Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
23 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
ชลวาห์กาล ๘ (ธัญรัตน์)




เขาเฝ้ามองใบหน้าที่ขาวซีด เพราะความตกใจ หลังจากที่วางเธอไว้บนเตียง แล้วก็จัดแจงหาผ้าชุบน้ำเย็น ๆ เช็ดหน้าให้ ไม่นานดวงตาที่หลับสนิทก็เปิดขึ้น แล้วเธอก็พบกับใบหน้าที่คมสัน ที่หายหน้าไปเสียนานของเขา
“คุณชนะชล คุณเองหรือคะ” เธอถามเพราะไม่แน่ใจว่าเงานั้นเป็นใคร ก่อนที่เธอจะหมดสติไป

“ใช่ผมเอง แต่ไอ้คนที่คุณเห็นก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ผมนะ มันวิ่งหนีไปแล้ว ผมได้ยินเสียงคุณเดินก็เลยออกมาดู” เขาบอกให้เธอเข้าใจอะไร ๆ ได้ดีขึ้น
“ฉันไม่รู้ว่าคุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอสงสัย

“ผมมาได้สักพักแล้ว อาบน้ำเสร็จก็ลงไปเดินเล่นในสวนหน้าบ้าน พอเข้ามาก็เห็นเงา ๆ ก็เลยตามมาดู แต่ก็ไม่ทันแต่เจอคุณแทน..นอกจากคุณจะเป็นหมอแล้ว คุณยังอยากจะเป็นตำรวจด้วยเหรอ แล้วถ้าคนที่คุณหันมาเจอไม่ใช่ผม คุณจะเป็นยังไงคุณรู้มั้ย....มีอะไรทำไมคุณไม่เรียก รปภ. ผมจ้างเขาไว้เดือนหนึ่ง ๆ หลายบาทอยู่นะคุณ” เขาเล่าให้เธอฟัง...พร้อมกับตำหนิในที

“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณมากค่ะ ที่ช่วยเอาไว้” เธอพูดและพยุงตัวให้ลุกขึ้น เพื่อจะเดินไปส่งให้เขาออกไปจากห้อง เพราะรู้สึกว่าตัวเอง ไม่อยู่ในสภาพที่จะต้อนรับแขกสักเท่าไหร่ เพราะชุดที่เธอใส่นั้นค่อนข้างจะบาง และก็มีเพียงเสื้อคลุมที่บางไม่แพ้กัน คลุมเอาไว้แค่นั้นเอง และเธอก็คิดว่าการที่ทั้งสองมาอยู่ในห้องในยามวิกาลแบบนี้ ดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เขาเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้ไม่แพ้กัน

“งั้นคุณพักผ่อนเถอะนะ ผมจะกลับห้องแล้ว” เขาพูดพร้อมลุกขึ้น แล้วก็เดินนำไปยังประตู โดยมีวันวิวาห์ตามไปติด ๆ
“อุ๊ย”
สิ้นเสียงอุทานของเธอ เขาต้องรีบคว้าร่างเธอเอาไว้ เพราะเธอคอยแต่พะวงเรื่องการแต่งตัวของตัวเอง ที่ไม่ค่อยจะรัดกุมสักเท่าไหร่ จนไม่ทันได้เห็น ว่าเขาหยุดเดินแล้วก็หันมาหาเธอ เพราะนึกขึ้นได้ว่าจะถามอะไรก่อนไป แต่ก็ไม่ทันได้ถาม

อกอวบอิ่มก็มาประชิดกับอกหนานุ่มของเขาอย่างช่วยไม่ได้ คงด้วยเพราะแรงที่เขาใช้รวบร่างเธอเอาไว้ไม่ให้ล้มนั่นเอง หญิงสาวรู้สึกหวั่นไหว กับการที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขา อย่างบอกไม่ถูก ไม่มีคำพูดจากเขาและเธอ เขายังคงรั้งร่างนั้นกอดเอาไว้เหมือนกลัวเธอจะล้ม

