Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
27 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ชลวาห์กาล ๑๒ (ธัญรัตน์)




ไฟกลางห้องนอน ถูกเปิดออกในเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ เขาแทบไม่อยากจะเปิดอ่านจดหมาย ที่สุขเอามาให้เลย เมื่อรู้ว่าเป็นจดหมายของใคร และมีเนื้อความอย่างไร

“คุณวาฝากให้คุณชนะชลค่ะ ไปได้สองอาทิตย์แล้ว ฝากขอโทษคุณมาด้วย ที่ไม่ได้บอกด้วยตัวเอง ป้าบอกให้โทรไปหาก็ไม่ยอม บอกว่าคุณมาแล้วก็คงจะรู้เอง แล้วก็ไม่ได้บอกด้วยค่ะ ว่าจะไปอยู่ที่ไหน แค่บอกว่าเป็นอำเภอเล็ก ๆ ทางเหนือ ป้ากับคุณรวิทย์ห้ามก็ไม่ฟัง คุณวาก็อย่างนี้หล่ะค่ะ ลองได้คิดอะไรหรืออยากทำอะไรแล้ว ใครก็เอาไม่อยู่ ดูอย่างเรื่องคุณผู้ชายสิคะ มาตั้งนานแล้วไม่ยอมไปไหว้ศพท่านเลย ถึงคุณวาจะไม่พูดป้าก็รู้ว่าคุณวาโกรธคุณผู้ชายมากเลยค่ะ” สุขรายงานเจ้านาย ที่เพิ่งจะมาถึงบ้าน ตอนประมาณสามทุ่ม

“เขาบอกหรือเปล่าครับ ว่าทำไมเขาถึงอยากจะไป” เขาถามพร้อมแววตาแสดงถึงความผิดหวังที่สุด เพราะเหตุผลเดียว ที่เขามาที่นี่นั่นก็คือ ทนต่อความคิดถึงเธอไม่ได้นั่นเอง

“ไม่ได้บอกค่ะ แต่ป้ารู้ว่าคุณวาอยากจะไปทำงานที่โรงพยาบาลที่กันดาร ๆ มาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้เป็นหมอแล้วค่ะ เธอบอกว่าอยากจะรักษาคนจน ๆ บ้าง คนมีเงินมีทางเลือกเยอะแยะมากแล้ว แต่พอกลับมาก็มาเกิดเรื่องนี้ก่อน ก็เลยไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ คุณวาบอกว่ายังไง ๆ บ้านของคุณปู่ก็สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด จะนานแค่ไหนเธอก็จะเอาคืนมาให้ได้ แต่ไม่รู้ยังไงจู่ ๆ เปลี่ยนใจ แล้วก็มาบอกป้าว่าจะย้าย”

สุขบอกเขา และก็ไม่มีคำพูดใด ๆ จากเขา นอกจากรับจดหมายแล้วก็เดินจากขึ้นไปที่ห้อง
ในที่สุดเขาก็เปิดมันออกมาอ่าน ด้วยความรู้สึกที่อ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก เมื่อนึกถึงเรียวปากของเจ้าของจดหมาย


ถึงคุณชนะชล,
“ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ ที่ไม่ได้บอกลาด้วยตัวเอง ขอบคุณมาก ๆ สำหรับทุกอย่างที่ทำให้ครอบครัวเรา ฉันจะส่งเงินมาให้เป็นงวด ๆ จะฝากป้าสุขไว้ แต่ไม่รู้เท่าไหร่ และเมื่อไหร่ ที่โรงพยาบาลใหม่ เป็นอำเภอเล็ก ๆ คงไม่มีโรงพยาบาลเอกชนให้หารายได้พิเศษ แต่ก็น่าจะเป็นชีวิตที่มีความสุขอีกแบบหนึ่ง

นี่เป็นเพียงสิ่งเดียว ที่ฉันพอที่จะทำตามที่ตัวเองอยากจะทำมานานแล้ว ถ้าไม่ทำตอนนี้ ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ทำ แต่ฉันก็คงจะไปได้ไม่นานหรอกค่ะเพราะภาระที่ยิ่งใหญ่ กำลังรอฉันอยู่ ไม่ต้องห่วงนะคะ คุณจะได้เงินคืนแน่ เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านของฉัน ฉันคงไม่มีวันปล่อยให้เป็นของคนอื่นเป็นแน่

ฝากบ้าน กับป้าสุข และทุก ๆ คนด้วยนะคะแต่ความจริงแล้ว คุณก็ดูแลพวกเขามานานแล้ว ลำพังฉันก็คงจะทำไม่ได้หากไม่มีคุณ”

ขอให้มีความสุขกับชีวิตคู่ในอนาคตค่ะ

นับถือ / วันวิวาห์ พิพัฒน์กุล”


ดวงตาพร่ามัวไปด้วยหยดน้ำ ที่ก่อตัวออกมาจากข้างในหัวใจ ความเจ็บปวดที่เขาแทบจะไม่เคยได้รับ จากหญิงใดมาก่อน มันได้ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง และก็เป็นหลาย ๆ ครั้ง นับตั้งแต่ที่เธอได้ก้าวเข้ามาเกี่ยวพันธ์ในชีวิตเขา ความสับสนในตัวเองเริ่มก่อตัวขึ้น ในความรู้สึกของเขาอีกครั้ง
เขาเอื้อมมือไปหยิบหนังสือสองเล่ม ที่มือน้อย ๆ ของเธอเคยหอบไว้เพื่อหวังจะเอาไปอ่าน แต่ก็ต้องหมดสติ เพราะตกใจที่เจอเขาในความมืดของค่ำคืนนั้น และก็ถูกเขาอุ้มร่างบอบบางเอาไว้ มือของเขาเผลอยกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว

รสสัมผัสที่เขาประทับจูบไว้ กับริมฝีกปากบางงามได้รูป ยังคงติดตาตรึงใจเขาตลอดมาอย่างไม่รู้ลืม ไหล่ระหง คางมนสวยที่เขาเคยได้เชยขึ้นมาใกล้ ๆ ใบหน้าเขา เพื่อเพ่งพิศ ดวงหน้าเธอได้อย่างใกล้ชิด มันคงจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับเธออีกแล้ว ในความคิดของเขา ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมา

มันคงจะง่ายกว่านี้ ถ้าหากเขายอมลดทิฐิ แล้วรีบเปิดเผยความในใจกับเธอ เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น เขาก็คงจะไม่ต้องหมั้นกับกิติกร และเธอเองก็คงจะไม่ต้องหนีไปอยู่ที่ไหนไกล ๆ เช่นนี้ แล้วมันก็คงจะทำให้เขาไม่ต้องมานั่งเจ็บปวดอยู่อย่างนี้
เปลือกตาถูกปิดลงอย่างช้า ๆ ประหนึ่งกับว่าอยากจะหยุดทำงาน เพราะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาแสนไกลเหลือเกิน มันเหนื่อย ๆ เสียจนเขาไม่อยากจะลุกไปไหนอีกแล้ว

“วา....เธอจะรู้สึกเหมือนฉันตอนนี้บ้างไหม เธอเจ็บปวดบ้างไหม เมื่อยามที่เธออยู่ห่างฉัน แล้วเธอรักฉันเหมือนที่ฉันรักเธอบ้างไหม”
เป็นคำถามที่เคยมีในใจเขาเรื่อยมา และมันก็เป็นเพียงสิ่งเดียว ที่ยังคงคั่งค้างอยู่ในใจของเขา ที่เขาอยากจะรู้ แล้วเขาจะมีโอกาสได้รับคำตอบเหล่านี้บ้างไหม

หรือมันจะสายไปเสียแล้ว เขานึกโกรธหัวใจตัวเองยิ่งนัก ที่ไปมอบความรู้สึกนี้ ให้กับลูกศัตรู ที่พิพากษาครอบครัวของเขาให้แตกแยก จนหาความสุขไม่ได้ หรือนี่คือผลกรรมที่เขาได้รับ จากการอาฆาตมาดร้าย และไม่รู้จักปล่อยวางของเขาที่มีต่อผู้ให้กำเนิดเธอ
เสียงมือถือดังขึ้นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วเขาเองก็ไม่อยากจะสนใจนัก แต่ด้วยความรำคาญก็เลยจำต้องยกขึ้นมาดูว่าใครโทรมา แล้วเขาก็แทบจะปิดมันทิ้ง เมื่อรู้ว่าคนที่โทรมาคือใคร แต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราะวันนี้ทั้งวันเขาก็ไม่ได้รับสายเรียกเข้าของกิติกรเลย

