Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
24 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ชลวาห์กาล ๙ (ธัญรัตน์)




เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้สาวน้อยในชุดนอนที่น่ารักสมวัย รีบสวมเสื้อคลุมแล้วตรงไปเปิดประตู ก็พบว่าเป็นมารดามายืนอยู่หน้าห้อง
“คุณแพรว...ทำไมยังไม่นอนจ๊ะ แม่เห็นห้องคุณแพรวยังเปิดไฟอยู่ก็เลยมาดู วันนี้ไม่เหนื่อยเหรอลูก ไปตะลอน ๆ มาทั้งวันกับพี่ชลหน่ะ” กิติยาพูดและทรุดตัวลงนั่งที่เตียง
“ใกล้จะนอนแล้วค่ะคุณแม่....เอ่อ...คุณแม่คะ คุณหมอวันวิวาห์เป็นคนยังไงในความรู้สึกคุณแม่คะ” เธอถามด้วยความอ่อนโยน

“ทำไมหล่ะคุณแพรว คุณหมอก็ดูดีหนิลูก สวย สง่า ท่าทางดูแล้วน่าเกรงขามสมกับเป็นหมอ แล้วก็ดูจะเป็นผู้ใหญ่มาก ๆ ด้วย จริง ๆ แล้วอายุห่างคุณแพรวแค่ ห้าหกปีเองนะลูก” กิติยาบอกผู้เป็นลูก
“ไม่มีอะไรค่ะ เพียงแต่คุณแพรวเห็นพี่ชลมองคุณหมออยู่เรื่อย ๆ เขาสองคนคงจะไม่..เอ่อ...” เธอพูดแล้วก็รู้สึกกลัวกับความรู้สึกของชนะชล ที่อาจจะเปลี่ยนไป

“ไม่มั้งคุณแพรว ก็พี่เขากับพ่อคุณหมอเป็นหุ้นส่วนกัน ก็คงจะรู้จักกันธรรมดานั่นหล่ะ และอีกอย่าง คุณหมอเพิ่งจะกลับมาจากนอกได้ไม่ถึงปีเลยนะคุณแพรว พี่ชลไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกจ๊ะ เขาพูดแล้วก็คงจะไม่คืนคำหรอก และอีกอย่างคุณแพรวของแม่ก็น่ารัก สง่างาม กิริยามารยาทก็เรียบร้อย สมกับเป็นผู้ดี แม่เชื่อว่าพี่ชลคงจะไม่ปันใจให้ใครได้อีกแล้วหล่ะลูก” กิติยาบอกลูกสาว

เพราะชนะชลกับเอมอรสนิทกับเธอและครอบครัวมาก ชนะชลเห็นกิติกรตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เขารักและเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ เอมอรเห็นเป็นเช่นนั้นจึงมาทาบทามกิติกรเอาไว้ เพราะเห็นว่าเหมาะสมกับลูกชาย ส่วนเขาก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร และทั้งหมดก็จะรอให้กิติกรเรียนจบปริญญาก่อน แล้วจึงจะหมั้นไว้ก่อน แล้วค่อยแต่งทีหลัง
แต่พอกิติกรเรียนจบได้หลายเดือนแล้ว เขาก็หายหน้าไป ไม่ยอมไปหา จนต้องพากันตามมาที่นี่ แต่กิติยาก็ไม่คิดว่าเขาจะมีใคร เพราะชนะชลนั้นเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยมีเรื่องหญิงให้เสียชื่อเสียงสักเท่าไหร่เลย

“คุณแม่คิดอย่างนั้นเหรอคะ แต่คุณแพรวกลัวค่ะ อายุคุณแพรวกับพี่ชลห่างกันหลายปีมากค่ะ” เธอบอก
“ไม่ต้องกังวลหรอกลูก....เอ่าหล่ะ...แม่ว่าคุณแพรวนอนได้แล้ว ดึกมากแล้วนะ แม่ไปหล่ะ” กิติยาพูด แล้วก็ออกจากห้องไป เมื่อร่างของมารดาลับไปจากห้อง สีหน้าที่อ่อนหวานเมื่อสักครู่ ก็กลับเปลี่ยนเป็นเข้ม และแววตาที่ฉายแววของคนไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมเสียของ ๆ เธอไปให้ใครได้ง่าย ๆ

“ไม่มีใครจะมาเอาพี่ชล ไปจากฉันได้หรอก กว่าเขาจะลั่นวาจาว่าจะหมั้น ฉัน ๆ ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนเธอไม่มีวันรู้หรอก ฉันจะไม่ยอมเสียเขาให้เธอหรอกง่าย ๆ หรอกนะ แม่คุณหมอหน้าซื่อบื้อ” กิติกรพูดกับตัวเอง แล้วดวงตาก็เต็มไปด้วยประกายของความอยากเอาชนะ เพราะด้วยสัณชาตญาณของความเป็นลูกผู้หญิง บอกให้เธอรู้ว่า จะต้องระวังวันวิวาห์เอาไว้


เอมอรยืนมองไปยังวันวิวาห์ ที่ตั้งแต่เสร็จจากอาหารเช้าแล้ว ก็ปลีกตัวไปอ่านหนังสือที่มุมห้องนั่งเล่นของบ้าน ปล่อยให้ชนะชลพากิติกรและครอบครัวไปเที่ยวชมกิจการส่งออกเครื่องปั้นดินเผา ไร่องุ่น และรีสอร์ทที่ใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว ซึ่งบุตรชายตัวเอง ได้เข้ามาดูแลกิจการแทน รวมทั้งบ้านหลังนี้ด้วย มันพลอยทำให้เธอคิดไปถึงเหตุการณ์วันนั้น
“ตาชล....ลูกไปเอากิจการของคุณสุเมธมาได้ยังไงลูก” เธอถามเขา เมื่อลูกชายบอกเรื่องให้รู้ว่ากิจการตกเป็นของเขาแล้ว

“ก็ไม่ยากนี่ครับแม่ คนที่มันติดการพนันหน่ะ มันก็หน้ามืดทำได้ทุกอย่างหละครับแม่ ผมแค่ให้เพื่อนยื่นข้อเสนอ ถ้ามันอยากได้เงินห้าสิบล้านทันที มันก็ต้องเอาทุกอย่างมาจำนองเอาไว้ แล้วก็ให้มันเช็นต์สัญญา ในบ่อนหน่ะมันทำอะไรได้ง่ายทั้งนั้นหล่ะครับ ไอ้พวกที่มันติดงอมแงม มันถึงได้หมดตัวไงครับแม่” เขาบอกมารดาด้วยความดีใจ

“แต่แม่ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้เลยนะลูก” เอมอรบอกด้วยความไม่สบายใจ
“แล้วไอ้วิธีที่มันยึดกิจการของเราหล่ะครับแม่....แม่จำวันที่มันให้นักเลงเงินกู้มาไล่เราที่บ้านไม่ได้เหรอครับ แล้วไหนจะที่บริษัทอีก แล้วลูกค้าเราที่ยกเลิกสัญญากลางคันหล่ะครับ จนผมต้องขายบ้าน กับกิจการมาใช้หนี้พวกนักเลงพวกนั้น มันก็มาจากน้ำมือของไอ้สุเมธทั้งนั้น แล้วแม่ยังจะไปเห็นใจมันอีกเหรอครับ ไม่เอาแล้วแม่ อย่างอื่นแม่ขอผมได้นะครับ แต่สำหรับไอ้สุเมธ ผมไม่มีวันปล่อยให้มันเสวยสุขได้อีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาที่มันจะต้องใช้คืนพวกเราแล้วครับ” เขาบอกมารดาแล้วก็เดินลงบันไดบ้านไป โดยไม่สนใจคำทักท้วงของเธอเลยแม่แต่น้อย ทิ้งให้มารดามองตาม ด้วยความไม่สบายใจ กับการกระทำของเขา…

สีหน้าที่รู้สึกผิดของเอมอรปรากฏเด่นชัด เมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต โดยที่เอมอรไม่ได้เห็นด้วยกับลูกชายเลยที่ทำแบบนี้ แต่ก็ทัดทานเขาไม่อยู่ เพราะความรักที่มีต่อพ่อและแม่ เพราะเพื่อพ่อและแม่แล้วเขายอมทำได้ทุกอย่าง แต่จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนที่เขารักได้

โดยเฉพาะตอนนี้ที่เหลือเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น แล้วหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอหล่ะ วันวิวาห์แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรในอดีตเลย แต่ก็ต้องมาก้มหน้ารับภาระอันใหญ่หลวง แทนผู้ให้กำเนิด วันวิวาห์เข้มแข็ง อ่อนน้อม สุขุม รอบคอบ กว่าที่เอมอรคิดไว้มาก บวกกับกิริยามารยาทงามพร้อม สมกับความเป็นผู้ดีตั้งแต่บรรพบุรุษ

ถึงแม้เอมอรจะไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ก็รู้ได้จากการจัดแต่งบ้าน ที่บ่งบอกนิสัยคนได้เป็นอย่างดี แววตาที่รู้สึกผิดต่อวันวิวาห์และสิ่งที่ปิดบังเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปราณีของเอมอรนั้น วันวิวาห์คงจะไม่มีทางได้เห็นและได้รับรู้มัน…

“หนูวา...อ่านอะไรอยู่จ๊ะ ป้ามากวนหรือเปล่า” เสียงเอมอรดังมาจากด้านหลัง ทำให้วันวิวาห์ต้องละสายตาจากหนังสือเล่มโปรดเอาไว้
“คุณป้า....เชิญค่ะ คุณป้าไม่ได้รบกวนอะไรค่ะ วาแค่อ่านเฉพาะเวลาว่างเท่านั้นเอง ความจริงบ้านนี้ก็เป็นบ้านคุณป้า ไม่ต้องเกรงใจวาก็ได้ค่ะ คุณป้ามีสิทธิ์โดยชอบธรรม” เธอบอก พร้อมทั้งวางหนังสือ และลุกขึ้นยืนให้ผู้ใหญ่นั่งก่อนเสมอ
“หนูวา....อย่าคิดอย่างนั้นเลยนะลูก มันทำให้ป้ารู้สึกผิด ที่ห้ามตาชลไม่ได้ ความจริงป้าไม่เห็นด้วยกับเขาเลย ป้าสงสารหนูเหลือเกิน ที่ต้องมารับภาระหนี้แทนพ่อ” เอมอรบอกตามความจริง

