Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
5 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ชลวาห์กาล ๑๘ (ธัญรัตน์)




แล้วทั้งสามก็ตรงไปยังกระท่อมไม้เก่า ๆ และมีกระท่อมเพื่อนบ้านอีกไม่กี่หลัง ปลูกเอาไว้ในสภาพที่ไม่แตกต่างกันเลย ทันทีที่รถจอดวันวิวาห์ก็รีบกุลีกุจอ ตามชายแปลกหน้าเข้าไปในกระท่อม และก็พบว่าคนไข้นั้นร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด และก็มีหญิงแก่คนหนึ่งกับชาวบ้านหญิงสองสองคน ช่วยกันให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ

“คุณหมอ....ช่วยลูกฉันด้วยเถอะค่ะ มันเพิ่งจะท้องแรก ปกติคนที่นี่ก็ให้แม่หมอช่วยทำคลอดกันทั้งนั้น แต่ไม่รู้นังแต๋นลูกฉันเป็นอะไร ทำยังไงเด็กก็ไม่ยอมออกมาเลย” มารดาของหญิงท้องแก่อ้อนวอน
“ปวดท้องมานานหรือยังคะ” วันวิวาห์เข้าไปถาม และก็จัดการเครื่องมือที่หอบเข้ามาด้วย
“นานแล้วค่ะหมอ ปกติคนอื่น ๆ ก็คลอดไม่ยาก แต่นังแต๋นนี่ไม่รู้ยังไง” หญิงแก่ที่มารดาเด็กเรียกว่าแม่หมอตอบเธอ

“งั้นขอทางหมอหน่อยนะคะ” เธอบอกหลังจากที่สวมถุงมือให้ตัวเองเสร็จ แล้วก็เข้าไปใกล้ ๆ คนไข้ เพื่อหาสาเหตุการคลอดยากของคนไข้ แล้วสีหน้าที่ดูจะเคร่งขรึมตั้งแต่อยู่นั่งมาในรถนั้นค่อยคลายความกังวลลงได้บ้าง เมื่อเธอพบว่าท้องของคนไข้ไม่ได้โตมากเกินไป

เพราะเธอกลัวว่าสาเหตุที่คนไข้ไม่ยอมคลอดนั้นมาจากที่ทารกนั้นตัวใหญ่เกินไป ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เธอคิดว่าอาจจะต้องรีบพาไปโรงพยาบาลเพื่อผ่าเอาเด็กออก ถ้าหากผู้เป็นแม่ที่ดูจะตัวเล็กมากไม่มีแรงเบ่ง แล้วกับระยะทางจากที่นี่ไปโรงพยาบาลนั้นทำให้เธอไม่อยากจะจิตนาการเลย
“คนไข้อายุเท่าไหร่คะ” เธอถามด้วยความสงสัย เพราะถ้าให้เดานั้น ผู้ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดนี้ น่าจะมีอายุแค่สิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น
“โอ๊ย ๆ ๆ ๆ แม่ช่วยฉันด้วย ๆ โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกิน ๆ ช่วยด้วย ๆ ๆ” เสียงร้องของแต๋นดังท่วมกระท่อม

“ไม่ต้องกลัวนะ ทำใจให้สบายหมออยู่นี่แล้ว” เธอปลอบคนไข้
“สิบห้าปีค่ะหมอ” มารดาของเด็กรีบตอบ
“อะไรนะ แล้วทำไมมีลูกเร็วจังเลย” เธอถามด้วยความสงสัย ที่เด็กอายุแค่นี้ กำลังจะให้กำเนิดลูกแล้ว ทำให้อดคิดไปถึงตัวเองที่มีอายุเท่านี้ไม่ได้ ด้วยตอนนี้นเธอยังไม่ประสาอะไรกับเรื่องพวกนี้เลย นอกจากจะคร่ำเคร่งอยู่แต่กับตำรับตำราแค่นั้น
“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกินหมอ ช่วยหนูด้วย หนูปวดท้อง โอ๊ย ๆ ๆ ช่วยด้วย ๆ ๆ ไม่เอาอีกแล้ว ๆ โอ๊ย ๆ ช่วยด้วย ๆๆ ไม่มีอีกแล้ว ๆ” เสียงคนเจ็บร้องโอดครวญ