แล้วมืออีกข้างก็เผลอมาเชยคางมนให้แหงนขึ้นไปมองเขาตรง ๆ ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะมีร่างที่ผอมบาง และสูงกว่าผู้หญิงไทยหลาย ๆ คน แต่เมื่อได้ยืนเทียบกับเขาแล้ว เธอก็ยังต่ำกว่าเขามากอยู่นั่นเอง เขามองใบหน้าเธอในยามที่ไม่มีแว่นตาปกปิดดวงตาเอาไว้ และก็รับรู้ได้ว่ามันช่างน่ามองเหลือเกิน

มือที่เชยคางเผลอยกไปแตะที่แก้มขาวเนียนอย่างทะนุถนอม และก็ไม่แตกต่างจากสายตาคู่สวย ที่จ้องมองใบหน้าเขาอย่างตั้งใจไม่แพ้กัน ในความรู้สึกเธอนั้น เขาช่างเป็นผู้ชายที่มีหน้าตาดีเหลือเกิน ท่าทางของเขา ทุกท่วงท่าและทุก ๆ อิริยาบถของเขาช่างดูดีมาก ๆ ในสายตาเธอ

และเธอเองก็ไม่เข้าใจว่า เขาอยู่โดยไม่มีใครมาได้ยังไงถึงป่านนี้ ถ้าให้เธอเดาอายุของเขา ก็ไม่น่าจะเกินสามสิบห้า หรืออ่อนกว่านั้น แต่เธอก็ไม่เคยจะไต่ถามจากใคร ไม่ว่าจากดวงแข หรือจากสุข ด้วยเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะ ที่เป็นหญิงแล้วไปถามถึงผู้ชาย และเธอก็ไม่อยากให้ใครเข้าใจไปในทางที่ผิด ๆ ด้วย

ดวงตาคมเข้มของเขายังคงมองที่ใบหน้ารูปไข่ อย่างจับจ้อง แล้วเขาก็ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากบางได้รูปนั้นอย่างตั้งใจ จูบที่อ่อนหวานนุ่มนวลของเขา ทำให้เธอลืมไปว่าเขาเป็นใคร หญิงสาวรู้สึกเป็นสุขเหลือเกิน ที่ได้รับรู้รสสัมผัสจากเขา

วงแขนของเขากระชับร่าง ที่อยู่ในชุดนอนบางเบา ที่มีแต่เสื้อคลุมเนื้อบางห่อหุ้มเอาไว้ ลิ้นของเขา ควานหาความหอมหวาน บนเรียวปากงามไปแทบทุกส่วน ในความรู้สึกของเขาเวลานี้ ช่างเป็นสุขเหลือเกิน และเขาแน่ใจเหลือเกินว่า ความรู้สึกแบบนี้ มันไม่เคยเกิดขึ้นกับหญิงใดมาก่อนเลย

ก็ไม่ใช่เพราะเจ้าของร่างที่เขาโอบกอดเอาไว้นี่หรอกหรือ ที่มันคอยจะมีอิทธิพลทำให้ความแค้นของเขา...ที่เมื่อก่อนมันเหมือนไฟกองมหึมา...ที่พร้อมจะเผาไหม้ทุก ๆ สิ่งที่เข้ามาให้มอดมลายลงไป......กลับค่อย ๆ คลายลง จากแรกเริ่มที่เขาคิดจะเล่นงานเธอแทนพ่อให้แสนสาหัส...โดยการคิดดอกเบี้ยให้หนัก ๆ และให้เวลาในการใช้หนี้ที่จำกัด และตั้งใจว่าจะให้เธอ ไปอยู่เรือนหลังเล็กรวมกับคนใช้ด้วยซ้ำ

แต่เพียงแค่เขาได้ดูรูป และได้เห็นตัวจริงของเธอแค่ในวันแรก เธอก็มีอิทธิพลต่อจิตใจเขามากเหลือเกิน จนเขาต้องเปลี่ยนใจ และคิดแค่เงินต้นที่พ่อเธอนั้นเอาไปถลุงในบ่อน ที่เขาเองเป็นเพื่อนกับเจ้าของบ่อน แล้วให้เพื่อนแกล้งปล่อยเงินให้สุเมธกู้ทีละมาก ๆ จนติดกับในที่สุด แล้วก็เอาบ้านและทรัพย์สินไปจำนองในเวลาต่อมา และในที่สุดเขาก็จบชีวิตตัวเองแล้วจากไป

