนพ่อค้าในย่านกลางเมืองเหมาไปขาย 30% (คนเดินร้านมือสองคงเดาได้ว่าละแวกไหน) ซึ่งระยะหลัง พ่อค้าคนนี้เหมาจากแถวบ้านจขบ. ไปหลายรอบแล้ว วันก่อนก็เอานิยายแปลออกใหม่ของอมรินทร์ไปเรียบ จขบ. ไปไม่ทันเหมือนกัน เรื่องรักที่ฮิต/ขายง่ายนี่เอาไปทุกอาทิตย์เลย จขบ. กำลังเริ่มเซ็งน้องร้านนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วล่ะ เพราะหลายเล่มเป็นเล่มที่สนใจอยู่ ถ้าประหยัดตรงนี้ไปได้ ก็จะเหลือเงินไปซื้อเล่มที่ไม่เจอครึ่งราคาได้ไง ระหว่างที่ชวนน้องเขาคุย เขาพูดว่า "อีกหน่อยพี่คงต้องไปซื้อ 30% แหละ เพราะเฮียเขาล็อกเรื่องที่จะเอาไว้เลย" (ตูก็ล็อกได้ ถ้าเอ็งยอมให้จดรายชื่อทิ้งไว้น่ะ) แล้วชุดที่เก็บไว้ให้เนี่ย ไม่ใช่ว่าเฮียเขาไม่เคยได้นะ เคยได้ไปรอบนึงแล้ว นี่เป็นรอบสองสามสี่ห้า ตังค์รอบนี้ก็ยังไม่จ่าย แต่น้องเขาไม่แบ่งขายให้ลูกค้าหน้าร้านซะงั้น ถ้าไปไม่ทันก็ยังเข้าใจ นี่ไปทันเจอหนังสือด้วย โคตรไม่เข้าใจนโยบายร้านนี้เลย สรุปว่าเขาไม่อยากให้คนแวะร้านบ่อย ๆ ใช่ไหมเนี่ย เซ็งงงงงง ทำไมตูต้องถ่อไปซื้อ 30% ถึงกลางเมืองฟะ ในเมื่อมันเข้าในร้าน 50% ใกล้บ้านแท้ ๆ ??? ... แบบนี้ ถ้าแอบโมโหร้านนี้เนี่ย ถือว่าเรางี่เง่าไปรึเปล่า?? ปล. นี่คือร้านเดียวกับที่วันก่อน บอกจะเก็บ "วีรบุรุษสยบมาร" ให้ แล้ววันต่อมา ขายให้คนอื่นไปเฉยเลย ปล2. บ่นไปงั้นเองแหละ ความจริงจขบ. ได้แจ่มใสมาเล่มนึงเหมือนกัน แต่ก็ยังเคือง ๆ (ทั้งเฮียคนซื้อและน้องคนขาย) เพราะถ้าขายแบบแฟร์ ๆ จขบ. ควรได้อย่างน้อย 5 เล่มในวันนั้น 20 มีนาคม 2551 - วันช้อป วันนี้ต้องเป็นพี่เลี้ยงหลาน เลยตามไปที่ห้างเพื่ออยู่กับหลานคนโต ระหว่างที่หลานรุ่นเล็กเข้าชั้นเรียนพิเศษ หลังจากนั้นก็ส่งหลานกลับกับพี่ ตัวเองอยู่ห้างเพื่อรอเจอเพื่อน นัดว่าจะเอาหนังสือไปให้เขา มีเวลาว่างราว 3-4 ชั่วโมง เลยเข้าไปดูตำนานสไปเดอร์วิค สนุกดี ทำเป็นหนังดีกว่าอ่านหนังสือ เข้าร้านมือสอง เจอหนังสือ "เขียน" ของพิมาน แจ่มจรัส เล่มนี้พูดถึงการเขียนงานทุกชนิด ตั้งแต่เรื่องสั้น นวนิยาย เนื้อเพลง บทละคร สารคดี กลอน การแปล ฯลฯ เนื้อหาออกจะละเอียดครอบคลุมไปหน่อยสำหรับคนไม่มีอาชีพด้านนี้ แต่ตัวอย่างอ่านสนุกและหลากหลายดี ราคาเต็ม 400 กว่าบาท แต่ลดครึ่งราคา ไม่ซื้อก็เสียดายแย่ ซื้อละกัน เข้าร้านหนังสือปกติ เจอหนังสือเกี่ยวกับเปิดกลโกงบริษัทยาข้ามชาติที่คุณป้าถามถึง ไม่รู้ใช่เล่มเดียวกันรึเปล่า แต่เล่มนี้อ่านแล้วให้ความรู้ดี (สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย) เหลืออยู่เล่มเดียว ซื้อละกัน เดินไปมุมนิทานพื้นบ้าน ตกตะลึงตึงตัง เมื่อเห็น "สามกรุง" ของน.ม.ส. ปกแข็งสภาพดีไม่มีฉีกขาด ราคา 100 บาท อะชิ๊งงงง จขบ. เพิ่งได้หนังสือถกเรื่องสามกรุงของคุณศุกร บุนนาคมาจากร้าน 50% เมื่อปีก่อน ยังนึกอยู่เลยว่าจะอ่านยังไงดีเพราะไม่มีตัวนิยาย ท่าทางจะไม่มีขายแล้วด้วย คงอดแน่ ... ฟ้าเบื้องบนยังปราณี ส่งสามกรุงลอยเข้ามือมาจนได้ (ขอบคุณค่ะพระเจ้า ถ้ายังไง ขอ "กนกนคร" เป็นคิวต่อไปเลยนะคะ จุ๊บๆ) "สามกรุง" เป็นงานลูกผสมที่มีทั้งกาพย์ โคลง ร่าย ฯลฯ (ท่านผู้ประพันธ์ทรงเบื่อการเขียนลักษณะเดียว จึงเปลี่ยนไปมาตามอารมณ์) เล่าถึงช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ดังนั้น จะเรียกว่าเป็นนิยายพงศาวดารก็ได้ เพราะตัวละครในนิยายเป็นบุคคลมีตัวตนจริงทั้งนั้น มีพระศรีสนมเท่านั้นที่เป็นตัวละครแต่งขึ้น จากการเปิด "เขียน" และ "สามกรุง" อ่านคร่าว ๆ ได้ข้อคิดดังนี้: - งานประพันธ์ประเภทที่แต่งแบบปีนบันไดให้คนมีบันไดอ่านนั้น พอเวลาผ่านไป คนรุ่นหลังจะอ่านไม่เข้าใจ (เพราะเลิกใช้บันไดแล้ว) หรือผู้รู้ในยุคหลังอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนทำให้ตีความผิดเพี้ยนไปก็ได้ ผู้ประพันธ์จึงน่าจะเขียนอธิบายงานตัวเองไว้ด้วย แม้ว่าการทำแบบนั้นจะเหมือนการประกาศว่า "ฉันเขียนไม่ดี คนไม่เข้าใจ เลยต้องอธิบายกำกับไว้อีกรอบ" - ใน "เขียน" บอกว่า งานเขียนที่ดีต้องสื่อความถึงผู้อ่านได้กระจ่างแจ้งทันที อ่านปุ๊บเข้าใจปั๊บและอยากอ่านต่อไป ไม่รู้สึกว่าฝืนอ่าน ยิ่งเขียนสั้น ๆ แต่ได้ความมากยิ่งดี อย่าใช้สำนวนอวดความรู้ รกรุงรังหรือสวยมากเกินไปจนคนอ่านอึดอัด พาลให้รู้สึกเหมือนโดนหลอกให้นั่งอ่านสำนวนมากกว่าโดนจับลากไปตามเนื้อเรื่อง (สรุปคือควรเน้น "การเล่าเรื่อง" มากกว่า "สำนวน") ตัวอย่างการอ่านที่แว่บขึ้นมา (ทั้งที่ตรง-ไม่ตรงกับข้อคิดข้างบน): - นึกถึง Eco Umberto ขึ้นมานิดหน่อย เคยมีคนให้ความเป็นว่าป๋าอุมแกเขียนแบบต้องปีนกะไดอ่าน ใครภูมิไม่ถึงอย่าหวังอ่านงานแกให้ยาก - จขบ. เองก็เคยทำหน้าเซ็งในใจเวลาเจองานกลอนที่ "อ่านยากชะมัด" บางทีอ่านไปนิดนึงก็เลิกเพราะอ่านไม่ทันใจ มัวแต่แกะศัพท์ เนื้อเรื่องไปไม่ถึงไหนเสียที แบบนี้มั้งที่เรียกว่าติดอยู่กับสำนวนจนไม่ติดเนื้อเรื่อง - เพราะงี้หรือเปล่า นิยายกำลังภายในฝีมือคนไทยแต่งในยุคหลัง ถึงได้สำนวนและพล็อต "วัยรุ่น" นัก? - จากที่คนชื่นชมกัน คนแต่งเรื่อง "ไหม" คงเป็นตัวอย่างอันดีของการใช้คำน้อยนิดสื่อความมากมาย?? ... ไม่มีข้อสรุปค่ะ แค่คิดไปเรื่อยเปื่อย จากการอ่านโน่นนิดนี่หน่อยไปเปะปะ 17 มีนาคม 2551 ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดกล่องการ์ตูนปริศนาเมื่อสองสามเดือนก่อน (ที่โดนคนงานยุบกล่องโทรม ๆ 3 กล่องเหลือกล่องเดียว แล้วจขบ. ขี้เกียจแกะมาเช็ดมาจัดการ) ผิดหวังเล็กน้อย มีการ์ตูนชุดแค่ "เลดี้เลิฟ" กับ "ข้านี่แหละนักสู้" (ชื่อประมาณนี้ จำชื่อเป๊ะ ๆ ไม่ได้) ที่เหลือเป็นการ์ตูนเล่มเดียวจบทั้งกล่อง มีนิยายรักนักศึกษาอีกสิบกว่าเล่ม << ไม่ใช่ของจขบ. ด้วย เพราะสมัยก่อนไม่ชอบอ่านพวกนี้ สงสัยเป็นของพี่หรือน้องชายแหงเลย เดี๋ยววันหลังค่อยไปเช็ดและเปิดอ่านเล่น ตอนนี้แยกมากองไว้เฉย ๆ ตอนเปิดกล่อง เกือบกรี๊ด เพราะคนงานเอาเทปกาวใส (แบบหน้ากว้างที่เขาแปะก้นกล่องน่ะ) มาแปะที่ปกการ์ตูนชั้นบนสุด ในกล่องวางการ์ตูนกองได้ประมาณ 6 คู่ คนงานก็แปะหกเส้น ตูจะบ้าตาย แปะไปทำแป๊ะฟร่ะ? เลดี้เลิฟเล่ม 1 เลยมีตำหนิที่ปกหลังไปแล้ว ตอนดึงเทปกาว กระดาษมันขาดน่ะ T__T คู่อื่นแกะได้ ขาดติ๊ดเดียว แต่ดันมาขาดเยอะเล่มนี้เสียนี่ อย่างไรก็ตาม เพราะเอาเวลาที่ควรเข้านอน (เช้าถึงบ่าย) มาเช็ดและแยกการ์ตูน เลยไมเกรนขึ้นเลย เซ็งๆๆๆ พวกตูนเล่มเดียวจบนี่ไม่รู้จะเก็บไงแฮะ จะมาใส่ถุงพลาสติกทีละเล่มก็...เปลืองง่ะ เสียเวลาแปะเทปด้วย ห่อถุงนึงหลายเล่มก็ไม่ได้เพราะนาน ๆ เข้า ปกมันจะติดกัน (วันนี้ได้ข้อพิสูจน์แล้ว จากการ์ตูนที่เคยใส่สองเล่มในถุงเดียว) วันนี้ไปเมียงมองกองตูนเก่าที่ใส่ถุงพลาสติกขุ่นใบใหญ่ตั้งไว้เฉย ๆ แล้วก็เสียวไส้ มันไม่ใช่วิธีและสถานที่เก็บเลยนะ เฮ้อ จริง ๆ ถ้าไว้ใจคนงาน เรียกเขาเอาตูนใส่ถุงทีละเล่มก็ได้ ...