“เขาก็มีกันประมาณนี้หล่ะค่ะหมอ” มารดาเด็กตอบออกมา
แต่เธอก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากพยายามสำรวจดูที่ช่องคลอดของคนไข้ เพื่อตรวจดูว่าศีรษะของทารกนั้นหันมาทางช่องคลอดหรือไม่ เพราะสิ่งที่เธอกลัวไม่น้อยกว่าสาเหตุแรกก็คือ การที่ทารกอยู่ในท่าขวางกับลำตัวของผู้เป็นแม่ เพราะนั่นหมายถึงการคลอดจะยากลำบากมาก เพราะเธอจะต้องพยายามพลิกลำตัวทารกโดยใช้มือดันผ่านหน้าท้องของแม่ ให้ทารกหันศีรษะมาทางช่องคลอด และหากเธอทำไม่สำเร็จและนำคนไข้ส่งโรงพยาบาลเพื่อผ่าเอาทารกออกไม่ทัน คนไข้ก็อาจจะถึงกับเสียชีวิตได้ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตายท้องกลมนั่นเอง

“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะ แค่คนไข้ไม่มีแรงเบ่งเท่านั้นเอง” เธอบอกเพื่อให้ทุกคนคลายความกังวลลง พร้อมกับตัวเองก็หมดกังวลไปด้วย เพราะสิ่งที่ต้องทำนั้นก็คือสอนวิธีเบ่งให้กับคนไข้ และช่วยให้กำลังใจเท่านั้น
“ลูกป้าชื่ออะไรนะคะ”
“ชื่อนังแต๋นค่ะหมอ” มารดาตอบขณะมือนั้นลูบ ๆ คลำ ๆ แขนลูกสาวด้วยความห่วงใย

“แต๋น เธอไม่เป็นอะไรมากนะ ไม่ต้องกลัว หายใจเข้าลึก ๆ นะ ทำใจให้สบาย มีหมออยู่ใกล้ ๆ แล้วนะ ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรน่ากลัวนะ เธอกำลังจะได้ลูก อีกไม่นานเขาจะออกมาพบกับเธอ มาหาแม่กับพ่อไง หายใจเข้าลึก ๆ นะ แล้วก็เบ่งตามหมอนะ เอ้า...หนึ่ง...สอง...สาม...เบ่ง...ๆ....” เธอให้กำลังใจคนไข้ซึ่งก็ช่วยทำให้แต๋นผ่อนคลายลงได้ในระดับหนึ่ง
ชนะชลและผู้ชายคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ที่มายืนรอลุ้นการทำคลอดต่างก็มีสีหน้าที่โล่งอกออกมาพร้อม ๆ กัน ทันทีที่มีเสียงทารกน้อยดังออกมาจากกระท่อม

“ลูกฉันคลอดแล้ว ลุงผู้ใหญ่ ฉันได้ลูกแล้ว ๆ” ไม่ทันได้สิ้นเสียง เขาก็วิ่งเข้าไปในกระท่อมด้วยความดีใจ และก็สวนกับวันวิวาห์ ที่ออกมาทั้ง ๆ ที่มือทั้งสองยังอยู่ในถุงมือยางที่เปื้อนเลือดสด ๆ เพราะยังไม่ได้ล้างออก
“ขอบคุณ คุณหมอมาก ๆ ครับ ขอบคุณครับที่ช่วยลูกกับเมียผม ขอบคุณครับ ๆ” เขาก้มลงกราบเธอที่พื้นด้วยความดีใจ ปากก็พร่ำขอบคุณเธอด้วยความดีใจ

“ลุกขึ้นเถอะนะ มันเป็นหน้าที่หมออย่างฉัน เธอได้ลูกชายนะรู้มั้ย ไปดูสิ” วันวิวาห์ต้องรีบนั่งลงตามเขาไปด้วยความตกใจกับอาการของเขา แล้วเธอก็ต้องรีบยกมือรับไหว้เขากลับทั้ง ๆ ที่มือยังเต็มไปด้วยเลือดอย่างนั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด เธอช่างรู้สึกสุขใจเป็นที่สุด ที่ความเป็นหมอของเธอได้ช่วยลูกและเมียให้เขาในครั้งนี้ แล้วเธอก็ลุกเดินไปหาที่ล้างมือ และตรงมาหาชนะชล และคนอื่น ๆ ที่นั่งรออยู่อีกกระท่อมหลังหนึ่ง

