Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
29 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
ชลวาห์กาล ๑๓ (ธัญรัตน์)




เสียงจิ้งหรีด และแมลงต่าง ๆ ส่งเสียงหรีดร้องเรไร จนฟังไม่ได้ศัพท์ ในความมืดแห่งราตรีกาล นาฬิกาที่ข้อมือหมอสาวบ่งบอกว่าเป็นเวลาตีสองแล้ว วันวิวาห์และชายแปลกหน้า ก็ยังคงเดินทางเข้าไปในป่า มาเพียงแค่สองคนเท่านั้น เพราะบุรุษพยาบาลที่หมอพีระแนะนำให้เธอพามาด้วยนั้น กำลังยุ่งวุ่นวายกับคนไข้ที่ได้รับอุบัติเหตุนั่นเอง

เธอจึงตัดสินใจเสี่ยงดวงมากับเขาเพียงลำพัง เพื่อทำหน้าที่หมอที่จะต้องทำหน้าที่รักษาชีวิตคนไข้ เพราะเธอถือว่านั่นคือจรรยาบรรณที่สำคัญ ที่มีอยู่ในชีวิตและเลือดเนื้อของผู้ที่ชื่อว่าแพทย์นั่นเอง

วันวิวาห์เพิ่งจะรู้ชื่อชายแปลกหน้าภายหลังว่า ไชยันต์ จากการแนะนำตัวเอง ในระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกัน กับถนนที่ขรุขระแทบจะตลอดการเดินทาง รถจี๊ปแล่นไปอย่างช้า ๆ และเลี้ยวเข้ามาจอดที่กระท่อมแห่งหนึ่งในที่สุด
สภาพภายนอกของกระท่อม สร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง มีสภาพที่ดูดีและแข็งแรง เธอไม่อาจจะรู้ได้ ว่ามีใครอยู่ในกระท่อมบ้าง เพราะเห็นแต่แสงไฟจากตะเกียง ที่ลอดมาจากหน้าต่างของกระท่อม ไชยันต์รีบช่วยเธอถือกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ แล้วก็ฉายไฟฉายให้เธอมองเห็นทาง ให้เดินไปขึ้นบันได ที่มีอยู่แค่สามสี่ขั้น ได้สะดวกยิ่งขึ้น

ส่วนเขานั้นแทบจะไม่ต้องใช้บันได ก็ไปปรากฏกายที่ประตูหน้ากระท่อมแล้ว และทันทีที่ไชยันต์เปิดประตูเข้าไป ก็มีเสียงตะเบงอย่างดุดันออกมา ประหนึ่งว่าคนข้างในจะล่วงรู้ว่าเสียงรถที่แล่นมาจอดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจะเป็นเขา

“ไหนหมอที่จะมารักษานายยศ....ฉันบอกนายแล้วไงไชยันต์ ว่ามันไม่มีประโยชน์เลย ที่จะให้ฉันรออยู่ที่นี่ รู้มั้ยว่าฉันมารอที่นี่ห้านาทีแล้ว และไอ้ห้านาทีนี่ มันอาจจะหมายถึงชีวิตของน้องนายก็ได้ และฉันจะบอกอะไรให้นายรู้ไว้อย่างนะ....มันว่าไม่มีหมอคนไหน ที่เขาจะบ้ามารักษาคนในกลางป่า ดึก ๆ ดื่น ๆ กับนายหรอกนะ นายมันบ้ารู้มั้ย” เสียงเจ้านายที่เอ็ดตะโรลูกน้อง ดังออกมาจากกระท่อม ทำให้สีหน้าวันวิวาห์ที่ได้ฟังทุกคำพูดของเขานั้นแทบจะช๊อค ส่วนไชยันต์นั้นไม่มีเสียงตอบโต้ใด ๆ กลับไป นอกจากมองมาหาเธอ ที่ยืนรออยู่ด้านหลัง และก็หลีกทางให้เธอเข้าไปในประตูกระท่อมได้อย่างสะดวก

“แต่หมอบ้า ๆ อย่างฉันก็มาค่ะ” เธอบอกออกไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบแต่หนักแน่นจนแทบจะเป็นประชด ขณะที่เธอก้าวเข้าไปในกระท่อม เพราะเธอรู้ดีว่าเสียงที่เธอเพิ่งจะได้ยินนั้น คือเสียงของใคร....และทันทีที่เขาได้ยินเสียงและเห็นหน้าหมอที่ก้าวเข้ามา ชนะชลถึงกับตะลึงด้วยความคาดไม่ถึง ว่าหมอที่มานั้นจะเป็นเธอ และยิ่งไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะใจกล้าได้มากถึงเพียงนี้
“คนไข้อยู่ไหนคะ ดิฉันต้องการพื้นที่ในการรักษาค่ะ ขอคนที่ได้อยู่กับคนไข้ตั้งแต่รู้ว่างูกัดอยู่กับหมอด้วย และก็จะได้คอยเป็นผู้ช่วยด้วยเหลือรบกวนกรุณาออกไปรอข้างนอก” เธอบอก แล้วก็รีบตรงไปหาคนไข้ที่นอนรอหมอ แล้วเธอก็พบว่าดวงตาก็แทบจะปิดอยู่แล้ว

“ไชยันต์พาพวกนี้ออกไปก่อน ฉันกับเจ้ารบและเจ้าโตจะอยู่เอง” ชนะชลบอกลูกน้องให้พากันออกจากห้องไปก่อน ส่วนเขาเลือกที่จะอยู่กับลูกน้องอีกสองคน เพราะเป็นคนอยู่ในเหตุการณ์ที่ยศถูกงูกัด ส่วนไชยันต์และที่เหลือก็พากันออกไปอย่างว่าง่ายถึงแม้ว่าจะห่วงอาการน้องก็ตาม แต่ก็จำจะต้องให้พื้นที่ให้หมอได้ใช้อย่างสะดวก

