Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
ชลวาห์กาล ๒๑ (ธัญรัตน์)




นุติพรแทบไม่อยากจะลุกจากเตียงเพราะกำลังหลับสบาย ๆ กับอากาศที่เย็นพอดี แต่ก็ทนเสียงเคาะประตูไม่ไหว จึงต้องลึกขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเพื่อนรัก และทันทีที่นุติพรเปิดประตูห้องเข้ามา กิติกรก็เข้ามาโอบกอดและร้องไห้กับอกเธอจนตั้งตัวไม่ติด
“อะไรกันแพรว มีอะไรทำไมถึงร้องไห้แบบนี้ ใจเย็น ๆ นะค่อย ๆ เล่าให้เราฟัง” นุติพรพยายามควบคุมสติ แต่ก็ตกใจกับอาการเพื่อนไม่น้อย
“พี่ชล ๆ พี่ชลกับหมอ...ฮื่อ ๆ นุ ช่วยเราด้วย ทำไมพี่ชลถึงทำกับเราอย่างนี้ ทำไม ๆ” กิติกรแทบจะพูดอะไรไม่เป็นสรรพ “แพรวใจเย็น ๆ ค่อย ๆ เล่ามาถ้ามัวแต่ร้องไห้แบบนี้เราคงจะไม่รู้เรื่องกันพอดี หยุดร้องไห้ก่อนมานั่งตรงนี้มา” นุติพรประคองเพื่อนให้ไปนั่งที่เตียง

“ไหนมีอะไร พี่ชลไปทำอะไร เล่ามาให้ละเอียดเลยนะ” นุติพรคาดคั้นจากกิติกร แล้ภาพของชนะชลที่โอบกอดวันวิวาห์ในรถเมื่อสักครู่ ก็ถูกถ่ายทอดให้นุติพรฟัง เพราะด้วยความที่อากาศกำลังดีทำให้กิติกรที่ชอบตื่นเช้าอยู่แล้วต้องเดินไปที่ระเบียงห้องเพื่อสูดเอาอากาศที่บริสุทธิ์
แต่แล้วจู่ ๆ เธอก็เห็นรถของชนะชลแล่นเข้ามาในบริเวณรีสอร์ท ด้วยความอยากรู้กิติกรจึงรีบเดินลงไปดู แล้วก็ต้องพบกับภาพที่สร้างความเจ็บปวดกับกับตัวเองเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าบทสนทนาของทั้งสองเป็นยังไง แต่เท่าที่อ่านจากภาษากายที่ทั้งสองสื่อสารถึงกันนั้น มันฟ้องให้เธอเห็นว่า ชนะชลนั้นห่วงใยวันวิวาห์มากแค่ไหน

“อะไรนะพี่ชลทำถึงขนาดนี้เลยเหรอแพรว ไม่ได้นะ เธอจะต้องไปบอกคุณป้านะ ทำอย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน คู่หมั้นก็มีแล้ว ยังจะไปกอดจูบกับคนอื่นอีก” นุติพรเป็นเดือดแทนเพื่อนเมื่อได้รับรู้เรื่องทั้งหมด
“บอกไม่ได้ เราจะบอกใครไม่ได้ ถ้าคุณป้ากับคุณแม่รู้เข้า คุณพ่อก็จะต้องรู้ และถ้าคุณพ่อรู้ว่าพี่ชลมีใจให้กับคุณอื่น คุณพ่อจะไม่มีวันยกเราให้พี่ชลแน่ ๆ คุณพ่อท่านรักศักดิ์ศรีแค่ไหนนุก็น่าจะรู้ เราไม่อยากจะเสียพี่ชลไปนุได้ยินมั้ย เราจะทำยังไงดี...ฮื่อ ๆ ๆ” กิติกรร้องไห้ฟูมฟายอีกครั้ง
“งั้นก็ต้องไปคุยกับพี่ชลให้รู้เรื่องว่าจะเอายังไง และจะเลือกใคร”

“แล้วถ้าเกิดพี่ชลบอกว่าเลือกหมอหล่ะ เราจะทำยังไง มันเท่ากับว่าเราไปเปิดทางให้พี่ชลบอกเลิกกับเราได้ง่าย ๆ นะ เรายอมไม่ได้หรอก พี่ชลเป็นของ ๆ เราคนเดียวใครก็ไม่มีสิทธิ์” กิริกรยังคงฟูมฟาย
“โน่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ แล้วจะเอายังไงกันยายแพรว ฉันหล่ะปวดหัวกับปัญหาหัวใจเธอจริง ๆ เลย” นุติพรโอดครวญ เพราะไม่รู้จะช่วยเพื่อนรักยังไง “เราก็คิดไม่ออก เพราะหมอคนเดียว ทำไมนะ ทำไมเขาไม่หนีไปให้ไกล ๆ สุดโลกเลย ฉันเกลียดเขา ได้ยินมั้ยนุ ว่าฉันเกลียดหมอวา” กิติกรพูดและก็รู้สึกเกลียดผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดของคนที่เธอรักอย่างที่สุด

“เอ่อ...จริงสิ ในเมื่อแพรวไปบอกใครไม่ได้ ก็ไปบอกหมอนั่นหล่ะ บอกไปเลยว่าเรารู้ฐานะที่แท้จริงของหมอดี และแพรวก็สั่งห้ามไม่ให้มายุ่งกับพี่ชลอีกเลย ดูซิว่าหมอยังจะมีหน้าไปพบพี่ชลอีกมั้ย” นุติพรเสนอ และมันก็ทำให้กิติกรแทบจะเห็นด้วยในความคิดนี้ เพราะเธอมองไม่เห็นทางไหนที่ดีกว่านี้อีกแล้ว


ดวงแขอดที่จะกังวล กับจิตใจของหญิงสาว ที่ตอนนี้เปลี่ยนฐานะ มาเป็นลูกสาวเธอ อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่ตัวเอง ต้องเก็บงำความลับนี้เอาไว้มานานแสนนาน จนบางครั้งเธอเองก็ไม่แน่ใจ ว่าจะมีสักวันไหมที่เธอจะได้มีโอกาส ได้ใกล้ชิดวันวิวาห์ในฐานะแม่ผู้ให้กำเนิดหรือไม่

ดวงแขสังเกตเห็น อาการเงียบขรึม และสีหน้าที่ดูไม่มีความสุขของวันวิวาห์ ที่ตั้งแต่กลับจากตลาดแล้ว มันทำให้ดวงแขพอจะเดาออกว่า ความรู้สึกของลูกสาวนั้นเป็นเช่นไร เพราะเธอเองก็ได้สัมผัสความรู้สึกแบบเดียวกันนี้ มาแทบจะตลอด หรือจะตลอดชีวิตก็ว่าได้ เพราะคนที่จะทำให้เธอคลายความเจ็บปวดนั้น ตอนนี้เขาได้ลาโลกไปแล้ว

และการที่ดวงแขจะไปเริ่มต้นรักกับใครใหม่อีกนั้น เห็นทีจะมองเห็นความเป็นไปได้ลำบากเหลือเกิน ดังนั้นความสุขที่เธอจะได้รับต่อจากนี้ไป ก็คือจากลูกสาวคนนี้นี่เอง เพราะโลกทั้งโลกของดวงแข เธอได้มอบให้กับลูกสาวไปหมดแล้ว เธอเองก็บรรยายไม่ถูก ว่าดีใจและปลาบปลื้มมากแค่ไหน ที่วันวิวาห์ได้รับรู้ความจริงเรื่องนี้ คิดแล้วเธอก็ห้ามใจมิให้ระลึกถึงสุเมธไม่ได้ อย่างน้อย ๆ เขาก็ยังห่วงเธอ จนยอมเปิดเผยความจริงในเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอนั้นก็ได้เคยบอกตัวเองเอาไว้แล้ว ว่าจะปล่อยให้ความลับนี้ตายไปพร้อม ๆ ตัวเอง

“คุณวา...แม่จะทำอาหารเที่ยงแล้วค่ะ วันนี้ไม่เห็นคุณวิทย์มาเลย ไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าคะ จริง ๆ แล้ววันนี้เป็นวันหยุดคุณวา...คุณวิทย์น่าจะมาคุยด้วยนะคะ” ดวงแขเดินเข้ามาหาวันวิวาห์ ที่นั่งจมอยู่กับกองหนังสือ ที่ถูกจัดเอาไว้ที่มุมเล็ก ๆ หน้าห้องนอนตัวเอง
ซึ่งเธอเดาเอาว่าน่าจะเป็นมุมโปรดที่สุดของวันวิวาห์ เพราะถูกจัดไว้น่าอยู่ทีเดียว ตรงพื้นจะปูด้วยเสื่อทอพื้นบ้าน พร้อมกับมีเบาะที่ทั้งนั่งและนอนได้ ผ้าหุ้มเบาะก็เป็นฝีมือการทอพื้นบ้านเหมือนกัน และถูกจัดไว้แค่สี่ที่เท่านั้น พร้อมกับมีโต๊ะกลางเล็ก ๆ ที่มีแจกันดอกไม้สด ที่วันวิวาห์จะจัดหามาประดับเอาไว้ เฉพาะวันที่เธอหยุดนั่นเอง