“คุณแพรว” เขารับสายด้วยน้ำเสียงที่ธรรมดาที่สุด
“พี่สบายดีครับ ดึกแล้วทำไมไม่นอนอีก” “คุณหมอเหรอ...ไม่อยู่หรอกครับ เห็นป้าสุขบอกว่าคุณหมอขอย้ายไปอยู่ที่อื่นสักพัก แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ป้าสุขก็ไม่รู้ และก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ด้วย”
เขาตอบตามคำซักถามของเธอ “คุณแพรวนอนได้แล้วนะคะครับ พี่ก็จะนอนเหมือนกัน เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ” เขารีบตัดบทเพราะรู้สึกเหนื่อยจริง ๆ จนอีกฝ่ายต้องยอมวางสายไปด้วย แล้วเขาก็เดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเรียกความสดชื่นให้ร่างกายก่อนจะเข้านอน

“นี่มันอะไรกันยายแพรว ดึกดื่นจนป่านนี้แล้วไม่ยอมหลับยอมนอน โทรมาปลุกฉันทำไม” นุติพรที่หลับไปแล้วก็ต้องลุกมารับโทรศัพท์เพื่อนรัก แล้วก็อดบ่นไม่ได้
“อะไรนะ หมอหน่ะเหรอย้ายหนีไปแล้ว...ต๊าย ตาย ทำไมมันง่ายจังหล่ะยายแพรว แต่ยังไงฉันก็ดีใจด้วยนะที่พวกเรายังไม่ทันได้เหนื่อยศัตรูเธอก็ถอยทัพกลับแล้ว ไพ่ใบสุดท้ายยังไม่ได้ใช้เลยนะยายแพรว” นุติพรแทบจะหายง่วงเมื่อข่าวที่กิติกรโทรมาบอกด้วยความดีใจ

“เหรอ ๆ เอ่อ...เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยไปเม้าส์กันดีกว่า ตอนนี้ขอนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ฉันจะต้องไปทำงานนะ ไม่ได้นั่งอยู่บ้านเฉย ๆ แล้วรอให้ผู้ชายหล่อ ๆ รวย ๆ แบบพี่ชลมาขออย่างเธอนี่” นุติพรกรอกไปตามสายก่อนจะกดวางสาย แล้วก็นอนลงด้วยความง่วง

สีหน้าที่บ่งบอกถึงความดีใจเป็นที่สุดของกิติกร ที่กำจัดศัตรูหัวใจได้สำเร็จ เธอต้องยอมรับว่าตั้งแต่วันแรกที่เธอเห็นหน้าวันวิวาห์จนมาถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนเลยที่จะทำให้เธอสุขใจได้เท่าวันนี้ หญิงสาวเดินไปหยุดที่ระเบียงหน้าห้อง แล้วก็สูดอากาศยามดึกเข้าปอดลึก ๆ แล้วก็มองลงไปยังสนามหญ้าที่ประดับด้วยไฟอย่างสวยงาม นานแล้วที่เธอไม่ได้มายืนชื่นชมบรรยากาศแบบนี้ ด้วยมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องเล่นงานวันวิวาห์

“ในที่สุดเธอก็ต้องกระเด็นออกไปจากชีวิตของฉันจนได้ พี่ชลต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น ลูกหนี้อย่างเธอ อย่าได้คิดเอาตัวมาใช้หนี้ให้ยากเลย ฉันไม่มีวันยอมหรอก” กิติกรพรึมพรำในลำคอ แล้วก็ยิ้มออกมาด้วยความสะใจ ที่กำจัดขวากหนามหัวใจออกไปได้


พุดซ้อนกับสามียืนมองบุตรชาย ที่ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาล ก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านจดหมายจาก วันวิวาห์ที่เคยเขียนมาหา เมื่อตอนที่ไปถึงที่นั่นได้ไม่กี่อาทิตย์ แล้วก็ตามมาอีกหลายฉบับ เป็นเวลาหกเดือนแล้ว ที่วันวิวาห์ย้ายไป เธอและสามีก็เห็นลูกชายอ่านจดหมายวันวิวาห์อย่างตั้งใจ
เขาแทบจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปยุ่งในเวลานี้ แล้วเขาก็จะเก็บจดหมายทุกฉบับที่วันวิวาห์เขียนสื่อสารเอาไว้ ตั้งแต่อยู่ที่เมืองนอกจนถึงปัจจุบัน เพราะเธอจะเขียนจดหมายมาหาเขา มากกว่าจะใช้วิธีอื่นสื่อสาร ด้วยเขาเคยขอเอาไว้

เพราะอยากจะเก็บจดหมายเอาไว้ เผื่อวันหน้าจะได้เอามาอ่านซ้ำอีก แต่ถ้าทั้งสองมีเรื่องอะไรเร่งด่วนก็จะโทรศัพท์บ้าง หรือส่งอีเมลย์บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยบ่อยครั้งนัก ดังนั้นทั้งสองจึงใช้จดหมายสื่อถึงกันและกันบ่อยกว่าวิธีอื่น

“หนูวา....เป็นยังไงบ้างลูก” พุดซ้อนและสามีเดินเข้ามา เมื่อเห็นลูกชายคนเดียวอ่านจดหมายจบแล้ว “วา....สบายดีครับแม่ ที่โน่นน่าอยู่มาก อากาศดีพอ ๆ กับบ้านเรา ผู้คนก็น่ารัก เพื่อนหมอและพยาบาลก็เป็นกันเอง วาเขาสนุกกับงานครับ เมื่อไม่กี่วันมานี่ก็ได้ไปออกพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานราชการอื่นด้วย วาบอกว่าที่ ๆ ไปกันดารมาก ๆ ครับ แถว ๆ เขตชายแดนพม่าโน่นแหน่ะ กว่าจะไปถึงใช้เวลาหลายชั่วโมง”

“จริง ๆ แล้ววาก็อยากจะโทรมาเล่าให้วิทย์ฟังนะครับ แต่วาก็บอกว่าเปลี่ยนใจไม่โทรมา เพราะอยากจะเขียนจดหมายมากกว่า หรือไม่ก็จะส่งอีเมลย์เอาจะได้เก็บเอาไว้อ่านวันหลังด้วย วาบอกว่าจากอำเภอไปหาในตัวจังหวัดค่อนข้างไกล และก็หนทางในการเดินทางลำบากมาก ผมเป็นห่วงวาจังเลยครับแม่” เขาบอกมารดาด้วยสีหน้าที่กังวลอย่างบอกไม่ถูก

“วิทย์....อีกไม่นานหนูวาก็คงจะขอย้ายกลับมานะลูก แล้วเราสองคนก็แต่งงานกันซะนะ พ่อกับแม่จะทำเรื่องขอกู้เงิน เอาบ้านเราไปเป็นหลักทรัพย์ก็ได้ ลูกจะได้เอาเงินไปเปิดคลีนิคหรือเปิดโรงพยาบาลเล็ก ๆ จะได้มีเงินไปช่วยหนูวาไถ่บ้านไง แม่กับพ่อเห็นวิทย์ไม่สดชื่นแบบนี้ แม่กับพ่อไม่สบายใจเลยนะลูก” ผู้เป็นพ่อบอกเขา

“ผมก็คิดเอาไว้อย่างนั้นเหมือนกันครับพ่อ และก็เคยบอกวาแล้วด้วย แต่พ่อกับแม่ก็น่าจะรู้จักวาดี เขาจะไม่ยอมให้เราทำอย่างนั้นหรอกครับ วาจะไม่เอาเปรียบเราเด็ดขาด ถ้าวายอมให้ผมช่วยเขาบ้าง ผมก็คงจะห่วงเขาน้อยลงกว่านี้ แต่นี่อะไร ๆ ก็ไม่ยอมให้ช่วย” เขาบอกพ่อแม่