“คุณชนะชลก็ทำถูกแล้วนี่คะ เงินที่เขาเสียไป เขาก็ต้องอยากได้มันกลับคืน เป็นธรรมดาค่ะ และอีกอย่างเขาก็ไม่คิดดอกเบี้ยกับวาด้วย แค่นี้วาก็รู้สึกว่าเขาให้โอกาสวามากแล้วค่ะ” เธอบอกด้วยความนอบน้อม
“ตาชลเขาคงอยากจะให้หนูได้คืนเร็ว ๆ หน่ะลูก เพราะป้ากับลูกเองก็ชอบจะอยู่ที่เหนือมากกว่า อีกหน่อยถ้าตาชลแต่งการแต่งงานไป ก็คงจะไม่มีเวลามาดูแลที่นี่มากเท่าไหร่ ป้าคิดว่าถ้าให้หนูดูแลไปเลย ก็จะเป็นการดีกว่านะลูก” เอมอรบอกออกไปอย่างคนไม่รู้ความนัยอะไร แต่คนฟังนั้นรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็เก็บซ่อนเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย

“ค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ
“พ่อกับแม่ของคุณแพรวรักลูกมาก เพราะมีลูกคนเดียว ถ้าหากแต่งงานกันไปแล้ว คงจะไม่ยอมให้คุณแพรวมาอยู่ที่นี่แน่นอนเลย เพราะมันไกลหูไกลตา ที่ป้ามานี่ก็กะว่าจะมาคุยเรื่องหมั้นเขาด้วยนะ รายนี้ไม่ค่อยจะมีเวลาว่างเลย” เอมอรบอกเพื่ออยากให้วันวิวาห์รู้ว่า ทั้งเธอและชนะชลนั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะยึดบ้านหลังนี้แต่อย่างใด แต่คนฟังนั้นก็ได้แต่ยิ้ม และไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมา

“มันจะเป็นอะไรไปหล่ะ ถ้าเขาจะมีใครอยู่ก่อนแล้ว เพราะเธอเองก็คงจะต้องแต่งงานกับรวิทย์ ตามที่เคยให้สัญญาเอาไว้อยู่แล้ว มันจะมีประโยชน์อะไร ที่จะไปไม่พอใจในตัวเขา เพราะคนที่เขาหมายปองเอาไว้นั้น งามพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ ไหนจะฐานะการเงินอีก คนที่มีแต่หนี้สินล้นตัวอย่างเธอ ไหนเลยจะไปเทียบได้” วันวิวาห์คิดแล้วก็ใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“คุณป้าคะ คุณแพรวกับพี่ชลกลับมาแล้วค่ะ” เสียงกิติกรดังมาจากประตู พร้อมในมือนั้นมีดอกกล้วยไม้เต็มกำมือ และก็มีชนะชล และวรากรณ์กับภรรยาเดินตามมาติด ๆ

“เหรอลูก ดูสิกล้วยไม้เต็มมือหมดเลย” เอมอรหยุดเรื่องไว้แค่นั้น และก็หันมาหากิติกรและลูกชาย
“พี่ชลเก็บให้ค่ะ ขึ้นเต็มไปหมดเลย ที่ทำงานพี่ชลน่าอยู่จังเลยค่ะ” กิติกรพูดเสียงหวาน แต่ดวงตานั้นไม่ได้บอกตามที่พูดเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอแทบจะไม่ชอบทำงานด้วยซ้ำ แต่เพราะคนที่เธอรักอย่างเขา เธอก็ต้องยอมทำทุกอย่าง เพื่อไม่ให้เขาปันใจไปหาคนอื่นอีก
“เหรอลูก ดูสิเนื้อตัวมอมแมมหมดเลย”

“ก็จะอะไรหล่ะคุณเอม กวนแต่ให้พี่ชลพาไปดูโน่นดูนี่ จนแทบจะไม่เป็นอันทำงานเลย ไม่ไหวจริง ๆ เลย คุณแพรวนี่” กิติยาพูดด้วยความเอ็นดูลูกสาว
“คุณหมอไปเที่ยวบ่อยหรือเปล่าคะ พี่ชลบอกว่าคุณปู่กับคุณพ่อของคุณหมอ เริ่มก่อตั้งบริษัทมาใช่ไหมคะ ท่านโชคดีมาก ๆ เลยนะคะ ที่ได้พี่ชลมาเป็นหุ้นส่วน เพราะพี่ชลเก่งมากค่ะ ไม่ว่าจะถามอะไรพี่ชลก็จะรู้ไปหมดเลย แม้แต่ต้นไม้ พี่ชลก็รู้จักแทบจะทุก ๆ ต้นเลยค่ะ สมกับที่ชอบเข้าป่าไปส่องสัตว์บ่อย ๆ จริง ๆ เลยค่ะ คุณแพรวภูมิใจในตัวพี่ชลมาก ๆ เลยค่ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานของเธอ ทำให้ผู้ที่ได้ฟังรู้สึกเอ็นดูเหลือเกิน

แต่มันทำให้ ชนะชลนั้นรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย เขามองไปยังเจ้าของใบหน้าขาวเนียน ที่นั่งมองแขกด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยอย่างเป็นกังวล ด้วยเขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า มารดาจะพากิติกรมาหาเขาถึงที่นี่ ถึงแม้ว่าเขาจะเคยรับปากมารดาเอาไว้ในเรื่องที่จะหมั้นกับกิติกรแล้วก็ตาม
ซึ่งเขาเองก็แทบจะไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะรักกิติกรในรูปแบบของชู้สาวได้หรือไม่ แล้วความรู้สึกของเขายิ่งสับสนขึ้นมาไม่น้อย เมื่อได้ฝากรอยจูบไว้กับเธอเมื่อคืนนั้น แล้วก็ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้ขัดขืนเขาแต่อย่างใด มันทำให้เขาคิดว่าเธออาจจะมีความรู้สึกที่พิเศษกับเขาอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย แต่นั่นมันก็เป็นแค่ความคิดของเขาข้างเดียวเท่านั้น ซึ่งเขาเองยังต้องการเวลาในการพิสูจน์ให้มากกว่านี้

และมันคงจะง่ายกว่านี้มาก หากกิติกรไม่ได้ปรากฏตัวในเวลานี้ และมันคงจะง่ายยิ่งกว่านี้เป็นไหน ๆ ถ้าไม่มีหมอรวิทย์เข้ามาอีกคน และคน ๆ นี้ ก็ทำให้เขากลัวได้ไม่น้อยเลย

“คุณวาคะ คุณวิทย์โทรมาบอกจะเอารถมารับอีกห้านาทีค่ะ” เด็กรับใช้เดินเข้ามาบอก
“งั้นวาขอตัวก่อนนะคะ พอดีมีธุระค่ะ เดี๋ยวป้าสุขจะตั้งโต๊ะอาหารกลางวันแล้วนะคะ วันนี้วาขอตัวสำหรับมื้อเที่ยงค่ะ เชิญทุกคนตามสบายนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ” เธอบอกแล้วเดินออกไปอย่างสุภาพ โดยมีเขามองตามเธอออกไปอย่างขัดใจยิ่งนัก

“งั้นคุณแพรวว่าเราไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะคะ คุณพ่อ คุณแม่ พี่ชลด้วย เหงื่อท่วมตัวหมดแล้วค่ะ” เธอพูดพร้อมทั้งลุกขึ้นนำคนอื่น ๆ ไปก่อน
“ไปเถอะคุณ...ผมก็รู้สึกตัวเหนียวเหมือนกัน งั้นผมขอตัวนะครับคุณเอม เอาไว้เจอกันตอนอาหารเที่ยงนะครับ” วรากรณ์พูดและลุกตามบุตรสาว โดยมีภรรยาตามไปติด ๆ
“งั้นเจอกันนะครับแม่ แป๊บเดียว” เขาบอกมารดาและผละจากไปชั้นบนด้วยเหมือนกัน....


รถราคาแพงที่จอดเรียงรายให้รวิทย์เลือก และมีพนักงานขายเดินตาม และบรรยายสรรพคุณแต่ละคันให้เขาฟังอย่างตั้งใจ ไม่นานเขาก็เดินมาหาเธอ
“วาชอบคันไหน”
“วิทย์จะใช้นะไม่ใช่เรา คันไหนก็ตามใจเถอะ” เธอตอบเขา
“อีกหน่อยวาก็ต้องใช้กับเราด้วยแล้วนะ จำไม่ได้เหรอเรา จะแต่งงานกันทันทีที่เรากลับมา นายลืมหรือยังไง” เขาพูดและทำหน้าล้อเลียน แต่แววตานั้นจริงจังกับคำพูดตัวเองยิ่งนัก และมันก็ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยทีเดียว

“วิทย์ซื้อคันไหนวาก็นั่งได้ทั้งนั้นหล่ะ....เอาตามที่วิทย์ชอบก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วงวาหรอกนะ” เธอบอกเขา “งั้นเราเอาคันนั้นแล้วกันนะ” เขาพูดและเดินกลับไปบอกพนักงาน แล้วก็พูดคุยกันไม่นานเขาก็กลับออกมา
“ต้องจองไว้ก่อนรถจะมาอาทิตย์หน้า งั้นเราไปหาอะไรกินที่บ้านเราก่อนนะ แล้ววาค่อยกลับบ้าน วิทย์ไม่อยากจะไปกินข้าวบ้านวาอีก คนเยอะแยะ อีกอย่างคุณพ่อกับคุณแม่ก็บ่นคิดถึงวาด้วย อะไรก็ไม่รู้บ้านรั้วติดกันแท้ ๆ แต่ไม่ยอมไปเยี่ยมท่านแทนเรา” เขาบ่น และเดินนำทางเธอไปที่รถคันที่เขาขับมาแต่แรก...