“ผมว่าเหมือนจะมีพายุนะครับ คุณหมอน่าจะพักที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า ถนนหนทางก็ไม่ค่อยจะดี เผลอ ๆ น้ำป่าพัดเข้ามาแล้วจะยุ่งกันนะครับ คราวที่แล้วมันเล่นงานจนทางขาดไปหลายวัน....แล้วนี่ก็สองทุ่มกว่าแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านบอกทั้งสองคนด้วยความห่วงใย หลังจากที่อยู่พูดคุยทำความรู้จักกันไปได้สักพัก เพราะตอนที่มาถึงใหม่ ๆ มัวแต่ห่วงคนไข้
“คงไม่มีอะไรมั้งคะลุง พรุ่งนี้หมอต้องเข้าเวรค่ะ คนไข้ที่โน่นก็รออยู่ งั้นเรารีบกลับกันดีกว่านะคะ” วันวิวาห์รีบบอกและหันไปหาเพื่อนร่วมทาง
“ก็ดีเหมือนกัน งั้นกลับก่อนนะครับทุกคน” ชนะชลกล่าวลา

“ไปก่อนนะคะทุกคน ถ้ามีปัญหาอะไร ก็ให้พาแฟนไปโรงพยาบาลนะ กองคำ” เธอบอกลาผู้คนที่มาส่งที่รถ และก็ไม่ลืมกำชับชาย ที่เพิ่งได้เป็นพ่อคนมาหมาด ๆ
“ครับคุณหมอ ผมขอบคุณมาก ๆ ครับ ที่ช่วยลูกกับเมียผม” คุณพ่อคนใหม่ไหว้ทั้งสองด้วยความเคารพ แล้วก็ช่วยยกอุปกรณ์การแพทย์และข้าวของอื่น ๆ ไปไว้ที่รถให้
“โชคดีครับคุณหมอ เดินทางดี ๆ นะครับ พวกเราขอบคุณมากครับ” ลุงผู้ใหญ่บอกเขาและเธอ ที่ขึ้นรถแล้ว และก็ขับจากไปอย่างช้า ๆ
รถของชนะชลขับมาได้อีกแค่ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ต้องจอด เพราะฝนที่ตกหนัก จนแทบจะมองไม่เห็นถนนหนทางเอาเสียเลย

“สงสัยจะมีพายุ อย่างที่ลุงผู้ใหญ่บ้านโน้นพูดไว้แน่ ๆ เลย” เขาบอกเธอ
“แล้วเราจะทำยังไงดีคะ มันอันตรายมั้ย” เธอถามด้วยความกังวัล
“แถวนี้ถ้ามีน้ำป่ามาก็แย่เหมือนกัน งั้นผมจะลองขับรถไปหมู่บ้านข้างหน้านี้ก็แล้วกัน ตอนมาผมจำได้ว่ามีบ้านคนอยู่ข้างหน้า จะได้หาที่หลบได้ทัน ขืนเราอยู่ในรถ สงสัยจะโดนพัดไปกับน้ำแน่ ๆ เลย” เขาบอกและก็ขับรถออกไปอย่างช้า ๆ
ไม่นานก็มาถึงหมู่บ้านที่เขาหมายปองเอาไว้ แต่ก็ไม่ทันจะได้ไปไตร่ถามอะไร จากใครเลย เพราะลมชุดใหญ่ก็พัดมาอย่างแรง จนหลังคาบ้านของชาวบ้านปลิวไปกับลม เขาไม่รอช้า รีบหาที่ปลอดภัยเพื่อเป็นที่จอดรถ แล้วก็มองเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ เขารีบขับรถไปจอดเอาไว้ทันที

“คุณรอผมอยู่ในรถก่อนนะ....อย่าออกไปไหน” เขาบอกเธอ และรีบเดินผ่าสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก แล้วเขาก็เดินอ้อมไปด้านหลังรถ แล้วเปิดประตูคว้าเอาเป้คู่ใจที่มีประจำไว้ในรถตลอดเวลา สำหรับใช้ในการเดินป่าโดยเฉพาะ
แล้วเขาก็รีบคว้าเอาลวดสลิงที่ติดเอาไว้ในรถเป็นประจำ แล้วก็อ้อมไปด้านหน้ารถอีกครั้ง และจัดการเกี่ยวสลิงไว้กับกันชนหน้าโยงไว้กับต้นไม้ขนาดใหญ่ เพราะคาดหวังว่าจะพอเป็นที่ยึดรถเอาไว้ หากมีพายุพัดหอบเอารถไป