เพราะเคยขอยื่นมือเข้ามาช่วยลดภาระเรื่องหนี้สิน แต่ก็ถูกเธอปฏิเสธ และบอกว่าเรื่องในครอบครัวของเธอ ๆ อยากจะรับผิดชอบเอง เพราะเธอยังพอมีแรงที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ถ้าหากวันใดที่เธอเหนื่อยล้า หรือหมดหนทางที่จะช่วยตัวเองได้ เธอก็จะขอความช่วยเหลือจากเขาเป็นคนแรก

“งั้นเอาไว้ว่าง ๆ ลูกก็ค่อยไปเยี่ยมหนูวาก็แล้วกันนะลูก จะได้ไปดูด้วยว่าหนูวากินอยู่ทางโน้นยังไง จะได้มาเล่าให้ป้าสุขฟังด้วย รายนั้นหนะ แม่ไปหาทีไรก็บ่นถึงแต่หนูวา” พุดซ้อนเสนอ
“ครับแม่” เขารับคำและยิ้มให้มารดา “งั้นแต่ตอนนี้ แม่ว่าคุณหมอของแม่ไปกินข้าวได้แล้ว แม่จะตั้งโต๊ะแล้ว ไปเถอะลูก พ่อด้วย” พุดซ้อนบอกทั้งสอง และก็ได้รับความร่วมมือจากสมาชิกในครอบครัวเป็นอย่างดี



เตียงผู้ป่วยที่วางเรียงราย และดูจะถูกอัดแน่นในห้องผู้ป่วยรวมหญิง ถึงแม้ว่าห้องนี้จะมีขนาดใหญ่ และหน้าต่างทุก ๆ บาน ก็ถูกเปิดให้โล่งออกเพื่อรับลม เพราะไม่มีเครื่องปรับอากาศ จะมีก็แต่พัดลมเท่านั้น ทุกตารางนิ้วของห้อง ก็แทบจะไม่มีทางเดินให้หมอและพยาบาล เข้าไปทำงานได้อย่างสะดวกเลย

แม้แต่ภายนอกระเบียง และนอกทางเดินด้านหน้าห้อง ก็ไม่มีละเว้นพื้นที่เอาไว้ เพราะต่างก็จะถูกจับจองโดยเตียงของคนไข้ ที่เจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ พร้อมทั้งบรรดาญาติ ๆ ที่หอบข้าวของเครื่องใช้ มาเยี่ยมญาติของตนที่ป่วยไข้ จนห้องนี้ดูจะหนาตาไปด้วยผู้คน

แต่ไม่ว่าจะคับแคบเพียงใด พวกเขาก็ให้ความร่วมมือ ยกข้าวของหลีกทางให้หมอ และพยาบาลที่มาตรวจอาการคนไข้เป็นอย่างดี ตามประสาชาวบ้านที่ให้ความเคารพ หมอและพยาบาลอย่างมาก เพราะคนเหล่านี้ก็คือ ผู้ที่จะทำการช่วยยืดชีวิตญาติของตัวเอง ให้รอดพ้นจากน้ำมือมัจจุราชนั่นเอง

“วันนี้อาการเป็นยังไงบ้างคะคุณป้า” วันวิวาห์ก้มลงไปถามคนไข้ ที่เธอเพิ่งจะทำการผ่าตัดไส้ติ่งให้ เมื่อสองคืนที่แล้ว
“ค่อยยังชั่วมากค่ะคุณหมอ ป้าต้องขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะ คุณหมอ ขอให้เจริญ ๆ เถอะนะคะ ที่ช่วยชีวิตคนแก่ ๆ อย่างป้า ดูสิ หน้าตาก็ดีผิวพรรณก็งาม แล้วน้ำใจยังงามอีก” หญิงวัยห้าสิบกว่า ๆ ยกมือขึ้นท่วมหัว ขณะที่ยังนอนแบกับเตียงอยู่นั่นเอง
“ขอบคุณค่ะ แต่คุณป้าไม่ต้องห่วงนะคะ มันเป็นหน้าที่ของหมอทุกคนอยู่แล้ว ที่จะต้องช่วยชีวิตคนไข้” เธอบอก แล้วก็ก้มลงไปเปิดดูแผลที่ผ่าตัด ที่ถูกเย็บเอาไว้ ก่อนจะก้มหน้า เขียนรายการสั่งยาแล้วยื่นให้พยาบาล

“คุณป้าลองค่อย ๆ ขยับตัวนะคะ อย่านอนอยู่บนเตียงอย่างเดียว การขยับตัวมันจะทำให้แผลหายเร็ว แต่ค่อย ๆ พลิกตัวนะคะ อีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้ค่ะ” เธอบอกหญิงสูงวัย
แล้วก็เดินไปเตียงต่อ ๆ ไป แล้วแต่ละเตียงนั้น วันวิวาห์ก็จะใช้เวลาคุยกับคนไข้ค่อนข้างนาน และก็มีอัธยาศัยที่อ่อนหวาน เอื้ออาทรและให้คำแนะนำต่าง ๆ ที่ดี ต่อคนไข้ ไม่ว่าจะอายุอานามขนาดไหน และมันก็สร้างความยินดีปรีดาไปยังคนไข้ และพยาบาลที่ได้ร่วมงานกับเธอยิ่งนัก

“คุณยาย...วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ ทานข้าวได้มั้ยคะ คุณยายจะต้องพลิกตัวบ่อย ๆ นะคะ จะได้ไม่เป็นแผลที่อื่นอีก แล้วพยายามอย่านอนทับแผลที่ก้นนะคะจะได้หายเร็ว ๆ” เธอพูดกับคนไข้รายสุดท้ายที่อายุจะหกสิบปีแล้ว ป่วยเป็นอัมพาต และก็เป็นแผลกดทับที่ส่วนใกล้ ๆ ก้นกบ แล้วก็ลุกลามกินบริเวณรอบ ๆ จนเธอต้องทำการผ่าตัดเนื้อร้าย ที่เริ่มเน่าออกให้หมด เพื่อไม่ให้มันลุกลามแล้วกินเนื้อดีส่วนอื่น ๆ ไปด้วย เพราะนั่นยิ่งจะทำให้แผลลุกลามใหญ่โตไปกว่าเดิม และเป็นอันตรายต่อคนไข้มากกว่าเดิมนั่นเอง

“ให้ญาติ ๆ คอยพลิกตัวให้ทุก ๆ สองชั่วโมงนะคะ” เธอหันมาบอกพยาบาลที่เดินตาม “ยายไม่มีญาติที่ไหนหรอกค่ะคุณหมอ ลูกยายมันเนรคุณ เลี้ยงมันโตมาแล้ว มันก็หายหน้าไปหมด มันไม่มาอยู่ดำดูดียายหรอกค่ะ มันปล่อยให้ยายนอนตายอยู่ที่บ้าน ถ้ายายไม่ได้เพื่อนบ้าน ยายก็คงจะตายไปแล้ว” ยังไม่ทันที่พยาบาลจะได้บอกอะไรเธอ ยายที่นอนซมอยู่ก็บ่นพึมพำกับเธอ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา ด้วยความคับแค้นใจยิ่งนัก
“แล้วลูก ๆ คุณยายไปไหนหมดคะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“คุณยายไม่มีลูกมาดูแลหรอกค่ะคุณหมอ จะมีก็แค่ผู้ใหญ่บ้าน กับเพื่อนบ้านที่เอาแกมาส่งที่โรงพยาบาลค่ะ แล้วก็มาเยี่ยมบ้างไม่มาบ้าง” พยาบาลสาวรายงานเธอ