มือหนานุ่มลูบไปมาเบา ๆ ที่แผ่นหลัง ร่างบอบบาง นุ่มละมุนของเธอ มันช่างเต็มไปด้วยมนต์ขลัง ที่ผู้ใดได้เข้าใกล้แล้ว ช่างยากที่จะผละจากไปได้ง่าย ๆ เสียเหลือเกิน เขาดูดดื่มหาความหอมหวานจากริมฝีปากเนิ่นนานอย่างลืมตัว

และดูเหมือนหญิงสาวจะได้สติก่อน จึงใช้มือดันหน้าอกของเขาเอาไว้ และมันก็เรียกสติเขากลับมาด้วยเช่นกัน เขาจำใจต้องถอนริมฝีปากออก ด้วยความเสียดายในรสสัมผัสที่หอมหวานยิ่ง

ไม่มีคำพูดจากทั้งสอง ในที่สุดเขาก็ปล่อยให้เธอเป็นอิสระ และก็กลับออกไปจากห้องด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข พร้อมทั้งยิ้มให้ตัวเองอย่างลืมตัว แต่แล้วก็นึกโกรธการกระทำตัวเองยิ่งนัก ที่เผลอไปเผยความอ่อนไหวให้เธอได้เห็น
มันช่างเป็นค่ำคืนที่ยาวนานเหลือเกิน

สำหรับวันวิวาห์ ที่พยายามจะหลับตาลง ให้ลืมเรื่องราวเมื่อสักครู่ให้หมดไป แต่รสสัมผัสของเขาเมื่อไม่นานมานี้ มันช่างตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอ จนบางครั้งเธอนั้นเผลอเอามือมาแตะริมฝีปาก เมื่อนึกถึงสัมผัสจากเขา แล้วก็ยิ้มออกมาด้วยความอายเหลือคณา เพราะถึงแม้เธอไปจะร่ำเรียนถึงเมืองนอก แต่ก็ไม่เคยต้องมือชาย และจูบจากชายใดเลย

แม้กระทั่งกับรวิทย์ ทั้งสองคนรักและสนิทกันเกินกว่าที่จะมีความรู้สึกแบบนี้ ถึงแม้รวิทย์นั้นจะปรารถนาอยู่บ้าง แต่ก็หยุดความคิดเอาไว้ เพราะเขาไม่เห็นวี่แววที่วันวิวาห์จะรู้สึกแบบนั้นกับเขาเลย


ใบหน้าคมเข้มเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะเขาเองก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับไปได้ เขานั่งมองรูปเจ้าของร่างที่เขาเพิ่งจะประทับรอยจูบเอาไว้อย่างสับสน ภาพที่เธอส่งมาให้ผู้เป็นพ่อหลาย ๆ ใบ ถูกเขาเก็บเอาไว้ในลิ้นชัก ที่ล็อคกุญแจเอาไว้อย่างแน่นหนา ราวกับไม่อยากให้ใครค้นพบ ว่าแท้ที่จริงแล้ว เขานั้นได้มอบหัวใจให้กับสาวน้อยหน้าใส ที่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในงานศพของคนที่เธอรัก เมื่อหลายสิบปีก่อนนั่นเอง

เพราะด้วยความที่เขาอยากจะรู้ ว่าคนที่บิดาประสบอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิตไปพร้อมกันนั้นคือใคร และเขาก็ตามมาจนเจอ และก็อดสงสารไม่ได้ เพราะเห็นเด็กน้อยที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด แต่พอเขาได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเองว่า แท้ที่จริงแล้วเด็กน้อยคนนั้นก็คือ ทายาทที่ทำให้ครอบครัวเขาแตกดับไม่มีชิ้นดี เขาก็พับเก็บความรู้สึกนั้นเข้าลิ้นชัก และล็อคไว้อย่างแน่นหนา ประหนึ่งว่ากลัวใครจะมาเปิดมันออกมา แต่กลับเป็นตัวเขาเองต่างหาก ที่เป็นคนเปิดมันออกมา