แต่ไม่ไว้ใจอ่ะ 10 มีนาคม 2551 Movie >> วันก่อนนั่งกินข้าวไป อ่านแฮร์รี่ไปสลับกับดูหนังไปพร้อมกัน สักพักนึง เอ๊ะ หนังเรื่องนี้สนุก เลยนั่งดูเป็นเรื่องเป็นราวข้ามกรอบนี้ไปได้เลย เขียนไว้อ่านเล่นทีหลัง The Lost Room เป็นมินิซีรี่ส์ธีมพ่อตามหาลูกสาว เนื้อเรื่องไซไฟพัวพันอยู่กับ 'วัตถุ' ต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติพิเศษต่างกัน เช่น ปากกาเป็นอาวุธได้ นาฬิกาใช้ต้มไข่ได้ หวีหยุดเวลา แว่นตาหยุดการเผาไหม้ กระติกน้ำขโมยลมหายใจ กรรไกรที่หมุนสิ่งต่าง ๆ กุญแจที่ไขเข้าห้องลึกลับเพื่อไปโผล่ที่ไหนก็ได้ ฯลฯ วัตถุเมื่อนำใช้ร่วมกับวัตถุจะมีคุณสมบัติพิเศษอีกด้วย วัตถุเหล่านี้กระจัดกระจายไปทั่วตั้งแต่ปี 1961 มีกลุ่มผู้คลั่งไคล้ตามล่าหาวัตถุกันมากมาย โดยมีสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือพวกภาคี กับพวกกองกำลัง โจ มิลเลอร์เป็นนักสืบกรมตำรวจที่เผอิญได้ครอบครองกุญแจห้องเบอร์ 10 (กุญแจนี้จะไขเข้าห้องโมเต็ลที่เป็นเหมือนมิติเร้น ใครก็เข้ามาไม่ได้ แต่คนในห้องเปิดประตูออกไปที่ไหนก็ได้) ทำให้โดนตามล่าเพื่อแย่งกุญแจ ลูกสาวของเขา..แอนนา..ถูกจับตัวไป และระหว่างที่โจกับคนร้ายต่อสู้กันอยู่นั้น เธอเดินเข้าไปในห้องที่ว่านี้ ประตูปิด มิติถูกรีเซ็ต เมื่อโจเปิดประตูอีกครั้ง แอนนาก็หายไปแล้ว โจจึงเริ่มเดินทางตามหาเบาะแสเกี่ยวกับวัตถุที่อาจนำตัวแอนนากลับคืนมาได้ เขาได้พบผู้ครอบครองวัตถุอีกหลายคน มีทั้งมิตรและศัตรูที่ช่วยเหลือบ้าง หักหลังบ้าง (ช่วงที่วัตถุกับเรื่องราวของผู้ครอบครองค่อย ๆ เผยมาเนี่ย ดูแล้วลุ้นดี) แรกสุด โจเค้นข้อมูลจากวีเซิล (คนที่จับแอนนาไปตอนแรก) วีเซิลเล่าถึงทฤษฎี 'วัตถุหลัก' ที่สามารถควบคุมวัตถุอื่น นั่นคือ ถ้าใช้กุญแจกับนาฬิกา (ซึ่งวีเซิลคิดว่าเป็นวัตถุหลัก) โจก็น่าจะพาแอนนากลับมาได้ ทั้งคู่บุกเข้าบ้านของครอยซ์เฟลด์..เศรษฐีผู้ใช้เงินกว้านซื้อวัตถุไว้หลายชิ้น และขโมยนาฬิกามาได้ แต่นาฬิกากลับไม่ใช่วัตถุหลัก ครอยซ์เฟลด์จับโจได้ โจเล่าเหตุผลที่เขาต้องการกุญแจ และนำนาฬิกามาคืน ครอยซ์เฟลด์เลยปล่อยเขา และเสนอให้ร่วมมือกันหาวัตถุหลักด้วยกัน ครอยซ์เฟลด์บอกให้โจไปสืบหาบาร์บาร่า สตริทช์กี...นักสะสมในยุคแรก โจไปขอข้อมูลจากเจนนิเฟอร์...สาวสวยจากกองกำลัง เจนนิเฟอร์เตือนไม่ให้เขาเชื่อใจครอยซ์เฟลด์ และพาเขาไปมิชิแกน เพื่อหาตัวแฮโรลด์ สตริทช์กี (หลานชายของบาร์บาร่า) ผู้ครอบครองหวีหยุดเวลา โจผูกมิตรกับแฮโรลด์ได้เพราะไม่พยายามแย่งหวีจากเขา แฮโรลด์นึกได้ว่าป้าทิ้งของไว้ให้อีกอย่าง และพาโจไปเอาของในป่า สิ่งนั้นคือภาพถ่ายโพลารอยด์ที่ดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร เจนนิเฟอร์ตามมาทวงหวี คนของภาคีสะกดรอยตามเธอมาและลงมือโจมตี โจใช้หวีจัดการคนร้าย แฮโรลด์ปลงตกและยอมยกหวีให้โจ โจยกหวีให้เจนนิเฟอร์ไปมอบให้กองกำลัง ภาพโพลารอยด์ใบหนึ่งเป็นวัตถุ และมีคำว่า 'แกลลอป' ติดอยู่ โจนึกถึงวิลลี่ ผู้ครอบครองตั๋วรถไปแกลลอป (ตั๋วเป็นวัตถุที่แตะหัวใครแล้ว คนนั้นจะไปโผล่ที่แกลลอปเสมอ) เขาตามหาวิลลี่เพื่อถามเกี่ยวกับสถานที่ที่เป็นที่มาของวัตถุทั้งหมด วิลลี่พาโจไปที่โมเต็ลซันไชน์ ที่มาของวัตถุทั้งหมด โจพบว่าโมเต็ลนั้นไม่มีห้องเบอร์ 10! แต่เมื่อใช้กุญแจเปิดห้องเบอร์ 9 พวกเขาพบวิญญาณหรือคลื่นพลังของหญิงคนหนึ่งที่ปรากฎขึ้นครู่เดียวก็หายไป โจเอากล้องวีดิโอผูกสเก็ตบอร์ด ติดกุญแจยื่นเข้าไปในห้อง เพื่อถ่ายภาพวิญญาณนั้น และสืบต่อจนพบว่าเธอชื่ออาร์ลีน คอนรอย สามีของเธอคือกัส ชายสันโดษซึ่งโจเคยพบในแกลลอปเมื่อคราวก่อน กัสมีฟิล์มภาพถ่ายเหตุการณ์ในปี 1961 เขากับอาร์ลีนดูแลโมเต็ลซันไชน์ และเริ่มรู้สึกถึงการมีอยู่ของวัตถุ อาร์ลีนกับเพื่อนหลงไหลมันจนเกิดเป็นกลุ่มนักสะสม นักสะสมยุคแรกนำวัตถุหลายชิ้นมาตรึงกับประตูห้อง แต่เมื่อเปิดประตูแล้ว กลับเกิดการบิดเบือนมิติอย่างแรง นักสะสมที่ยืนหน้าห้องตายหมด อาร์ลีนปิดประตูแล้วหายตัวไปต่างมิติ โผล่มาเป็นระยะ ๆ เหมือนวิญญาณ หลังจากนั้น นักสะสมที่เหลือจึงนำวัตถุที่คิดว่าอันตราย 12 อย่างไปเก็บใน 'ห้องนิรภัย' แล้วซ่อนมันไว้ ในนั้นมีวัตถุหนึ่งที่คนต้องการมากที่สุด...