“คนไข้ถูกงูเห่ากัดใช่หรือเปล่าคะ แล้วสีของงูนี่สีอะไรคะ ดำ ๆ ด่าง ๆ หรือว่าสีเหลืองคะ แล้วแน่ใจนะคะว่าเป็นงูเห่า ไม่ใช่งูจงอาง” เธอถามคนที่อยู่เพื่อเป็นการยืนยันจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อีกครั้ง หลังจากที่ไชยันต์ได้แจ้งไว้เบื้องต้นแล้วว่าเป็นงูเห่าที่กัดน้องชาย แต่หมออย่างเธอก็ไม่อยากจะผิดพลาดแม้แต่น้อย เพราะเธอได้นำเซรุ่มงูจงอางมาเผื่อด้วย เพื่อกันความผิดพลาดจากการให้ข้อมูลของญาติคนไข้เอง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้เพราะความตกใจ หรือจากการสื่อสารกันหมู่ญาติการเอง

และในระหว่างที่เดินทางมารักษาคนไข้ เธอก็เฝ้าภาวนาว่าขอให้งูที่กัดคนไข้เป็นงูเห่าแทนงูจงอางด้วยเถิด เพราะถ้าไม่เช่นนั้น เธอก็อาจจะไม่มีเวลาได้แม้แต่จะรักษาคนไข้ก็เป็นได้ เพราะด้วยขนาดของงูและจำพิษนั้น งูจงอางเหนือกว่างูเห่าเป็นไหน ๆ

“ผมมั่นใจว่าเป็นงูเห่า เพราะนายรบเอามันกลับมาด้วย ถ้าคุณจะดูก็ได้นะ โน่นนอนกองอยู่นั่น” ชนะชลรีบให้คำตอบกับเธอ พร้อม ๆ กับชี้ไปที่ร่างของงูที่นอนกองอยู่ที่พื้น ผู้เป็นหมอแค่เหลือบไปมองชนิดของงูให้แน่ใจแค่นั้น แต่ก็ไม่ได้เดินไปดูใกล้ ๆ เพราะมั่นใจในคำบอกเล่าของผู้ที่ชำนาญป่าอย่างเขาไม่น้อย และเหนือไปกว่านั้น ถึงเธอจะเป็นหมอที่ไม่เคยเกรงกลัวต่ออาการคนไข้เลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ยังคงกลัวเจ้าอสรพิษอยู่นั่นเอง
“คนไข้หนักเท่าไหร่คะ” เธอถามหลังจากที่ได้คำตอบจากเขา
“ผมไม่รู้แต่ถ้าจะให้เดา ก็น่าจะประมาณหกสิบกว่า ๆ เห็นจะได้” เขาบอกเพราะความไม่แน่ ด้วยตัวเองก็ไม่ได้ใคร่จะจดจำน้ำหนักของคนงานสักเท่าไหร่ แต่ถ้าจะให้เขาตอบว่าน้ำหนักตัวของคุณหมอว่าเท่าไหร่นั้น เขามั่นใจว่าตอบไม่ผิดแน่นอน

“ประมาณหกสิบเจ็ดครับหมอ ผมจำได้คราวที่แล้วไปตรวจสุขภาพประจำปีด้วยกันครับ” นายโตรีบตอบทันที ในขณะที่วันวิวาห์นั้นรีบใช้กรรไกรตัดผ้าที่พันกับไม้ที่ดามขาคนไข้ไว้ทั้งสองฝั่ง แล้วก็คลายผ้าที่มัดไว้ทั้งบนและล่างของปากแผลที่ถูกงูกัด เพื่อทำความสะอาดบาดแผลเป็นสิ่งแรก แต่เธอก็อดชื่นชมผู้ที่ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ถูกวิธีให้คนไข้เอาไว้ก่อนที่เธอจะมาถึงไม่ได้ และเธอมั่นใจใจว่าเป็นการกระทำของชนะชลนั่นเอง

“แล้วมีใครได้เอาปากไปดูดเอาพิษออกจากแผลที่คนไข้ตอนที่ถูกงูกัดใหม่ ๆ หรือเปล่าคะ” เธอรีบถามเพื่อความแน่ใจ เพราะเท่าที่เธอและหมอคนอื่น ๆ รู้ก็คือ มักจะมีคนทำแบบนี้เวลาที่มีคนถูกงูกัด ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ผิด และนอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรคนไข้แล้ว คนที่กระทำแบบนี้อาจจะเกิดการติดเชื้อไปด้วยก็เป็นได้

“ไม่มีหรอกครับ นายบอกว่าห้ามไปยุ่งตรงแผล” นายรบรีบบอกเธอ ก็นับว่านับว่าเขามีความรู้เรื่องในเรื่องนี้ดีทีเดียวในความคิดของเธอ
“คนไข้กลืนน้ำลายได้หรือเปล่าคะ แล้วหายใจขัด ๆ มั้ย เจ็บหรือปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่าคะ คนไข้พยายามอย่าหลับนะคะ พูดกับหมอนะ ไม่ต้องกลัว มีหมออยู่ใกล้ ๆ แล้ว” เธอพยายามจะสื่อสารกับคนไข้ให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการรักษา

แล้วหน้าที่การรักษาคนไข้ ก็เสร็จสิ้นลงเมื่อคนไข้ได้รับการฉีดเซรุ่ม และยาตัวอื่น ๆ ตามอาการของคนไข้ และเธอก็ให้น้ำเกลือกับคนไข้ จนคนไข้หลับไปในกระท่อม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนวันวิวาห์ก็ยังคงเฝ้าสังเกตการณ์อาการคนไข้อย่างใกล้ชิด จนแน่ใจว่าปลอดภัย นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาจะตีห้าแล้ว สีหน้าที่ดูจะอ่อนเพลียของเธอ ทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นเห็นใจเธอไม่น้อย ด้วยพวกเขาเองก็ไม่ได้ต่างไปจากเธอสักเท่าไหร่เลย

“ขอบพระคุณ คุณหมอมาก ๆ ครับที่ช่วยชีวิตน้องผม แล้วนี่ครับค่ารักษาส่วนแรกก่อน ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเงินเท่าไหร่สำหรับการมารักษานอกสถานที่แบบนี้ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นมากแค่ไหน ถ้าเทียบกับชีวิตน้องผมแล้ว มันน้อยมากครับคุณหมอ”
ไชยันต์บอกขณะที่เดินมาส่งเธอที่รถ พร้อมกับยื่นเงินสดที่ถูกห่อด้วยกระดาษที่เขาพอจะหาได้ในกระท่อมให้เธอ พร้อมกับดวงตาเขานั้นก็ฉายแววเป็นที่ดีใจกับอาการของน้องชายอย่างเห็นได้ชัด

“เอาไว้ไปชำระค่ารักษาที่โรงพยาบาลดีกว่าค่ะ หมอจะไม่รับค่าใช้จ่ายใด ๆ เอง แล้วก็ให้รีบนำตัวคนไข้ส่งโรงพยาบาลทันทีที่การเดินทางสะดวกนะคะ เพราะหมอต้องสังเกตอาการคนไข้ไปอีกสักระยะค่ะ บางทีเราอาจจะต้องให้เซรุ่มเพิ่มถ้าอาการไม่ดีขึ้น แต่เท่าที่สังเกตดูอาการตอนนี้ ก็ไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วไม่ต้องกังวลค่ะ ถ้าไปถึงแล้วให้หมอเวรโทรหาหมอได้เลยนะคะ เพราะว่าวันนี้หมอเข้าเวรเย็นค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว...งั้นหมอขอตัวนะคะ เพราะรู้สึกเหนื่อยมากเลยค่ะ” เธอบอกและก็ยิ้มให้เขา

“ครับผมจะรีบทำตามที่คุณหมอบอกทุกอย่างครับ....เอ่อ....จริงสิครับ คุณหมอคงจะเหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืน แล้วผมก็ไปดึงมาที่นี่อีก ก็นับว่าเป็นบุญของน้องผมเหลือเกินครับ ที่คุณหมอยอมมาถึงที่นี่ งั้นผมไม่รบกวนแล้วครับ เจ้านายผมจะขับรถไปส่งคุณหมอนะครับ รออยู่ในรถแล้วครับ ขอบคุณอีกครั้งคุณหมอ”

เขาบอกเธอ พร้อมกับไหว้เธอด้วยความซาบซึ่ง แล้วเขาก็ช่วยยกกระเป๋าเครื่องมือไปใส่รถให้ และเธอก็ขึ้นไปนั่งในรถแต่โดยดี ถึงแม้ว่าเธอจะไม่อยากที่จะเดินทางร่วมกับเขาก็ตาม เธอทำเหมือนไม่สนใจคนขับที่นั่งรอเธอตั้งแต่อาการคนไข้พ้นขีดอันตราย

กับถนนที่ขรุขระทำให้เขาต้องขับรถไปอย่างช้า ๆ เพราะรู้ดีว่าเธอนั้นยังไม่ได้พักผ่อนมาเลย และเขาเองก็ไม่ผิดไปจากเธอเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่วายที่จะหันไปมองผู้ที่ร่วมทางที่ดูจะเงียบผิดปกติ แล้วก็พบว่าเธอนั้นหลับไปเพราะความเหนื่อยเพลียนั่นเอง เสื้อนอกตัวใหญ่ที่เขาใส่อยู่ ถูกถอดออกมาห่มให้ผู้ที่หลับไหลไปแล้ว หลังจากที่เขาจอดรถเข้าข้างทาง

เขายิ้มให้เธออย่างเอ็นดู ดวงตานั้นเปล่งประกายฉายแววที่ปรีดายิ่งนัก ที่จู่ ๆ เขาก็ได้พบกับเธออย่างง่ายดาย โดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาต้องใช้ความพยายามที่จะสืบหา ว่าเธอย้ายไปอยู่ที่ไหน พิธานเองแทบจะไม่ได้ให้ข้อมูลเขาเลย นอกจากจะบอกว่าเป็นอำเภอเล็ก ๆ ทางเหนือ

ซึ่งเขาเองก็เรียกได้ว่ารู้จักเกือบจะทุก ๆ ที่ในภาคพื้นนี้ โรงพยาบาลทุก ๆ ที่เขาเองก็ได้โทรไปสอบถาม ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เธอจากมาแล้ว แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่มีแม้แต่เงาของ หมอวันวิวาห์ พิพัฒน์กุล ผู้หญิงที่ทำให้ชีวิตทั้งชีวิตของเขาวุ่นวายเลย

เขาแทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้หญิงอย่างเธอ จะทำให้ผู้ชายที่เคยมีแต่ความมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด จะกลับกลายมาเป็นคนที่อ่อนไหวได้ถึงเพียงนี้…...แล้วนี่ถ้าเขาไม่ได้ข้ามเข้าประเทศมาที่อำเภอนี้ หลังจากที่ข้ามไปฝั่งพม่า เพื่อหาที่ตั้งโรงงานที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าที่ใหม่ แรกทีเดียวเขากะจะกลับทางเครื่อง แล้วตรงกลับไปที่บ้านเลย