“พอวิทย์ไปทำงานพรุ่งนี้พร้อมกับเรา แล้ววิทย์จะรู้ว่าทำไมเราถึงไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมคุณลุงกับคุณป้า ไม่แน่นะ คนไข้ที่นายบ่นว่าเยอะที่เมืองนอกหน่ะ พอมาเจอที่บ้านเราบางวันเพิ่มเป็นอีกสองเท่าเลย แล้วไหนเราจะต้องไปทำงานพิเศษหาเงินมาไถ่บ้านอีก กลับบ้านก็ดึกดื่นค่อนคืน แล้วนายยังจะมาต่อว่าเราอีก นี่เราไม่เหลือเพื่อนที่รู้ใจเราสักคนแล้วใช่มั้ย” เธออธิบายให้เขาฟัง ขณะที่อีกฝ่ายขับรถออกไป พร้อมทั้งเธอก็ต่อว่ากลับ แต่แววตานั้นไม่ได้จริงจังอะไร

“วิทย์ขอโทษ แค่พูดเล่นหนะวา เราไม่อยากเห็นวาต้องเหนื่อยเลย เราถึงอยากจะรีบแต่งงานกับนายไง” เขาพูดขึ้น พร้อมทั้งเลี้ยวรถเข้าไปทางบริเวณบ้าน
“สงสัยคุณพ่อกับคุณแม่จะช่วยกันทำกับข้าวมั้ง สองคนนี้ก็เหมือนกัน เราบอกว่าให้เด็กทำก็ไม่ยอม ชอบเหนื่อยอยู่เรื่อยเลย ไปกันเถอะวา เรื่องอื่นเอาไว้ว่ากันทีหลังนะ เราหิวแล้ว” เขาบอกและจูงมือน้อย ของเธอเดินเข้าบ้านด้วยความเคยชิน เพราะเขานั้นทำมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว



รถพาเจ้าของร่างผอมบาง ที่ในมือถือกระเป๋ายา และเอกสารจำนวนหนึ่ง แล้วเดินเข้าบ้านด้วยอาการเหนื่อยอ่อน แล้วก็พบว่า เอมอรและสุขกำลังนั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่ และเขาก็นั่งทำงานในห้อง เพราะเธอเห็นแสงไฟลอดออกมา ไม่นานประตูห้องทำงานของเขาก็ถูกเปิดออก พร้อมกับใบหน้าที่คมสันของเขา กับชุดที่เตรียมพร้อมจะเข้านอน และมีเสื้อคลุมใส่ทับเอาไว้ แล้วเขาก็เดินมาสมทบกับทุกคน
“คุณวา....วันนี้กลับดึกจังเลยค่ะ ป้าคอยตั้งนานแล้ว” สุขทักเมื่อเธอเดินเข้าไปหา

“ปกติหนูวากลับดึกอย่างนี้หรือจ๊ะ” เอมอรถาม เธอยิ้มให้อย่างนอบน้อม และก็มองใบหน้าของเขาที่เดินมานั่งรวมกลุ่มด้วย
“ไม่หรอกค่ะ วันนี้วันจันทร์คนไข้เยอะค่ะ” เธอตอบ “คุณวาหิวหรือเปล่าคะ ป้าจะไปเอาน้ำส้มคั้นเย็น ๆ มาให้ จะได้หลับสบาย” สุขเสนอ
“ไม่หรอกค่ะป้าให้เด็กเอานมไปให้วาเหมือนเดิมก็พอแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“หนูวาจ๊ะ ตาชลบอกป้าว่าคุณหมอรวิทย์ก็จะทำงานที่เดียวกับหนูด้วยหรือจ๊ะ” เอมอรถามเพราะอยากจะรู้
“ค่ะคุณป้า วิทย์กับวาเรียนที่เดียวกันค่ะ …เอ่อ... แล้วคนอื่น ๆ ไปไหนกันหมดคะ” เธอตอบและถามหาแขกของบ้าน พร้อมกับมองไปที่หน้าเขาเพื่อหาความจริง

“หลับกันหมดแล้วหล่ะ” เขารีบตอบแทนมารดา
“สงสัยจะเหนื่อยจ๊ะ วันนี้คุณแพรวไปช่วยงานตาชลตั้งแต่เช้าเลย ป้าห้ามก็ไม่ฟัง บอกว่าอยากจะรู้เรื่องงานของพี่เขาบ้าง” เอมอรบอก แต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ จากเธออีกเช่นเคย
“ป้าจะอยู่ที่นี่อีกสองอาทิตย์ แล้วเราจะกลับกันหมดเลย ตาชลด้วย เสร็จงานทางโน้นก็คงจะอีกหลายเดือนกว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกจ๊ะ” เอมอรบอก ทำให้เธอรู้ดีว่างานทางโน้นในความหมายของเอมอรคืออะไร
“ตามสบายค่ะ คุณป้าจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ บ้านคุณป้าเอง ไม่ต้องเกรงใจวาค่ะ งั้นวาขอตัวนะคะ” เธอบอกด้วยความอ่อนน้อม แล้วก็เดินขึ้นห้องไป ทิ้งให้ทั้งสามมองตามด้วยความเห็นใจ

“คุณแม่ครับ ผมคงจะกลับพร้อมคุณแม่ไม่ได้นะครับ งานทางนี้ยังไม่เรียบร้อยเลย คุณแม่กลับไปก่อน แล้วเราค่อยคุยกันนะครับ” เขาพูดเพราะรู้ดีว่ามารดาหมายถึงอะไร คิดแล้วให้โกรธตัวเองยิ่งนัก ที่ไปหลวมตัวตกปากรับคำมารดาเอาไว้ เรื่องกิติกร

ถ้าเขาใจเย็นรออีกไม่กี่เดือน เขาก็คงจะได้รับคำตอบของหัวใจตัวเองได้โดยไม่ยากนัก แต่พอเขาได้คำตอบแล้ว ก็ต้องมากลุ้มใจกับสิ่งที่เขารับคำเอาไว้ หรือว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่ในตอนนี้มันอาจจะผิดก็ได้ ในเมื่อหมอรวิทย์ เพื่อนรู้ใจเธอมาแล้ว และอีกไม่นานก็คงจะมีข่าวดีให้เขา ก็แล้วรอยจุมพิต ที่เขาฝากไว้กับเธอ และได้รับการตอบรับนั้นมันคืออะไร
“ผมขอตัวก่อนนะครับ เหนื่อยเหมือนกัน” เขาพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็จากไป....



“อ้าว...คุณวา จะเอาอะไรคะ ทำไมไม่เรียกยายแจง เดินมาในครัวทำไม” สุขถามเมื่อเห็นเจ้านายสาวเดินมาหาในครัวด้วยตัวเอง “วาจะมาเอาตะกร้าหวายค่ะ จะไปเก็บดอกบัวกับวิทย์หน่อย” เธอบอก
“คุณวาจะเอาดอกบัวไปทำอะไรคะ” สุขถาม
“พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบที่คุณปู่เสีย วาจะตักบาตรพระสักสิบเก้ารูปค่ะ” เธอบอก
“คุณวาจำได้ด้วยเหรอคะ” สุขถามด้วยความดีใจ “วาอยู่ที่โน่นก็จะไปทำบุญให้คุณปู่ทุกปีค่ะ ไปกับวิทย์สองคน แล้วป้าสุขจะทำอะไรให้วาไปใส่บาตรคะ” เธอถามกลับเพราะรู้ดีว่าสุขเองก็คงจะไม่ลืมเรื่องนี้
“ป้าคิดเมนูเอาไว้เยอะแยะเลยค่ะ นี่พอจัดของว่างให้คุณ ๆ เสร็จป้าก็ว่าจะเอายายแจงไปจ่ายตลาดด้วยหน่อย กว่าจะกลับมาก็พอดีที่คุณวาเก็บดอกบัวเสร็จนะคะ” สุขบอก

“แล้วไปไหนกันหมดคะ วาเดินมาจากข้างบนไม่เห็นใครเลย”
“อ๋อ...คุณเอมอร คุณกิติยา และคุณวรากรณ์ ขอไปงีบตั้งแต่อาหารเที่ยงเสร็จแล้วค่ะ บอกว่ากินอิ่มไปหน่อยเลยง่วง ส่วนคุณแพรวก็ตามคุณชนะชลไปดูโรงงานเครื่องปั้นดินเผาค่ะ นี่ตั้งแต่คุณแพรวมานะคะ ไม่ยอมห่างคุณชนะชลเลยแม้แต่วันเดียวค่ะ” สุขบอกออกไปอย่างไม่ใคร่จะเต็มเสียงนัก
“เหรอคะ...งั้นวาไปก่อนนะคะวิทย์รออยู่ เดี๋ยวคืนนี้วิทย์ต้องเข้าเวรด้วยค่ะ” เธอบอกพร้อมทั้งเดินไปยกเอาตะกร้าหวายแล้วก็เดินออกไปจากครัว ประหนึ่งจะไม่อยากอยู่รับรู้เรื่องราวของคนทั้งสองจากคำบอกเล่าของสุขอีกต่อไป สุขได้แต่ส่ายหน้าตามหลังเจ้านายไปด้วยความเหนื่อยใจ กับความที่เป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดีของเธอนั่นเอง

“เร็วหน่อยสิจ๊ะคุณหนู ผมยิ่งไม่ได้พายเรือให้คุณหนูนั่งมานานหลายปีแล้ว ไม่รู้จะพาไปได้ถึงไหนกัน” รวิทย์รีบบอกเมื่อวันวิวาห์เดินมาถึงใต้ต้นไม้ที่มีเรือจอดอยู่
“แหม...แค่ไม่ทันไรก็บ่นแล้ว งั้นเราจะไปซื้อเอาที่ตลาดก็ได้นะ ป้าสุขกำลังจะไปตลาดพอดี” เธออดที่จะต่อว่าเขาไม่ได้ แต่ก็ไม่จริงจังนัก
“ครับ ๆ เอ้า...นี่หมวกใส่ไว้ เดี๋ยวหน้าดำหมด เรายิ่งไม่อยากได้แฟนหน้าดำอยู่ด้วย” เขายื่นหมวกที่มีปีกกว้าง ๆ ให้เธอ “ขอบคุณนะคะ...อ้าว...แล้ววิทย์ไม่ใส่รึไง ไม่กลัวดำเหรอ” เธอถามเพราะเห็นเขาถือหมวกแค่ใบเดียว “โอ๊ยไม่ต้องหรอกคนมันหล่อทำยังไง ๆ มันก็หล่ออยู่แล้ว...ไปกันหรือยัง ต้องรีบไปเข้าเวรด้วย” เขารีบเตือนเธอ พร้อม ๆ กับตัวเองก็เดินนำเธอไปลงเรือก่อน