ลูกตาแก้วซึ่งซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเป็นอาวุธได้ โจคิดว่าถ้าพาอาร์ลีนกลับมาได้ ก็น่าจะพาแอนนากลับมาได้ด้วย วัตถุที่เขาต้องใช้ร่วมกับกุญแจคือกล่องนาฬิกาที่ตอนนี้อยู่กับกองกำลัง โจยื่นข้อเสนอกับรูเบอร์ให้ขโมยกล่องนาฬิกามาให้เขา แลกกับการได้เข้าห้อง (รูเบอร์เป็นเพื่อนตำรวจที่หักหลังโจในตอนแรก รู้บได้เข้าไปในห้องต่างมิติแล้วเกิดอยากได้กุญแจ จึงฆ่าคู่หูของโจและใส่ร้ายว่าเป็นฝีมือโจ) ตำรวจตามรอยโจมาถึงบ้านกัส และจับกุมเขา รูเบอร์ขโมยกล่องนาฬิกาจากภาคีและช่วยโจไปได้ เจนนิเฟอร์ได้เบาะแสจากพี่ชายที่เคยคลั่งไคล้ห้องเบอร์ 9 ว่าการเปิดประตูต้องใช้หวีหยุดเวลาด้วย เธอเอาหวีตามมาที่โมเต็ล โจกับเจนนิเฟอร์เปิดประตูโมเต็ลเข้าไป ใช้หวีหยุดเวลาพาตัวอาร์ลีนกลับมาได้ แต่เธอเสียชีวิตอยู่ดี โจลองหยิบโพลารอยด์มาดู เขาพบว่าถ้าใช้ภาพโพลารอยด์ส่องจะเห็นห้องเบอร์ 10 ในสภาพปี 1961 ได้ และนั่นทำให้โจพบว่ายังมีวัตถุชิ้นหนึ่งที่แทบไม่มีคนรู้จัก แถมยังมีชีวิตด้วย นั่นคือเจ้าของห้อง ซึ่งอาจเป็น 'วัตถุหลัก' ที่แท้จริง ตำรวจตามมาที่โมเต็ล โจ เจนนิเฟอร์และรูเบอร์หนีเข้าห้อง แต่รูเบอร์พยายามทำร้ายโจด้วยวัตถุไพ่ (ซึ่งไม่ได้ผล เพราะวัตถุไม่ทำงานในห้อง) โจเลยเปิดประตูเหวี่ยงรูเบอร์ทิ้งกลางทะเลทราย แต่รูเบอร์คว้าโพลารอยด์ไปด้วย โจไม่สนใจ เพราะคิดว่าเขาพบวัตถุหลักแล้ว นั่นคือชายเจ้าของห้อง ขณะเดียวกัน ครอยซ์เฟลด์ได้หนังสือที่ตกทอดมาจากนักสะสมยุคแรก ทำให้รู้ว่าต้องใช้วัตถุกุญแจ นาฬิกาและกรรไกรในการเปิดห้องนิรภัย เจ้าของห้องก็น่าจะอยู่ในห้องนิรภัยนี้ โจกับครอยซ์เฟลด์ร่วมมือกันหาวัตถุได้ครบ และได้ข้อสรุปจากชื่อเจ้าของหนังสือ ชื่อนักสะสมยุคแรกและภาพโพลารอยด์ว่าห้องนิรภัยอยู่ในเรือนจำเก่าแห่งหนึ่ง โจและครอยซ์เฟลด์ฟันฝ่าไปจนพบห้องนิรภัยที่มีวัตถุหลายชิ้น รวมทั้งลูกตาแก้วที่ครอยซ์เฟลด์ต้องการ แต่โจไม่พบชายเจ้าของห้อง ครอยซ์เฟลด์เผยความจริงว่าลูกชายเขาตายไปแล้ว แต่เขามีวัตถุที่เป็นเหรียญ 25 เซนต์จึงเรียกความทรงจำกลับคืนมาเป็นรูปเป็นร่างได้ 2-3 วัน (โจกับคนอื่นถึงเห็นลูกชายของครอยซ์เฟลด์ได้) เป้าหมายการรวบรวมวัตถุของเขาคือเปิดมิติแบบเดียวกับอาร์ลีน คอนรอยเพื่อบิดเบือนความเป็นจริง นำลูกชายกลับมา โจไม่เห็นด้วย เมื่อวิธีการขัดแย้งกัน ครอยซ์เฟลด์เลยเรียกความทรงจำของบอดี้การ์ดมาจัดการโจและแย่งเอาวัตถุไปหมด ก่อนจะขังเขาไว้ใต้ดิน โชคดีที่โจยืมตั๋วไปแกลลอปของวิลลี่มาไว้ก่อน เลยพาตัวเองหนีจากใต้ดินมาสมทบกับวิลลี่และเจนนิเฟอร์ เจนนิเฟอร์รีบประสานงานกับกองกำลังเพื่อหยุดยั้งครอยซ์เฟลด์ โจร่วมทางกับวิลลี่เพื่อตามหาตัวเจ้าของห้อง โจฉีกแถบกาวบนตั๋วของวิลลี่ และพบว่าเจ้าของห้องมาจากเมืองไหน ที่นั่น เขาพบข่าวชายนิรนามที่อ้างตนเป็นสามีของนางสาวเมเปิ้ล เลยถูกจับกุม โจไปคุยกับเมเปิ้ลที่ตอนนี้แก่แล้ว และได้ภาพถ่ายของเจ้าของห้องกับภรรยามา มันเป็นวัตถุเช่นกัน วิลลี่ขอแยกทางไม่สืบต่อ โจไปหาซู้ด..