“เราต้องหาที่หลบ ไม่งั้นอาจจะโดนลมหอบไปเหมือนหลังคานั้นก็ได้ ผมเห็นชาวบ้านวิ่งไปทางโน้น น่าจะเป็นที่กำบังพายุ” เขาบอกเธอ หลังจากจัดการเรื่องรถเสร็จ และก็รีบพากันวิ่งออกจากรถ โดยที่เขาไม่ลืมที่จะคว้าข้อมือเธอเอาไว้ไม่ให้ห่าง แล้วก็วิ่งตามชาวบ้านสองสามคนไปทางที่ ๆ พวกเขาไป ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะไปไหน
“คุณจับผมไว้แน่น ๆ นะ ถ้าเราคลาดกัน คุณต้องร้องเรียกผมดัง ๆ นะ วา คุณได้ยินมั้ย” เขากำชับเธอ ขณะวิ่งตามชาวบ้านไป
“ค่ะ” เธอรับคำ แล้วทั้งสองก็รีบวิ่งไปโดยเร็ว แต่ก็ตามชาวบ้านพวกนั้นไม่ทันเลย เพราะด้วยความมืดที่เป็นอุปสรรค บวกกับความไม่รู้ทาง

“พวกเขาหายไปไหนแล้วคะ คุณชนะชล” เธอถามด้วยความตกใจ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมว่าเราไปทางโน้นกันเถอะ เหมือนจะมีโขดหินใหญ่ ๆ อาจจะพอใช้เป็นที่กำบังอะไรได้บ้าง” เขาบอกหลังจากที่สาดไฟฉายหาอยู่นาน แล้วก็รีบดึงแขนเธอให้วิ่งไปตามอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำหนัก บวกกับเสียงฟ้าร้อง และผ่าเปรี้ยงป้างลงมาไม่ขาดสาย ในที่สุดทั้งสองมาถึงที่หมายด้วยความทุลักทุเลเต็มที

“โชคดีจังที่มีโพรงเล็ก ๆ แล้วก็สูงพอสมควร คิดว่าคงจะพอให้เราหลบน้ำป่าได้” เขาพาเธอเข้ามานั่งในซอกหิน ที่ด้านล่างมีลักษณะเป็นโพรงและอยู่ในพื้นที่ ๆ สูงจากระดับพื้นดินของหมู่บ้านค่อนข้างมาก เขาพยายามสาดไฟฉายไปดูตามที่รอบ ๆ ด้านนอกโพรงหิน เพื่อหาที่หลบซ่อนที่ดีกว่า แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก เพราะฝนตกหนักมาก บวกกับลมที่พัดแรงเหลือเกิน

แต่จากประสบการณ์ของคนชำนาญป่าอย่างเขา ๆ มั่นใจว่าที่นี่ น่าจะเป็นที่หลบสำหรับเขาและเพื่อนร่วมทาง ที่ตอนนี้มีสีหน้าและอาการที่หวาดกลัวไม่น้อย เพราะเขาสังเกตเห็นได้จากการที่เธอนั้นไม่ยอมปล่อยมือ ที่เกาะแขนเขาเอาไว้ ตั้งแต่วิ่งออกจากรถ เขามองใบหน้านั้นได้ไม่ชัดเจนนัก หากแต่อาศัยเพียงแสงสว่างจากสายฟ้าที่แล๊บลงมาเป็นครั้งคราวนั่นเอง

“คุณหนาวมั้ย” เขาถามเธอด้วยน้ำเสียงที่อาทรยิ่ง
“ไม่เป็นไรค่ะฉันทนได้ ฝนตกหนักมาก ๆ เลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่” เธอบอก และปล่อยมือออกจากแขนของเขา เมื่อรู้ตัวว่ามือยังคงเกาะแขนเขาเอาไว้
“ผมว่าคงอีกนานนะ ดูท่าแล้วคงจะไม่หยุดง่าย ๆ หรอก ไม่รู้ว่าน้ำป่าจะซัดเอาอะไรไปบ้าง ชาวบ้านที่นี่ ไม่รู้จะหนีทันไหม ถ้าให้ผมเดาชาวบ้านก็คงจะมีถ้ำสำหรับหลบน้ำ หลบพายุ อยู่แถว ๆ นี้แน่ ๆ เลย” เขาบอกด้วยประสบการณ์
“ขอให้พวกเขาปลอดภัยด้วยเถอะค่ะ” เธอบอกเขา แล้วมือก็กอดอกเอาไว้ด้วยความหนาวเย็น เพราะลมที่พัดแรง บวกกับเสื้อผ้าที่เปียกโชกไปทั้งชุด
“จริงสิ...ผมลืมไปถนัดเลย คุณถือไฟฉายไว้นะ” เขายื่นไฟฉายให้เธอ แล้วก็รีบเปิดเป้เดินทางที่เขาตะพายไว้ที่หลัง เพื่อค้นหาของบางอย่าง