ร่างสูงใหญ่นอนทอดไปกับที่นอน พร้อมทั้งกอดรูปเธอเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างนั้นถูกเอาไปพาดไว้ที่หน้าผาก พร้อมกับสีหน้าที่เหนื่อยอ่อนกับอาการที่แพ้ใจของตัวเองเหลือเกิน


อาหารเช้าถูกจัดไว้สามที่โดยมีเขานั่งในตำแหน่งหัวโต๊ะ สุขอยู่ด้านซ้าย และด้านขวาเป็นเจ้าของใบหน้าสวย ที่เขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอเธอ ก่อนเวลาอาหารเช้ามาแล้วสิบห้านาที

หญิงสาวเดินลงมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ดวงตาเปล่งเป็นประกาย เมื่อมองไปที่เขา และมันก็ประจวบเหมาะพอดี ที่เขาละสายตาจากหนังสือพิมพ์ แล้วก็มองสบตาไปที่เธอพอดี เธอเดินไปนั่งที่ และก็เงียบเหมือนกับหลาย ๆ เช้า จนทำให้เขาสงสัยยิ่งนักว่า

“หมอทุกคนจะต้องมีลักษณะที่เงียบขรึม แล้วก็ยิ้มยาก แถมยังปั้นหน้าดุเมื่อยามรักษาคนไข้หรือไม่ เพราะถ้ามันใช่หละก็ คนที่นั่งข้าง ๆ เขานี้ ก็คงจะเป็นหมอที่สมบูรณ์แบบเหลือเกิน เพราะใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืนของเธอนั้น ทำให้เขาอยากจะรู้ว่าเธอรู้สึกกับเขาอย่างไรกัน”
แต่เขาก็ให้แปลกใจ ที่จู่ ๆ รอยยิ้มบนใบหน้างามก็ปรากฏให้เขาเห็น เมื่อเขายิ้มให้เธอเพื่อเป็นการทักทาย

“วันนี้มีข้าวต้มกุ๊ย ผัดผักคะน้าน้ำมันหอย ยำไข่เค็ม และผักกาดดองที่คุณชนะชลชอบค่ะ ป้าไม่ได้ทำให้ทานนานแล้ว คุณชนะชลเล่นหายไปนานสองนาน จะมาก็ไม่ค่อยจะโทรมาบอกก่อนด้วย” สุขพูด พร้อมกับอมยิ้ม ที่เห็นใบหน้าของทั้งสองแตกต่างจากหลาย ๆ ครั้งที่นั่งกินข้าวด้วยกัน

“ช่วงนี้ผมคงจะได้อยู่ที่นี่นานหน่อยครับ เพราะว่าต้องมาดูงานที่นี่ด้วย” เขาบอก เพราะต้องมาดูแลงานของเขาที่ยึดมาได้จากสุเมธ และเขาก็ดีใจเหลือเกินที่เขาได้มาทำต่อจากสุเมธ เพราะลำพังทายาทคนนี้ คงจะไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์และกำไรมากเท่าไหร่ เธอคงจะเห็นความสำคัญของการรักษาคนไข้ มากกว่าทรัพย์สมบัตินั่นเอง

“ที่โรงพยาบาลยุ่งมั้ย” เขาถามเธอ และส่งสายตาที่อ่อนโยนให้เธออย่างตั้งใจ
“ที่โรงพยาบาลของอำเภอจะยุ่งค่ะ ส่วนที่เอกชนจะยุ่งเป็นบางวัน” เธอบอกและยิ้มให้เขาด้วยความมีไมตรี

“ขอบคุณค่ะ” เธอบอกพร้อมกับยิ้มบาง ๆ เพราะเขานั้นเอื้ออาทรเธอ ด้วยการตักอาหารใส่ชามข้าวต้มให้
“คุณผอมมากไปแล้ว ควรจะกินเยอะ ๆ นะ จะได้เอาแรงไปรักษาคนไข้ได้” เขาบอกและยิ้มให้ด้วยแววตาที่หวานซึ้ง และมันก็ทำให้สุขที่นั่งดูอยู่นั้น แอบยิ้มด้วยความสุขใจ