ชายนักตามรอยวัตถุ และพบว่ามีที่เดียวที่ไม่เคยมีวัตถุโผล่มาเลย โจจึงแน่ใจว่าเจ้าของห้องต้องอยู่ที่นั่น เขาอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิต และยอมให้โจผ่านเข้ามาได้เพราะโจพกภาพถ่ายเขากับภรรยามาด้วย โจขอให้เจ้าของห้องช่วยพาแอนนากลับมา เจ้าของห้องบอกว่าเขาทำไม่ได้ แต่โจอาจทำได้ และต้องพาเขาไปที่โมเต็ล ทางด้านรูเบอร์ที่โดนโจทิ้งกลางทะเลทรายนั้น เขาขาดน้ำอ่อนแรงปางตาย แต่ก็ยังเฝ้ามองภาพถ่ายโพลารอยด์ จนเกิดนิมิตบางอย่าง เมื่อตำรวจพบตัวรูเบอร์และพาไปรักษานั้น รูเบอร์ก็ฟื้นคืนสติมาพร้อมพลังจิตบางอย่าง และอ้างตนเป็นศาสดาของภาคี เพราะเขาคือผู้ที่จะกลายเป็นพระเจ้า หากภาคีรวบรวมวัตถุมาครบ กองกำลังบุกบ้านครอยซ์เฟลด์ แต่แผนล้มเหลวเพราะมีหนอนบ่อนไส้ ครอยซ์เฟลด์ควักตาตัวเองทิ้งเปลี่ยนเป็นลูกตาแก้ว ทำให้มีพลังฆ่าคนของกองกำลังได้หมด ก่อนจะไขกุญแจพาตัวเองมาที่โมเต็ลซันไชน์ มีเจนนิเฟอร์ติดมาด้วย เนื้อเรื่องค่อนข้างลำเอียง เข้าข้างพระเอกให้แก้ปัญหาได้ฉลุยไปหน่อย คนอื่นตามล่าตามหาเบาะแสมาตั้งนาน ยังสู้ตานี่ลุยคนเดียวในพริบตาไม่ได้เลย ความสมเหตุผลยังไม่ถึงกับเลิศ แต่อารมณ์ลุ้นกับความรู้สึกเท่ห์ตอนวัตถุแต่ละชิ้นโผล่มาเนี่ย สุดยอด ถ้าเอามาแต่งเพิ่มโน่นเพิ่มนี่ สามารถเขียนให้เป็นนิยายหลายสิบตอนได้เลย ...ตอนแรกว่าจะหาดูว่ามีรีรันไหม จะได้นั่งดูตั้งแต่ต้นอย่างตั้งใจ ปรากฎว่าไม่เจอแฮะ ไว้ค่อยไปหาแผ่น Shopping >> ได้กำลังภายในมา 2 เรื่องอุ้ยเซี่ยวป้อ ของ G-Books ปกพื้นขาว 5 เล่มจบ --เวอร์ชั่นนี้เคยเห็นตั้งแต่ปีสองปีก่อน เจอสองครั้งแน่ะ สภาพยังใหม่เอี่ยม แต่ดันเสียดายเงินเลยไม่ซื้อ ระยะหลังเหมือนไม่ค่อยเห็นอุ้ยฯ ตามตลาดแล้ว แถมขี้เกียจรื้อชุดที่มีอยู่ออกมา มองดูสภาพชุดนี้ก็จัดว่าขาว มีเลอะดำ ๆ นิดนึง..อาจลบได้ เลยซื้อขึ้นมาก็ได้ฟะ (แล้วก็แอบเซ็งว่าทำไมไม่ซื้อตั้งแต่ตอนมันยังขาวจั๊วะฟะ)มังกรหยก ภาค 2 (จำชื่อเป๊ะ ๆ ไม่ได้) ของ sic เล่มเล็ก 8 เล่ม -- ปลื้มกับความขาวมาก เสียดายว่าเป็นหนังสือร้านเช่า เลยมีตราปั๊มที่หน้าแรกทุกเล่ม และมีรอยแปะสก็อตเทป แต่ถ้าคิดว่าเอามาอ่าน สันไม่เลอะอะไรเลย ถือว่าชุดนี้โอเคมาก เอามาเก็บพร้อมก๋วยเจ๋งเล่มเล็กที่ได้มาเมื่อสองปีก่อนพอดีเลย ...อย่างไรก็ตาม สำนวนแปลมันซ้ำกับที่ sic เพิ่งพิมพ์ใหม่มา เลยดีใจไม่ค่อยเต็มที่ ถ้าได้ 'อินทรีเจ้ายุทธจักร' สำนวน ว. คงกระโดดลอยถึงฟ้าไปแล้ว หมายเหตุ: จขบ. ไม่ได้ตามหา sic เล่มเล็กชุดมังกรหยกแต่อย่างใด แต่เมื่อมันโผล่มาในสภาพดี เข้าข่าย 'ไม่ซื้อ ฟ้าพิฆาต' ย่อมต้องซื้อไว้ ปีสองปีก่อนเจอก๋วยเจ๋ง ปีนี้เจอเอี้ยก้วย ปีสองปีหน้าจะเจอเตียบ่อกี้รึเปล่าเนี่ย??? (ทำไมพวกดอกหญ้าแบบกล่องที่หาอยู่ ดันไม่โผล่มาแบบนี้บ๊างงงงงงง) อ้อ เกือบลืม ได้แฮร์รี่เล่มอวสาน ปกแข็งจากร้านมือสองด้วย เล่มนี้เคยตั้งใจว่า..ถ้าได้เจอปกแข็งครึ่งราคาก็ซื้อมาเก็บให้ครบชุดเฉย ๆ (อ่านต้นฉบับซึ้งกว่าเยอะ) พอได้มา ก็นั่งอ่านแบบเก็บภาพรวม พบว่ามีทั้งจุดที่แปลโอเค ดูมีความพยายามทำให้เป็นสำนวนสวย กับจุดที่..เอ่อ เอาไปเกลาก่อนเลยค่ะ 6 มีนาคม 2551 Shopping >> ได้ 'ปิระมิดนโปเลียน' กับ 'ผจญภัยใต้อุโมงค์' มาจากร้านมือสอง ประหยัดไปได้โขเลย แม้ว่าจะมีเล่มนึงที่ไม่ค่อยอยากได้เท่าไหร่ก็ตามMovie >> เพิ่งได้ดู Four Brothers กับ Pride and Prejudice เรื่องละสองรอบทางเคเบิ้ล P&P นี่เคยดูมารอบแว่บ ๆ แต่ไม่ชอบ คิดว่านางเอกกะเปิ๊บกะป๊าบผิดต้นฉบับ บางฉากเช่นตอนลิซซี่วิ่งตากฝนแล้วมิสเตอร์ดาร์ซี่วิ่งตามมาบอกรักนี่ตลกมากกว่าซึ้ง ...