“อีกหน่อยก็คงจะมามั้งคะแม่ แต่วันนี้สงสัยจะไปเที่ยวที่ไหนก่อน” เธอตอบพร้อมกับยิ้มให้มารดาที่ทรุดตัวลงนั่งลงใกล้ ๆ เธอ
“มาแล้วครับป้าแข บังเอิญผมตื่นสายไปหน่อย แต่คิดว่าน่าจะมาทันกินข้าวกลางวันใช่ไหมครับ” เสียงรวิทย์ดังมาตั้งแต่ตัวยังขึ้นมาไม่พ้นจากบันไดด้วยซ้ำ
“แหม....คุณวิทย์นี่อายุยืนจริง ๆ ค่ะ ป้าเพิ่งจะบ่นถึงเมื่อกี้นี่เอง เชิญค่ะ” ดวงแขทักเขา พร้อมจัดแจงที่นั่งให้ “หิวจังเลยครับป้าแข วันนี้ทำอะไรให้ผมกินครับ” เขาถาม
“ป้าจะทำขนมจีน น้ำยากะทิค่ะคุณวิทย์ งั้นคุยกันไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าไปทำแป๊บเดียวค่ะ” ดวงแขบอกพร้อมทั้งลุกจากที่นั่งไป “ให้วาช่วยอะไรมั้ยคะแม่” เธอถามตามหลังดวงแข

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณวาคุยกับคุณวิทย์เถอะ แม่ทำคนเดียวดีกว่า ถ้าคุณวามาช่วยแม่ สงสัยจะไม่เสร็จมั้งคะ และอีกอย่างครัวก็พื้นที่น้อย ทำคนเดียวดีกว่า”
ดวงแขหันมาบอก และก็เดินลับเข้าไปในครัว ที่อยู่ถัดจากห้องนอนตัวเองแค่ไม่กี่ก้าว
“วาอ่านอะไรอยู่ ทำไมวันนี้ดูสีหน้าไม่ค่อยจะดีเลย เหนื่อยเหรอ” รวิทย์ถามขึ้น
“เปล่านี่ วันนี้วาหยุดนะวิทย์ นอนตั้งแต่กลับมา เพิ่งจะตื่นได้ไม่เท่าไหร่ แล้วก็มานั่งอ่านหนังสือนี่หละ”
“แล้วเรื่องที่จะย้ายกลับ วาเปลี่ยนใจหรือยัง วันมะรืนวิทย์จะกลับแล้วนะ” เขาเริ่มถามเธออีก
“ขอวาคิดดูอีกทีนะวิทย์ แล้ววาจะบอก” เธอตอบแค่นั้น แล้วความคิดก็ล่องลอยไปถึงอกอบอุ่นของใครคนหนึ่งไม่ได้

“งั้นวิทย์จะหมั้นกับวาก่อนนะ เอาไว้ให้วาว่าง ๆ แล้วก็ลางานกลับบ้านสักสามสี่วัน วิทย์กับแม่จะจัดงานรอ กะให้วาไปถึง ก็สวมแหวนได้เลยไง นะตกลงตามนี้นะวา” เขาไม่วายที่จะมีข้อต่อรอง
“ตามใจวิทย์ก็แล้วกัน” เธอบอกออกไปอย่างนั้น แต่สีหน้าก็ไม่ได้แสดงความยินดีปรีดาให้รวิทย์เห็นเลย นอกจากรอยยิ้มจาง ๆ ที่มุมปาก แต่เขาเองก็รู้และยอมรับกับกิริยาของเธอแบบนี้ มาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว....

“วา....เราอยากให้นายคิดถึงป้าแขด้วยนะ ป้าแขแก่มากแล้ว ให้ท่านได้สบายบ้างเถอะนะ กลับบ้านเราเถอะ วามาอยู่ที่นี่ก็ได้ปีกว่าแล้ว ขาดวาไปสักคน ที่นี่ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกนะ วาทำเพื่อคนอื่นมามากแล้ว เราอยากให้นายทำเพื่อตัวเอง และก็แม่อีกสักครั้ง” เขาไม่วายที่จะหว่านล้อมเธออีกครั้ง
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละวิทย์ ขอวาคิดดูอีกทีนะ วิทย์ก็รู้จักวาดีนี่” เธอย้ำเจตนารมณ์เดิม จนทำให้รวิทย์อ่อนใจที่จะพูดอีกต่อไป


ใบหน้าคมเข้ม เผยยิ้มที่มุมปากอย่างลืมตัว เมื่อเขามองไปเห็นร่างเจ้าของหัวใจของเขา นอนขดตัวอยู่กับเบาะขนาดย่อม ตรงมุมอ่านหนังสือ และใกล้ ๆ มือก็มีหนังสือตกอยู่ข้าง ๆ ดวงตาคู่สวยที่ปิดสนิทก็ถูกครอบครองไว้ด้วยแว่นคู่ใจ
“คงจะอ่านหนังสือจนเพลิน แล้วก็เผลอหลับไปนั่นเอง”
เขาคิดพร้อมกับค่อย ๆ ย่องไปหาเธออย่างเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากจะทำให้วันวิวาห์ตื่น แล้วเขาก็ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ แว่นถูกเขาถอดออกให้จากดวงหน้าสวยได้รูป เพื่อให้วันวิวาห์ได้หลับสบายขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนทำให้เธอตื่นเสียเอง

“คุณชนะชล....คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธอถาม พร้อมกับลุกขึ้นนั่ง และไม่วายที่จะไปคว้าเอาแว่น ที่เขาเพิ่งจะวางไว้ที่โต๊ะ มาสวมก่อนจนได้
“ผมเพิ่งจะมา ไม่เห็นมีใครอยู่ พอดีประตูบ้านเปิดอยู่ ผมก็เลยลองขึ้นมาดูข้างบน ก็เลยเห็นคุณหลับอยู่ ผมขอโทษนะ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณตื่น”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ พอดีอ่านหนังสือ แล้วก็เผลอหลับไป เห็นคุณบอกว่าจะมาเย็น ๆ นี่คะ นี่ก็เพิ่งจะบ่ายเอง แม่ไปซื้อของเอาฝากป้าสุขอยู่ค่ะ” เธอบอกเขา

“พอดีผมมาซื้อของให้คุณแม่ ก็เลยจะแวะมาบอกคุณว่าเย็นนี้คุณแม่อยากจะทานข้าวกับคุณก่อนกลับ ไม่รู้ว่าคุณกับป้าแขจะว่างมั้ย” เขาบอกเธอ
“ทำไมจะไม่ว่างคะ ฝากเรียนคุณป้าว่าฉันขอเป็นเจ้าภาพเองนะคะ ที่จริงคุณมาตอนนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ งั้นคุณรอฉันก่อนนะคะ ขอไปเอาของในห้องก่อน” เธอบอกเขาพร้อมกับลุกตรงไปที่ห้อง ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับซองสีน้ำตาล และมันก็ทำให้ชนะชลเดาได้ว่าสิ่งที่อยู่ในซองคืออะไร
“ผมคงจะรับเงินคุณไว้ไม่ได้หรอกนะ.....วันวิวาห์ ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว ว่าผมจะคืนทุกอย่างให้กับคุณ....คุณเก็บเงินนี่ไว้เถอะนะ คุณยังต้องใช้จ่ายอีกหลายอย่าง” เขาบอกเธอ

“ทำไม...คุณถึงจะต้องคืนทุกอย่างให้ฉันด้วยคะ ก็ในเมื่อพ่อเป็นคนเอาเงินคุณมา คุณไม่อยากจะได้มันคืนเหรอคะ” เธอถามเพราะความสงสัย เพราะเห็นเขาพูดเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว
“เอาไว้ให้ผม เอ่อ...แล้วผมจะเล่าให้ฟังทีหลังนะ คุณเก็บมันไว้เถอะ ผมกลับไปคราวนี้ ผมอาจจะไม่ได้มาที่นี่อีกนาน เพราะ....เอ่อ...” เขาพูดไม่ออก
“เพราะคุณต้องไปแต่งงานกับคุณแพรวใช่ไหมคะ” เธอดักคอเขาถูก พร้อมกับจะลุกหนีเขาไป เพราะไม่อยากจะรับรู้เรื่องนี้อีก แต่ก็ถูกเขาคว้าเอาร่างมากอดเอาไว้