แต่ไม่รู้ยังไงที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนใจเพื่อจะแวะมาสมทบกับไชยันต์ผู้เป็นลูกน้อง ซึ่งอยู่ในช่วงลาพักร้อน แล้วพากันมาส่องสัตว์กับพรรคพวกที่อำเภอนี้ จนน้องชายเขาถูกงูกัด ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะมีโอกาสได้พบเธออีกหรือไม่ โทรศัพท์หรือจดหมายสักฉบับก็ไม่มีไปถึงเขาเลย จะมีก็เพียงโทรไปหาสุขแค่เดือนละครั้งเท่านั้น และก็ดูเหมือนว่าเธอจะเลือกโทรไปในเวลาที่เขาไม่อยู่เสียด้วย

“สองวันก่อนคุณวาโทรมาค่ะ บอกว่าสบายดี แต่งานยุ่งมาก คนไข้เยอะค่ะ ไปออกหน่วยตามพื้นที่ต่าง ๆ ด้วย ป้าถามเมื่อไหร่จะกลับก็เอาแต่เงียบ ป้านี่ห๊วงห่วงค่ะ ไม่รู้จะกินจะอยู่ยังไงบ้าง คุณวาไม่เคยไปอยู่ที่แบบนั้นเลย และยิ่งอยู่คนเดียวด้วยแล้ว ป้ายิ่งห่วงมาก ๆ เลยค่ะ ตั้งแต่เกิดมาคุณวาเคยได้ทำอะไรเองที่ไหนกันคะ คุณปู่เธอหน่ะทั้งรัก ทั้งห่วงคุณวา เพราะเธอเป็นเด็กน่ารักค่ะ นิสัยที่โอบอ้อมอารีย์คนที่ด้อยกว่านี่ ไม่ได้จากใครหรอกค่ะ นอกจากจะเป็นคุณปู่ของเธอ จนพลอยทำให้พวกเรารักเธอตามไปด้วยค่ะคุณชนะชล ” สุขรายงานเขาเมื่อมาถึงบ้าน ในคืนหนึ่ง

“เหรอครับ...แต่ผมว่าเขาคงจะดูแลตัวเองได้นะครับ ป้าไม่ต้องห่วง คุณวาของป้าเคยใช้ชีวิตที่เมืองนอกตั้งหลายปี เรื่องพวกนี้ส่วนใหญ่นักเรียนนอกเขาก็จะทำเองทั้งนั้นหล่ะครับ แล้วอีกอย่างนะครับ ถ้าคุณวาของป้าอยากกลับ ก็คงจะกลับเองหล่ะครับป้า” เขาบอกออกไปอย่างไร้ความหวัง
“คงจะยากค่ะ คุณวาหน่ะดูใจยากเหลือเกินค่ะ เห็นเงียบ ๆ อย่างนั้น แต่เวลาจะรั้นนะคะ คุณชนะชลจะคิดไม่ถึงค่ะ นี่ป้าก็ลองแกล้งถาม ๆ คุณวิทย์ว่าคุณวาย้ายไปอยู่ที่ไหน คุณวิทย์ก็ไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่บอกว่าไม่รู้ท่าเดียว จนป้าโกรธคุณวิทย์ไปแล้วค่ะ” สุขบอกเขาอีก

ผู้ที่กำลังหลับใหลเพื่อความอ่อนเพลียถึงกับสะดุ้งตื่น เมื่อเขารถจอดตรงปากทางหลังจากพ้นจากเขตป่าทึบ เพราะต้องนำรถเข้าถนนใหญ่ แล้วเธอก็พบว่าตัวเองนั้นได้ใช้ไหล่ของเขา เป็นที่พักพิงไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้ และความอุ่นจากเสื้อของเขา ที่ห่มร่างเอาไว้ให้ ทำให้เธอรู้สึกอายเขาจนหน้าแดง

“ผมขอโทษนะ ที่ทำให้คุณตื่น ใกล้จะถึงแล้ว โรงพยาบาลเลี้ยวซ้ายไปใช่หรือเปล่าผมค่อยไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเพราะจำไม่ได้จริง ๆ
“ค่ะ อีกกิโลกว่า ๆ ก็ถึงค่ะ เลี้ยวซ้ายแล้วโรงพยาบาลก็อยู่ด้านขวามือค่ะ” เธอบอกออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบพอกัน ไม่นานรถของเขาก็มาจอดด้านหน้าบ้านพักของเธอ

“คุณจะขึ้นไปดื่มกาแฟก่อนหรือเปล่าคะ ฉันมีอะไรจะให้คุณพอดี” เธอบอกและก็เดินนำหน้าขึ้นบ้านไป โดยที่ไม่ได้รอฟังคำตอบจากเขา กระเป๋าเครื่องมือแพทย์ถูกเขายกขึ้นไปให้ และเขาก็นั่งรอเธอที่เก้าอี้ตัวยาวที่ทอดยาวไปกับระเบียง ส่วนเจ้าของบ้านก็หายเข้าไปในห้องไม่นาน ก็กลับออกมาด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ พร้อมกับถาดที่มีกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นติดมือมาให้เขาและเธอคนละแก้ว และแซนวิชด์ทูน่า ที่เธอพอจะหาและทำได้จากในครัว