“นี่คุณยายมาที่นี่ เป็นครั้งที่สามแล้วนะคะ แล้วแต่ละครั้งก็อยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาล ตั้งสามสี่เดือน แล้วก็มาด้วยอาการเดิม ๆ คือเป็นแผลกดทับ แล้วก็ติดเชื้อ และครั้งนี้ถ้าไม่มีคนดูแล อาการก็จะเป็นแบบนี้เรื่อย ๆ นะคะคุณยาย” เธอพูดกับยายแก่ เพราะรู้จากประวัติการรักษาได้ดี
“ช่างมันเถอะค่ะคุณหมอ ยายแก่แล้ว เห็นอะไร ๆ มาก็มากแล้ว หากยายจะตายก็คุ้มกับชีวิตที่เกิดมาแล้วค่ะคุณหมอ” ยายพูดอย่างคนหมดอาลัย

“คุณยายไม่ตายหรอกนะคะ หมอจะไม่ยอมให้คนไข้ตายหรอกค่ะ แต่คุณยายจะต้องขยันกินยา และดูแลรักษาตัวเอง จะได้เป็นการช่วยพยาบาลด้วยนะ แล้วจะได้หายไว ๆ นะคะ” เธอบอกคนไข้

“เคสนี้ก็พลิกตัวทุก ๆ สองชั่วโมงนะคะ ถ้ามีอะไรที่เบิกทางราชการไม่ได้ หมอจะเป็นเจ้าของไข้ให้ และถ้าหากคุณยายอยากจะกินอะไรที่นอกเหนือจากที่โรงพบาบาลมีให้ก็ให้มาเบิกเงินที่หมอได้เลย” เธอไม่ลืมที่จะกำชับกับพยาบาล พร้อมกับแสดงน้ำใจต่อยายแก่ที่นอนป่วย โดยไม่มีลูกแม้แต่คนเดียวมาดูแล วันวิวาห์ให้สงสารเหลือเกิน ผิดกับตัวเธอยิ่งนัก ที่พร้อมจะรักมารดา แต่มารดากลับไม่ยอมให้รัก

เสร็จงานตรวจคนไข้ในแล้ว เธอก็ต้องเข้าไปห้องตรวจคนไข้นอกอีก และนี่ก็เป็นภาระกิจประจำวันของเธอ ตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลนี้ และมันก็ดูจะยุ่งและวุ่ยวายแบบนี้เรื่อยมา ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากที่ทำงานเก่าเลยแม้แต่น้อย หรือาจจะจะดีกว่าก็ตรงที่ ตอนเย็น ๆ เธอจะมีเวลาได้ไปศึกษาเคสต่าง ๆ ได้มากกว่า เพราะไม่ต้องไปทำงานที่โรงพยาบาลอื่นอีก
วันวิวาห์จึงพอมีเวลาได้พบเพื่อนใหม่ ๆ ที่เป็นหมอเพื่อนบ้านที่พักอยู่บ้านใกล้ ๆ กัน

ซึ่งมันก็เป็นชีวิตที่แตกต่างจากที่เคยเป็นไปอีกแบบหนึ่งสำหรับเธอ แต่เธอก็จะเลือกไปสังสรรค์ไม่บ่อยครั้งนัก เพราะส่วนใหญ่เพื่อน ๆ หมอนั้น จะเป็นชายทั้งนั้น บวกกับการที่เธอเป็นคนที่เงียบขรึมกว่าหมอหลาย ๆ คน ดังนั้นเพื่อน ๆ จะเลือกชวนไปสังสรรค์ ไม่บ่อยนัก เพราะเกรงใจกลัวเธอจะไม่กล้าปฏิเสธ



วรากรณ์ยืนอมยิ้มอยู่หน้าบ้านด้วยใบหน้าของคนที่ดูจะมีความสุขไม่เปลี่ยนแปลงเลย เขามองดูลูกสาวคนเดียวที่เขาและภรรยารักปานดวงใจ ที่นั่งคุยกับกลุ่มเพื่อนอยู่ที่ศาลาริมน้ำของบ้าน เขาก็สังเกตเห็นว่าพักนี้ลูกสาวดูจะสดชื่นและมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าให้เขาเดาก็คงจะไม่พ้นการที่ลูกสาว ได้หมั้นหมายกับชนะชลเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

“ยิ้มอะไรคะคุณ” กิติยาเดินมาหาสามีและถามด้วยความอารมณ์ดีไม่แพ้กัน “ผมกำลังยิ้มให้ลูก ดูสิลูกเราดูสดใสร่าเริงกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ” เขาบอก “ก็จะอะไรหล่ะคะ ก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่พี่ชลจะมาเที่ยวบ้านนั่นหล่ะค่ะ ลูกเราหน่ะติดคุณชนะชลพอ ๆ กับติดเราเลยนะคะ แต่งงานกันไปแล้ว ไม่รู้จะติดคุณชนะชลมากกว่าเราหรือเปล่า” กิติยาบอกพร้อมกับยิ้มด้วยความเอ็นดู

“แล้วเมื่อไหร่สองแม่ลูกจะมาถึงหล่ะ ใกล้จะได้เวลาอาหารแล้วนะ” เขาถามภรรยา เพราะวันนี้นัดกับเอมอรและชนะชลมาทานข้าวที่บ้าน แล้ววันรุ่งขึ้นชนะชลจะต้องเดินทางไปพม่าเพื่อดูงาน “โทรมาเมื่อกี้ค่ะ บอกว่าอีกหน่อยก็ถึง งั้นฉันให้คนไปตามลูกกับเพื่อน ๆ มาเลยนะคะ” กิติยาบอก
“รอหน่อยก็ได้คุณ ให้เขาคุยกับเพื่อน ๆ สักพักก่อน รักกันดีจริง ๆ นะสาว ๆ กลุ่มนี้ ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้วไม่ยอมแยกกันไปไหนเลย”วรากรณ์บอก
“งั้นฉันว่าเราเข้าไปข้างในเถอะค่ะ ฉันจะไปดูความเรียบร้อยหน่อย แล้วสักพักจะบอกให้เด็กไปตามลูก” กิติยาบอก “เอาสิวันนี้รู้สึกหิวเร็วกว่าทุกวันด้วยนะ” วรากรณ์บอกและก็ตามภรรยาไปแต่โดยดี

“นี่ยายแพรว แล้วตกลงพี่ชลจะไปพม่านานหรือเปล่า แล้วไปพม่าหรือว่าไปปากช่องหรือว่าไปไหน” นุติพรถามเมื่อรู้จากกิติกร “ไม่รู้เหมือนกัน คงจะเป็นอาทิตย์มั้ง นุถามทำไมหล่ะ” กิติกรถาม
“เปล่าฉันก็แค่สงสัย แล้วเธอแน่ใจเหรอยายแพรว ว่าพี่ชลไม่รู้ว่าหมอย้ายไปอยู่ที่ไหน ไม่ใช่บอกว่าไม่รู้ ๆ แต่แอบพบกันหรอกนะ ฉันหล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่างพี่ชลจะไม่รู้ว่าหมอย้ายไปอยู่ไหน” นุติพรให้แง่คิด เพราะยังไม่ค่อยจะวางใจนัก

“ไม่หรอก ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ฉันแกล้งโทรไปถามป้าสุขแต่ป้าสุขก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วฉันยังโทรไปหาคุณเดือนเลขาฯพี่ชลด้วยนะ เขาบอกว่าพี่ชลไม่ได้ไปไหนหรอก ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และที่สำคัญนะ ฉันยังโทรไปหาคุณหมอวิทย์เพื่อขอเบอร์หมอด้วย แกล้งบอกว่าจะโทรไปคุยเวลาเหงา ๆ แต่คุณหมอบอกว่าให้ไม่ได้ เพราะหมอบอกว่าไม่อยากให้ใครรู้และไปรบกวน” กิติกรบอก

“ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็ค่อยโล่งในหน่อย แต่เธอก็อย่านอนใจมากไปหล่ะยายแพรว” อรวรรณเตือนด้วยความเป็นห่วง “รับรองฉันจะคอยโทรเช็คพี่ชลทุกฝีก้าวเลยหล่ะ” กิติกรบอกเพื่อนรัก “เอ่อ...ยายแพรววันนี้ทำอะไรเลี้ยงพวกเรา ชักจะหิวแล้วนะ”กรกนกถาม “ไม่รู้เหมือนกัน...อ้าว...ลุงคำเมืองมีอะไรคะ” กิติกรถามเมื่อคนรถเดินตรงมาที่ศาลา