“มาเราช่วย...ค่อย ๆ นะครับคุณหนู ไอ้เรามันก็ไม่ได้ตัวเล็ก ๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ เดี๋ยวเรือจะบ่นหนักเราสองคนหรอก เผลอ ๆ จะพลอยน้อยใจพาเราจมน้ำกันพอดี” รวิทย์ไม่วายที่จะล้อเธอ และก็โยกเรือเล็กน้อยให้เธอตกใจเล่น ส่วนมือก็ยื่นไปให้เธอยึดเอาไว้
“วิทย์นี่ทำเป็นเล่นไป เดี๋ยววาให้ไปเก็บบัวคนเดียวเลยดีมั้ย” เธอบ่นเขาขณะที่ตัวเองนั้นก็ยึดมือเขาไว้แน่น ด้วยความที่ไม่ได้นั่งเรือมานานแล้ว
“เอาเยอะหรือเปล่าวา แล้วจะเอาบัวหลวงหรือบัวแดง” เขาถามขณะที่หันหัวเรือออกจากท่า

“ก็ต้องเอาบัวหลวงสิวิทย์เราจะไปถวายพระนะ จะเอาบัวแดงได้ยังไงกัน”
“แต่เราว่าเอาบัวแดงไปด้วยดีกว่า อยากจะกินแกงกะทิสายบัวฝีมือป้าสุขเหมือนกัน งั้นก็เพิ่มเมนูนี้ไปตักบาตรด้วยก็แล้วกันนะ เราจะได้เป็นลูกศิษย์ไปด้วยเลย” เขาบอกและยิ้มกว้างด้วยความอารมณ์ดี
“เอ่อ...ก็ดีเหมือนกันนะ คุณปู่ชอบแกงกะทิสายบัวด้วย” เธอเห็นด้วยกับเขา
“เอ้า...นั่นไงเก็บสิครับคุณหมอ ดึงระวังๆ หน่อยนะเดี๋ยวหัวทิ่มบึงกันพอดี เราขี้เกียจลงไปช่วย” เขาล้อเธอด้วยความสนุกสนาน จนอีกฝ่ายถึงกับค้อนเขาขมับ ๆ แต่ในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความขำเขานั่นเอง

แล้วบรรยากาศเมื่อวันวานของทั้งสองก็หวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อผู้ที่นั่งหัวเรือคอยบัญชาการให้เขาพายไปตรงโน้นทีตรงนี้ที จนบางครั้งคนพายเข้าใจว่าถูกผู้บัญชาการแกล้งเข้าให้ก็ตาม แต่เขาก็เต็มใจทำตามที่เธอสั่งการ เพราะเขารู้สึกสุขใจเป็นที่สุด ที่มีเธออยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ และยิ่งอยู่ในบึงแห่งนี้ด้วยแล้ว มันทำให้รวิทย์มีความสุขเป็นทวีคูณเลยทีเดียว
ผู้ที่ก้าวลงจากรถยิ้มที่มุมปากเมื่อมองไปที่บึง แล้วก็เห็นผู้ที่ได้ชื่อว่าขึ้นทำเนียบศัตรูหัวใจของเธอ กำลังเก็บบัวอยู่ที่บึงอยู่กับรวิทย์ ทำให้เธอคิดอะไรขึ้นมาได้ไม่ยากเลย

“นั่นคุณหมอวากับคุณหมอวิทย์เหรอคะพี่ชล” เธอเดินไปหาเขาและก็ใช้มือยึดครองแขนของเขาเอาไว้
“ครับ” เขาตอบแค่นั้น แต่ในใจนั้นรู้สึกไม่เป็นสุขเอาเสียเลยที่เห็นคนทั้งคู่อยู่ด้วยกันแบบนั้น
“ดูสิคะน่ารักจังเลยค่ะ คุณแพรวอิจฉาคุณหมอวาจังเลยค่ะ ดูคุณหมอวิทย์จะรักคุณหมอวามากเลยนะคะพี่ชล เห็นคุณป้าบอกว่าสองคนนี้ เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว และยังไปเรียนเมืองนอกด้วยกันอีก คุณแพรวว่าอีกไม่นานเราคงได้แสดงความยินดีกับคุณหมอแน่ ๆ เลยค่ะ พี่ชลว่าหรือเปล่าคะ” น้ำเสียงที่อ่อนหวานที่เจื้อยแจ้วให้เขาฟัง แต่แววตานั้นออกอาการสะใจอยู่ในทีที่ได้ชกคู่ต่อสู้อยู่ฝ่ายเดียว

“พี่ไม่รู้ครับ พี่ว่าเราเข้าบ้านกันเถอะ จะได้ไปอาบน้ำ” เขารีบตัดบทและก็เดินนำเธอไปทันที โดยที่ไม่ได้สนใจว่ากิติกรจะอยากไปหรือไม่ แต่เธอก็เดินตามเขาไปด้วยรอยยิ้มของคนที่มีชัยในยกนี้
“โอ้โห...คุณวิทย์เก็บบัวมาหมดบึงเลยรึยังไงคะ” สุขที่เพิ่งจะกลับจากตลาดร้องถาม เพราะเห็นรวิทย์หอบบัวมาเต็มหอบแล้วก็ไปกองไว้ที่ม้าหินอ่อนตรงสนามหลังบ้าน โดยมีวันวิวาห์เดินหิ้วบัวหลวงมาอีกเต็มตะกร้า
“ยังไม่หมดหรอกครับป้าสุข แค่ใกล้ ๆ เท่านั้นเอง ก็คุณหนูของป้าหน่ะสิ ชี้ใหญ่เลย”

“เป็นงั้นไปนะวิทย์นี่...งั้นพรุ่งนี้เช้าออกเวรมาก็ไม่ต้องกินหรอกนะแกงกะทิสายบัว วาจะตักบาตรให้หมดเลย” เธอแหย่เขากลับ
“โถ่...ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นใจน้อยไปได้ งั้นเราไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานก่อนนะ”
“แล้วจะแวะมากินอะไรก่อนไปหรือเปล่าวิทย์” เธอถามด้วยความห่วงใย
“ไม่หรอก...อาบน้ำเสร็จก็จะออกไปเลย แต่จะกลับมากินตอนเช้าแทน อย่าลืมเก็บไว้ให้ด้วยนะ...ไปหล่ะนะ” เขาบอกและก็รีบเดินผละไป
“วาไปอาบน้ำก่อนนะคะป้าสุข เดี๋ยวจะลงมาช่วยจับกลีบบัวค่ะ” เธอบอกแล้วก็รีบเดินเข้าบ้านไปเพราะเนื้อตัวเปื้อนไปหมด ไม่นานวันวิวาห์กลับลงมาที่ครัวอีกก็พบว่าสุขกับเด็กรับใช้คนอื่นกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารหวานคาวอยู่ เธอจึงเดินออกไปนั่งจับกลีบบัวรอสุขก่อน

“พี่ชลคะคุณหมออยู่นี่จริง ๆ ด้วยค่ะ คุณแพรวหาตั้งนานแหน่ะ เห็นคุณป้าบอกว่าพรุ่งนี้คุณหมอจะไปตักบาตร คุณแพรวกับพี่ชลก็เลยจะมาช่วยค่ะ ฝีมือการจับกลีบบัวของคุณแพรวพอใช้นะคะคุณหมอ” กิติกรเดินผ่านครัวมาหาเธอ โดยที่มือยังไม่ลืมที่จะยึดแขนเขาไว้อย่างนั้น
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณแพรวจนเกินไป ก็ยินดีค่ะ เชิญนั่งค่ะ” วันวิวาห์บอกตามมารยาท แต่ในใจนั้นแทบจะไม่อยากให้คนทั้งสองมาอยู่ใกล้ ๆ เลยแม้แต่น้อย

“ไม่รบกวนเลยค่ะ ใช่ไหมคะพี่ชล เมื่อก่อนเวลาที่บ้านคุณแพรวจะทำบุญ คุณแพรวกับพี่ชลก็จะถูกสั่งให้มาจัดดอกไม้ออกบ่อย ๆ ค่ะ จริงหรือเปล่าคะพี่ชล” เธอเล่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานและฟังแล้วดูไม่ระคายหูเลย
“คุณแพรวคงจะใช่ครับ แต่พี่ว่าพี่คงจะช่วยให้งานมันช้าลงมากกว่า” เขาบอก เพราะนึกถึงสมัยที่เขาไปช่วยงานที่บ้านกิติกรเมื่อนานมาแล้วได้

“แล้วคุณหมอวิทย์ไปไหนแล้วคะ ไม่เห็นมาช่วยคุณหมอเลย ทีเมื่อบ่ายเห็นช่วยเก็บบัวในบึงอยู่นี่คะ คุณแพรวดูแล้วยังอิจฉาอยู่เลยค่ะ ยังพูดกับพี่ชลอยู่เลยนะคะ ว่าท่าทางคุณหมอกับคุณหมอวิทย์คงจะรักกันมากนะคะ แล้วเมื่อไหร่จะมีข่าวดีให้พวกเราคะ” กิติกรเข้าใจที่จะถามในสิ่งที่ทำร้ายความรู้สึกของชนะชลได้ดีไม่น้อยเลย เขามองไปยังใบหน้าที่เรียบเฉยของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ไม่สุขใจนัก