เพราะในความรู้สึกของเธอนั้น เธอปรารถนาที่จะให้ทั้งสองได้ มีความรู้สึกที่พิเศษต่อกันเหลือเกิน ถ้าเป็นไปได้ ทุกอย่างก็คงจะลงตัวได้ดี เพราะเขาคือผู้ที่ต้องทำหน้าที่รักษาธุรกิจและคฤหาสน์หลังนี้ ให้คงสภาพเอาไว้เหมือนสมัยที่กุศลและภรรยายังอยู่

ส่วนวันวิวาห์ก็ได้ทำในสิ่งที่เธออยากจะทำ มันช่างลงตัวกันเหลือเกิน สำหรับคนทั้งสอง ส่วนกับรวิทย์สุขเองก็ไม่ได้มองว่าเขาเสียหายอะไร ทั้งเขาและครอบครัวก็รักวันวิวาห์ไม่น้อย แต่พวกเขาคงจะไม่สามารถมารักษา และสานต่อเจตนารมณ์ของกุศลได้ เหมือนชนะชลเป็นแน่ แต่ไม่ว่านายสาวของเธอจะลงเอยที่ใคร สุขก็พร้อมที่จะรับด้วย

“ตาชล....” คนทั้งสามตกใจกับเสียงเรียกชื่อสั้น ๆ ของเขา และก็หันไปหาต้นเสียง ก็พบหญิงวัยห้าสิบกว่า ๆ ที่แต่งกายภูมิฐาน บ่งบอกฐานะได้ไม่ยาก
“คุณแม่...มาได้ยังไงครับ ไม่เห็นบอกให้ผมรู้จะได้ไปรับครับ” เขาตกใจที่ได้เจอมารดา โดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน เพราะก่อนเขาบินไปดูลาดเลาที่ตั้งโรงงานที่พม่า ขากลับก็แวะมาที่นี่เลย แต่ก็ไม่เห็นมารดาบอกว่าจะมาหาที่นี่เลย เขารีบลุกและเดินเข้าไปกราบแนบอกมารดา พร้อมสวมกอดเอาไว้อย่างรักใคร่

“ถ้าบอก.....เราก็ไม่เซอร์ไพรส์สิจ๊ะ....พ่อลูกชายตัวดี....มามะ...มาให้แม่หอมก่อน....คิดถึงจังเลย อะไรกัน วัน ๆ เอาแต่ไปโน่น ไปนี่ เข้าป่าบ้างหล่ะ ไม่รู้มีอะไรนักนะป่าเนี๊ย ชอบจังเลย ไม่ไปหาแม่บ้างเลย ใจจริงจะทิ้งให้แม่เฉาตายหรือยังไงลูก” เธอบ่นลูกชายแล้วก็เข้าไปกอดและหอมแก้มเขา สร้างความแปลกใจให้วันวิวาห์ไม่น้อย และก็อดขำไม่ได้ กับบุคคลิคที่เงียบขรึม ดุดันเป็นบางโอกาสอย่างเขา เวลาอยู่กับมารดาแล้วจะอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้

“คุณแม่นั่งก่อนครับ ทานอะไรมาหรือยัง” เขาจัดแจงหาที่นั่งให้มารดา โดยมีวันวิวาห์ที่ลุกขึ้นยืนตั้งแต่ที่เอมอรเดินเข้ามาแต่แรก คอยจัดเก้าอี้ให้อย่างคนรู้กาลเทศะ
“คุณคงยังไม่เคยเห็นคุณแม่ผม นี่คุณแม่เอมอร” เขาแนะนำเธอให้รู้จักกับมาราดา “สวัสดีค่ะ...เอ่อ...” เธอไหว้อย่างนอบน้อม และก็ออกอาการอึกอัก เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกเอมอรว่าอะไรดี