“คุณแพรวครับ คุณท่านให้มาตามไปเตรียมตัวไปรอทานข้าวได้แล้วครับ คุณชนะชลกับคุณเอมอรใกล้จะมาถึงแล้วครับ” “เหรอ...ไงนกอยากรู้ใช่มั้ยว่ามีอะไรกิน งั้นไปเถอะพวกเรา” เธอหันไปหากรกนกแล้วก็บอกกับเพื่อนอีกสองคน ก่อนจะเดินนำเพื่อนเข้าบ้านไป โดยมีคำเมืองเดินตามไป
“ที่พม่าเป็นยังไงบ้างครับคุณชนะชล” วรากรณ์ถามขณะทุกคนกำลังอร่อยกับอาหารตรงหน้า

“ก็ยังไปไม่ถึงไหนครับ นี่ก็ต้องไปดูเองถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะใช้ที่ไหน” เขาบอกด้วยความสุภาพ
“คุณเอมอรก็เหงาแย่สิคะลูกชายไปหลายวัน” กิติยากล่าว “โอย...ดิฉันชินแล้วค่ะคุณกิติยา ตาชลอยู่บ้านซะที่ไหนคะ ไปโน่นมานี่เป็นประจำ กลัวแต่คุณแพรวสิคะจะเหงา เห็นบ่นน้อยบ่นใหญ่ว่าไม่อยากให้พี่ชลไปเลย” เอมอรบอกและยิ้มเมื่อหันไปมองลูกชายที่เอาแต่ตักอาหารเข้าปาก

“ก็คุณแพรวคิดถึงพี่ชลนี่คะคุณป้า” กิติกรบอกและยิ้มให้เอมอร “ฮึ่ม...คุณแพรวช่วยตักน้ำพริกหนุ่มให้พ่อหน่อยลูก” วรากรณ์กระแอมเพื่อเป็นการเตือนให้ลูกสาวระวังคำพูดมากกว่านี้ และกิติกรก็เหมือนจะรู้ว่าพ่อกำลังเตือน จึงหยุดพูดอยู่แค่นั้น แล้วก็ตักอาหารให้พ่อแทน
“แล้วตกลงคุณเอมอรรู้หรือยังคะว่าคุณหมอวาย้ายไปอยู่ที่ไหน นี่ก็นานแล้วนะคะ” กิติยารีบหาเรื่องมาคุยเพื่อไม่ให้การสนทนาสะดุด “อ้อ...ยังเลยค่ะ วันก่อนโทรไปหาแม่สุขก็เห็นบอกว่ายังไม่รู้เหมือนกัน หมอรวิทย์ไม่ยอมบอกใคร หนูวาคงจะอยากอยู่เงียบ ๆ มั้งคะ ก็เลยไม่อยากให้ใครรู้” เอมอรบอกตามที่รู้มา

“คงจะใช่มั้งครับ ดู ๆ คุณหมอก็เป็นคนไม่ค่อยจะช่างพูดเท่าไหร่ เอาแต่ทำงาน ดูอย่างพวกเราไปอยู่ที่โน่นสิครับ อยู่ตั้งนานแต่กว่าจะได้คุยกับแกทีก็จะเป็นวันหยุดมากกว่า รวยจะแย่ไม่รู้จะขยันทำงานไปทำไม” วรากรณ์บอก ทำให้กิติกรและเพื่อน ๆ หันไปหากันแล้วก็อมยิ้มด้วยความขำกับฐานะกำมะลอของวันวิวาห์

“คุณหมออาจจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินก็ได้นะคะคุณพ่อ ถึงได้ทำงานหนักขนาดนั้น จริงหรือเปล่าคะพี่ชล” กิติกรอดไม่ได้ที่จะประชดผู้ที่ถูกกล่าวถึง จนทำให้ชนะชลรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“พี่ไม่รู้ครับคุณแพรว” เขาบอกแค่นั้น แต่กิติกรก็สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาและเอมอรได้ไม่ยาก และมันก็ทำให้กิติกรและเพื่อนพอจะเดาได้ว่าเอมอรน่าจะรู้เห็นในเรื่องนี้ดี



“วันนี้คุณหมอจะให้ยุ ซื้ออะไรมาให้หรือเปล่าคะ ไม่รู้ว่าคนไข้จะเยอะเหมือนครั้งก่อนอีกมั้ย แต่ปกติเวลาคุณหมอเข้าเวรทีไร มักจะมีคนไข้เยอะค่ะ พวกเราเลยพลอยตื่นเต้นไปด้วย” ยุพา พยาบาลที่อยู่เวรร่วมกับเธอ เดินเข้ามาถามเธอที่ห้องพัก
“ค่ะ...ก็ดีเหมือนกัน เอาเป็นว่าวันนี้หมอเลี้ยงเหมือนเดิมนะคะ ยุพากับคนอื่น ๆ อยากจะกินอะไรก็ซื้อมาได้” เธอบอก พร้อมกับเปิดกระเป๋า หยิบธนบัตรใบสีม่วงมาให้ยุพาหนึ่งใบ พฤติกรรมแบบนี้ เธอก็มักจะทำกับพยาบาลที่เธออยู่เวรด้วยเกือบทุกครั้ง

เพราะลำพังเงินเดือนพยาบาลก็ค่อนข้างน้อย แทบจะไม่พอกินแล้ว แต่ยังโชคดีที่ช่วง เช้า กลางวัน และเย็นก็จะพากันฝากท้องไว้กับครัวของโรงพยาบาล ส่วนเธอก็จะเลี้ยงเพื่อนร่วมงานเฉพาะในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นมื้อดึกเท่านั้น เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดี

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ ยุจะจัดมาให้คุณหมอต่างหาก เอาเหมือนเดิมนะคะ แต่ตอนนี้ยุจะไปซื้อก่อนค่ะ” ยุพาบอกแล้วก็รีบออกไปกับเพื่อนพยาบาลอีกคน ทิ้งให้เธอที่วัน ๆ แทบจะไม่ค่อยได้พูดคุยเรื่องส่วนตัวกับใครเลย อย่างเช่นวันนี้ เพื่อนหมอลากลับบ้านสองคน เธอก็เลยต้องเหนื่อยกว่าปกติ แต่ในใบหน้าที่เรียบขรึม มันก็ซ่อนแววแห่งความสุขอยู่ในทีกับเพื่อนร่วมงาน

“คุณปู่คะ....วาคิดถึงคุณปู่จังเลยค่ะ ถ้าคุณปู่ยังอยู่ ป่านนี้บ้านเราคงจะมีความสุขมาก ๆ วาคงจะได้รักษาคุณปู่บ่อย ๆ เวลาที่คุณปู่ไม่สบาย”
เธอพึมพำคนเดียว แล้วก็อดไม่ได้เลย ที่จะหวนคิดไปถึงใครคนหนึ่ง ที่เธอพยายามจะลืม แต่ก็กลับเหมือนยิ่งหนี ก็เหมือนยิ่งมีเงาเขาคอยตามมาหลอกหลอนเธอไม่จบสิ้น
เพราะทุก ๆ ครั้งที่มีเวลาว่างและได้อยู่ตามลำพังคนเดียว ใบหน้าคมเข้ม หล่อเหลา และรอยจูบที่นุ่มนวลของเขา มันคอยที่จะตามมาย้ำเตือน ให้เธอนั้นเจ็บปวดอยู่ไม่วาย


“พี่ชลอย่าไปไหนนะคะ อยู่เป็นเพื่อนแพรวก่อนค่ะ เพลงกลัวค่ะ อย่าทิ้งคุณแพรวไว้คนเดียวนะคะ พี่ชลไม่รักคุณแพรวแล้วเหรอคะถึงจะทิ้งคุณแพรวเอาไว้คนเดียว”
“พี่ไม่ไปไหนหรอกครับคุณแพรว แค่จะไปส่งคุณหมอเท่านั้นเอง แล้วก็จะตามเพื่อนคุณแพรวมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย”
“ไม่เอาค่ะคุณแพรวไม่อยากให้ใครมาอยู่ทั้งนั้น นอกจากพี่ชลคนเดียว พี่ชลไม่รักคุณแพรวแล้วใช่มั้ยคะ ถึงจะให้คนอื่นมาอยู่กับคุณแพรว” “คุณหมอดูสิคะพี่ชลไม่รักคุณแพรวแล้วค่ะ”