“คุณชนะชลคะโทรศัพท์จากคนที่บริษัทค่ะ” แจงเดินมาบอกเขา
“งั้นคุณแพรวทำไปก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่มา” เขาบอกและจำต้องลุกไปด้วยความเสียดาย ที่ไม่ทันได้อยู่ฟังคำตอบกับคำถามที่กิติกรถามเธอออกไป
“ดูสิคะคุณหมอ ขนาดวันนี้เป็นวันหยุดพี่ชลนะคะยังต้องไปทำงานแต่เช้าเลย แล้วก็ยังไม่วายมีคนที่บริษัทโทรมาตามอีก คุณแพรวสงสารพี่ชลจริง ๆ เลยค่ะ วัน ๆ เอาแต่ทำงานไม่รู้จะขยันหาเงินไปทำไมก็ไม่รู้ค่ะ ลำพังเงินของสองครอบครัวเรารวม ๆ กันก็ใช้จนจะไม่หมดอยู่แล้วค่ะ” กิติกรรีบเข้าแผนการทันที เพราะหาโอกาสที่จะได้อยู่ตามลำพังกับวันวิวาห์ได้ไม่ค่อยง่ายนัก
“เหรอคะ” เธอรับคำแค่นั้น และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมกิติกรถึงได้มาอวดอ้างฐานะทางการเงินของตัวเองให้เธอฟังได้ แต่เธอก็พยายามที่จะไม่คิดไปในทางอื่นนอกจากเป็นผู้ฟังที่ดีเท่านั้น

“ค่ะ...แต่คุณแพรวก็เข้าใจพี่ชลนะคะ เพราะพี่ชลเคยบอกคุณแพรวค่ะ ว่าตอนยังมีแรงก็ต้องรีบหาเงินเอาไว้ พอแต่งงานไปแล้วลูกจะได้ไม่ลำบากค่ะ ดูสิคะงานหมั้นก็ยังไม่ได้จัดพี่ชลก็ข้ามไปถึงเรื่องลูกแล้วค่ะ นี่คุณแพรวไม่กล้าเล่าให้คุณพ่อกับคุณแม่ฟังเลยนะคะ กลัวท่านจะดุเอา เพราะท่านบอกว่าเป็นผู้หญิงห้ามพูดถึงเรื่องพวกนี้ค่ะคุณหมอ แต่ที่คุณแพรวกล้าเล่าให้คุณหมอฟัง ก็เพราะคิดว่าคุณหมอคงจะเข้าใจคุณแพรวค่ะ” ความรู้จักออกตัวของกิติกรช่วยเอาได้มากทีเดียว เพราะวันวิวาห์กำลังจะคิดว่าเธอกำลังประกาศว่าเขาใกล้จะหมดอิสระภาพเต็มทีแล้ว

“แล้วว่าแต่คุณหมอหล่ะคะ เมื่อไหร่จะมีแผนเรื่องแต่งงานซักทีคะ คุณแพรวว่ารีบ ๆ แต่ง และก็รีบ ๆ มีลูกก็ดีนะคะ จะได้ทันใช้ไงคะ นี่ถ้าคุณแพรวแต่งงานเมื่อไหร่นะคะ คุณแพรวจะรีบมีลูกทันทีเลยค่ะ”
“หมอยังไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้นค่ะ” เธอตอบ
“คุยกันไปถึงไหนแล้วครับ” ชนะชลเดินเข้ามาสมทบ
“พี่ชล...เรากำลังคุยเรื่องงานแต่งงานของคุณหมออยู่ค่ะ รีบ ๆ แต่งจะได้มีลูกไว้ทันใช้ไงคะพี่ชล” กับคำบอกเล่าของกิติกร มันแทบจะทำให้เขาอยากจะเดินกลับไปทางเก่าด้วยซ้ำ และมันก็ไม่ได้ต่างไปจากวันวิวาห์เลยแม้แต่น้อย ที่รู้ดีว่าอีกไม่นานเขาก็คงจะมีวันนี้แน่นอน และก็คงจะก่อนเธอเป็นแน่
“ทำอะไรกันจ๊ะหนุ่มสาว” เสียงพุดซ้อนดังมาจากครัว ทำให้ทุกคนต้องหันไปหาต้นเสียง

“คุณป้าพุดซ้อน มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” วันวิวาห์ถาม
“เพิ่งจะมาค่ะหนูวา พอดีวิทย์บอกป้าว่าหนูกำลังเตรียมของไปตักบาตรพรุ่งนี้ ป้ากับลุงก็เลยมาช่วยจ๊ะ” พุดซ้อนบอกและก็ยิ้มให้อีกสองคนที่นั่งอยู่
“สวัสดีครับคุณป้า งั้นเชิญนั่งก่อนนะครับ” ชนะชลยกมือไหว้พุดซ้อนด้วยความนอบน้อม เพราะนาน ๆ ทีเขาจะได้พบกับพุดซ้อน ถึงแม้ว่าบ้านอยู่ใกล้กันแต่เขาก็ไม่เคยที่จะไปมาหาสู่บ้านนั้นเลย ด้วยไม่ได้สนิทสนมอะไรมาก
“สวัสดีค่ะคุณชนะชล ไม่ได้พบกันนานเหมือนกันนะคะ ถึงอยู่ใกล้กันแค่นี้ก็เถอะค่ะ” พุดซ้อนรับไหว้แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งที่ม้าหินอ่อนใกล้ ๆ วันวิวาห์
“คุณแพรวคะ คุณป้าพุดซ้อนเป็นคุณแม่ของวิทย์ค่ะ คุณป้าคะนี่...เอ่อ...”
“คุณแพรวลูกคุณวรากรณ์กับคุณกิติยาใช่มั้ยคะ ป้าได้ยินแต่ชื่อมาหลายวันแล้ว เพิ่งจะได้เห็นตัวจริงก็วันนี้หล่ะค่ะ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูนะคะ” พุดซ้อนรีบทักทายก่อน เพราะรู้ดีว่าใครเป็นใครจากการบอกเล่าของรวิทย์ และก็ได้รู้จักทุกคนเมื่อสักพักที่เข้าบ้านมานั่นเอง

“ขอบคุณค่ะคุณป้า” กิติกรยิ้มแก้มแทบปริเมื่อได้รับคำชมจากพุดซ้อน
“คุณป้ามาทางไหนคะ ทำไมวาไม่เห็นเลยค่ะ” วันวิวาห์ถาม
“ป้าก็มาประตูข้างเหมือนหนูวากับตาวิทย์ไปมานั่นหล่ะ สองคนนี้นะคะคุณแพรว วิ่งเข้าออกประตูนี้ จนที่แทบจะทรุดอยู่แล้วค่ะ กลางค่ำกลางคืนก็ไม่เคยกลัวงูเงี้ยวเขี้ยวตะเข็บเอาซะเลย ป้าหล่ะกลัวแทนจริง ๆ เลยค่ะ” พุดซ้อนพูดพร้อมกับมือก็หยิบบัวขึ้นมาจับกลีบด้วยความชำนาญ
“แล้วคุณลุงอยู่ไหนหล่ะคะ” เธอถาม

“นั่งคุยอยู่ข้างในบ้านโน่นแหน่ะ แขกผู้ใหญ่มาบ้านตั้งหลายวันแล้ว แต่ลุงกับป้าก็ไม่ได้มาต้อนรับเลย วันนี้ก็เลยทำกับข้าวมาเต็มหม้อย กะว่าจะมากินข้าวเย็นด้วย คงไม่รบกวนนะคะคุณชนะชล” พุดซ้อนถามไปอย่างนั้น เพราะรู้ดีว่าเขาเป็นยังไง และเธอเองก็ต้องการจะมาเยี่ยมเอมอรด้วย
“ด้วยความยินดีครับ คุณแม่คงจะดีใจนะครับ เห็นบ่นว่าอยากจะไปหาคุณป้าตั้งหลายวันแล้ว แต่ก็กลัวคุณป้าจะไม่ว่างครับ...งั้นผมขอตัวไปคุยกับคุณลุงก่อนก็แล้วกันนะครับ ผมไม่ค่อยถนัดทำเรื่องพวกนี้เลย” เขารีบออกตัว
“เชิญตามสบายค่ะ...คุณแพรวกับคุณวาจะไปด้วยก็ได้นะคะ เดี๋ยวป้าจัดการเองค่ะ” พุดซ้อนบอก

“คงไม่ดีกว่าค่ะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่คุยกันก็แล้วกันนะคะ วาอยากจะทำอะไรให้คุณปู่บ้าง” เธอบอก
“คุณแพรวก็ไม่ไปค่ะ ข้างในมีแต่ผู้ใหญ่ไม่รู้จะคุยอะไรด้วย ขอช่วยคุณป้ากับคุณหมอดีกว่าค่ะ พี่ชลไปเถอะค่ะ ไม่ต้องรอคุณแพรว” กิติกรบอกชนะชลที่ลุกขึ้นยืนเหมือนกับจะรอคนทั้งสอง
“งั้นก็เจอกันที่โต๊ะอาหารนะครับคุณแพรว” เขาบอกและก็เดินเข้าครัวไป ทำให้วันวิวาห์รู้สึกโล่งใจไม่น้อยเลย

แล้วอาหารมื้อค่ำก็เต็มไปด้วยแขกผู้ใหญ่ของบ้าน ทั้งหมดต่างคุยกันอย่างออกรส เพราะนาน ๆ ทีจะได้กินข้าวพร้อมหน้ากันแบบนี้ ส่วนกิติกรก็ไม่ยอมให้โอกาสหลุดลอยไปเลยแม้แต่น้อย เธอแสดงความเป็นเจ้าของ ชนะชลผ่านการตักอาหารแทบจะทุกอย่างบนโต๊ะให้เขา และเธอก็จะไม่ลืมที่จะแสดงกริยาที่อ่อนหวานไร้เดียงสา ให้ทุก ๆ คนในโต๊ะดูแล้วไม่น่าเกลียดเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของผู้ใหญ่ทุกคนบ่งบอกว่ามีความสุขที่ได้เห็นหนุ่มสาวรักใคร่กันดี

หากจะมีก็เพียงแต่ผู้ที่ต้องฝืนตักอาหารที่ว่าที่คู่หมั้นสรรหาตักใส่จานให้ไม่ขาดตอนนั่นเอง ชนะชลรู้สึกว่า ความน่ารัก และไร้เดียงสาของกิติกรคงจะเติมความเรียบ ขรึม ให้กับใบหน้าหมอสาวได้ไม่น้อยเลย จะเห็นได้จากการที่เธอปิดปากเงียบ ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีเท่านั้น หรือถ้าหากจะพูดก็แค่มีใครถามเธอโดยตรงเท่านั้น