แต่พอดูอีกสองรอบ คราวนี้กลับคิดว่ามันก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบนะ คือดูโมเดิร์นกึ่งโบคอนทราสต์กันดีน่ะ อีกอย่าง ยอมรับว่าหนูเคียร่าเธอรูปหน้าสวยคลาสสิกดี ฉากในบ้านเพมเบอร์ลีย์ของพระเอกก็สวย (ชอบตั้งแต่ดูรอบแรกแล้วล่ะ) ตอนจบนี่...เขิลลลล Four Brothers นี่ไม่เคยได้ยินชื่อ พลาดไปได้ไงเนี่ย? พล็อต: พี่น้องต่างสีผิว 4 คนมารวมตัวกันอีกครั้งเพราะการตายของแม่ แต่กลับพบว่าแม่ไม่ได้ตายเพราะโดนลูกหลงอย่างที่คิด แม่ของพวกเขาถูกฆ่าในลักษณะประหารแล้วจัดฉากให้เป็นการปล้น มีการจ้างพยานเท็จพร้อมสรรพ แต่ใครล่ะที่คิดฆ่าหญิงแก่ใจดีอย่างเธอ? ... ตัวละครเท่ห์ดี ทั้งสี่คนออกแนวเถื่อน ๆ หน่อย มีเจเรไมอาห์คนเดียวที่เป็นมนุษย์ครอบครัวพยายามทำมาหากิน เลยดูเป็นสุภาพชนที่สุด บ็อบบี้เป็นพี่ใหญ่นิสัยโคตรห้าว ลุยแหลกไม่เกรงใคร แองเจิลเป็นเหมือนคู่แท็คทีมกับบ็อบบี้ จอร์จเป็นน้องเล็กติดสอยห้อยตามบรรดาพี่ ๆ ไป (ถึงจะไม่มีฝีมือบู๊ แต่จอร์จตาดีมาก เหมาะไว้เป็นคนดูต้นทางระหว่างที่พวกพี่บู๊) เนื้อเรื่องค่อย ๆ ตามปมปริศนาไปเรื่อย ๆ แต่ชอบบรรยากาศระหว่างพี่น้องที่สุด แบบว่าห่ามดิบแต่อบอุ่นน่ะ News >> อ่านกระทู้ว่ามีโครงการจะเปิดคาสิโนในไทย ...เป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ??? (ประชดนะ) เหตุผลหลักคือ จะปล่อยให้คนไทยข้ามไปเล่นคาสิโนต่างชาติให้ขาดดุลการค้าทำไม เสียดายเงิน เปิดคาสิโนถูกกฏหมายในไทยเพื่อนำรายได้เข้ากระเป๋าพวกจอมเขมือบใน รัฐบาลดีกว่า แถมยังเป็นการลดบ่อนเถื่อนด้วย สองเด้งเลย เหตุผลสนับสนุนข้าง ๆ คู ๆ ข้างเคียงอีกอย่างคือ...เดี๋ยวนี้คาสิโนไม่ได้มีแต่โต๊ะไพ่นะ สมัยนี้เขาอิมปรู๊ฟ ทำเป็นโรงแรมหรู สวนสนุก ลานสล็อตแมชชีน ฯลฯ จิปาถะไว้ดึงดูดคนทุกวัย เป็นแหล่งท่องเที่ยวดึงดูดต่างชาติได้ด้วยนะเออ ไม่เชื่อก็ดูต่างประเทศสิ ส่วนใหญ่คนที่สนับสนุนจะคิดทำนองว่า "คาสิโนเป็นเรื่องธรรมชาติ" ห้ามไม่ได้ฝืนไม่อยู่ พวกเราก็คุมลูกหลานกันเองสิ เสียงคัดค้านเท่าที่อ่าน ๆ เจอ เช่น - เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ไม่ควรสนับสนุนอบายมุข (ศีลห้าไม่มีข้อห้ามเล่นพนัน รึว่ามี?...ยิ่งท่องไม่ค่อยถูกอยู่) - คาสิโนมีจำกัดวงเงินขั้นต่ำตาละหมื่นตาละแสน คนจนไม่มีปัญญาเล่นหรอก คงเข้าบ่อนเถื่อนตามเดิมแหละ มันไม่ช่วยปราบปรามบ่อนเถื่อนอย่างที่บอกเลย แต่กลับส่งเสริมให้คนรวยเล่นพนันมากขึ้นมากกว่า สุดท้ายจะกลายเป็นการถ่ายเทเงินจากคนรวยไปหาคนรวย (ที่เป็นซัมบอดี้) เสียมากกว่า ทีนี้ พอคนรวยเจ้าของกิจการเสียพนันไปมาก ก็อาจหันมาฟันกำไรจากสินค้ามากขึ้น ขึ้นราคาโน่นนี่ คนรับกรรมคือชาวบ้านรากหญ้าที่ไม่มีปัญญาเข้าคาสิโน ตามเคย - หลายคนสงสัยว่าไม่มีประชาชนคนไหน..ทั้งรวยและจน..ได้ประโยชน์หรอก ถึงเล่นได้ก็เสียไปอีกอยู่ดี วนเวียนอยู่แค่นั้นแหละ คนที่ได้เหนาะ ๆ คือผู้เสนอโครงการซึ่งมักสั่งทำโต๊ะชนิดพิเศษมีช่องทางข้างใต้ คนพวกนี้อีกไม่กี่ปีก็พ้นวาระสะบัดตูดจากไป ไม่ต้องมารับเวรรับกรรมอะไรอีก ...บางคนถึงกับมองว่า คนบางกลุ่มจะได้ช่องทางฟอกเงินใหม่ด้วยซ้ำ ผู้คัดค้านหลายคนบอกว่า "ใครไม่เคยมีผีพนันในครอบครัวไม่เข้าใจหรอก" บ้างก็บอกว่า "การเปิดคาสิโนถูกกฎหมายเท่ากับเรากำลังสอนลูกหลานว่าการพนันเป็นเรื่องถูก" "เด็กสมัยนี้สอนได้ที่ไหน พฤติกรรมเลียนแบบห้ามได้รึ?" จขบ. เห็นด้วยกับข้อแย้งที่ว่า "คนไทยยังไม่มีวุฒิภาวะ การศึกษา สติปัญญาหรือการยับยั้งห้ามใจ ฯลฯ มากพอ" และเห็นด้วยว่าต่อให้เราไม่เล่น เราก็อาจโดนผลกระทบจากคนที่เข้าไปเล่น เช่น พวกผีพนันที่เงินขาดมือกลายเป็นโจรฉกชิงวิ่งราว