“นี่ไง ในนี้มีแทบทุกอย่าง ที่จำเป็นในการเดินป่า ผมมีเสื้อยืดสองตัว แล้วก็กางเกงสองตัวด้วย นี่ผ้าห่มบางนะ แต่ห่มแล้วอุ่นอย่าบอกใครเลย แล้วก็อะไร ๆ อีกตั้งหลายอย่าง ยา อาหารแห้ง และอื่น ๆ อีก ถ้าคุณไม่รังเกียจ ก็ใช้เสื้อผ้าของผมก่อนดีกว่านะ จะได้ไม่หนาวมาก กางเกงนี่คุณก็ใส่ได้มีเชือกไว้ให้ผูกตรงเอวด้วย แต่เสื้อก็จะตัวใหญ่หน่อย” เขารีบรื้อข้าวของออกมายกให้เธอดูทีละชิ้น พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความดีใจ
“คุณนี่รอบคอบจังนะคะ ฉันซะอีกที่เป็นคนมาทำงานเองแท้ ๆ แต่ไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้เลย” เธอบอกและยิ้มให้เขา “ก็ผมมันคนเดินทางบ่อยนี่คุณ....ยิ้มอะไรครับคุณหมอ” เขาตอบและก็ทำหน้าสงสัย เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มออกมา
“คุณใส่กางเกงอย่างนี้ด้วยเหรอคะ ฉันไม่เคยเห็นเลย” เธอถามพร้อม ๆ กับยกกางเกงขาก๊วยให้เขาดู

“ชุดโปรดผมเลยหล่ะ ผลผลิตของชาวบ้าน ๆ นะคุณ บ้านผมมีขายเต็มเลย ว่าแต่คุณเถอะไปอยู่เมืองนอกตั้งนาน ใส่เป็นหรือเปล่า” เขาบอกและก็ยิ้มให้เธอ
“ฉันเป็นคนไทยนะคะ เอ่อ...แล้วจะเปลี่ยนยังไงคะ” เธอยิ้มตอบเขา และก็มีสีหน้าที่กังวล เมื่อนึกถึงเรื่องที่กำบัง
“ผมจะหันหลังให้ คุณเปลี่ยนก่อนก็แล้วกันนะ” เขาบอกพร้อมกับหันหลังออกจากโพรงหิน และก็ค่อย ๆ คลานเข่าออกห่างเธอไป แต่ก็ไปได้ไม่ไกลสักเท่าไหร่ เพราะโพรงหินนั้นมีพื้นที่ไม่มากนัก ส่วนวันวิวาห์ไม่ยอมรอช้า รีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยเร็ว เพราะรู้ดีว่าเขากำลังโดนฝนสาดเข้าใส่ และด้วยรู้ดีว่าถ้าเธอขืนอยู่ในชุดที่เปียก ๆ ทั้งคืน คงจะต้องได้จับไข้เป็นแน่

“เสร็จแล้วค่ะ ทีนี้คุณก็มาเปลี่ยนผ้าได้ค่ะ ฉันจะหันหลังให้คุณบ้าง” เธอบอกเขา และก็หันหน้าเข้าซอกหินด้านหลัง ปล่อยให้เขาค่อย ๆ คลานเข้ามาและก็อดที่จะยิ้มด้วยอาการขำ ๆ เธอไม่ได้ เพราะเขาเองเป็นผู้ชาย ไม่เคยจะสนใจเลยว่า จะมีคนมองเวลาเขาผลัดผ้าหรือไม่ แต่ถึงจะมีหมอที่สาวและสวยอย่างเธอมอง เขาก็จะปลื้มใจมากกว่าจะอายเสียด้วยซ้ำ
“ผมเสร็จแล้ว คุณหันมาเถอะ” เขาบอกเธอในที่สุด
“คุณง่วงมั้ย” เขาถามเธอ เมื่อพากันนั่งอยู่บนผ้าผืนบาง ที่เขาใช้ปูรองพื้นที่มีทั้งดิน และหินก้อนเล็ก ๆ อยู่เกลื่อนพื้น และก็ตระหนักดีว่าดึกมากแล้ว เมื่อยกข้อมือดูนาฬิกาบอกเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว
“นิดหน่อยค่ะ แล้วคุณหล่ะคะ” เธอตอบ