ถ้าเมื่อตอนบ่ายเขาไม่ได้มาเห็นกับตา ว่าเธอกับคู่รัก สวีทหวานแหว๋วกันแค่ไหน ตอนที่เก็บบัวในบึง เขาก็คงจะเข้าในว่า เธอกำลังหึงเขาอยู่นั่นเอง แต่กับภาพที่เขาเห็นมาแล้ว มันทำให้เขาไม่แน่ใจในตัวเธอเลยว่าคิดยังไงกับเขากันแน่

“หนูวาส่งป้าแค่นี้ก็พอลูก กลับเข้าบ้านไปได้แล้วหล่ะ เดี๋ยวป้าจะเดินเข้าบ้านเอง มา...เอาของส่งมาให้ป้าเถอะ ค่ำมืดแล้ว” พุดซ้อนบอกเธอ เมื่อเธออาสาเดินมาส่งพุดซ้อน หลังจากที่เสร็จจากอาหารค่ำแล้ว หลาย ๆ คนก็แยกตัวกันไปพักผ่อน รวมทั้งบรรจงด้วยที่ขอตัวกลับบ้านก่อน เพราะพรุ่งนี้จะต้องไปต่างจังหวัดตั้งแต่เช้า ส่วนพุดซ้อนนั้น อาสาเข้าครัวไปช่วยเธอและสุขจัดของสำหรับใส่บาตรจนเสร็จ

“วาถือไปส่งให้ในบ้านดีกว่านะคะ ของมันหนักค่ะ” เธอบอกและยังคงถือตะกร้าหวายที่บรรจุโถอาหารสองสามอย่างรวมทั้ง แกงกะทิสายบัวที่แบ่งไว้ให้รวิทย์กินตอนเช้าหลังจากออกเวรตามคำเรียกร้อง แล้วมืออีกข้างเธอก็ยังถือถุงสายบัว ที่พุดซ้อนจะเอามาทำแกงส้มอีก
“ไม่เป็นไรลูก แค่นี้เองกลับบ้านไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ อย่าดื้อส่งมาให้ป้าเร็วเข้า” น้ำเสียงของพุดซ้อนทำให้เธอไม่อาจจะขัดขืนได้ ด้วยเมื่อครั้งเธอยังเด็กพุดซ้อนนั้นไม่ใช่จะรักและเอาใจเธอเพียงอย่างเดียว แต่บางครั้งก็จะดุบ้างเวลาที่เธอเกเร แต่ก็ไม่บ่อยครั้งนัก เลยทำให้วันวิวาห์รู้สึกเกรงใจอยู่มาก

“งั้นวากลับนะคะ” เธอบอกหลังจากยื่นตะกร้ากับถุงไปให้พุดซ้อน
“เดินระวัง ๆ นะลูก” พุดซ้อนไม่ลืมห่วงเธอ
“ค่ะ” เธอรับคำแล้วก็เดินตรงไปยังประตูตรงกำแพงด้วยความเคยชิน ส่วนพุดซ้อนนั้นก็รีบเดินเข้าบ้าน เพราะต้องไปจัดข้าวของให้สามีที่จะเดินทางแต่เช้ามืด
วันวิวาห์ถึงกับตกใจเมื่อพาร่างผ่านเข้าประตูมา ก็พบว่าชนะชลยืนรออยู่ตรงข้าง ๆ พุ่มไม้ที่ปลูกไว้ไม่ห่างกำแพงนัก ถึงแม้บริเวณนั้นจะมืด แต่เธอก็รู้ว่าเป็นเขา

“ผมมารับคุณ” เขารีบบอกเมื่อเห็นเธอกำลังจะเดินหนีเขาไป
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับได้ แค่นี้เอง” เธอบอก พร้อมกับขาก็รีบก้าวเดินให้พ้นจากเขา แต่ก็ไม่ทันที่จะได้ไปไหน มือของเขาก็คว้าเอาข้อมือเธอไว้
“ถ้าเปลี่ยนจากผมเป็นหมอรวิทย์คุณคงจะรีบเดินมาเกี่ยวแขนเขาแล้วสินะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปกตินัก เพราะรู้สึกว่าเธอทำตัวห่างเหินเขาเหลือเกินพักนี้

“มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอคะ คุณเองก็มีคนคอยเดินเกี่ยวแขนอยู่ทุกวันเหมือนกัน” เธอตอบกลับเขา ด้วยใบหน้าที่เรียบ ขรึม “คุณหึงผมเหรอ” เขาถามพร้อมกับยิ้มออกมาให้เธอได้เห็น
“ช่วยกรุณาใช้คำพูดที่มันสุภาพกับฉันด้วยนะคะ คุณชนะชล” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่เรียบลงจากเมื่อสักครู่ เพราะเกรงว่าจะมีใครบังเอิญมาเห็นและได้ยินบทสนทนาระหว่างเขาและเธอได้
“ทำไม...หรือคุณจะบอกว่าคุณไม่ได้คิดอะไรกับผม ถ้าไม่ได้คิดแล้วคืนนั้นมันหมายความว่ายังไง”

“ปล่อยฉันนะ มันไม่มีอะไรและไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น” เธอพยายามสลัดข้อมือให้เป็นอิสระจนสำเร็จ แล้วก็ออกเดินให้ห่างเขา แต่เขาก็คว้าเอาร่างเธอเข้ามาแนบกอดเอาไว้แทน
“มันไม่มีความหมายเหรอวันวิวาห์...ได้...งั้นผมจะทำให้คุณรู้ว่ามันมีความหมายมากแค่ไหน” สิ้นเสียงของเขา ริมฝีปากเธอก็ถูกปิดอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยนะ ปล่อยฉันนะคุณชนะชล ปล่อย...บอกให้ปล่อย” เธอพยายามดิ้นรนหาอิสระให้ตัวเอง แต่ก็เปล่าประโยชน์เมื่อวงแขนของเขารัดร่างเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม สัมผัสที่รุนแรงแต่แรกค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความนุ่มนวลแทน เมื่อเขาพบว่าร่างที่เขารัดเอาไว้นั้น ไม่ได้ขัดขืนเขาแล้ว

แสงสลัวจากจันทราที่สาดส่องลงมาในเวลานี้ ทำให้เขารู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้ครอบครองเรียวปากงาม อากาศยามค่ำคืนที่กำลังเย็นสบายให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก เมื่อมีไออุ่นจากร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดเขาเวลานี้
เขาไม่เข้าใจเลยว่าศัตรูอย่างนายสุเมธทำไมถึงได้สรรสร้างสิ่งดี ๆ จนเขาต้องหลงใหลได้เพียงนี้ อ้อมกอดที่มีเธอมาแนบอกมันช่างทำให้เขาสุขใจเหลือเกิน สุขจนเขาอยากจะหยุดเวลาเอาไว้แค่นี้ เวลาที่มีเธออยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ เวลาที่เขาได้ถ่ายทอดความรู้สึกดี ๆ ผ่านสัมผัสอันแผ่วเบาแบบนี้
“ทีนี้คุณรู้หรือยังว่ามันมีความหมายแค่ไหน” เขาบอกเมื่อถูกเธอผลักออกจากร่าง

....เปี๊ยะ.....มือเรียวฟาดลงไปที่ใบหน้าของเขา ก่อนที่เธอจะวิ่งจากเขาไป และมันก็เป็นการเตือนสติเขาได้เป็นอย่างดี ว่าการกระทำเมื่อสักครู่นี้ เป็นสิ่งที่ไม่ให้เกียรติเธอเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกโกรธตัวเองที่ลืมตัวเช่นนี้ ไม่นานเขาก็เดินออกจากพุ่มไม้แล้วก็ตรงเข้าบ้าน แต่ก็ไม่ทันร่างที่วิ่งหายเข้าบ้านไปแล้ว

“คุณแพรวยังไม่นอนอีกเหรอครับ ดึกแล้วนะ” ชนะชลทักเมื่อเห็นกิติกรเดินออกมาจากครัว พร้อมในมือก็มีเหยือกน้ำมาด้วย
“ยังค่ะ พอดีคุณแพรวหิวน้ำก็เลยลงมาเอา แล้วพี่ชลหล่ะคะดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก แล้วไปไหนมาคะ” กิติกรถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เอ่อ...พี่ไปเดินเล่นครับ เดี๋ยวว่าจะเข้าไปทำงานสักพักแล้วก็จะเข้านอนเลย” เขาบอก

“งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคะ คุณแพรวไม่กวนแล้ว” กิติกรบอกแล้วก็รีบเดินขึ้นชั้นบนแล้วก็ตรงเข้าไปในห้อง และทันทีที่ประตูปิดลง หญิงสาวแทบอยากจะขว้างเหยือกน้ำในมือทิ้งทันที เมื่อภาพของชนะชลและวันวิวาห์อยู่ด้วยกันมันยังคงติดตาติดใจอยู่ กิติกรรู้สึกโมโหตัวเองยิ่งนัก ที่ในใจเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงตัดสินใจแอบเดินตามชนะชลไป หลังจากที่เขารู้ว่าวันวิวาห์อาสาไปส่งพุดซ้อนที่บ้าน

นี่ถ้าเธอไม่กลัวพ่อกับแม่จะรู้ว่าชนะชลแอบปันใจให้วันวิวาห์ เธอจะกรีดร้องออกมาให้ดัง ๆ ให้ทั้งสองคนได้อายไปตาม ๆ กันเลย แต่เธอก็ได้แค่คิด เพราะไม่สามารถทำได้ หรือถ้าทำได้พ่อกับแม่ก็คงจะต้องให้เธอตัดความสัมพันธ์กับชนะชลภายในคืนนี้เป็นแน่ เพราะเธอรู้ดีว่าพ่อและแม่ต้องการที่จะยกเธอ ให้กับผู้ชายที่ดีพร้อมและรักเธอคนเดียวเท่านั้น