เพิ่มตัวเลขอาชญากรรม ค้าประเวณี หรือคนรวยที่รีดเลือดจากลูกค้ามากขึ้นเพื่อเอาเงินไปเล่นพนัน แต่ถ้ามองดูประวัติศาสตร์ ครั้งหนึ่ง อเมริกาเคยออกกฎหมายห้ามขายเหล้า เจ้าพ่ออัล คาโปนขายเหล้าเถื่อนจนล่ำซำ สุดท้ายรัฐบาลต้องเปลี่ยนกฎ ยอมให้ขายเหล้าได้ไม่ผิดกฎหมาย ปัจจุบัน การกินเหล้าไม่ใช่เรื่องชั่วช้าสามานย์อะไรสำหรับคนรุ่นเราถ้า ไทยมีคาสิโนถูกกฎหมาย คนรุ่นลูกรุ่นหลานเราคงเฉย ๆ กับการเล่นพนัน (คือรู้ว่าไม่ดี แต่จะทำก็ไม่เป็นไร) แบบเดียวกับการกินเหล้ารึเปล่า? ปล. จำไม่ได้แล้วว่าอะไรน่ากลัวกว่ากัน ไฟไหม้หรือผีพนัน?? -----Memory Note ชื่อหนังสือ: ??? จำชื่อไม่ได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้หรือวันหลังค่อยไปนั่งอ่านต่อ คนแต่งบอกว่าพระเจ้าอู่ทองไม่ได้ย้ายราชธานีและสถาปนากรุงศรีอยุธยาเพราะหนีโรคห่า มีการอ้างอิงเวลาและบันทึก พบว่าระหว่างปีที่ย้ายออกจากสุโขทัยกับช่วงที่เริ่มตั้งอยุธยานั้น มีช่วงเวลาหายไปราว 300 ปี ช่วงเวลานี้คือช่วงที่ราชวงศ์ข้ามไปอยู่อีกฟาก มีกษัตริย์ปกครอง 4 รุ่น จนถึงรุ่นของพระเจ้าอู่ทอง (องค์ไหนก็ยังอ่านไม่ค่อยเข้าใจนัก) เท่าที่อ่านสแกนคร่าว ๆ พอจะได้ความว่าสมัยนั้น ขอมรุ่งเรือง (มีพูดถึงเจ้าเมืองลพบุรี หริภุญชัย พระนางจามเทวีด้วย แต่ลืมอ่านอ่ะ) เมืองหลักคือลพบุรีปกครองโดยพระเจ้าอู่ทอง ส่วนพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีนั้นเป็นคล้าย ๆ ลูกเขยครองอีกเมืองนึง (สุพรรณ? เริ่มงง) เมื่อพระเจ้าอู่ทองทิวงคต ทรงแต่งตั้งพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีขึ้นปกครองทั้งสองเมือง (เหนือ-ใต้) ไม่ได้แต่งตั้งพะงั่ว ซึ่งเป็นทายาทสายตรงกว่า ทีนี้ สองเมืองนี้อยู่ไกลกันมาก ดูแลลำบาก พระเจ้าอู่ทอง (เดิมคือพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดี) จึงทรงตั้งเมืองใหม่ตรงกลางระหว่างสองเมืองนี้เพื่อความสะดวก Voila! กรุงศรีอยุธยาจึงถือกำเนิดขึ้น สรุปสั้น ๆ ... พระเจ้าอู่ทองไม่ได้หนีโรคห่าจากกรุงเก่ามาตั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง (ที่จขบ. อ่านแล้วลืม) และเปลี่ยนกษัตริย์หลายรุ่น ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่พระเจ้าอู่ทอง (องค์ใหม่ที่เดิมเป็นพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดี ครองเมืองย่อย) ตั้งเมืองใหม่เพื่อสะดวกกับการขึ้นเหนือล่องใต้ดูแลสองเมือง
Create Date : 07 มีนาคม 2551
Last Update : 31 มีนาคม 2551 0:02:25 น.
58 comments
Counter : 1418 Pageviews.
โดย: ห่วงใย วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:1:52:23 น.
โดย: โสดในซอย วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:19:26:09 น.
โดย: นัทธ์ วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:8:41:19 น.
โดย: Jevanni วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:15:18:07 น.
โดย: อั๊งอังอา วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:11:51:38 น.
โดย: ahiruno007 IP: 58.9.20.175 วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:12:24:19 น.
โดย: ทินา IP: 58.64.72.172 วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:20:35:07 น.
โดย: piccy IP: 124.120.240.105 วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:9:15:57 น.
โดย: ลูกสาวโมโจโจโจ้ IP: 58.9.19.199 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:9:47:18 น.