“ผมไม่จำเป็นที่จะต้องแต่งงาน กับคุณแพรวก็ได้นะวา....เพราะผมรู้ดี ว่าหัวใจตัวเองกำลังต้องการอะไร และอยู่ที่ใคร....แล้วคุณหล่ะ คุณจำเป็นที่จะต้องแต่งงานกับหมอรวิทย์เหรอ....แล้วคุณรักเขาหรือเปล่า หัวใจคุณต้องการอะไรกันแน่ คุณบอกผมได้มั้ย เมื่อไหร่คุณจะทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง....วา...”
เขาถามเธอด้วยความเจ็บปวด
“หัวใจฉันไม่สำคัญหรอกค่ะ แต่รวิทย์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของฉัน เราแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคน ๆ เดียวกัน เขาทำเพื่อฉันมาตั้งแต่ฉันจำความได้ แล้วทำไมกับแค่แต่งงานกับเขา ฉันจะทำเพื่อเขาไม่ได้ เขารักฉัน เขาสามารถดูแลฉันได้ แค่นี้ก็พอแล้วนี่คะ” เธอบอกเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ในใจนั้นซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้เหลือเกิน

“แต่คุณก็ไม่ได้รักเขา และคุณก็รู้ว่าคุณรักใคร” เขาพูดดักทางเธอเอาไว้
“เราไม่จำเป็นต้องอยู่กับคนที่เรารักก็ได้นี่คะ อย่างเช่นแม่ไงคะ แม่ก็อยู่กับความเจ็บปวดมาแทบจะตลอดชีวิต” เธอบอกออกไป พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอาบใบหน้าที่ราบเรียบ
“แต่ผมต้องการจะอยู่กับคนที่ผมรัก เพราะถ้าผมไม่ได้อยู่กับเขา ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทนอยู่ไปทำไม คุณเข้าใจมั้ยวา…ว่าผมรักคุณ” เขาบอกพร้อมทั้งกอดร่างเธอเอาไว้แน่นกว่าเดิม

“เราคุยกันรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วค่ะ เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ ถ้าคุณไม่รับเงินฉัน ๆ ก็จะเก็บเอาไว้ แล้วคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ค่อยบอกฉันก็แล้วกัน แล้วเรื่องกิจการ ฉันยังอยากให้คุณเป็นคนบริหารอยู่ ถ้าคุณไม่ขัดข้อง แต่เอาไว้ค่อยคุยกันหลังจากที่คุณแต่งงานก็ได้ค่ะ ฉันอยากให้เราสองคน ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะคะ” เธอบอกเขาออกไป อย่างห่างเหิน จนทำให้ชนะชลนั้นรู้สึกใจหาย
“ก็ได้....ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น แล้วเราค่อยคุยกันเรื่องรายละเอียดก็แล้วกัน เอาไว้ให้คุณพร้อมก่อนก็ได้” เขาบอกเธอออกไปด้วยอาการที่ห่างเหินไม่แพ้กัน พร้อมกับปล่อยร่างเธอ แล้วทั้งคู่ก็ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุม

จนมีร่างของดวงแขกลับขึ้นมาบนบ้าน แล้วเขาก็อยู่บอกดวงแขเรื่องอาหารเย็น แล้วเขาก็ลงจากบ้านไปโดยที่เขาไม่ได้คิดที่จะหันกลับมาดูดวงตาคู่งาม ภายใต้กรอบแว่นขาวใส ที่แอบมองตามเขาไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แต่ก็ต้องถูกฉาบเอาไว้ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยแทน เพราะไม่อยากให้มารดาสังเกตเห็น
อาหารเย็นที่วันวิวาห์ขอเป็นเจ้าภาพดำเนินไปด้วยความเงียบ จะมีพูดคุยก็แค่เอมอร กิติยา ดวงแข และรวิทย์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนกิติกรและเพื่อน ๆ นั้น แทบจะไม่อยากมาเลย แต่ก็จำใจต้องมา และเธอก็ยังคงข่มความโกรธเอาไว้ภายใน และแสดงออกด้วยการเอาใจชนะชลผ่านอาหารสารพัดที่ตักให้เขา

“คุณหมอจะย้ายกลับเมื่อไหร่คะ” กิติยาถาม “ยังไม่ทราบค่ะคุณป้า ขอทำที่นี่ไปเรื่อย ๆ ก่อนค่ะ” เธอตอบแค่นั้น และมันก็เป็นแบบนี้ในหลาย ๆ ครั้ง ที่เธอจะเลือกพูดเฉพาะเวลามีคนถามตรง ๆ เท่านั้น
“รีบย้ายกลับไปเร็ว ๆ ก็ดีนะคะหนูวา คุณหมอวิทย์จะได้ไม่เหงาไงคะ” เอมอรเสริม แต่ก็ยังคงได้แต่รอยยิ้มจากเธออยู่อย่างนั้น
“สงสัยผมคงจะต้องย้ายมาหาวาแทนแล้วมั้งครับคุณป้า” รวิทย์ที่ดูอารมณ์ดีเสมอ อดแหย่เธอไม่ได้
“ก็ดีนะคะ คนรักกันอยู่ใกล้ ๆ กัน จริงมั้ยคะคุณเอมอร” กิติยาบอกและยิ้มให้
“จริงที่สุดเลยค่ะ”เอมอรบอกและยิ้มให้ลูกชายที่เอาแต่นั่งเป็นผู้ฟังที่ดีแค่นั้น จนอาหารเย็นผ่านพ้นไป โดยชนะชลเลือกที่จะพาส่งวันวิวาห์กับดวงแขที่บ้านพักก่อน

“ของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ จากวากับแม่ค่ะ ขอบคุณคุณป้าทั้งสองมาก ๆ นะคะที่ตามมาเยี่ยมวาถึงที่นี่ แต่วาก็ต้อนรับได้ไม่ดีเลย เพราะสถานที่ไม่อำนวยเท่าไหร่ เอาไว้ให้วากลับบ้านก่อน แล้วจะขอแก้ตัวใหม่นะคะ” เธอกล่าวและไหว้เอมอรและกิติยาที่ลงจากรถมาส่งเธอ
“ไม่เป็นไรจ๊ะหนูวา เอาไว้ป้าไปปากช่องก่อนค่อยว่ากันนะคะ คุณพระรักษานะคะ ไหนขอป้ากอดทีนะลูก โถ่...แม่คุณผู้หญิงตัวคนเดียวแท้ ๆ อาจหาญมาอยู่ในที่แบบนี้” เอมอรแทบจะกลั้นน้ำตาเพราะสงสารวันวิวาห์ไม่ไหว แต่เธอก็พยายามสะกดกลั้นเอาไว้
“แล้วอย่าลืมเรื่องย้ายกลับบ้านนะหนูวา ป้าไปนะ” เอมอรบอกอีกครั้งหลังจากละวงแขนออกจากร่างเธอ

“เดินทางปลอดภัยนะคะ สวัสดีค่ะ” เธอกล่าวลาและไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง
“ไปก่อนนะ พรุ่งนี้จะมาหาใหม่” รวิทย์ที่จำต้องอาศัยรถของชนะชลกลับไปที่รีสอร์ทบอกลาเธอ แล้วเขาก็ต้องรีบขึ้นรถ เมื่อคำกล่าวลาของวันวิวาห์ที่มีให้เขาคือการยิ้มให้ และเธอก็ยิ้มให้คนที่อยู่ในรถเพื่อเป็นการสั่งลาครั้งสุดท้าย
แต่เธอก็ไม่ได้หันไปหาชนะชลที่ยืนอยู่ข้างรถเพื่อรอปิดประตูให้มารดาแม้แต่น้อย และมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเขานัก ที่ต้องระงับความเจ็บปวดด้วยการไม่หันไปหาใบหน้าสวยได้รูปนั้นอีกเลย จนกระทั่งรถของเขาแล่นหายไปในความมืด

“ขึ้นบ้านเถอะค่ะคุณวา พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้านะคะ” ดวงแขบอก และเธอก็ทำตามแต่โดยดี แต่ก็ไม่ลืมที่จะให้ผู้เป็นมารดาได้ก้าวขึ้นบันไดไปก่อนแล้วเธอก็ตามไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

“คุณหมอคะมีคนมารอพบค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่สวนหย่อมหลังโรงพยาบาลค่ะ” พยาบาลรีบบอกวันวิวาห์เมื่อเธอเข้ามาในห้อง

“บอกหรือเปล่าคะว่าเป็นใคร” เธอถามด้วยความสงสัย แล้วก็มองนาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า ซึ่งโดยปกติจะไม่เคยมีใครมาหาเธอเลย แต่เธอก็เลือกเดินไปที่สวนหย่อมเมื่อพยาบาลให้คำตอบโดยการส่ายหน้าแทน
ดวงหน้าภายใต้กรอบแว่นใสรู้สึกมีคำถามไม่น้อยเมื่อมองไปที่สวนหย่อมพบว่าผู้ที่มารอนั้นคือใคร วันวิวาห์ไม่ใคร่จะแน่ใจนัก ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของที่กิติกรมีให้เธอนั้นเป็นเช่นไร ถึงแม้ว่าทุก ๆ ครั้งที่ได้พบกัน คำพูดและท่าทางของกิติกรจะแจ้งความจำนงค์ว่าเป็นมิตรที่ดีกับเธอ