“ฉันทำได้เท่านี้ค่ะ ปกติไม่ค่อยได้ทำอาหารอะไรเลย ส่วนใหญ่ก็จะกินอาหารของโรงพยาบาล หรือบางทีก็จะซื้อกินเองบ้าง แค่นี้คงพอให้หายหิวได้บ้างนะคะ” เธอบอกเขาด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ
“ขอบคุณครับ” เขารับจากเธอ และก็ยกแก้วกาแฟจิบทีละน้อย พร้อม ๆ กับกินแซนวิชด์ด้วยความหิว ด้วยเขาเองก็ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เย็นวานแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งกับการพาคนเจ็บออกจากป่านั่นเอง
“ฉันจะไปเอาน้ำให้ค่ะ” เธอบอกแล้วก็หายไปสักพัก และก็กลับออกมาในเวลาที่ไม่นานนัก พร้อมน้ำสองแก้ว และซองสีน้ำตาลหนึ่งซอง “น้ำค่ะ แล้วนี่ก็เงินหนึ่งแสนค่ะ” เธอบอกพร้อมกับยื่นซองให้เขา และเขาก็รับมาแต่ไม่คิดจะเปิดซองดูเลยแม้แต่น้อย

“คุณสบายดีหรือเปล่า ป้าสุขบ่นถึงคุณทุกวันเลย ทุกคนในบ้านด้วย คุณแม่ผมด้วย ท่านไม่อยากให้คุณมาอยู่คนเดียวเลย” เขาไม่ได้สนใจกับเงินที่เธอยื่นให้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับแสดงท่าทีห่วงเธอแทน “ฉันสบายดีค่ะ ฝากขอบคุณทุกคนด้วยค่ะ ถ้าฉันเบื่อที่นี่เมื่อไหร่ฉันจะกลับค่ะ” เธอบอกเขาสั้น ๆ

“ผมมาเยี่ยมคุณที่นี่บ้างได้หรือเปล่า เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ให้แน่ใจว่าคุณยังอยู่ดีสบาย จะได้ไม่ห่วง ยังไง ๆ พ่อคุณก็ฝากคุณไว้กับผมนะ ถ้าหากคุณเป็นอะไรไปผมคงจะไม่สบายใจเอามาก ๆ เป็นแน่” เขาบอก
“กลัวไม่มีคนใช้หนี้แทนคุณพ่อเหรอคะ” เธอถามเขากลับ แต่น้ำเสียงไม่ค่อยจะจริงจังนัก เพราะเธอรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนอย่างนั้น “คุณก็คงพอจะรู้จักผมบ้างนะวันวิวาห์....เอ่อ....ผมจะกลับบ้านที่เชียงรายพรุ่งนี้แล้ว จากนั้นอีกสักอาทิตย์ก็จะไปปากช่อง คุณจะฝากอะไรถึงใครหรือเปล่า” เขาถามขณะดื่มกาแฟกับแซนวิชด์จนหมดเกลี้ยง

“คงจะไม่ค่ะ แต่ฝากบอกป้าสุขว่าฉันสบายดี เดือนหน้าฉันอาจจะได้ไปอบรมที่โน่นแต่ไม่รู้วันที่เท่าไหร่แน่ค่ะ” เธอบอก และเธอก็เพิ่งจะรู้ว่าบ้านของเขาอยู่ที่เชียงราย ซึ่งก็ห่างจากที่เธออยู่ไม่กี่ร้อยกิโลเลย คิด ๆ แล้วก็ให้โกรธตัวเองยิ่งนัก ที่อยากจะหนีเขา แต่ดันกลับเป็นว่ามาอยู่ใกล้ ๆ เขาแทน เพราะด้วยความที่ไม่รู้ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหนนั่นเอง

หญิงสาวคิดไป พร้อม ๆ ทั้งยิ้มให้หมอพีระที่เพิ่งจะออกเวรและกลับเข้าบ้านเพื่อพักผ่อน และเขาก็ทำหน้าสงสัยที่เห็นชนะชลนั่งคุยกับเธอ เพราะตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่ เขาแทบจะไม่เคยเห็นวันวิวาห์คุยกับชายคนไหนตามลำพังเลย แม้แต่เขาที่มีท่าทีว่าสนใจเธอ เขาเองก็แทบจะไม่มีโอกาสได้อยู่กับเธอตามลำพังเลย

“หมอวาเป็นยังไงบ้างครับ คนไข้ที่ถูกงูกัด ผมห่วงหมอแทบแย่” หมอพีระตะโกนถามมาจากบันไดแทบจะขั้นแรก ก่อนที่ร่างจะขึ้นมาถึงระเบียงเสียอีก
“เรียบร้อยดีค่ะหมอพี นี่ก็บอกญาติให้รีบนำส่งโรงพยาบาลนะคะ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะมาถึงหรือยัง ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่เป็นห่วง...เชิญหมอพีนั่งก่อนค่ะ จะรับกาแฟไหมคะ” เธอเชื้อเชิญผู้มาเยือน

“คงไม่ครับหมอวา ผมแค่จะแวะมาถามดูว่าหมอเป็นยังไงบ้าง กลับมาอย่างปลอดภัยดีมั้ย พอเห็นอย่างนี้แล้วผมก็สบายใจครับ อีกหน่อยก็จะต้องไปนอนแล้วครับ ไม่ไหวเหนื่อยจริง ๆ เลย กว่าคนไข้จากอุบัติเหตุจะปลอดภัยก็เล่นเอาพวกเราไม่ได้นอนทั้งคืนเลยครับ แล้วนี่....เอ่อ...” เขาบอกพร้อม ๆ กับทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เธอ
“...เอ่อ...นี่คุณชนะชลค่ะ....แล้วนี่ก็หมอพีระค่ะ เพื่อนบ้านดิฉัน พักอยู่บ้านพักหลังนั้นค่ะ” เธอแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณชนะชล” อีกฝ่ายแสดงไมตรี