“ผมชินแล้วหล่ะ กับชีวิตแบบนี้ งั้นคุณนอนเถอะนะ หนุนไหล่ผมก็ได้ และผ้าห่มนี้ผมก็ยกให้คุณเลย” เขาบอกพร้อมทั้งขยับเข้ามาใกล้ ๆ เธอ และก็เอาผ้าห่ม ๆ ให้เธอด้วยความห่วงใย
“คุณก็คงจะหนาว ฉันว่าเราห่มด้วยกันดีกว่าค่ะ” เธอบอกเขาออกไป เพราะรู้ดีว่าเวลาและสถานะการณ์ที่คับขันแบบนี้ เขาคงจะไม่คิดที่จะทำอะไรไปในทางที่เป็นการลบหลู่เกียรติลูกผู้หญิงของเธออย่างแน่นอน
“หลับเถอะ...คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ผมจะเฝ้ายามให้นะ” เขาเอื้อมไปโอบไหล่ของเธอเอาไว้ เพื่อสร้างความอบอุ่นให้ แล้วเขาก็ได้รับรอยยิ้มที่เป็นมิตรจากเธออีกครั้ง

“ขอบคุณค่ะ” เธอบอกเขา และไม่นานก็เผลอหลับไป ทั้ง ๆ ที่ยังคงอยู่ในท่านั่ง หลังพิงโขดหินเอาไว้ ส่วนศีรษะก็ได้อานิสงค์จากไหล่ของเขานั่นเอง
เขาหันหน้ามาดูเธอ เพราะเห็นเงียบเสียงไป และก็ได้ประจักษ์แล้วว่า เพื่อนร่วมชะตากรรมในคืนนี้หลับสนิทไปแล้ว คงจะด้วยความอ่อนเพลียนั่นเอง เขายิ้มอย่างเอ็นดูเธอยิ่งนัก
เขารู้สึกเปี่ยมสุขอย่างบอกไม่ถูก เมื่อมีร่างบาง ๆ ได้มาอยู่แนบชิดแบ่งปันไออุ่นมาให้เขาในเวลานี้ เขานึกขอบคุณหญิงท้องแก่ ที่ทำให้เขาได้มีเวลาได้อยู่กับเธอได้นานกว่าเดิมอีกหลายชั่วโมง

นึกขอบคุณลม ฟ้า อากาศ ในวันนี้ ที่ทำให้เขาได้มานั่งอยู่ที่ซอกหินแคบ ๆ แห่งนี้ เขาแทบจะบอกได้เลยว่า มันช่างเป็นสถานที่ ๆ ทำให้เขามีสุขยิ่งนัก สุขยิ่งกว่าการที่ได้อยู่คฤหาสน์ หลังโตของพ่อเธอไม่รู้สักกี่เท่า นี่ถ้าเขาไม่ตัดสินใจแวะมาหาเธอ ก่อนที่จะกลับปากช่อง เขาก็คงจะไม่ได้มาอยู่กับเธอแบบนี้

ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกหนัก เขาค่อย ๆ จับร่างที่หลับในท่านั่ง ให้ลงไปนอนกับผ้าที่ปูเอาไว้แล้ว แว่นคู่ใจถูกถอดออกด้วยมือเขา แล้วก็เอาเก็บไปไว้ในเป้อย่างดีด้วยกลัวจะแตกนั่นเอง ในที่สุดตัวเองก็นอนลงไปข้าง ๆ ร่างที่กำลังขยับ และขดตัวเพราะความหนาว แล้วเขาก็ค่อย ๆ ยกศีรษะเธอ ให้หนุนกับต้นแขนของเขา

แก้มขาวนวลเนียนถูกเขาสูดดมหาความหอม ด้วยอาการของคนรักใคร่ ใบหน้าคมสัน ปรากฏรอยยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูเธอ ไม่นานผ้าผืนบางอีกผืนก็ถูกห่มให้ทั้งเขาและเธอ แขนอีกข้างที่ว่างก็เอื้อมไปโอบกอดร่างเธอเอาไว้ เพื่อเป็นการให้ความอบอุ่น
แสงสว่างจากไฟฉายถูกปิดลง เพื่อเป็นการประหยัดถ่านเอาไว้ เพราะเขาคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในคืนนี้อีก เพราะกว่าจะสว่างก็อีกไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมง แล้วเขาก็คิดอะไรต่อมิอะไรไปหลาย ๆ อย่างจนเผลอหลับไปในที่สุด


เสียงวิหคที่บินผ่านไปมาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า เริ่มสาดส่องเข้ามาในโพรงหิน ชนะชลลืมตาตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงปลุกจากธรรมชาตินั่นเอง นาฬิกาบอกเวลาใกล้จะเจ็ดโมงแล้ว เขาพบว่าร่างน้อย ๆ ของวันวิวาห์นั้น เบียดกายเข้ามาหาอกหนานุ่มของเขา พร้อมกับวงแขนก็โอบกอดตอบเขา ประหนึ่งเด็กที่กลัวของรักจะหลุดหายก็ไม่ปาน