แต่เธอก็ยังรู้สึกแปลก ๆ และไม่ค่อยจะสนิทใจแทบจะทุกครั้งที่กิติกรแสดงความเป็นเจ้าของ ๆ ชนะชลอย่างโจ่งแจ้ง มันเหมือนกิติกรกำลังประกาศว่า ของ ๆ เธอใครก็อย่ามาแตะต้อง ทั้ง ๆ ที่วันวิวาห์ก็พยายามที่จะบอกตัวเองว่าไม่ให้คิดมาก และมองกิติกรในทางลบจนเกินไป หญิงสาวหยุดคิดและก็ก้าวเท้าตรงไปหาผู้ที่มายืนรอเธอได้สักพักแล้ว
“คุณแพรว ยังไม่กลับอีกเหรอคะ เห็นคุณป้าบอกว่าจะออกแต่เช้า” เธอทักทาย

“คุณหมอ ขอโทษด้วยนะคะที่มารบกวนค่ะ พอดีคุณแพรวมีเรื่องไม่สบายใจเอามาก ๆ จะมาปรึกษาคุณหมอค่ะ” กิติกรพยามยามพูดด้วยน้ำเสียงที่ใสและจริงใจเป็นที่สุดตามที่เพื่อน ๆ ได้ช่วยวางแผนไว้
“มีอะไรคะ ต้องรีบหน่อยนะคะ เพราะหมอต้องทำงาน” เธอรีบตัดบท เพราะดูจากสีหน้าของกิติกรตอนนี้ เธอเดาว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่
“งั้นคุณแพรวจะไม่อ้อมค้อมนะคะ คุณหมอช่วยบอกคุณแพรวหน่อยได้มั้ยคะ ว่านี่มันคืออะไร” กิติกรยื่นกระดาษที่ถือในมือให้วันวิวาห์ และเมื่อรับมาเธอก็รู้ทันทีว่านั่นคือสัญญากู้เงินระหว่างเธอและชนะชล

“คุณแพรวได้มาจากใครคะ” เธอถามด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย แต่ในใจนั้นรู้สึกสับสนเป็นที่สุด เพราะไม่รู้ว่ากิติกรได้มายังไง และเธอก็เดาเอาว่า คงจะไม่ใช่ได้มาจากชนะชลเป็นแน่
“คุณหมอไม่ต้องรู้หรอกค่ะ ว่าคุณแพรวได้มาจากที่ไหน และจากใคร แต่คุณแพรวอยากจะถามคุณหมอว่าคุณหมอจะจ่ายเงินคืนให้พี่ชลยังไงคะ” กิติกรถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แข็งกร้าวอะไร

“คุณแพรวควรจะไปถามคุณชนะชลเองนะคะ” วันวิวาห์ย้อน “พี่ชลไม่รู้เรื่องนี้หรอกค่ะคุณหมอ และก็ไม่มีใครรู้ด้วย มีคุณแพรวรู้แค่คนเดียว ที่คุณแพรวแอบมาหาคุณหมอวันนี้ก็แค่อยากจะรู้ว่าคุณหมอจะใช้หนี้พี่ชลยังไงคะ และด้วยอะไร เงินหรือว่า” กิติกรพูดด้วยท่าทางที่นุ่มและน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่ก็มีสายตาที่ออกจะดูถูกวันวิวาห์อย่างเห็นได้ชัด
“คุณแพรวหมายความว่ายังไงคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเช่นเคย แต่ในใจนั้นรู้สึกไม่พอใจท่าทางของกิติกรขึ้นมาไม่น้อย

“คุณหมอคงจะรู้ความหมายของคุณแพรวดีกว่าใคร ๆ นะคะ แปลกนะคะ คุณหมอคือคนที่คุณแพรวไว้ใจที่สุด แต่กลับมาทำเรื่องแบบนี้เอง ทำไมคะ ผู้ชายมีตั้งเยอะแยะทำไมคุณหมอไม่เลือก ทำไมต้องเป็นพี่ชลของคุณแพรวด้วย ทำไมคะทำไม” กิติกรพูดพร้อมทั้งน้ำตาประหนึ่งผิดหวังในตัวเธอเป็นที่สุด
“คุณแพรวคะ กรุณาให้เกียรติหมอด้วยนะคะ” วันวิวาห์แทบจะเหลืออดกับคำพูดของกิติกร แต่เธอก็พยายามที่จะสงบสติเอาไว้ เพราะสถานที่ ๆ คุยนั้นเป็นที่โล่งแจ้ง ถึงแม้จะปลอดผู้คนแต่เธอก็ไม่ปรารถนาให้ใครมาได้ยินคำพูดของกิติกร

“แล้วการที่คุณหมอไปกอดจูบกับคู่หมั้นคุณแพรวในรถเมื่อวานนี้มันถือว่าเป็นการให้เกียรติคุณแพรวด้วยหรือเปล่าคะ” กิติกรพูดด้วยน้ำเสียงที่นักแน่นแต่ก็แผ่วเบา
“คุณแพรว” วันวิวาห์ตกใจแทบจะช็อคเมื่อได้ยินสิ่งที่กิติกรพูดออกไป และนั่นคือสิ่งที่เธอคาดเดาได้ว่าคงจะเป็นเหตุผลที่กิติกรต้องมาพบเธอถึงที่นี่
“ทำไมคะ ถึงกับตกใจเลยเหรอคะ คุณหมอคิดว่าคงจะไม่มีใครเห็นการกระทำของคุณหมอเหรอคะ แล้วเหตุผลแค่นี้มันเพียงพอที่จะให้คุณแพรวเข้าใจว่าคุณหมอกำลังจะเอาตัวเข้าแลกกับหนี้ห้าสิบล้านหรือเปล่าคะ” กิติกรพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้โกรธไปมากกว่านั้น เพราะจุดมุ่งหมายของเธอ คือทำให้วันวิวาห์รู้สึกผิด และเห็นใจเธอ แล้วก็หลีกทางไปให้พ้น ๆ จากคนรักของเธอนั่นเอง

“คุณแพรวจะคิดยังไงก็ได้ค่ะ แต่หมอขอบอกไว้ตรงนี้ว่า หมอไม่เคยคิดที่จะเอาตัวเข้าแลกกับหนี้สินเลยแม้แต่น้อย ถ้าหมอคิดแบบนั้น หมอคงจะไม่ต้องหนีมาอยู่ที่นี่หรอกมั้งคะ” วันวิวาห์เองก็พยายามที่จะสงบอารมณ์เอาไว้ไม่แพ้กัน
“ที่มาที่นี่คุณหมอต้องการจะหนีมาอยู่ตามลำพัง หรือว่าต้องการที่จะหนีออกมาให้ห่างตาคุณแพรวกับคุณหมอรวิทย์กันแน่คะ แล้วคุณหมอกับพี่ชลแอบมาพบกันกี่ครั้งแล้ว แล้วที่ผ่านมาคุณหมอกับพี่ชลทำอะไรมากกว่าที่คุณแพรวเห็นหรือเปล่าหล่ะคะ” กิติกรแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่เมื่อภาพเมื่อวานที่เธอเห็นมันลอยมาอยู่ตรงหน้า

“ถ้าคุณแพรวจะคิดแบบนั้น หมอก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วหล่ะค่ะ ขอโทษนะคะหมอต้องกลับไปทำงาน” วันวิวาห์ที่อยู่ในอาการเรียบเฉยบอก
“ถ้าคุณหมอไม่อยากจะให้คุณแพรวคิดไปในทางอื่น คุณหมอก็พิสูจน์มาสิคะ ว่าคุณหมอไม่เคยคิดที่จะแย่งพี่ชลไปจากคุณแพรว คุณหมอไม่เคยคิดที่จะเอาตัวไปใช้หนี้ ทำได้มั้ยคะคุณหมอ” กิติกรที่เรียกสติตัวเองกลับมาอยู่ในอาการที่สงบถามเธอออกไปขณะที่เธอกำลังจะเดินกลับไปทางเดิม

“จะให้หมอพิสูจน์ยังไงคะคุณแพรว” วันวิวาห์หันกลับมาหากิติกรอีกครั้ง
“แต่งงานกับคุณหมอรวิทย์แล้วก็รีบย้ายกลับไปที่ปากช่องสิคะ คุณหมอเองก็มีคุณหมอรวิทย์อยู่ทั้งคน ทำไมถึงมาแย่งคนที่มีเจ้าของอย่างพี่ชลด้วยคะ คุณหมอรู้มั้ยคะว่าคุณแพรวรักและหวงพี่ชลแค่ไหน คุณแพรวขอร้องเถอะค่ะ คุณหมอจะให้คุณแพรวคุกเข่าตรงนี้ก็ได้นะคะ คุณแพรวทำได้ทุกอย่างค่ะ ขออย่างเดียวอย่ามาแย่งพี่ชลไปจากคุณแพรว” กิติกรบอกพร้อมกับน้ำตาก็ไหลนองหน้าออกมา จนวันวิวาห์เห็นแล้วรู้สึกผิด และให้สงสารยิ่งนัก