“รักสิครับ ใครจะไม่รักคุณแพรวหล่ะครับ ก็คุณแพรวออกจะน่ารักขนาดนี้ พี่ไม่ไปไหนก็ได้ แต่คุณแพรวต้องนอนพักนะครับ ตื่นขึ้นมาจะได้สบายตัวขึ้นไง”
หญิงสาวนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยหน่าย และก็อดคิดถึงเขาไม่ได้ ภาพ และเสียงจากเหตุการณ์วันนั้นยังคงติดตาเธอมาไม่รู้จักจบสิ้น มันช่างเป็นความเจ็บปวดอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ที่เธอเองนั้นก็ไม่เคยประสบกับตัวเองมาก่อน แม้กระทั่งยามที่ต้องห่างจากรวิทย์ก็ตาม แล้วตัวเองก็ต้องรีบสลัดความคิดที่ล่องลอยออกไป ด้วยการลุกออกจากห้อง เพื่อหนีการอยู่คนเดียวอย่างไม่รอช้า



ใบหน้าที่ตื่นตระหนกของชายวัยกลางคน พร้อม ๆ กับวิงวอนพยาบาล เพื่อขอความช่วยเหลือ สร้างความวุ่นวายให้กับพยาบาล และหมอที่กำลังจะทำงานอยู่ไม่น้อย จนวันวิวาห์ที่หิ้วกระเป๋าเพื่อออกมาหลังจากที่ถูกพยาบาลโทรตามให้มาดูอาการคนไข้ เธอไม่วายที่จะต้องแวะไปดูต้นเสียง ที่ทำให้ผู้คนแทบทั้งโรงพยาบาลต่างพากันหันไปมุงดู

“มีอะไรคะหมอพี” เธอถาม เมื่อหมอพีระคือคนที่เข้าเวรคืนนี้
“อ๋อ...ก็นายคนนี้สิครับ จู่ ๆ ก็เข้ามาขอรับตัวหมอไปช่วยน้องที่ถูกงูกัด อยู่บ้านพักคนงานในป่าโน่นแหนะหมอวา ผมก็ถามว่าทำไมไม่เอาคนไข้มาที่นี่ เพราะบอกเขาไปแล้วว่าหมอที่นี่มีน้อย ไม่มีหมอคนไหนไปได้หรอก แกก็ไม่ยอมฟัง เอาแต่นั่งคุกเข่าขอผมอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาแล้ว บอกให้ลุกขึ้นก่อนก็ไม่ยอม ยังไง ๆ ก็จะขอรับหมอไปรักษาน้องให้ได้ เอายังไงดีหล่ะหมอวา” หมอพีระถามความเห็น

“คุณหมอครับช่วยด้วยครับ ช่วยน้องชายผมด้วย มันถูกงูเห่ากัด อาการเป็นยังไงยังไม่รู้ ตอนนี้กำลังเอาออกมาจากป่า มาไว้ที่บ้านพักอยู่ครับ” เขารีบคลานเข่ามาหาเธอแทน หลังจากที่เห็นท่าทีที่ไม่ยอมของหมอพีระ
“แล้วทำไมญาติ....ไม่เอาคนไข้มาโรงพยาบาลด้วยเลยหละคะ เพราะมารับหมอที่กว่าที่หมอจะไปมันก็เสียเวลาไม่น้อยนะคะ แล้วอีกอย่างญาติก็ยังไม่รู้ว่าจะมีหมอคนไหนไปรักษาให้ด้วยนะคะ” เธอถามด้วยความสงสัย เพราะหากเขาเสียเวลามารับหมอที่นี่ ก็น่าจะเอาคนไข้มาด้วยเลย

“มันถูกกัดอยู่ในป่าลึกครับ นายกำลังพามันออกมา แล้วพอดีกับผมเข้ามาทำธุระอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว พอนายโทรมาบอกผม ๆ ก็เลยบอกว่าให้นายพามันแวะที่บ้านพักก่อน เพราะผมคิดว่าถ้าผมรับหมอไปพร้อม ๆ กัน กว่าผมจะพาหมอไปถึง นายก็พาน้องผมมาถึงบ้านพักพอดี จะได้พบไปกันคนละครึ่งทางไงครับคุณหมอ เพราะทางระหว่างโรงพยาบาลไปบ้านพักก็พอ ๆ กันครับ

คุณหมอครับกรุณาเถอะครับ ผมรู้ว่ามันแปลกที่จู่ ๆ ผมมารับหมอกลางดึก แต่ผมไม่มีทางเลือกเลยครับ ผมขอให้สัญญาด้วยชีวิตของผมเลย ว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงทุกอย่าง และผมขอรับรองความปลอดภัยของหมอ ที่จะไปกับผมด้วยชีวิตผมเลยครับ กรุณาเถอะครับหมอ” เขายังคงคุกเข่าอ้อนวอนเธอและพีระอยู่อย่างนั้น

“แล้วรถ อี.เอ็ม.เอส หล่ะคะหมอพี” เธอถาม เพราะโรงพยาบาลจะมีรถบริการฉุกเฉินนอกพื้นที่เอาไว้บริการประชาชน หรือที่เรียกว่า รถ อี.เอ็ม.เอส นั่นเอง
“ไม่ว่างครับหมอ มีอุบัติเหตุที่แยกไฟแดงทางเข้าเมืองนี่เองครับ นี่ก็กำลังเอาคนเจ็บมาโรงพยาบาลหลายคนเหมือนกัน” หมอพีระบอกเธอ
“แล้วหมอเวรออนคอลหล่ะคะ วันนี้เป็นเวรใคร” เธอถามหาหมอที่มีเอาไว้เรียกเวลามีคนไข้ฉุกเฉินแล้วหมอไม่พอ “หมอสัญชัยค่ะ หมอวา แต่แกกำลังดูคนไข้ด่วนเข้ามาค่ะ” พยาบาลอีกคนบอก

“คุณหมอครับกรุณาช่วยน้องผมด้วยครับ ผมมีมันคนเดียว พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว ถ้ามันเป็นอะไรไปวิญญาณของพ่อกับแม่ต้องไม่ให้อภัยผมแน่ ๆ เลยครับ กรุณาเถอะครับ” เขายังคงอ้อนวอนเธอด้วยสายตาของคนที่ใกล้จะสิ้นหวัง “เอาหล่ะ ๆ หมอจะไปด้วย แต่คุณก็ต้องลุกขึ้นก่อน” เธอบอกในที่สุด
“หมอวา.....แน่ใจแล้วเหรอ มันอันตรายเกินไปนะหมอ ผมไม่เห็นด้วย” หมอพีระแย้ง แต่ก็ไม่ทันจะได้พูดอะไรมาก ก็มีคนไข้ด่วนเข้ามา
“คุณหมอคะ ๆ คนไข้อุบัติเหตุค่ะ สลบอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู ค่ะ” พยาบาลเข้ามารายงาน “เอาอย่างนี้นะหมอวา เอาบุรุษพยาบาลไปด้วยสักคนสองคนนะ อย่าไปคนเดียวเราต้องห่วงตัวเราด้วยนะหมอ ผมไปแล้วนะ” เขาบอกก่อนจะรีบวิ่งไปห้อง ไอ.ซี.ยู