“วันวิวาห์...ฉันคิดแล้วไม่มีผิด ว่าเธอจะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่ หน่อยทำตัวเป็นผู้ดี กิริยามารยาทเรียบร้อย ที่แท้เธอมันก็พวกชอบลักชอบขโมยเขากินนี่เอง ฉันเกลียดเธอ พี่ชลจะต้องเป็นของฉันคนเดียว เธอไม่มีวันจะแย่งเขาไปได้หรอก ไม่เชื่อคอยดู ฉันจะต้องกำจัดเธอให้ออกไปจากชีวิตฉันให้ได้ แม่หมอหน้าซื่อบื่อ” กิติกรบอกตัวเองด้วยความโกรธจัด มือก็คว้าเอาหมอนที่วางอยู่บนที่นอนขว้างทิ้งจนกระจายเต็มห้อง

“ไม่ ๆ ฉันต้องไม่โกรธ ฉันจะต้องกำจัดเธอด้วยวิธีที่นุ่มนวล เหมือนที่ฉันเอาชนะใจพี่ชลมาแล้ว เธอจะต้องเจ็บปวดและจะต้องละอายแกใจ ที่บังอาจมาแย่งคนรักฉัน” กิติกรที่เหมือนจะควบคุมตัวเองได้ตั้งปนิธานเอาไว้ ว่าจะต้องเอาชนะศัตรูหัวใจด้วยวิธีที่นุ่มนวลที่สุด เธอจะต้องใช้คราบของนางฟ้ากำจัดวันวิวาห์ เพื่อที่ชนะชลจะได้ไม่กล้าโกรธและโทษเธอนั่นเอง


“โยม...นี่โยมวา...หลานโยมกุศลใช่หรือเปล่าโยม” พระสงฆ์รูปสุดท้ายที่วันวิวาห์กับสุขถวายอาหารถามเธอ เมื่อเสร็จสิ้นการให้พรแล้ว
“ใช่เจ้าค่ะหลวงพ่อ หลวงพ่อจำได้ด้วยเหรอคะ คุณวาไปเรียนเมืองนอกตั้งนานนะคะ” สุขตอบแทนเธอและก็ไม่วายที่จะสงสัย
“จำได้สิโยม พระก็มีความจำนะ แล้วกลับมาเป็นหมอเหมือนที่โยมเคยบอกอาตมาหรือเปล่าโยม” หลวงพ่อที่เมื่อครั้งเธอยังเด็กยังเป็นหลวงพี่อยู่เลย
“เป็นค่ะหลวงพ่อ” เธอตอบด้วยอาการสำรวม

“ดีแล้วนะโยม อาตมาดีใจด้วยนะที่โยมทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ จะได้มาช่วยคนที่บ้านอีกแรงหนึ่ง” หลวงพ่อบอกแล้วก็ค่อยเดินจากไปโดยมีเด็กวัดสองคนสะพายย่ามตามไปติด ๆ
“หลวงพ่อที่เคยเป็นเพื่อนกับคุณผู้ชายไงคะคุณวา ตอนคุณวาไปเมืองนอกท่านยังเป็นพระลูกวัดอยู่ค่ะ แต่ตอนนี้ท่านเป็นเจ้าอาวาสแล้ว แต่ก็ยังอยากจะออกมาบินฑบาตรและก็ให้พรกับญาติโยมอยู่ค่ะ ดูสิคะท่านยังจำคุณวาได้ด้วย” สุขบอกพร้อมกับยิ้มด้วยความดีใจ
“วาเองสิคะจำท่านไม่ได้เลย” เธอบอก “ก็คุณวาไปนานนี่คะ คุณวาไปกรวดน้ำให้คุณท่านก่อนค่ะ” สุขบอก แล้วหญิงสาวก็รับน้ำจากมือสุขแล้วก็เดินไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ ไม่นานก็เดินกลับมาหาสุข

“คุณหมอตักบาตรเสร็จแล้วเหรอคะ คุณแพรวว่าจะมาขอทำบุญด้วยสักหน่อยค่ะ” กิติกรที่มาในชุดสีขาวน่ารัก เดินลงมาจากรถที่ส่งขับมารับคนทั้งสองที่หน้าประตู
“ค่ะ...ป้าสุขขึ้นรถเถอะค่ะเดี๋ยววาจะเดินไปเอง จะได้ดูต้นไม้ไปด้วย” เธอรับคำกิติกรแค่นั้น แล้วก็หันไปบอกสุข พร้อม ๆ กับส่งข้าวของให้ส่ง
“อย่าเดินเพลินนะคะ ไปให้ทันเวลาอาหารด้วยค่ะ” สุขบอกก่อนที่จะขึ้นไปนั่งบนรถ
“คุณแพรวจะเดินดูอะไรเป็นเพื่อนคุณหมอค่ะป้าสุข” กิติกรรีบบอกเมื่อเห็นสุขมองมาหาเหมือนจะรอให้เธอขึ้นรถไปด้วย

“ทำบุญแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างหรือเปล่าคะคุณหมอ คุณแพรวนี่แย่จริง ๆ เลยค่ะ ตั้งใจว่าจะมาตักบาตรกับคุณหมอแท้ ๆ เอาจริง ๆ เข้าเลยตื่นสายเลยค่ะ อุตส่าห์บอกพี่ชลว่าให้ไปปลุกคุณแพรวแต่เช้าแล้วนะคะ พี่ชลก็ลืมตื่นค่ะ เราสองคนไม่น่านอนดึกเลยนะคะเมื่อคืนนี้ พี่ชลสิคะชวนคุณแพรวคุยจนดึกดื่นเลยค่ะ” กิติกรบอกด้วยสีหน้าที่เปื้อนยิ้ม

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” วันวิวาห์บอกแค่นั้น แล้วก็ออกเดินดูต้นไม้ไปเรื่อย ๆ
“แต่ก็ไม่เป็นไรอย่างที่คุณหมอว่านะคะ เพราะปกติคุณแพรวก็จะไปทำบุญกับคุณแม่ที่วัดบ่อย ๆ นะคะ แล้วพระที่วัดท่านก็สอนคุณแพรวว่า เวลาเราไม่สบายใจอะไรถ้าได้ทำบุญแล้วจะทำให้เราสบายใจขึ้นค่ะ คุณหมอเห็นด้วยกับที่พระท่านว่าหรือเปล่าคะ” กิติกรยังคงชวนคุย
“ค่ะ คุณปู่ของหมอท่านก็เคยสอนไว้อย่างนั้นค่ะ” เธอตอบ

“แต่คุณแพรวคิดว่ามันก็ขึ้นอยู่กับตัวคน ๆ นั้นด้วยนะคะ เพราะบางคนถ้ามีจิตใจที่บริสุทธิ์ เวลาทำบุญก็จะได้บุญกุศลดีไปด้วยค่ะ แต่บางคนสิคะ ถ้าจิตใจไม่บริสุทธิ์ทำยังไงก็ไม่ได้บุญหรอกค่ะ คุณแพรวว่าคงจะได้บาปแทนมากกว่า หรือคุณหมอว่ายังไงคะ” กิติกรเริ่มเข้าแผน
“ก็คงจะอย่างนั้นค่ะ” วันวิวาห์พยายามที่จะก้าวขาให้เร็วขึ้น เพราะไม่รู้ว่ากิติกรจะคุยเรื่องอะไรต่อไป

“คุณแพรวมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งนะคะ ต่อหน้าพวกเราเพื่อนคนนี้ก็จะทำตัวดีค่ะ วางตัวเป็นลูกผู้ดี กริยามารยาทก็เรียบร้อย เป็นกุลสตรีไปแทบจะทุกกระเบียดนิ้วเลยค่ะ แถมฐานะทางครอบครัวก็ดีนะคะ เป็นครอบครัวที่มีหน้าตาทางสังคมค่ะ คุณหมอรู้มั้ยคะว่าลับหลังพวกเราเพื่อนคนนี้เป็นยังไง” กิติกรถามด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาที่สุด แต่มันเริ่มทำให้วันวิวาห์รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเอาดื้อ ๆ
“ยังไงคะ” เธอถามไปอย่างนั้น พร้อมกับเท้าก็ก้าวไปข้างหน้า ในใจก็ภาวนาให้ถึงบ้านเร็ว ๆ

“ก็จะอะไรซะอีกคะคุณหมอ แม่เพื่อนรักของพวกเราคนนี้ แอบไปตีท้ายครัวเพื่อนตัวเองค่ะ คนเขารักกันอยู่ดี ๆ จะแต่งงานกันอยู่แล้วนะคะ เพื่อนคุณแพรวคนนี้ก็เข้าไปแย่งเอาแฟนเพื่อนมาหน้าตาเฉยเลยค่ะ ตอนแรกที่เพื่อนมาเล่าให้ฟังนะคะ คุณแพรวก็ไม่เชื่อค่ะ แล้วคุณแพรวยังไปต่อว่าเพื่อนว่าใส่ร้ายเขาด้วยนะคะ แต่พอวันนั้นคุณแพรวไปงานเลี้ยงบ้านเพื่อนค่ะ เห็นสองคนนี้แอบไปทำอะไรกันในที่มืด ๆ ค่ะ แล้วยังทำลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ คงคิดว่าไม่มีใครเห็นพฤติกรรมของตัวเองมั้ง”

“คุณแพรวเห็นหน้าแล้วยังไม่ค่อยอยากจะมองเลยค่ะ คุณแพรวเกลียดที่สุดเลยค่ะ คนที่ต่อหน้าอย่างลับหลัง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในสังคมของพวกเรา คนอย่างนี้นะคะ ต่อให้ไปทำบุญสิบวัด ตักบาตรเป็นร้อย ๆหน คุณแพรวก็ว่าเขาคงจะไม่ได้บุญหรอกค่ะ แต่คงจะได้บาปแทนมากกว่า คุณหมอคิดเหมือนคุณแพรวหรือเปล่าคะ”

น้ำเสียงที่ฟังดูไม่มีอะไรของกิติกรกับแววตาที่ใสซื่อทำให้วันวิวาห์อยากจะคิดว่า กิติกรไม่ได้หมายถึงการกระทำของชนะชลที่ทำกับเธอเมื่อคืนนี้ แต่วันวิวาห์ก็ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าทำไมเรื่องของเพื่อนกิติกรจะมาตรงกับตัวเธอนัก แล้วเธอก็ภาวนาว่าอย่าให้กิติกรเห็นการกระทำของเธอและเขาเมื่อคืนนี้เลย