“คุณแพรวไม่ต้องลงทุนทำขนาดนั้นก็ได้ค่ะ หมอขอบอกให้คุณแพรวรู้ไว้ตรงนี้นะคะ ว่าหมอไม่เคยคิดที่จะแย่งคนของคุณแพรวเลย แล้วคุณแพรวก็จำคำพูดของหมอไว้นะคะว่าหมอจะไม่มีวันแต่งงานกับคนที่มีเจ้าของแล้วเป็นอันขาด คนที่หมอจะแต่งงานด้วยมีคนเดียวเท่านั้น คือหมอรวิทย์” วันวิวาห์บอกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“แล้วเมื่อไหร่คะ” กิติกรไม่วายที่จะห่วง “จะเป็นเมื่อไหร่นั้น คุณแพรวก็รอฟังข่าวเองก็แล้วกันนะคะ แต่ที่แน่ ๆ หมอรับรองว่าคงจะหลังงานแต่งงานคุณแพรวแน่นอนค่ะ ขอตัวนะคะ” วันวิวาห์หันหลังกลับเพื่อจะเดินกลับ

“คุณแพรวจะคอยดูนะคะว่าคำพูดคุณหมอจะเชื่อถือได้แค่ไหน แล้วคุณแพรวจะมาทวงสัญญาค่ะ” กิติกรกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นอีกครั้ง ก่อนที่วันวิวาห์จะเดินจากไป
“คุณหมอเป็นอะไรคะหน้าซีดมากเลยค่ะ” ยุพาทักเมื่อเห็นวันวิวาห์เดินเข้ามาที่ห้องตรวจ

“ไม่เป็นอะไรค่ะ ขอเวลาหมอสักครู่นะคะ” วันวิวาห์อยากจะลางานแล้วก็เดินหายไปจากตรงนั้น ด้วยรู้สึกเจ็บปวดและละอายแก่ใจกับคำพูดของกิติกรเป็นที่สุด แต่เธอก็ทำไม่ได้ เมื่อมีคนไข้ต่างมานั่งรออยู่หน้าห้อง เธอจึงได้แค่เดินเข้าไปทำจิตใจให้สบายในห้องตรวจแค่นั้น ไม่นานเธอก็ให้ยุพาเรียกคนไข้ไปตรวจได้



“คุณวิทย์ยังไม่มาอีกเหรอคะ คุณวา” เสียงดวงแขเอ่ยถามลูกสาว หลังจากที่เห็นแต่งตัวเสร็จนานแล้ว และนั่งรอรวิทย์ที่มุมอ่านหนังสือ เพื่อจะไปส่งที่สนามบินในจังหวัด โดยมีหมอพีระเอื้อเฟื้อขับรถไปส่งให้
“ยังค่ะแม่....แล้วทำไมแม่ยังไม่แต่งตัวคะ” เธอถามแค่นั้น แล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มเดิม ประหนึ่งไม่ต้องการคำตอบจากคำถามของตัวเองสักเท่าไหร่
“คุณวาคะ....แม่ขอพูดอะไรหน่อยได้ไหมคะ” ดวงแขตั้งสติ แล้วก็ถามเธอออกไปหลังจากที่เก็บเรื่องเอาไว้ในใจตั้งแต่ที่ บังเอิญมาทันได้ยินบุตรสาวและชนะชลคุยกันเมื่อวันก่อน

“แม่มีอะไรคะ” เธอพูด แต่ใบหน้ายังคงจับจ้องที่หนังสือเล่มเดิม
“แม่เข้าใจความรู้สึก ของการที่เราไม่ได้อยู่กับคนที่เรารักดี ว่ามันทรมานแค่ไหน แล้วทำไมคุณวาต้องทำอย่างนี้ด้วยคะ แม่ไม่อยากเห็นคุณวาทำแบบนี้เลย ทำไมไม่ทำตามหัวใจตัวเองบ้างคะ คุณวาทำเพื่อคนอื่นมามากพอแล้วนะ” ดวงแขกล่าวด้วยสีหน้าที่ห่วงใยเธอยิ่งนัก
จนทำให้ใบหน้าที่จับจ้องอยู่ที่หนังสือ ต้องหันมามองหน้ามารดา พร้อมกับดวงตาฉายแววแห่งความเศร้า ด้วยเธอรู้ว่ามารดาหมายถึงเรื่องอะไร
“ทำไมคะ” เธอถามกลับไปแค่นั้น
“คุณชนะชลรักคุณวา แล้วทำไมคุณวาไม่รักตอบเธอคะ” ดวงแขถามในที่สุด

“แม่รู้ได้ยังไงคะ หรือว่า เอ่อ....” พูดได้แค่นั้น วันวิวาห์ก็คาดเดาเอาได้ว่า แม่คงจะมาได้ยินเรื่องที่เขาคุยกับเธอเมื่อวันนั้น
“ค่ะ แม่ได้ยินเรื่องที่คุณชนะชลคุยกับคุณวาแล้ว แต่ความจริงแม่กับป้าสุขรู้มานานแล้วค่ะ ว่าคุณชนะชลคิดยังไงกับคุณวา ถ้าคุณชนะชลไม่รักคุณวา ป่านนี้คงจะยึดบ้านและก็ทุกอย่างไปหมดแล้วหล่ะค่ะ และก็คงจะไม่ส่งเงินไปให้คุณวาเรียนต่อได้เป็นปี ๆ หรอกค่ะ ค่าใช้จ่ายไม่น้อยนะคะ แล้วคุณวาหล่ะคะ คิดยังไง” ดวงแขบอกออกไป

“แล้วแม่ไม่รู้เหรอคะ ว่าเขากำลังจะแต่งงาน แล้ววาเองก็กำลังจะหมั้นกับวิทย์ แล้วแม่จะให้วาทำยังไงคะ” เธอตอบออกไปด้วยแววตาที่เจ็บปวด
“แต่ป้าสุขบอกแม่ว่า คุณชนะชลไม่ได้รักคุณแพรวนี่คะ เห็นผลัดหมั้น ผลัดแต่งไปตั้งหลายหนแล้ว อย่างตอนคุณแพรวมาเยี่ยมคุณวา แม่ก็เห็นว่าคุณแพรวจะเป็นฝ่ายคอยตามคุณชนะชลมากกว่านะคะ แต่แม่ไม่ค่อยเห็นคุณชนะชลจะสนใจคุณแพรวเท่าไหร่เลย มันไม่เหมือนคนที่กำลังจะแต่งงานกันเลยนะคะ และอีกอย่างทำไมคุณวา ต้องหมั้นกับคุณวิทย์ด้วยหล่ะคะ ก็ในเมื่อคุณวาไม่ได้...เอ่อ...”

“วิทย์ดีกับวา คบกับวามาตั้งแต่เล็ก แม่ก็เห็น แล้วทำไมวาจะต้องทำให้เขาผิดหวังด้วยคะแม่ วาว่าเราควรจะเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้วหล่ะค่ะแม่....วาขอร้องนะคะ มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว แม่ไปแต่งตัวเถอะค่ะ เดี๋ยววาจะไปหยิบของในห้องก่อน อีกหน่อยวิทย์คงจะมาแล้วค่ะ” เธอรีบบอกดวงแข และก็รีบลุกเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง ด้วยไม่อยากให้ดวงแขได้พบเห็นกับน้ำตาแห่งความเจ็บปวด ที่กำลังจะหลั่งไหลออกมาฟ้องความอ่อนอนให้มารดาได้เห็น


“แล้ววิทย์จะโทรมาบอก เรื่องวันหมั้นนะวา จะได้ลางานแต่เนิ่น ๆ แล้วก็อย่าลืมคิดเรื่องย้ายกลับด้วยนะ วิทย์อยากให้ป้าแข ได้กลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิมจะได้อยู่สบาย ๆ หน่อย” รวิทย์ยืนกุมมือของเธอ พร้อมทั้งสั่งเสียอยู่หน้าทางเข้าของผู้โดยสาร
“ได้” นั่นคือคำตอบของเธอ
“แล้วอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ วิทย์ห่วง กินข้าวเยอะ ๆ ด้วย เวลานอนก็ห่มผ้าหนา ๆ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา” เขาไม่วายที่จะสั่งเธอต่อ
“วิทย์เราโตแล้วนะ ไปได้แล้วหล่ะ อายหมอพีกับแม่บ้าง แล้วค่อยโทรคุยกันนะ” เธอบอกเขา พร้อมทั้งพยายามดึงมือกลับ แต่ก็ไม่สำเร็จ