“เรียกป้าก็ได้จ๊ะหนูวา ได้พบกันซักทีนะ ได้ยินแต่ชื่อหนูมานานหลายปีแล้ว ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ๊ะ” เอมอรยิ้มและรับไหว้เธอ พร้อมกับทักทายด้วยความเป็นกันเอง และมันก็ทำให้เธอนั้น คลายความกังวลไปได้มากทีเดียว เพราะเพียงแค่แรกเห็นเอมอร เธอก็กลัวว่าเอมอรนั้นจะจงเกลียดจงชังลูกหนี้ ของลูกชาย เหมือนกับเขาเสียแล้ว

“ขอบพระคุณค่ะคุณป้า” เธอกล่าว “ตาชล....รู้มั้ย...ว่าแม่มากับใครเอ่ย” เอมอรบอกยิ้มด้วยความภูมิใจ ที่จะบอกให้เขารู้กับเพื่อนร่วมเดินทางมาด้วยในครั้งนี้ พร้อมกับเดินออกจากห้องอาหาร และกลับมาพร้อม ๆ หญิงสาวสวย สง่าในชุดสีครีมที่เสื้อกับกระโปรงติดกัน
“คุณแพรว..คุณลุง...คุณป้า” เสียงเขาเรียกคนทั้งสามอย่างสนิทสนม พร้อมกับเดินเข้าไปไหว้ด้วยความนอบน้อม “เชิญครับ” เขาเชิญทุกคนนั่ง
“คุณวันวิวาห์ครับ นี่คุณวรากรณ์ โสธรกุลครับ และคุณป้ากิติยาเป็นภรรยาคุณลุง แล้วนี่คุณกิติกร หรือคุณแพรว เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณลุงกับคุณป้าครับ” เขาแนะนำให้เธอรู้จัก

“และนี่...คุณหมอวันวิวาห์ ..... ทายาทของที่นี่ครับ” เขาแนะนำเธอ และก็ไม่ลืมที่จะไว้หน้าเธอ ด้วยการคืนความเป็นเจ้าของคฤหาสน์แต่เพียงในนามให้เธอ
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เธอกล่าวพร้อมยกมือไหว้ผู้อาวุโสทั้งสอง และยิ้มให้กิติกรด้วยแววตาที่เป็นมิตร “เช่นกันครับคุณหมอ” วรากรณ์ทักทายเธอด้วยน้ำเสียง และแววตาที่เป็นมิตร

“ตาชลไม่ยอมไปหาคุณแพรวนี่ แม่ก็เลยพาคุณแพรวมาเที่ยวที่นี่ซะเลย” มารดาเขาพูดเป็นเชิงตำหนิ “ผมยุ่งนี่ครับแม่ และคุณแพรวเองก็ไม่ค่อยจะว่าง เวลาผมไปหาก็เอาแต่อ่านหนังสือนี่ครับ ....จริงมั้ยครับคุณแพรว” เขาพูดกับมารดาและหันไปหา สาวน้อยหน้าใส พร้อมทั้งรอยยิ้มที่แสนหวาน
“ก็คุณแพรวกำลังอ่านหนังสือสอบนี่คะ ก็เลยไม่ค่อยว่างค่ะ แต่ตอนนี้คุณแพรวเรียนจบแล้วนะคะพี่ชล” หญิงสาวพูดด้วยท่าทาง กิริยามารยาทที่อ่อนหวาน

“เอ่อ...งั้นเชิญตามสบายนะคะ ดิฉันขอตัวก่อน” วันวิวาห์บอกด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ พร้อมทั้งเดินออกไปจากห้องอาหารเพื่อเปิดทางให้เขา และแขกได้คุยกันได้สะดวก
“ป้าก็ขอตัวนะคะคุณชนะชล ป้าจะไปเตรียมจัดห้องให้ค่ะ” สุขก็ตามเจ้านายสาวไปติด ๆ ชนะชลมองตามร่างที่เดินหายจนลับตาไป หากไม่มีแขก เขาก็อยากจะรั้งร่างนั้น เอามาแนบกอดเอาไว้ไม่ยอมให้ห่างเลย แต่เขาก็ต้องหันมาหาสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเกรงใจ....