“หมอขอไม่ออกความคิดเห็นก็แล้วกันนะคะ เพราะไม่ได้รู้จักเพื่อนคุณแพรวเป็นการส่วนตัว เลยไม่รู้ว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง...หมอว่าเรารีบเข้าบ้านเถอะค่ะ จะได้เวลาอาหารเช้าแล้วเดี๋ยวผู้ใหญ่จะรอ” วันวิวาห์พยายามที่จะตัดบท และพยายามก้าวขาให้ยาวขึ้นเพื่อให้ถึงบ้านเร็ว ๆ
“จริงด้วยค่ะ ป่านนี้พี่ชลคงจะตื่นแล้วมั้งคะ คุณแพรวนี่แย่จริง ๆ เลยค่ะ อยู่ดี ๆ ก็เอาเรื่องหนัก ๆ มาเล่าให้คุณหมอฟัง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะทำบุญเสร็จแท้ ๆ เลย...งั้นเราเข้าบ้านกันค่ะ” กิติกรบอกพร้อมยิ้มด้วยความสะใจก่อนที่จะรีบเดินตามวันวิวาห์ไป

“มาแล้วเหรอจ๊ะสองสาว คุยอะไรกันคะกระหนุงกระหนิงเชียว นั่งเลยค่ะได้เวลาอาหารแล้ว” เอมอรทักทั้งสองเมื่อเดินมาถึงห้องอาหาร ที่มีทุกคนรออยู่ที่โต๊ะแล้ว
“คุณแพรวคุยเรื่องเพื่อนเก่าให้คุณหมอฟังค่ะคุณป้า” กิติกรรีบบอกแล้วก็ส่งรอยยิ้มที่ใสบริสุทธิ์ไปให้ชนะชลที่นั่งโดยไม่ได้พูดอะไร
“เหรอลูก...ฉันว่าคุณแพรวคงจะได้พี่สาวแล้วหล่ะค่ะคราวนี้ ไปไหนมาไหนก็จะถามหาแต่คุณหมอตลอดเลย ตาชลหน่ะระวังจะตกกระป๋องนะลูก ต้องรีบเอาใจคุณแพรวแข่งกับหนูวาแล้วนะ” เอมอรที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรบอกด้วยความอารมณ์

“ไปกวนคุณหมอหล่ะสิไม่ว่าเราหน่ะคุณแพรว ระวังคุณหมอจะเบื่อเอานะลูก เดี๋ยวคราวหน้าไม่กล้าชวนมาเที่ยวบ้านอีกนะ” วรากรณ์รีบออกตัว แต่ก็มีแววตาที่ปลื้มลูกสาวอยู่ในที
“ตามสบายค่ะคุณลุง ที่นี่ยินดีต้อนรับครอบครัวคุณลุงเสมอค่ะ จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ วากลัวแต่จะไม่ค่อยได้มีเวลาต้อนรับแค่นั้นเอง” เธอบอกไปตามมารยาทเจ้าบ้าน

“งั้นคุณแพรวก็จะเลือกมาตอนที่พี่ชลอยู่ค่ะ จะได้พาคุณแพรวเที่ยวไงคะ จริงมั้ยคะพี่ชล ถึงคุณหมอจะมีเวลาก็คงจะไม่มีให้คุณแพรวหรอกค่ะ คงจะมีให้แต่คุณหมอวิทย์มากกว่า” กิติกรบอกและยิ้มออกอย่างมีความสุขกับการถากถางคู่ต่อสู้โดยที่ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
วันวิวาห์เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ เพราะในใจนั้นเป็นกังวลกับคำพูดของกิติกรไม่น้อย แล้วเธอก็ภาวนาว่าอย่าให้กิติกรเห็นเหตุการณ์เมื่อคืนเลย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเธอคงจะไม่มีหน้าไปสู้หน้าใครได้อีกแล้ว สีหน้าที่เป็นกังวลของวันวิวาห์สร้างความแปลกใจให้ชนะชลไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าในใจเธอนั้นคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าจะให้เขาเดา เธอก็คงจะโกรธเขาเรื่องเมื่อคืนนี้มากนั่นเอง


“เข้ามาได้”
เสียงชนะชลอนุญาตให้ผู้ที่เคาะประตูเข้ามาในห้องทำงาน โดยที่เขายังคงก้มหน้าก้มตาเซ็นต์เอกสารที่กองอยู่ตรงหน้าอย่างนั้น เพราะวันนี้เขาต้องรีบเคลียร์งานหลาย ๆ อย่างให้เสร็จหลังจากที่หลาย ๆ วันที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้ทำงานเต็มที่ เพราะจะต้องคอยพากิติกรไปไหนมาไหนแทบจะตลอดเวลา ต่อให้เขาบอกกิติกรว่าจะต้องทำงาน กิติกรก็จะขอมานั่งอยู่ในออฟฟิศแทบจะทุกเวลา ปากก็สัญญาว่าจะไม่กวนแต่ไป ๆ มา ๆ ก็ต้องดึงเขาให้ออกจากออฟฟิศอยู่ไม่วาย แต่วันนี้เขารู้สึกโล่งใจเหลือเกินที่กิติกรบอกว่าวันนี้จะไม่ตามเขามาที่ออฟฟิศ

“อะไรเหรอเดือน” เขาถามเลขาฯ ที่เดินเข้ามาพร้อม ๆ กับถาดอาหารมาด้วย
“ของว่างค่ะ คุณแพรวให้ลุงส่งขับรถเอามาให้เมื่อสักครู่ค่ะ และกำชับว่าจะต้องให้เดือนเอามาให้เจ้านายตอนนี้เลย และก็ต้องให้ทานตอนที่ร้อน ๆ ด้วยค่ะ” เดือนฉายรีบรายงานเจ้านาย
“ฮืม....ตกลงเดือนจะเป็นเลขาฯ ผมหรือว่าเป็นเลขาฯ ของคุณแพรวกันแน่” เขาถามด้วยความเหนื่อยใจเป็นที่สุด ที่อุตส่าห์ดีใจว่าจะได้ทำงานโดยไม่มีใครมารบกวน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหนีไม่พ้น

“โถ่...เจ้านายคะ...เดือนก็ต้องเป็นเลขาฯ เจ้านายสิคะ แต่เดือนเห็นว่าถ้าเจ้านาย พักหน่อยก็คงจะดีเหมือนกันนะคะ นั่งเคร่งเครียดมาทั้งวันแล้วค่ะ ดูสิคะกระหรี่ปั๊ปไส้ไก่น่ากินเชียวค่ะ กำลังร้อน ๆ เลยนะคะ เดือนเพิ่งจะเอาออกจากเวปเลยค่ะ และนี่ก็ชาดอกคำฝอยเพื่อสุขภาพค่ะ” เดือนฉายรีบรายงานเจ้านาย
“เดือนวางไว้ตรงนี้ก็แล้วกันนะคะ ถ้าเจ้านายเซ็นต์เอกสารเสร็จแล้วก็มาทานนะคะ แต่อย่านานนะคะ เดี๋ยวอีกหน่อยเดือนว่าคุณแพรวจะต้องโทรมาถามเจ้านายแน่ ๆ เลยค่ะ ว่าทานหรือยัง มีคนที่น่ารัก ๆ อย่างคุณแพรวมาคอยเอาใจใส่เดือนว่าดีออกค่ะ” เดือนฉายบอกขณะที่ยกถาดของว่างไปวางไว้ที่โต๊ะกลางชุดรับแขก แล้วก็รีบออกไปจากห้อง ก่อนที่เจ้านายจะไล่ออกมาแทน

ชนะชลจำต้องผละจากโต๊ะ เดินตรงไปที่ชุดรับแขก แล้วก็ลงมือกับของว่างอย่างเสียไม่ได้ และไม่นานมือถือของเขาก็ดังขึ้น
“สงสัยจะต้องให้ยายเดือนเปลี่ยนอาชีพจากการเป็นเลขาฯ ไปเป็นหมอดูแทนแน่ ๆ เลย”
เขาพูดกับตัวเอง เมื่อมองไปที่หน้าจอพบว่าใครเป็นคนโทรมา แต่เขาก็เลือกที่จะไม่รับ ได้แต่ปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้นจนหยุดไปเอง ไม่นานประตูห้องก็ถูกเคาะและเดือนฉายก็ยื่นหน้าเข้ามา แล้วเขาก็ได้แต่ยกมือโบ้ยให้เดือนฉาย เป็นสัญญาณว่าไม่อยากจะรับโทรศัพท์ ความเป็นเลขาฯของเขามานานทำให้เดือนฉายรู้ว่าจะต้องไปบอกกิติกรที่โทรมาที่โต๊ะเธอ ว่าเจ้านายไม่สะดวกรับโทรศัพท์ด้วยเหตุผลอะไร

ความอ่อนเพลียจากการนั่งทำงานมาทั้งวัน ทำให้ชนะชลต้องเอนตัวลงนอนไปที่ชุดรับแขกหลังจากที่ดื่มชาจนหมดแก้ว มือถูกยกมาก่ายหน้าผากโดยอัตโนมัติซึ่งอาการแบบนี้มันเริ่มเกิดขึ้นมา ตั้งแต่วันที่กิติกรเข้ามาเปิดตัวกับเจ้าของร่างบาง ๆ พร้อมใบหน้าเนียนสวยนั้นแล้ว
“วันวิวาห์ พิพัฒน์กุล”
ชื่อนี้ตราตรึงอยู่ในใจเขาเรื่อยมา เสียงมือถือดังขึ้นอีกครั้งเขาไม่วายที่จะยกขึ้นมาดู ก็พบว่ายังคงเป็นกิติกรที่โทรมา

“เฮื้อ...ทำไมคนที่โทรมาไม่ใช่คุณนะ วันวิวาห์”
นั่นคือสิ่งที่เขาอยากจะให้มันเป็น แต่เขาก็ต้องรีบลุกขึ้นมาแล้วกลับไปนั่งทำงานต่อ โดยทิ้งให้โทรศัพท์ดังอยู่อย่างนั้น ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อไหร่จะถึงวันที่มารดาพากิติกรกลับไปเสียที เขาจะได้มีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง









 

Create Date : 24 กันยายน 2551
0 comments
Last Update : 24 กันยายน 2551 7:07:35 น.
Counter : 355 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.