“เช่นเดียวกันครับคุณหมอพีระ” เขาก็แสดงไมตรีกลับเช่นกัน
“คุณชนะชล....เป็น...เอ่อ...เป็นคนที่...เอ่อ” เธอพูดไม่ออก
“ผมเป็นคนที่มาสานต่อธุรกิจของพ่อคุณหมอครับ” เขารีบตอบแทนเธอ
“พอดีคุณชนะชลรู้จักกับคนไข้ที่ถูกงูกัดค่ะ ก็เลยได้พบกันโดยบังเอิญที่นี่” เธอบอกต่อ
“แหม...ดีจริง ๆ เลยครับ ผมนะอดห่วงไม่ได้เลย ไปกับคนแปลกหน้าดึก ๆ ดื่น ๆ ห้ามก็ไม่ฟังนะครับคุณชนะชล….พอผมเสร็จจากคนไข้ฉุกเฉินก็นึกขึ้นได้ เลยไปถามพยาบาลว่าหมอวาไปกับใคร ก็บอกว่าไปคนเดียว ผมให้พยาบาลโทรเข้ามือถือก็ไม่มีสัญญาณเลยครับ” หมอพีระรีบรายงานเขา

“ผมก็ยังแปลกใจมากครับ พอรู้ว่าหมอที่ไปเป็นวันวิวาห์ ตกใจเหมือนกัน ทีหลังคุณอย่าไปไหนต่อไหน กับคนแปลกหน้าอีกนะ ดีนะที่เป็นลูกน้องผม ไม่อย่างนั้น ป่านนี้ไม่รู้คุณจะเป็นยังไงบ้าง นี่ถ้าป้าสุขกับแม่ผมรู้เข้ามีหวังเป็นลมล้มชักไปแล้วนะ” เขาบอกเธอพร้อมกับตำหนิไปในตัวด้วย
“ฉันก็ไม่รู่ว่าตัดสินใจไปได้ยังไงเหมือนกันค่ะ แต่ในใจก็คิดว่าไชยันต์คงจะไม่โกหก อีกอย่างเพราะความเป็นห่วงคนไข้ ก็เลยไม่ทันได้คิดอะไรมากไปกว่าการช่วยชีวิตคนค่ะ” เธอบอกออกไปตามจริง

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับหมอวา งั้นผมขอตัวนะครับ ว่าง ๆ เชิญมานั่งดื่มกันนะครับคุณชนะชล แต่ตอนนี้ผมขอไปหลับเอาแรงก่อน” “ครับแล้วพบกันใหม่ครับ” เขารีบบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนด้วยมารยาท
“ขอบคุณมาก ๆ นะคะหมอพี” เธอก็ไม่วายที่จะลุกขึ้นยืนให้กับแขก ที่กำลังจะจากไปด้วย
“คุณพักที่นี่คนเดียวเหรอ” เขาถามเธอ หลังจากที่หมอพีระหายไปนานแล้ว
“ค่ะ แรก ๆ ก็ว่าจะมีพยาบาลมาอยู่ด้วย แต่ไป ๆ มา ๆ ก็แต่งงานแล้วก็พักบ้านตัวเองค่ะ” เธอบอกเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

“คุณอย่าลืมที่ผมบอกนะ....ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณห้ามไปไหนต่อไหนกับคนที่คุณไม่รู้จักอีกเด็ดขาด ครั้งต่อไปคุณอาจจะไม่โชคดีอย่างนี้ก็ได้ สังคมทุกวันนี้มีแต่คนไม่น่าไว้ใจ คุณอย่าเอาความเป็นหมอที่ห่วงชีวิตคนไข้มากกว่าชีวิตตัวเองนะ คนเราถ้าลองได้คิดร้าย ๆ แล้วก็ อย่าว่าแต่หมอเลยนะคุณ แม้แต่พระก็ยังถูกฆ่าทิ้งมานักต่อนักแล้ว” เขาไม่วายที่จะเตือนเธออีกครั้ง
“ค่ะ....ต่อไปฉันจะระวังให้มากกว่านี้...ขอบคุณนะคะ” เธอรับปากเขา และก็เห็นด้วยกับเขาอย่างยิ่ง

“งั้นผมกลับนะ คุณจะได้พักผ่อน แล้วผมจะแวะมาหาคุณก่อนที่จะออกเดินทาง” เขาจำใจจะต้องบอกเธอไปอย่างนั้น เพราะกลัวจะเป็นการไม่เหมาะกับฐานะของหมอ ที่คุยกับผู้ชายสองต่อสอง ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว เขาแทบจะไม่อยากห่างเธอเลย ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญคุณตามสบายค่ะ” เธอบอก แต่ก็ไม่มีคำตอบจากเขา นอกจากเดินลงบันไดบ้านไป แล้วก็ขับรถออกไปโดยเร็วแทนนั่นเอง


ข้าวของเครื่องใช้ทั้งในครัวเรือน และของส่วนตัวที่ยังคงอยู่ในถุง ถูกกองเอาไว้ที่พื้นเต็มไปหมด วันวิวาห์ต้องตกใจ เมื่อขึ้นมาบนบ้านพักหลังจากที่ไปดูอาการของยศที่หมอเวรโทรมาถามประวัติการรักษา เธอจึงตัดสินใจไปดูอาการหลังจากที่เขาแอ๊ดมิสไปได้สักพักแล้ว หลังจากนั้นเธอก็ไปเดินยืดเส้นยืดสาย และสูดอากาศในยามเย็นแล้ว ไม่บอกเธอก็พอจะเดาได้ว่าเข้าของพวกนี้เป็นของใคร เพราะระหว่างที่เดินขึ้นบนบ้านเธอก็เห็นรถเขาจอดไว้ด้านล่าง