หญิงสาวออกจากห้องหนังสืออีกที ในเวลาใกล้อาหารเที่ยง เพราะไม่อยากจะเสียมารยาทของเจ้าของบ้านที่ดีที่เขาอุตส่าห์คืนให้ชั่วคราว แล้วเธอก็พบว่ายังไม่มีใครลงมา จึงเดินไปดูในครัว ทั้ง ๆ ที่ร้อยวันพันปีนั้น เรื่องอาหารการกินของบ้าน เธอไม่เคยต้องเข้าไปยุ่งเลย เพราะที่บ้านมีคนคอยทำให้ จนแทบจะป้อนเข้าปากมาตั้งแต่เธอยังเด็กแล้วก็เป็นได้
สุขและเด็ก ๆ ที่กำลังวุ่นกับการจัดอาหาร จึงรู้สึกแปลกใจที่เห็นร่างเจ้านายสาวปรากฏตัวในครัว

“คุณวา....จะเอาอะไรหรือเปล่าคะ ป้าเตรียมอาหารใกล้เสร็จแล้วค่ะ วันนี้ป้าทำขนมจีนแกงเขียวหวาน ลูกชิ้นปลากรายค่ะ คุณเอมอรเธอชอบ และก็มีไข่ต้มด้วย ส่วนของหวานก็มีสลิ่มกับทับทิมกรอบน้ำกะทิสดค่ะ” สุขรายงานเจ้านาย
“ไม่มีอะไรค่ะ เพียงแต่วาอยากจะมาดูเท่านั้นเอง คุณเอ่อ...คุณเอมอรมาที่นี่บ่อยหรือเปล่าคะป้า” เธอถามเพราะอยากจะรู้
“ก็ไม่บ่อยค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ส่วนคุณกิติยา กับคุณวรากรณ์ และคุณแพรวก็มาครั้งนี้เป็นครั้งที่สองค่ะ” สุขรายงานเธอด้วยแววตาที่ห่วงใยกับความรู้สึกของเธอยิ่งนัก แต่วันวิวาห์ก็เก็บความรู้สึกเอาไว้ภายใน และฉาบไว้ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

“เหรอคะ วานี่แย่จังนะคะ ไม่ค่อยจะได้รู้เรื่องอะไรเลย” เธอบอก
“คุณวาไม่ได้อยู่บ้านนี่คะ คุณเอมอรยังถามถึงคุณวากับป้าทุกครั้งที่มาเลยค่ะ เธอใจดี เหมือนคุณชนะชลค่ะ แล้วคุณแพรวก็น่ารัก สมกับที่เธอและครอบครัวสืบเชื้อสายเจ้าใหญ่นายโตมาค่ะ” สุขบอก
“แล้วไปไหนกันหมดคะ จะถึงเวลาอาหารแล้ว” เธอถามเพื่อตัดบท เพราะไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว

“โน่นค่ะ อยู่กันที่บึงค่ะ ไปพายเรือเล่น คุณแพรวเธอชอบที่นั่นพอ ๆ กับคุณวาเลยค่ะ แต่น่าจะมาแล้วนะคะเพราะคงจะหิวกันแล้วหล่ะค่ะ” สุขบอก “เหรอคะ งั้นเดี๋ยววาไปช่วยดูความเรียบร้อยให้นะคะ” เธอบอกแล้วก็เดินออกจากครัวตรงไปหน้าบ้าน แล้วก็เห็นกิติกรในชุดกางเกงสีขาวที่ขาสั้นแค่เข่า กับเสื้อพอดีตัวสีเหลืองกำลังเดินมาจากบึง
โดยมีเขากางร่มให้ และเดินเคียงข้างกันมาอย่างสนิทสนม ท่าทางของทั้งสองดูช่างมีความสุขกับการได้คุยกัน อย่างออกรสเหลือเกิน จนเธอนั้นต้องรีบผละจากประตู แล้วมาหยุดรอที่ห้องอาหาร…