“เรารักนายนะวา....ไม่ว่าจะยังไงเราก็จะแต่งงานกับนาย และจะดูแลนายไปตลอดชีวิต” รวิทย์พูดย้ำเตือนเธอ และเพื่อที่จะหาคำตอบจากปากเธอ ว่ายังคงยืนยันคำสัญญาเดิมหรือไม่ แต่ก็ไม่มีวี่แววอื่นนอกจากใบหน้าเรียบเฉย เหมือนทุก ๆ ครั้ง ทำให้รวิทย์รู้สึกผิดหวังเหลือเกิน
แล้วเขาก็ให้เจ็บใจตัวเองยิ่งนัก ที่บังเอิญไปได้ยินสิ่งที่ดวงแขพูดกับเธอ เมื่อสักพักนี้ พร้อมกับในหัวใจก็เต็มไปด้วยคำถาม

“เราก็จะแต่งงานกับนายเหมือนกัน โชคดีนะ ไปได้แล้ว” เธอบอก เพราะมีเสียงประกาศเรียกผู้โดยสารแล้ว รวิทย์จำใจต้องปล่อยมือเธอ แล้วก็เดินเข้าไปประตูอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ไม่วายที่จะหันกลับมามอง คนที่เขารัก ที่ยืนยิ้มให้เขาอยู่นั่นเอง และในที่สุดเขาก็หายลับไปในประตูจริง ๆ เสียที



สายน้ำในบึงกระเพื่อมขึ้นและลง เป็นระลอกไปมาตามแรงลมที่พัดผ่าน ดวงอาทิตย์ที่เลื่อนต่ำลง ใกล้จะลับขอบฟ้าไปแล้ว หมู่วิหคต่างพากันโบกโบยบิน เพื่อกลับรวงรัง ดอกบัวในบึงที่เบ่งบานเมื่อช่วงเช้าจนกระทั่งบ่ายคล้อย ต่างก็พากันพร้อมใจหลบซ่อนกลีบที่สวยงามเอาไว้ เพื่อรอรับอรุณรุ่งของวันใหม่ เปรียบประหนึ่งกับวิถีชีวิตของมนุษย์ ที่ตื่นเช้ามาก็ต้องเผชิญกับเรื่องราวต่าง ๆ และก็ยุติลงเมื่อยามเย็น คงจะไม่มีสิ่งใดในสากลโลกนี้ ที่จะหลบเลี่ยงกฏเกณฑ์แห่งธรรมชาตินี้ไปได้

ร่างที่ดูเหมือนจะเหน็ดเหนื่อยและอ่อนแรง เปรียบเสมือนได้เดินทางมาไกลแสนไกล ปล่อยตัวเองให้นั่งอยู่ที่ม้านั่งไม้ตัวยาว ที่ตั้งเป็นแนวเอาไว้บริเวณรอบ ๆ ริมบึง สายตาก็ทอดออกไปที่บึงกว้างอย่างอ้างว้าง บรรยากาศที่ริมบึงยามใกล้พลบ สำหรับชนะชลในเวลานี้แล้ว มันช่างดูน่าใจหายอย่างบอกไม่ถูก

เขาอยากจะหยุดเวลาไว้แค่นี้ ด้วยไม่อยากให้มีวันพรุ่งอีกต่อไป เพื่อที่จะได้เก็บตัวเองและอิสระอันใกล้จะหมดเอาไว้ เพื่อมอบให้ใครบางคน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ คนที่เขาอยากจะมอบให้เขาจะมารับไปก็ตามแต่ แล้วอิสระของเจ้าของหัวใจเขาหล่ะ มันก็กำลังจะหมดไปในอีกไม่ช้าเช่นกัน
ชนะชลรู้สึกแปลกใจตัวเองยิ่งนัก ที่จากเมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดแม้แต่จะกลัวอะไร ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต เขาพร้อมที่จะเผชิญกับมันทุกเมื่อ แต่ตอนนี้และเวลานี้ เขากลับรู้สึกหวาดกลัว และหวั่นไหว เขากลัวความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น กลัวว่าหัวใจตัวเอง จะทานทนความเจ็บปวดไม่ได้

เปลือกตาถูกปิดลงอย่างช้า ๆ เพื่อยุติเรื่องราวต่าง ๆ ในหัวให้หมดไป เพราะเขารู้ดีว่ามันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่จะมานั่งกังวล ก็ในเมื่อเรื่องทั้งหมด ตัวเขาเองเป็นคนสร้างขึ้นมา แม้จะด้วยความเข้าใจอะไรที่ไม่ถูกต้องก็ตาม แต่หากเขาเชื่อฟังมารดาบ้าง เขาเองก็อาจจะไม่ต้องมานั่งเจ็บอยู่แบบนี้

“ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวหล่ะลูก” เอมอรเดินมาด้านหลังบุตรชายเงียบ ๆ เพราะเธอเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเขา ตั้งแต่เธอมาที่นี่ได้หลายวันแล้ว
“แม่ชอบที่นี่ไหมครับ” เขาลืมตาขึ้นและถามมารดาทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยังคงนั่งในท่าเดิม ขณะที่มารดาทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เขา “ชอบจ๊ะ ชลถามทำไมจ๊ะ” เธอถามเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก
“อีกหน่อย ผมก็จะคืนให้เจ้าของเขาไปแล้ว ไม่รู้ว่าเราจะได้มาอยู่ที่นี่อย่างนี้อีกหรือเปล่า” เขาบอก
“ลูกทำสิ่งที่ถูกแล้วหล่ะ คืนเขาไป แล้วเราก็จะได้กลับไปอยู่ในที่ของเรานะลูก ลืมเรื่องทั้งหมดเถอะลูก” เอมอรบอกเขาด้วยแววตาที่ภูมิใจ ในการตัดสินใจของเขาในครั้งนี้

“เอ่อ...จริงสิ...พูดถึงหนูวา....ชลเห็นการ์ดงานหมั้นที่หมอรวิทย์ เอามาให้หรือยังจ๊ะ อีกไม่กี่วันแล้วนี่” เอมอรเอ่ย พร้อมกับมองหน้าลูกชายอย่างค้นหา
“เห็นแล้วครับแม่ แต่ผมคงจะไม่ได้อยู่ด้วยนะครับ พอดีต้องกลับไปประชุมผู้ถือหุ้นที่โน่น แต่ถ้าคุณแม่จะอยู่ก็ได้นะครับ จะได้ไม่ดูน่าเกลียด ถือว่าเป็นตัวแทนผมไปในตัวด้วย” เขาบอกออกไป
“ชล....แม่เห็นลูกมาตั้งแต่วันแรกที่ลูกเกิด แม่ไม่เคยเห็นลูกเป็นแบบนี้เลย....ขอแม่ถามอะไรลูกตรง ๆ ได้มั้ยลูก” เอมอรเกริ่น ๆ เพราะความอยากจะรู้ “ครับ” เขาตอบแค่นั้น
“ลูกรักหนูวา....ใช่มั้ย” เอมอรถามออกไปในที่สุด

“คุณแม่.....”เขาอุทานเสียงเบา ๆ และพูดได้แค่นั้น ก็หยุด เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะปิดบังมารดาได้อีกแล้ว เพราะมารดาจะรู้ใจและเข้าใจเขาได้ดีมาโดยตลอด
“มันคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วหล่ะครับแม่.....คงไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ ที่จะมารักผู้ชายที่ทำให้พ่อเขาต้องฆ่าตัวตายได้หรอกครับ” เขาสารภาพกับมารดาในที่สุด โดยที่ใบหน้ายังคงเหม่อมองไปเบื้องหน้า ที่บึงกว้างอย่างเจ็บปวดยิ่งนัก

“ชล....ทำไมลูกไม่บอกความจริงกับหนูวาไปหล่ะลูก จะได้รู้เสียทีว่าเขาจะว่ายังไง แม่ไม่อยากเห็นลูกมานั่งเจ็บปวดอยู่อย่างนี้นะ ให้แม่ไปบอกหนูวาก็ได้นะลูก” เอมอรพูด และมืออีกข้างยื่นไปโอบหลังเขาเอาไว้ ด้วยความสงสาร
“อย่าเลยครับแม่ ผมอยากให้เขาเหลือความรู้สึกที่ดี ๆ กับผมเอาไว้บ้าง วาเขาเป็นคนเงียบ และเก็บอะไร ๆ เอาไว้นานมาก ถ้าเขารู้ความจริง เขาก็อาจจะไม่หลงเหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อน ให้ผมอีกก็ได้ เอาไว้ให้ผมมีโอกาสเหมาะ ๆ แล้วผมจะบอกเขาเองครับ ถึงเวลานั้น อะไรจะเกิดก็แล้วแต่กรรมเวรก็แล้วกันครับ” เขาพูดพร้อมกับหลับตาลงไปอีก คล้าย ๆ จะจินตนาการได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อวันวิวาห์รู้ความจริงไปแล้ว