“แล้วเขาไปไหนนะ” เธอได้แต่นึกสงสัย
“ผมรู้ว่าคุณไม่ค่อยมีเวลาไปหาซื้อข้าวของพวกนี้ ก็เลยซื้อมาให้เลย คุณน่าจะมีรถเอาไว้ใช้สักคันนะ แต่คุณหนูอย่างคุณไม่รู้ว่าขับเป็นหรือยัง เพราะเห็นไปไหนมาไหนก็ให้ลุงส่งพาไปตลอดเลย ถ้าขับไม่เป็น เอาไว้ถ้าว่าง ๆ ผมจะมาหัดขับให้คุณ จะได้ไปไหนมาไหนได้สะดวก” เขาบอกเธอขณะที่ร่างเดินออกมาจากในครัว เพราะเมื่อเช้าเขาสังเกตเห็นว่าบ้านเธอไม่มีข้าวของจำเป็นตั้งหลายอย่าง เขาก็เลยไปจัดหามาไว้ให้ หลังจากที่แวะไปดูยศที่โรงพยาบาลมาแล้ว

“ฉันไม่จำเป็นต้องใช้หรอกค่ะ ที่ทำงานอยู่แค่นี้เอง จะไปไหนก็ไปกับเพื่อน ๆ ที่เป็นหมอก็ได้ค่ะ แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปไหน ขอบคุณนะคะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ก็แล้วแต่คุณก็แล้วกัน...เอ่อ...ผมจะกลับบ้านวันนี้แล้ว คุณจะฝากอะไรถึงป้าสุขมั้ย” เขาถามเธออีกครั้ง “คงไม่มีค่ะ ฝากบอกป้าสุขว่าฉันอาจจะไปอบรมเร็ว ๆ นี้ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่” น้ำเสียงที่ราบเรียบดูห่างเหินของเธอ ทำให้เขานั้นต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“คุณจะย้ายกลับบ้านเมื่อไหร่ นี่ก็จะเกือบปีแล้วนะ ที่คุณย้ายมานี่ แล้วคุณกับหมอรวิทย์จะแต่งงานกันเมื่อไหร่” เขาถามในที่สุด
“ฉันคงจะอยู่ที่นี่อีกปีสองปีค่ะ ที่นี่ต้องการหมอมากกว่าที่โน่น ส่วนเรื่องแต่งงาน....ฉันกับรวิทย์ ตกลงกันว่าเราจะคุยกัน หลังจากที่ฉันย้ายกลับไปแล้ว” เธอตอบเขาโดยดี

“เขามาเยี่ยมคุณบ่อยมั้ย” เขาถามด้วยความอาทร
“ไม่ค่ะ ยังไม่เคยมา เพราะรวิทย์เพิ่งจะทำงานไม่ค่อยมีเวลามาค่ะ และอีกอย่างเราก็ห่างกันแบบนี้บ่อย ๆ แล้วคุณกับคุณแพรวหล่ะคะจะแต่งเมื่อไหร่ แล้วคุณสองคนจะอยู่ที่ไหนคะระหว่างเชียงรายกับปากช่อง หลังจากที่คุณแต่งงานแล้ว” เธอถามเขากลับเพราะรู้ดีว่า ไม่เพียงแต่ตัวเธอเองที่มีพันธะผูกพันธ์ หากแต่เป็นเขาเองต่างหาก ที่มีมาก่อนเธอเสียอีก

“ผมก็ไม่แน่ใจ เราคงจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะ คุณแพรวยังเหมือนเด็ก ๆ อยู่เลย ยังไม่ค่อยจะโตเท่าไหร่ คุณลุงกับคุณป้าก็คอยจะตามใจจนเคยตัว และก็ติดลูกมากด้วย ไม่รู้แต่งกันไปแล้ว ผมต้องย้ายไปอยู่ที่คุ้มตามคุณแพรวหรือเปล่า” เขาบอกตามความจริง

และนั่นคือสิ่งที่เขาไม่เคยนึกถึงเลย และมันก็คงจะเหมือนกับอีกหลาย ๆ เรื่อง ที่เขานึกไม่ถึง สำหรับว่าที่เจ้าสาว ที่จากแรกเริ่มที่เขาให้ความรักและเอ็นดูอย่างน้องสาว จนทำให้กิติกรรักเขาและก็ไม่ยอมปล่อยเขา แล้วส่วนเขาเองก็ไม่ปฏิเสธ
เพราะเธอนั้นก็งามพร้อม เขาเชื่อว่าเธอน่าจะทำให้เขารักเธอได้ไม่ยาก และเขาก็คงจะทำได้อย่างที่เขาคิดเอาไว้ หากเพียงไม่มีผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้

“ไม่ว่าคุณจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ตาม ฉันก็ขออวยพรให้คุณ กับคุณแพรวมีความสุขมาก ๆ นะคะ” เธอบอกเขาออกไปอย่างนั้น แล้วเธอก็อดคิดไปถึงคืนที่เขาเข้าไปอยู่ในห้องของกิติกรไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาออกมาจากห้องหรือว่าอยู่ในนั้นทั้งคืนกันแน่ แล้วก็ยังไม่รวมกับคำบอกรัก ที่เขาบอกคู่หมั้นต่อหน้าเธออีก
แค่นี้ดวงตาของเธอก็พร่ามัวไปด้วยน้ำตาที่มันพร้อมที่จะไหลออกมาให้เขาเห็น จนเธอนั้นต้องรีบหลบหน้าและเดินหนีเข้าห้องไป พร้อม ๆ กับปิดประตูเพราะไม่อยากให้เขาได้เห็นนั่นเอง แต่เขาก็วิ่งตามไปและใช้มือดันประตูเอาไว้ และตัวก็ตามเธอเข้าไปในห้องจนได้