“วันนี้แม่สุขทำอะไรทานจ๊ะ....หนูวา” เสียงเอมอรถาม ขณะที่เดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับแขกอีกสองคน และมีเขากับกิติกรตามมาติด ๆ
“ขนมจีน แกงเขียวหวาน ลูกชิ้นปลากรายค่ะคุณป้า เชิญนั่งค่ะ เชิญทุกคนค่ะ” เธอลุกขึ้นตามมารยาท และเอมอรก็เข้าไปนั่งที่ตำแหน่งหัวโต๊ะ พร้อมทั้งคนอื่น ๆ ก็นั่งตาม
“คุณแพรว....ไปเกเรอะไรพี่ชลอีกหรือเปล่าเรา” วรากรณ์ถามลูกสาวด้วยความเอ็นดู “คุณแพรวเปล่าค่ะคุณพ่อ แค่ให้พี่ชลพาพายเรือเที่ยวในบึงแค่นั้นค่ะ” เธอบอกด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“เลยต้องรบกวนคุณชนะชลเลย” กิติยาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ไม่เลยครับ ผมเองไม่ได้ไปหาคุณแพรวนานมากแล้วครับ นาน ๆ จะได้ตามใจสักที ไม่เป็นไรครับคุณป้า” เขาบอก แล้วก็หันไปหาเจ้าบ้านจำแลง ที่เอาแต่นั่งฟังคนอื่นคุยกัน โดยไม่พูดจาอะไร

“วา...วิทย์มาแล้วจ๊ะ” เสียงรวิทย์ดังมาก่อนตัวจะถึงห้องอาหารเสียอีก แล้วเขาก็ต้องตะลึงกับแขกที่เต็มโต๊ะอาหาร เพราะเมื่อวานที่เขามาหาสุขก่อนไปรับวันวิวาห์ รู้ว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แม้กระทั่งชนะชล ที่เขาได้ยินแต่ชื่อเสียงเรียงนามของเขาจากพ่อแม่ เกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้สุเมธต้องเสียธุรกิจไป และก็จากการบอกเล่าของวันวิวาห์ เกี่ยวกับเขาในบางเรื่อง ที่เธออยากให้เขารู้แค่นั้น แต่ก็ไม่มาก เพราะเธอไม่ค่อยจะคุยเรื่องใครนาน ๆ

“วิทย์ เชิญสิจ๊ะ” วันวิวาห์เชิญเขา และก็จัดที่ให้นั่งข้าง ๆ เธอนั่นเอง
“เอ่อ...นี่รวิทย์ เพื่อนวาค่ะ อยู่บ้านรั้วติดกัน” เธอแนะนำเขา
“วิทย์นี่คุณป้าเอมอร แม่คุณชนะชล นี่คุณชนะชล คุณลุงวรากรณ์ คุณป้ากิติยา และคุณกิติกร เพื่อนคุณชนะชลจ๊ะ”

เธอแนะนำด้วยมารยาท เขาไหว้ผู้อาวุโส พร้อมกับยิ้มและทักทายทุกคน และนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับแขกที่ไม่ได้ตั้งใจพบ แต่รวิทย์ก็เข้ากับทุกคนได้อย่างไม่ยากเลย ด้วยบุคลิกของคนง่าย ๆ อย่างเขา ทำให้บรรยากาศในโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างครื้นเครง แต่การมาของรวิทย์สร้างความผิดหวังให้ชนะชลยิ่งนัก เขาลืมไปสนิทชื่อนี้

“นายสุเมธเอ่ยถึงเขาในจดหมายฉบับสุดท้ายก่อนตาย”

เขาเริ่มคิดอะไร ๆ ได้แล้ว และแววตาก็ฉายแววผิดหวังอยู่ในที และมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ วันวิวาห์ที่มองดูเขา ที่ตักอาหารให้สาวน้อยหน้าใสอย่างสนิทสนมยิ่งนักแล้วหญิงสาวก็แอบถอนหายใจลึก ๆ เพียงลำพัง แล้วก็นึกโกรธตัวเองยิ่งนัก ที่หลงคิดว่าผู้ชายอย่างเขายังคงไม่มีใคร แต่ดูจากพฤติกรรมของเขาและผู้ที่เรียกตัวเองว่า “คุณแพรว” แล้วความคิดของเธอ ก็คงจะผิดไปถนัดนัก







Create Date : 23 กันยายน 2551
Last Update : 23 กันยายน 2551 7:23:42 น. 0 comments
Counter : 351 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.