คงจะเป็นเพราะอากาศที่หนาวเหน็บนั่นเอง ทำให้ทั้งเขาและเธอนั้นต่างก็พากัน เบียดกายเข้าหาความอบอุ่นจากร่างของกันและกัน ใบหน้าขาวเนียน ริมฝีปากอวบอิ่ม จมูกโด่งรับกับใบหน้าเรียวรูปไข่ ยังคงหลับสนิท คงจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าของเธอ ที่ตื่นตั้งแต่เช้ามืด เมื่อวานแล้วก็ทำงานไม่ได้หยุดหย่อนนั่นเอง

ชนะชลอดไม่ได้ที่จะยื่นจมูกลงไปสูดดมหาความหอม จากแก้มเนียนอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่ก่อนนอนได้ฝากไว้แล้วครั้งหนึ่ง มันไม่ง่ายนักเลยสำหรับเขา ที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดกับวันวิวาห์ โดยที่จะไม่ให้เขาคิดไปในลู่ทางอื่น ก็ในเมื่อทุกห้องหัวใจของเขานั้น เรียกร้องหาแต่เธอมานานแรมปี
แต่เขาก็ไม่คิดที่จะทำอะไร ที่เป็นการลบหลู่เกียรติ หรือหักหาญน้ำใจลูกผู้หญิงอย่างเธอ หากอีกฝ่ายไม่เต็มใจ หรือในยามที่เธอหลับไหลไม่ได้สติเช่นนี้ แต่หากจากสัมผัสอันใกล้ชิดแนบสนิทของเขา ที่เคยมีต่อเธอจากที่ผ่านมาหลายครั้งนั้น มันทำให้เขามั่นใจว่า หัวใจของหญิงสาวก็คงจะเอนเอียงมาทางเขาบ้าง และก็คงจะมากพอสมควร

ด้วยจะเห็นได้จากทุกครั้งที่เขาได้มอบสัมผัสที่หวานซึ้งให้เธอ หญิงสาวก็ไม่ได้ต่อต้านหรือมีมารยา จริตจะก้านเหมือนหญิงสาวทั่วไป ที่เขาเคยพบพานมา แต่เธอก็สื่อสารกับเขาด้วยภาษาที่ตรงไปตรงมากับความปรารถนาของตัวเอง ด้วยการยินยอมให้เขาทำอะไร ได้ตามหัวใจเขาปรารถนา แต่เธอก็จะห้ามปรามเมื่อเขาเริ่มจะยับยั้งตัวเองไม่อยู่

เพื่อไม่ให้เกินเลยไปมากกว่านั้น แล้วเขาก็ต้องหักห้ามใจไว้แค่สัมผัสนั้น เพราะเขาตระหนักดีว่า วันวิวาห์จะถือเรื่องขนบธรรมเนียม และประเพณีไทย ๆ มาก คงจะด้วยได้รับอิทธิพลความเคร่งครัดในเรื่องนี้ มาจากรากฐานของครอบครัว ที่เป็นผู้ดีมาด้วยนั่นเอง
เขายิ้มให้คนที่หลับสนิท ด้วยแววตาที่เอ็นดูยิ่ง เธอก็เปรียบเสมือนน้องสาวตัวน้อย ๆ ของเขานั่นเอง น้องที่เกิดมาในชีวิตที่เป็นแต่ผู้ให้ แม้กระทั่งกับคนไข้ ที่เธอไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า เธอก็ยังไม่วายที่จะบุกป่าฝ่าดงในเวลากลางค่ำกลางคืน เพื่อไปรักษาให้

เขารู้สึกว่า คำว่าผลประโยชน์ หรือผลกำไรในความหมายของวันวิวาห์ มันช่างแตกต่างจากของเขาและคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง หรืออาจจะเป็นเพราะเธอนั้นเติบโตมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย และมีฐานะการเงินที่มั่นคงกระมัง เธอจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เหมือนหลาย ๆ คน
และเหนือสิ่งอื่นใด ที่สร้างความประทับใจให้กับเขาอีกก็คือ วันวิวาห์ไม่ได้หลงระเริงกับลาภ ยศ เงินทอง แล้วเที่ยวเอาเงินฟาดหัวผู้ที่ต่ำต้อยกว่า เหมือนลูกคนรวยหลาย ๆ คน แต่ตรงกันข้าม เธอกลับใช้ชีวิตที่มีค่าสำหรับตัวเอง และคนอื่น ๆ อีกมากมาย