“ผมขอรับรองครับคุณหมอ ถ้าคุณหมอไม่เชื่อใจผม จะทำอย่างที่คุณหมอคนเมื่อกี้ก็ได้ครับ ผมจะให้ยึดบัตรประชาชนผมไว้ก็ได้ ให้คุณพยาบาลเก็บไว้ก็ได้ครับ มาเถอะครับรถผมจอดอยู่หน้าโรงพยาบาล” เขาบอกพร้อมดึงกระเป๋าสตางค์และเอาไปบัตรประชาชนส่งให้พยาบาลอีกคนเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน ขอหมอเตรียมอุปกรณ์ก่อนนะ โดนงูอะไรกัดนะ....” เธอถามกับเขา พร้อมทั้งวิ่งไปที่ห้องจ่ายยา แล้วก็เขียนรายการเบิกยาให้เภสัชกรจ่ายยาให้ โดยมีเขาตามไปด้วยและทำการชำระเงิน แล้วชายคนนั้นก็รีบเดินนำเธอออกไปอย่างเร่งด่วน เธอได้แต่เดินแกมวิ่งตามเขาไปด้วยความรีบร้อน

พร้อม ๆ กับความคิดที่ว่า ถ้าเรื่องที่เขาบอกเป็นเรื่องที่โกหก เธอก็คงจะต้องยอมรับว่าเขาแสดงละครได้แนบเนียนมากทีเดียว มันมากพอที่จะทำให้เธอเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่วันวิวาห์ก็ยังคงเดินตามชายแปลกหน้าไปในอยู่นั่นเอง เพราะด้วยห่วงอีกชีวิตที่กำลังรอความช่วยเหลืออยู่นั่นเอง



ใบหน้าอ่อนหวาน ขาวใส กับรอยยิ้มที่ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ต้องเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่เคร่งเครียด แววตาที่อ่อนโยน กลับเปลี่ยนเป็นแววตาที่แข็งกร้าวแทน กิติกรวางโทรศัพท์ลงอย่างไม่แยแส ว่าคนที่รับสายนั้นจะรู้สึกอย่างไร

“หน่อยแหน่ะ ทำเป็นมาปิดฉันเรอะยายแก่ คอยดูนะ ถ้าฉันได้แต่งงานกับพี่ชลเมื่อไหร่ ฉันจะเฉดเธอ ออกจากบ้านเป็นคนแรกเลย ไม่เชื่อคอยดูฉันสิ” เธอรำพึงอยู่ในลำคอคนเดียว เพราะด้วยความระแวงว่าชนะชลอาจจะกลับจากพม่าแล้ว และก็อาจจะแวะไปที่ปากช่อง แต่เธอก็ต้องออกอาการโกรธจัดที่โทรไปถามสุขแต่สุสขก็ไม่ยอมบอกอะไร และเธอก็มั่นใจว่าสุขจงใจจะไม่ให้ความร่วมมือกับเธอ

“คุณแพรว....มีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมทำหน้าอย่างนั้น แม่ไม่เคยเห็นคุณแพรวทำหน้าแบบนี้เลยนะลูก มันไม่สวยเลย ทำไม...คุณแพรวโทรหาใครกันลูก” เสียงกิติยา ถามลูกสาวเพราะรู้สึกไม่สบายใจที่เดินมาเห็นกิริยา และสายตาของผู้เป็นลูกพอดี
“ไม่มีอะไรค่ะคุณแม่ คุณแพรวโทรไปหาพี่ชลค่ะ โทรไปที่ไหน ๆ ก็ไม่พบพี่ชลเลย โทรเข้ามือถือก็ไม่มีสัญญาณ คุณแพรวรู้สึกเป็นห่วงค่ะคุณแม่” เธอบอกพร้อมสวมกอดมารดา และซ่อนแววตาที่แสดงออก เมื่อสักครู่เอาไว้ในแววตาที่อ่อนหวานเช่นเดิม

“โถ...ลูกแม่ แล้วพี่ชลของลูกกลับจากพม่าแล้วเหรอคะ ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เรื่องซักทีนะบินไปบินมาตั้งหลายรอบแล้ว” กิติยาถามด้วยความสงสัย เพราะพักนี้ชนะชลไปพม่าบ่อยครั้ง พอถามเอมอรก็ได้ความว่ายังไม่ได้ที่ตั้งที่เหมาะ ๆ หรือพอเจอที่ถูกใจก็ติดตรงที่ยังตกลงกับทางส่วนราชการของพม่าไม่ได้บ้าง “คุณแพรวไม่รู้ค่ะ แต่เดาเอาว่าพี่ชลอาจจะกลับมาแล้ว และอาจจะอยู่ปากช่องค่ะ คุณแพรวก็เลยโทรไปถามป้าสุข แต่ป้าสุขก็เอาแต่บอกว่าไม่รู้ ไม่เห็น” เธอบอกตามจริง

“ป้าสุขคงจะไม่รู้จริง ๆ มั้งลูก หรือถ้าคุณชนะชลกลับมาอีกหน่อยแกก็คงจะมาหาลูกเองหล่ะลูก แม่ว่าคุณแพรวไม่ต้องไปห่วงพี่เขามากหรอกลูก พี่เขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว คุณแพรวยังไม่ชินอีกเหรอลูก อีกหน่อยถ้าแต่งงานกันไป พี่เขาก็ต้องไปแบบนี้บ่อย ๆ นะลูก คุณแพรวจะต้องหัดเอาไว้นะ เราเป็นลูกผู้หญิงสิ่งสำคัญที่สุดในการครองเรือนก็คือ เราจะต้องอดทนนะลูก” กิติยาเตือนสติผู้เป็นลูก

“คุณแม่คะ เมื่อไหร่คุณแพรวกับพี่ชลจะได้แต่งงานกันสักทีคะ นี่เราก็หมั้นกันจะครึ่งปีแล้วนะคะคุณแม่ ขืนปล่อยให้พี่ชลไปไหนต่อไหนนาน ๆ ถ้าเกิดพี่ชลไปเจอสาวคนอื่น ไม่ต้องทิ้งคุณแพรวหรอกเหรอคะคุณแม่” เธอบอกมารดาพร้อมทั้งไม่ลืมที่จะแสดงกิริยาท่าทาง ของสาวใสไร้เดียงสาให้มารดาได้เห็น

“โถ่...คุณแพรว...ทำไมคุณแพรวถามอย่างนี้ลูก ไม่เอานะคะ แม่ไม่ยอมนะ เราเป็นหญิงอย่าได้เที่ยวไปถามใครต่อใครแบบนี้นะ มันไม่งาม โดยเฉพาะกับพี่ชลนะลูก แค่แม่ไปทวงสัญญาเรื่องการหมั้นกับคุณป้าเอมอร แม่ก็อายจะเขาแย่อยู่แล้วนะคุณแพรว แล้วลูกก็อย่าเผลอพูดให้คุณพ่อได้ยินนะลูก คุณพ่อต้องไม่ชอบแน่ ๆ เลย และอีกอย่างนะคุณแพรว”

“และแม่อยากจะบอกคุณแพรวว่า ไม่ว่าพี่ชลหรือว่าผู้ชายคนไหน ๆ ก็ไม่มีใครกล้จะปฏิเสธคุณแพรวได้หรอกลูก คุณแพรวทั้งสวย ทั้งฉลาด ทั้งน่ารักแถมกิริยามารยาทเรียบร้อย สมกับความเป็นผู้ดี แล้วสมบัติพัสถานของเราที่มีอยู่จะใช้ทั้งชาติก็ยังไม่หมดเลย แล้วยังไม่รวมกับที่เรามีเชื้อมีสายเอาไว้ประดับบารมีอีก ถ้าพี่ชลจะตาต่ำทิ้งคุณแพรวไปหาคนอื่น แม่ก็คงจะต้องบอกให้คุณแพรวลืมเขาซะเถอะ แต่แม่เชื่อแน่ว่าพี่ชลไม่มีวันจะทำแบบนั้นแน่ จำคำแม่เอาไว้นะจ๊ะคุณแพรว” กิติยาปลอบใจลูกสาวไปอย่างนั้น

แต่ในแววตาของผู้เป็นแม่ บวกกับสัญชาตญาณของความเป็นผู้หญิง และผ่านร้อน ผ่านหนาวมานาน เธอแทบจะไม่แน่ใจและไม่มั่นใจในตัวว่าที่ลูกเขยเลยด้วยซ้ำ ว่ารู้สึกยังไงกันแน่กับบุตรสาวตัวเองกันแน่ เพราะเท่าที่เธอเห็นและเข้าใจก็คือ ชนะชลนั้นดูจะรัก และเอ็นดูลูกสาวเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น