โดย: ยาคูลท์ วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:11:03:42 น.
โดย: piccy IP: 124.120.236.64 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:11:19:05 น.
โดย: อั๊งอังอา วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:10:07:02 น.
โดย: ผ่านมา IP: 58.9.247.126 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:12:59:42 น.
โดย: ลูกสาวโมโจโจโจ้ IP: 58.9.14.41 วันที่: 21 มีนาคม 2551 เวลา:11:13:27 น.
โดย: แฟนผมตัวดำ วันที่: 21 มีนาคม 2551 เวลา:23:11:38 น.
โดย: ทินา วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:0:23:27 น.
โดย: PinGz (Kai-Au ) วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:4:20:07 น.
โดย: แม่ไก่ วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:16:40:33 น.
โดย: พุดน้ำบุศย์ IP: 117.121.218.50 วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:7:59:40 น.
โดย: สาวไกด์ฯ IP: 202.28.12.7 วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:11:33:43 น.
โดย: หลิน IP: 202.60.203.198 วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:16:23:12 น.
โดย: หอมกร วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:16:30:51 น.
โดย: ยาคูลท์ วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:20:37:54 น.
โดย: คิดนาน IP: 124.120.75.230 วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:20:46:21 น.
โดย: นัทธ์ วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:21:19:33 น.
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:16:12:41 น.
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:16:15:31 น.
โดย: คิดนาน IP: 124.120.44.116 วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:21:51:49 น.
โดย: คิดนานอีกที IP: 124.120.44.116 วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:21:53:08 น.
โดย: TaMaCHaN (narumol_tama ) วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:22:07:56 น.
โดย: คิดนาน flood comment IP: 124.120.44.116 วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:23:09:31 น.
โดย: ทินา IP: 58.64.72.39 วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:23:23:45 น.
โดย: shadowromeo IP: 124.121.10.160 วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:20:53:11 น.
โดย: ยาคูลท์ วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:0:05:11 น.
โดย: โสดในซอย วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:12:03:14 น.
โดย: piccy IP: 124.120.246.239 วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:16:22:11 น.
โดย: ทินา IP: 125.24.228.245 วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:20:06:33 น.
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:20:49:29 น.
โดย: พุดน้ำบุศย์ IP: 117.121.218.50 วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:20:57:57 น.
โดย: ยาคูลท์ วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:0:56:28 น.
โดย: Jevanni วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:22:43:02 น.
โดย: piccy วันที่: 2 เมษายน 2551 เวลา:19:58:24 น.
โดย: ทินา IP: 58.64.120.12 วันที่: 2 เมษายน 2551 เวลา:23:25:17 น.
ปล.เพลงเพราะจังเลย