ผู้หญิงคนนี้ มีพร้อมทุกอย่างในความรู้สึกของเขา มันก็คุ้มค่าแล้ว กับการที่เขาได้มอบหัวใจให้เธอ จนไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้ใครได้อีกเลย แม้แต่กระทั่งกับกิติกรก็ตาม
ชนะชลแทบจะหุบยิ้ม เมื่อจิตใจนึกไปถึง ผู้ที่มีสิทธิ์โดยชอบธรรม ในตัวของเขาไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับเรื่องของหัวใจแล้วเขา ไม่เหลือที่ไว้ให้ใครได้อีกเลยแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจอย่างคนคิดไม่ตก เมื่อคิดไปถึงอุปสรรคหัวใจอันใหญ่หลวงนี้
และความคิดทุกอย่างของเขาก็ยุติลง เมื่อร่างของวันวิวาห์เริ่มขยับ และลืมตาขึ้น พร้อมกับจ้องมองมาหาเขา และสิ่งแรกที่เธอควานหานั่นก็คือ แว่นคู่ใจ

“ผมเก็บไว้ให้คุณในเป้แหนะ กลัวมันจะแตก สงสัยคุณจะง่วงมาก หลับไปทั้ง ๆ ที่ยังมีมันอยู่”
เขาบอกเธอ
“ขอบคุณค่ะ” วันวิวาห์กล่าวขอบคุณเขา ก่อนที่จะลุกขึ้น และรีบดึงแขนตัวเองออกจากร่างเขา พร้อมกับขยับออกให้ห่างจากอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขาด้วยความขวยเขิน แล้วก็เปิดเป้หาแว่นเอามาใส่ไว้ ด้วยความเคยชิน “เช้ามากแล้ว ผมว่าเราลงไปสำรวจดูรอบ ๆ ก่อนดีกว่านะ โน่นแหน่ะมีชาวบ้านออกมาดูความเสียหายบ้านตัวเอง อยู่หลายคน ไม่รู้รถผมจะถูกพายุพัดไปอยู่ที่ไหนแล้ว” เขาบอกเธอและรีบลุกขึ้นมาเก็บข้าวของลงเป้ รวมทั้งชุดของวันวิวาห์ที่ถอดพับเอาไว้ด้วย

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ โทรศัพท์คุณใช้ได้หรือเปล่าคะ ของฉันเปียกน้ำค่ะ”
เธอถาม เพราะต้องการจะติดต่อไปที่โรงพยาบาล เพื่อแจ้งว่าไม่สามารถจะไปเข้าเวรได้
“ของผมไม่เปียกหรอก แบตเตอร์รี่สำรองก็มี....นี่ไง” เขาบอก
“เหรอคะ งั้นขอฉันยืมใช้ได้ไหมคะ” เธอถามด้วยความดีใจ
“เห็นทีจะไม่ได้หล่ะครับ...คุณหมอ” เขาตอบด้วยสีหน้ายียวนพร้อมทั้งยิ้มให้เธอ
“ทำไมคะ” เธอถามด้วยความงง เพราะที่เขาไม่ให้ใช้ คงไม่ใช่เพราะหวงค่าโทรศัพท์เป็นแน่

“ไม่มีสัญญาณครับ สงสัยระบบสื่อสารแถวนี้ จะโดนพายุเล่นแล้วหละมั้ง แต่ปกติโทรศัพท์ผม จะใช้ได้แทบจะทุกพื้นที่เลย” เขาบอกและทำเสียงล้อเลียนเธอเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นการเป็นงานภายหลัง
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ” เธอถามเขาด้วยอาการกังวัลอยู่ไม่น้อย เพราะห่วงงานที่โรงพยาบาล
“ผมก็ยังไม่รู้เหมือน งั้นเราลงไปดูรถ และคนที่หมู่บ้านก่อนดีกว่านะ” เขาบอกเธอและก็เดินนำหน้าไป และก็ไม่ลืมที่จะเอื้อมมืออีกข้างมาให้เธอจับ
“ขอบคุณค่ะ” วันวิวาห์รับไมตรีจากเขาอย่างว่าง่าย







 

Create Date : 05 ตุลาคม 2551
2 comments
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 10:23:23 น.
Counter : 388 Pageviews.

 

เข้ามาให้กำลังใจค่ะ

 

โดย: น้องค่ะ (หนึ่งมณี ) 6 ตุลาคม 2551 11:51:31 น.  

 

ขอบคุณค่ะ คุณหนึ่ง

เห็นคุณหนึ่งมีบล็อกนะคะ แต่แอดไม่เป็นค่ะ

55555

 

โดย: ธัญญะ 6 ตุลาคม 2551 15:14:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.