เพราะจะว่าไปแล้วการหมั้นก็ทิ้งเวลามานานแล้ว แต่ชนะชลก็ยังไม่มีวี่แวว ว่าจะมาถามถึงเรื่องงานแต่งงานกับเธอและสามีเลย จะมีก็เพียงแค่เอมอรเพื่อนรักเธอเท่านั้น ที่คอยโทรหาและบอกว่าชนะชล ต้องไปโน่นไปนี่ไม่มีเวลาว่างเลย ซึ่งเธอเองก็เชื่อว่าเอมอรบอกความจริง แต่ชนะชลหล่ะ ที่หายไปไหน ๆ นั้นเพราะงานยุ่ง หรือจงใจที่จะหลบหน้าบุตรสาวเธอกันแน่

“คุณแม่แน่ใจเหรอคะ”
“แน่ใจสิจ๊ะลูกแม่”
“แต่คุณแพรวกลัวค่ะ กลัวว่าพี่ชลจะเปลี่ยนใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณแพรวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนคะ คุณแพรวไม่เคยเปิดใจให้ใครเลย ตลอดเวลาคุณแพรวรอพี่ชลคนเดียว” เธอบอกกับมารดา เพราะความรักที่มีให้ชนะชลนั้นมาก ๆ เกินกว่าที่เธอจะเปิดใจรับใครได้อีก ถึงแม้ว่าจะมีหนุ่ม ๆ ที่เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติมาเกยถึงบันไดบ้าน แต่เธอก็ไม่เคยเปิดใจรับ หากเพียงแต่ต้องต้อนรับ เพราะหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีเท่านั้น

“คุณแพรวลูกแม่ อย่าคิดอย่างนั้นลูก ไม่มีพี่ชลคุณแพรวของแม่ก็มีหนุ่ม ๆ มาแวะเวียนหาจนหัวบันไดไม่เคยแห้ง ถ้าเขาไม่เห็นความสำคัญของเรา ๆ ก็ไม่ต้องไปกังวลนะลูก เราจะต้องรักษาศักดิ์ศรีของเราไว้นะลูกนะ” เธอบอกลูกสาว

“คุณแม่คะ งั้นเราไปชวนป้าเอมอรไปหาที่ชลเหมือนคราวที่แล้วดีไหมคะ ไม่ต้องบอกให้พี่ชลรู้ตัวเหมือนคราวก่อนเลย พี่ชลจะได้ไม่ต้องหนีเข้าป่าอีก นะคะคุณแม่ ช่วยคุณแพรวด้วยนะคะ คุณแพรวคิดถึงพี่ชลค่ะ” เธออ้อนวอนมารดา จนกิติยานั้นอ่อนใจยอมพยักหน้ารับคำลูกสาว
“คุยอะไรกันเหรอแม่ลูกคู่นี้” วรากรณ์ที่เพิ่งจะเดินเข้าบ้านมาหลังจากกลับจากงานเลี้ยงสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อนจนดึกดื่น “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณ พอดีคุณแพรวนอนไม่ค่อยหลับก็เลยเดินลงมานั่งคุยกับดิฉันเรื่อง....เอ่อ...เรื่องเรียนต่อโทหน่ะค่ะคุณ” กิติยาหาเรื่องมาอ้างข้าง ๆ คู ๆ เพราะคิดอะไรไม่ออก

“จริงเหรอคุณแพรว คิดยังไงถึงอยากจะเรียนต่อหล่ะลูก แล้วพี่ชลของลูกเขาจะยอมเหรอ อีกหน่อยก็ต้องแต่งงานแล้วนะ” วรากรณ์ถามออกไปด้วยความสนใจ
“เอ่อ...คุณแพรวก็ถามคุณแม่ไปอย่างนั้นหล่ะค่ะคุณพ่อ พี่ชลคงไม่ให้คุณแพรวเรียนหรอกค่ะ” กิติกรก็รู้สึกอึดอัดที่จะแก้ตัวกับบิดา
“แต่ความจริงพ่อว่าคุณแพรวคิดเรื่องเรียนต่อก็ดีนะลูก สมัยนี้จบแค่ปริญญาตรีมันไม่พอหรอก ใจจริง ๆ ของพ่อแล้วนะ พ่ออยากจะให้คุณแพรวเรียนจนจบด๊อกเตอร์แล้วค่อยแต่งงานด้วยซ้ำ นี่ดีนะที่ว่าที่เจ้าบ่าวลูกคือคุณชนะชล ถ้าเป็นคนอื่นพ่อไม่ยอมหรอก” วรากรณ์บอกความตั้งใจที่มีแต่แรกให้ลูกและภรรยาฟัง

“ทำไมหล่ะคะคุณ” กิติยาถามด้วยความสงสัย
“อ้าว...ก็คุณแพรวหน่ะยังไม่โตเท่าไหร่เลย ให้เรียนมาก ๆ ก็ดี จะได้เอาความรู้มาช่วยผมบริหารงานไงหล่ะ คุณลืมแล้วเหรอ ว่าเรามีลูกแค่คนเดียว เกิดวันข้างหน้า ผมหมดแรงไป คุณแพรวจะได้ทำงานต่อจากผมไงคุณ” เขาอธิบายให้ภรรยาฟัง

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับพี่ชลหล่ะคะคุณพ่อ” กิติกรถามบ้าง
“ก็พี่ชลของลูกหน่ะทั้งเก่ง ทั้งขยัน มีความเป็นผู้ใหญ่สูง หน้าตาก็ดี ฐานะการเงินก็มั่นคง และที่สำคัญที่สุด และพ่อก็ถือว่าเป็นคุณสมบัติอันดับหนึ่ง นั่นก็คือคุณชนะชล เป็นคนดีมาก ๆ ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คดโกงกินใคร ข้อนี้หล่ะที่พ่อชอบ คนมีลูกสาวที่รู้จักกับเขา ก็อยากได้เป็นเขยทั้งนั้นหล่ะ” วรากรณ์บอกลูกสาว

“อ้าว...ถ้าเกิดพี่ชลไม่ใช่คนดีคุณพ่อก็จะไม่ยกคุณแพรวให้พี่ชลงั้นเหรอคะ” กิติกรเข้าไปโอบกอดบิดาแล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน
“ก็ไม่แน่นะลูก...แต่พ่อว่าพ่อดูคนไม่ผิดหรอกนะคุณแพรว ถ้าได้คุณชนะชลมาเป็นผู้นำครอบครัว ลูกสาวพ่อก็คงจะสบายไปทั้งชาตินั่นหล่ะลูก พ่อกับแม่ก็หมดห่วงด้วย” วรากรณ์บอกลูกสาวพร้อมทั้งใช้มือลูบศีรษะอย่างรักใคร่

“แม่ว่าดึกมากแล้ว ทั้งคุณพ่อและคุณลูกเข้านอนกันเถอะค่ะ” กิติยาเข้ามานั่งใกล้ ๆ สามีและลูก
“ก็ดีเหมือนกันนะ วันนี้รู้สึกเหนื่อยมากเลย” วรากรณ์เห็นด้วย
“ค่ะคุณพ่อ แต่มีข้อแม้ว่าคืนนี้จะต้องให้คุณแพรวนอนด้วยนะคะ” กิติกรบอกและยิ้มให้พ่อแม่ด้วยแววตาที่สดใส “เอางั้นเหรอลูกสาวพ่อ
อะไรกันโตจนจะแต่งงานอยู่แล้ว ยังจะมาขอนอนกับพ่อแม่อีก”

“ก็คุณแพรวคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่นี่คะ นะคะคุณพ่อ” เธออ้อนวอนผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน
“จ้าลูกสาวพ่อ อ้อนเก่งได้ใครนะคุณ เอ้า...งั้นก็ไปกันเลย” วรากรณ์บอก พร้อมทั้งลุกขึ้นโดยมีลูกสาวที่ยังคงยึดครองมือของเขาเอาไว้ไม่ห่าง







 

Create Date : 27 กันยายน 2551
0 comments
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 10:27:30 น.
Counter : 367 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.