“แล้วหัวใจของลูกหล่ะ ลูกจะทนความเจ็บปวดได้เหรอลูก ชลจะปล่อยให้ผู้หญิงที่ตัวเองรัก ไปแต่งงานกับคนอื่นอย่างนั้นเหรอ” เอมอรถามด้วยความเห็นใจ
“แม่ลืมไปแล้วเหรอครับ ว่าผมเองก็กำลังจะแต่งงานเหมือนกัน และก็คงจะแต่งก่อนวาด้วย แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรครับ ที่ผมจะต้องไปแย่งชิงเอาของรัก ของหมอรวิทย์มา ทั้ง ๆ ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เขารักผมหรือเปล่า” เขาบอกด้วยความอ่อนใจ
เพราะไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า ความรู้สึกของวันวิวาห์ที่มีให้เขานั้น เป็นเช่นไร ถึงแม้ว่าเขาอยากจะเข้าข้างตัวเองก็ตามที แต่ครั้นพอนึกถึงเรื่องของสุเมธแล้ว มันทำให้เขาพอจะเดาผลลัพท์ ที่จะออกมาได้เป็นอย่างดี

“ถ้าลูกไม่ได้รักคุณแพรว ลูกก็ไม่ควรจะแต่งงานกับเธอนะลูก การที่เราจะต้องอยู่กับคนที่เขาไม่ได้รักเรา มันเจ็บปวดแค่ไหน แม่รู้ดีนะลูก คุณแพรวยังเด็ก มีเวลาที่จะพบใคร ๆ ได้อีกมากมาย” เอมอรไม่วายที่จะห่วงว่าที่ลูกสะใภ้ ที่ตอนนี้ออกไปนั่งรถเล่น กับสุชาติและสุพงศ์ตั้งแต่บ่าย ๆ และยังไม่กลับมา
“ผมไม่อยากทำให้คุณแพรวผิดหวังครับแม่ เธอคงจะรักผมมาก การแต่งงานของเราสองคน คงจะทำให้ผมลืมเรื่องต่าง ๆ ได้ไม่ยากครับ” เขาบอกออกไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ก็รู้คำตอบดีว่า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เขาเองก็ได้แต่หวัง ว่าเวลาจะเป็นเครื่องช่วย ให้ความเจ็บปวดของเขาบรรเทาลงไปได้บ้าง

“โธ่...ชลลูกแม่....นี่ความรักของลูก กำลังจะตามรอยพ่อกับแม่แล้วใช่มั้ย”เอมอรโอบกอดลูกชายเอาไว้ด้วยความสงสาร และอดคิดไปถึงเรื่องราวที่เจ็บปวดของตัวเอง ในอดีตไม่ได้
“ก็อย่างที่บอกครับแม่ อะไรมันจะเกิด ก็ให้มันเกิด.....เราเข้าบ้านเถอะครับแม่ คุณแพรวกลับมาแล้ว และกำลังเดินมาที่นี่ ผมไม่อยากให้เธอได้ยินเรื่องที่เราคุยกัน” เขาพูด พร้อมกับสลัดทุกอย่างออกจากหัว แล้วก็ประคองมารดาให้ลุกจากเก้าอี้ได้สะดวก
“คุณป้าคะ....ไปทานข้าวเถอะค่ะ ป้าสุขตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว” กิติกรเดินแกมวิ่งมาหาคนทั้งสอง หลังจากที่สุชาติเอารถเข้าไปจอดไว้ที่หน้าคฤหาสน์ พร้อมกับรีบกุลีกุจอเข้ามาประคองเอมอรเอาไว้ โดยอีกข้างมีชนะชล

“วันนี้ดูคุณแพรวจะสนุกกว่าหลาย ๆ วันนะครับ เจ้าพงศ์กับเจ้าชาติพาไปเที่ยวถึงไหนครับ” ชนะชลถามระหว่างเดินไป
“ก็ขับรถดูไร่องุ่นแถว ๆ มวกเหล็กค่ะพี่ชล....คุณป้าคะ เราจะอยู่ถึงงานหมั้นคุณหมอวาหรือเปล่าคะ คุณแพรวจะได้โทรไปบอกคุณพ่อค่ะ” กิติกรพูดย้ำ พร้อมทั้งใบหน้าและแววตานั้น แสดงความยินดีปรีดาถึงความมีชัยของตัวเองเป็นที่สุด

เพราะในความรู้สึกของเธอนั้น รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่การกำจัดวันวิวาห์ออกให้พ้นทางนั้น ไม่ได้ยากอย่างที่เธอและเพื่อนคิดเอาไว้เท่าที่ควร แค่แผนบีบน้ำตาวันนั้น ไม่น่าเชื่อว่ามันจะทำให้คู่ต่อสู้ดูเหมือนจะยกธงขาวยอมแพ้ซะแล้ว แต่เธอก็ยังไม่วางใจดีนัก เพราะมันก็แค่การหมั้นเท่านั้น ถ้าจะให้ชนะขาด ก็ต้องทำให้วันวิวาห์และรวิทย์แต่งงานกันเร็วที่สุด หรือไม่เธอและชนะชลก็ต้องรีบแต่งงานไปก่อน นั่นถึงจะทำให้เธอวางใจ แต่คิด ๆ ไปอีกทีได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้วสำหรับในตอนนี้

เพราะนั่นหมายถึงขวากหนามหัวใจของเธอนั้น ได้ถูกกำจัดไปได้ครึ่งทางแล้วนั่นเอง มันทำให้เธอรู้สึกสบายใจเหลือเกิน กับการที่ได้มาที่นี่อีกครั้ง และได้ฟังข่าวดี ๆ อย่างนี้
“ป้ายังไม่รู้จ๊ะ แต่พี่ชลคงไม่ได้อยู่ เพราะมีประชุมด่วน แต่ถ้าป้าจะอยู่ คุณแพรวจะกลับพร้อมพี่เขาก็ได้นะคะ” เอมอรตอบออกไปพร้อมกับแววตาที่ดูจะเศร้าใจ เมื่อได้ล่วงรู้ความในใจของลูกชายตัวเอง


“เอ้ยชล...ตกลงแกจะรีบกลับจริง ๆ เหรอวะ ไม่อยู่ร่วมงานหมั้นคุณหมอก่อนเหรอ” สุพงศ์ถามเขาหลังจากที่พากันหอบหิ้วเอาเครื่องดื่มมาตั้งวงกันที่สนามหญ้าได้สักพักแล้ว ส่วนเอมอรและกิติกรนั้นขอตัวเข้านอนก่อน
“ไม่หรอก ถามทำไม” เขาถาม
“จะอะไรซะอีกหล่ะ ไอ้พงศ์มันก็อยากจะอยู่ดูตัวจริงคุณหมอหนะสิชล นายไม่รู้อะไร แค่มันเห็นรูปคุณหมอแค่นั้น มันก็ปิ๊งแล้ว” สุชาติรีบพูดแทรก
“จริงเหรอ” เขาถามแค่นั้น แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะด้วยความสวยของผู้ที่ถูกพูดถึง บวกกับความเป็นหนุ่มโสดของเพื่อนและอยู่ในวัยที่กำลังมองหาใครสักคน

“แกก็พูดเกินไปนะไอ้ชาติ ฉันก็แค่บอกว่าคุณหมอถ่ายรูปแล้วสวย และก็อยากจะเห็นตัวจริง ว่าจะสวยเหมือนรูปหรือเปล่าเท่านั้นเอง” สุพงศ์แก้ตัว
“แล้วแกชอบหรือเปล่าหล่ะ”
“อ้าว...ผู้หญิงสวย แล้วผู้ชายที่ไหนจะไม่ชอบวะไอ้นี่...เอ่อ...ว่าแต่สวยขนาดนี้ ทำไมนายไม่จีบซะเลยวะชล” สุพงศ์ถาม “นายถามทำไม” เขาถามด้วยอาการอ้ำอึ้ง
“ก็ไม่อะไรหรอก ก็แค่เสียดาย ดูสิสวยก็สวย รวยก็รวย แถมยังเก่งอีกต่างหาก และที่สำคัญนายก็ไป ๆ มา ๆ บ้านนี้ออกบ่อย โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกันน่าจะมีมากกว่าหมอรวิทย์นะ หรือแกว่าไง” สุพงศ์ถาม

“แกนี่ไม่รู้อะไรจริง ๆ เลยนะไอ้พงศ์ หมอวากับหมอรวิทย์หน่ะ เขารู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ โน่น แถมยังไปเรียนเมืองนอกด้วยกันอีก แล้วไอ้ชลมันจะไปสู้เขาได้ยังไงวะ” สุชาติรีบแทรก
“จริงเหรอชล”
“ก็ทำนองนั้นหล่ะ” เขาตอบ
“แต่ก็ช่างมันเถอะนะ คุณแพรวของนายก็ใช่ย่อยที่ไหน นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นคู่หมั้นเพื่อนนะ จะจีบให้ดูเลย” สุพงศ์ไม่วายมีอารมณ์ขัน “เหรอ” เขาถามแค่นั้น
“ไม่หึงไอ้พงศ์หน่อยเหรอชล” สุชาติถามเขา
“หึงทำไม” เขาย้อน

“อ้าว...ก็เพื่อนชมว่าคู่หมั้นสวย เป็นผู้ชายคนอื่นนี่ หึงจนเลือดขึ้นหน้าแล้วนะ” สุชาติแซว แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ จากเขา นอกจากยิ้มบาง ๆ ให้เพื่อนเท่านั้น
“มันไม่หึงฉันหรอก....เพราะมันรู้ว่าคุณแพรวไม่มองใครหรอก นอกจากมัน” สุพงศ์ตอบแทนเพื่อน แต่ก็ไม่มีคำพูดใด ๆ เปล่งออกมาจากปากเขาอีกนั่นเอง
“ชลถามจริง ๆ เถอะ แก่อยากจะแต่งงานหรือเปล่าวะ ฉันเห็นแกไม่ค่อยจะสดชื่นเลย” สุชาติถามเขา
“ทำไมแกถามอย่างนั้นหล่ะ” เขาย้อนถาม

“ไม่มีอะไรหรอก เรามันก็ลูกผู้ชายด้วยกัน คบกันมาก็นานหลายปีแล้ว ฉันก็แค่สงสัยว่านายมีความสุขกับสิ่งที่กำลังทำอยู่หรือเปล่าก็แค่นั้น” สุชาติตอบ
“นั่นสิชล ฉันเห็นด้วยกับไอ้ชาติมันนะ ดูสีหน้าและท่าทางของนายทุก ๆ ครั้งที่อยู่ใกล้กับคุณแพรวแล้วมันเหมือนนายไม่ได้มีความสุขเลยหว่ะ” สุพงศ์เสริม
“ขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วทำไมฉันจะไม่มีความสุขหล่ะ” เขาถามกลับ
“นายมีใครแอบซ่อนเอาไว้ในใจหรือเปล่าวะ เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่นะชล ถ้านายจะแต่งงานกับคนที่นายไม่ได้รัก แต่งไปก็จะเสียเปล่า ๆ นะ และอีกอย่างผู้หญิงเขาก็จะเสียด้วย” สุชาติบอกเขา

“นั่นสิ ถ้านายยังไม่แน่ใจ ก็เลื่อนไปก่อนก็ได้นี่ คุณแพรวก็ยังเด็ก แต่งช้าไปสักปีสองปีคงไม่เป็นไรมั้ง” สุพงศ์บอก “ไม่หรอกฉันไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรแล้ว เลื่อนไปมันก็ไม่มีประโยนช์หรอก” เขาบอกเพื่อนด้วยสีหน้าที่เรียบขรึม
“พงศ์ชัวร์เลย ฉันว่าเราเดาไม่ผิดแน่” สุชาติส่งสายตาไปสบตาเพื่อนเป็นสัญญาณว่าเป็นอันรู้กัน
“ชัวร์อะไร พวกนายมีลับลมคมในอะไรกัน ไม่เจอกันไม่เท่าไหร่เอาแล้วนะ” เขาบ่นเพื่อน
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันกับเจ้าพงศ์ก็แค่เดาว่าแกไม่ได้อยากจะแต่งงานตอนนี้ก็แค่นั้น แล้วพวกเราก็เดาออกจริง ๆ แต่ไอ้ที่ไม่รู้ว่าสาเหตุที่แกไม่อยากจะแต่งนั้นมันคืออะไรเท่านั้นเอง” สุชาติบอก

“เหลวใหลจริง ๆ เลย พอแล้วเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว ว่าแต่พวกนายสองคนจะกลับบ้านพร้อมกับฉันหรือเปล่าหล่ะ หรือจะอยู่กับคุณแม่ก่อน” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง
“จะอยู่เข้าไปได้ยังไงหล่ะ เจ้าของบ้านพวกเราก็ไม่รู้จัก นายก็ไม่อยู่ กลับดีกว่า” สุพงศ์บอก
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ คุณแม่ก็อยู่ แล้วอีกอย่างฉันจะได้ฝากให้ดูแลคุณแม่ตอนขากลับด้วย แล้วฉันจะให้คนไปรอรับที่สนามบิน ตกลงตามนี้นะ หรือนายว่าไงชาติ” เขาถามเพื่อน

“ก็ได้นะ เพราะฉันไม่รีบร้อนอยู่แล้ว กลับช้าอีกสักวันสองวันจะเป็นไรไป ว่าแต่ทำไมนายไม่อยู่หล่ะ ประชุมผู้ถือหุ้นเลื่อนไม่ได้เหรอจะได้กลับพร้อม ๆ กัน เอ๊ะ...หรือว่าแกแอบรักคุณหมอ จึงทนดูภาพบาดตาบาดใจไม่ได้...ฮ่า ๆ ๆ ๆ” สุชาติพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“เอ่อ...นั่นสิชล จะได้ไม่ดูน่าเกลียดไง” สุพงศ์สมทบอีกคน

“ไม่ได้หรอก ผู้ถือหุ้นหน่ะเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น จะเลื่อนง่าย ๆ ได้ที่ไหนกัน พวกนายนี่พูดอะไรกัน เปลี่ยนเรื่องได้แล้ว” เขาบอกแกมดุเพื่อน จนทั้งสองหันไปมองหน้ากันแล้วก็ยิ้มให้กันอย่างรู้ทัน

ร่างสมส่วนที่อยู่ในชุดนอนและมีเสื้อคลุมสวมทับเอาไว้ค่อย ๆ เปิดประตูห้องนอนเข้าไปอย่างช้า ๆ ดวงตานั้นเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาและไม่นาน มันก็ไหลออกมาด้วยเจ้าของร่างนั้น ทนอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวนั่นเอง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่ชนะชลและเพื่อน ๆ ได้คุยกันเมื่อสักครู่แล้ว มันยิ่งทำให้กิติกรนั้น รู้สึกเจ็บปวดเป็นที่สุด

เพราะตั้งใจที่จะลงไปหาน้ำดื่ม แต่ก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้ว่าหนุ่ม ๆ คุยอะไรกัน ด้วยคิดว่าจะมีเรื่องของตัวเองอยู่ในวงสนทนาหรือไม่ ก็เลยถือโอกาสเข้าไปแอบฟัง และเธอก็ไม่ผิดหวังเลย จากเมื่อก่อนที่เธอแค่คิดว่าวันวิวาห์พยายามจะหาทางจับชนะชลเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ส่วนชนะชลนั้นก็คงจะแค่หลงไปกับรูปโฉมที่สวยงามของวันวิวาห์เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอแน่ใจแล้วว่าความคิดของตัวเองนั้น ผิดไปถนัด

ถึงแม้ชนะชลจะไม่ยอมรับกับเพื่อนก็ตาม แต่กิติกรก็แน่ใจว่า ผู้ชายที่ตัวเองรักและจะแต่งงานด้วยนั้น มีใจให้กับหญิงอื่น หญิงสาวฟุบหน้าลงกับหมอนแล้วก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ แต่ไม่นานเธอก็เรียกสติตัวเองกลับมาได้ และรีบปราดน้ำตาออกจากพวงแก้มขาวเนียน

“ฉันไม่มีวันที่จะยอมแพ้เธอหรอก แม่คุณหมอซื่อบื่อ พี่ชลจะต้องแต่งงานกับฉัน และฉันจะทำให้เขารักฉันและลืมเธอในที่สุด ฉันจะไม่มีวันเสียคนที่ฉันรักไปให้เธอง่าย ๆ หรอก” เสียงน้ำพึมพำออกมา พร้อม ๆ กับดวงตาที่มุ่งมั่น ของคนที่อยากจะเอาชนะ







Create Date : 08 ตุลาคม 2551
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 10:19:35 น. 2 comments
Counter : 352 Pageviews.

 
คุณแพรวจะวางแผนอะไรอีกเนี่ย?

เพี้ยง ! ขอให้วากับวิทย์ไม่ได้หมั้นกัน สงสารวิทย์อยู่หรอกนะ แต่อยากให้ชลกับวาเขาสมหวังกันมากกว่า อย่างน้อยสองคนต่างก็รักกัน ชีวิตคู่จะได้ยืนยาว รักข้างเดียวเดี๋ยวรักอับปางกลางคันอ่ะ


โดย: จิงโกะ IP: 122.154.5.102 วันที่: 8 ตุลาคม 2551 เวลา:10:22:59 น.  

 
อืม...อย่างน้อย ๆ ชล กับวาห์ ก็มีคนคอยให้กำลังใจแล้วนะคะคุณจิงโกะ



โดย: ธัญญะ วันที่: 8 ตุลาคม 2551 เวลา:14:24:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.