“ความสุขของผม ไม่ได้อยู่ที่คุณแพรวนะวันวิวาห์” เขาบอกเธอไปในที่สุด พร้อมดวงตาที่ฉายแววเจ็บปวดยิ่งนัก เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่เรียบเฉยของเธอ ซึ่งได้แต่เงียบเหมือนไม่อยากรับรู้ในสิ่งที่เขากำลังจะสื่อสารให้เธอได้รู้ความนัย
“คุณจะให้ผมบอกมั้ย ว่ามันอยู่ที่ไหน และอยู่กับใคร” เขาบอกเธออีกครั้ง และมือทั้งสองข้างก็เอื้อมไปจับไหล่ของเธอเอาไว้

“ฉันไม่อยากรู้ค่ะ และถึงฉันจะรู้ไปมันก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เพราะมันสายเกินไปแล้วค่ะ ถ้าเปรียบเหมือนการผ่าตัดให้คนไข้ เวลานี้....ฉันก็คงกำลังยืนอยู่ในห้องผ่าตัด แล้วก็มีหน้าที่ ๆ จะต้องช่วยชีวิตคนไข้ที่อยู่ตรงหน้าให้เขามีชีวิตรอด ฉันจะหวั่นไหว ลังเล หรือล้มเลิกไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้น คนไข้ก็อาจจะเสียชีวิตได้ทุกวินาที คุณเข้าใจใช่มั้ยคะคุณชนะชล” เธอบอกเขาเหมือนต้องการจะสื่อให้เขาได้รับรู้ไม่แพ้กัน

“จริงเหรอวันวิวาห์ แต่ผมว่าหมออย่างคุณน่าจะวิ่งหนีคนไข้มากกว่า เหมือนที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้ไง คุณกำลังวิ่งหนีอะไรเหรอ หนีผม หนีความจริง หนีรวิทย์ หรือว่าหนีหัวใจตัวเองกันแน่ แล้วคุณคิดว่าคุณจะหนีมันพ้นเหรอ” เขาพูดเหมือนจะล่วงรู้ว่าเธอนั้นมีความรู้สึกยังไงกับเขา
“คนอย่างฉันไม่เคยหนีอะไรค่ะ ฉันพร้อมจะรับกับความจริงเสมอ ที่ฉันมาอยู่ที่นี่ ก็เพราะว่าฉันอยากจะมา ไม่ได้คิดที่จะหนีอะไร หรือหนีใครทั้งนั้น” เธอตอบเขากลับ แต่ดวงตานั้นพยายามหลบหนีการจับจ้องของเขา

“จริงเหรอ งั้นผมขอพิสูจน์หน่อยนะ ว่าปากกับใจคุณมันจะตรงกันมากน้อยแค่ไหน” สิ้นเสียงของเขา วงแขนก็รั้งเอวที่คอดกิ่ว เข้ามากอดเอาไว้ เพื่อสัมผัสกับร่างที่อบอุ่นของเธอ
แล้วไม่นานเรียวปากงามก็ถูกเขาประทับจูบลงไปอย่างตั้งใจ โดยที่หญิงสาวนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว “ปล่อยนะ ฉันบอกให้ปล่อย” เธอร้องและใช้มือทุบไปที่ไหล่ของเขา แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจกับคำร้องขอของเธอเลย หญิงสาวอยากจะดึงร่างให้ออกจากอ้อมกอดของเขา

แต่ในที่สุดเธอก็เปลี่ยนใจ เพราะรู้ดีว่าไม่อาจจะขัดขืนเขาได้ เพราะเธอรู้โดยสัญชาตญาณว่า ไม่มีวันจะห้ามเขาได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญเธอเองก็ไม่อาจจะห้ามหัวใจไม่ให้โหยหา สัมผัสจากเขาได้เช่นกัน ถึงแม้เธอจะบอกตัวเองอยู่เสมอมาว่า เขามีเจ้าของที่คอยจับจองเอาไว้แล้วก็ตาม

จากเรียวปากงาม จมูกก็เลื่อนมาสูดดมแก้มหอม ไล้ลงไปตามซอกคองาม มืออีกข้างถูกสั่งการให้ไปควานหาสัมผัสอันอ่อนละมุนจากทรวงอก ที่อวบอิ่ม และเต่งตึงอย่างตั้งใจ ชนะชลไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า การที่เขาได้อยู่ใกล้และสัมผัสเรือนกายของเธอนั้น ทำให้เขาสุขใจมากแค่ไหน
และเขาเองก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้ว่า เขาปรารถนาเธอมาตั้งแต่หนใด แต่เท่าที่เขารู้ก็คือ ทุกครั้งที่ไม่มีเธออยู่คฤหาสน์หลังงามนั้น มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ว่างเปล่า สำหรับเขาเหลือเกิน จนเขาเองแทบไม่อยากจะย่างกรายเข้าไปเยี่ยมเยือนมันอีกเลย

มือสองข้างถูกยกขึ้นมาโอบที่ต้นคอของเขาโดยที่เธอไม่รู้ตัว นิ้วเรียวงามยกขึ้นไปสัมผัสเรือนผมของเขา ที่ถูกตัดสั้นเอาไว้อย่างเรียบร้อย แล้วมันก็ทำให้เขาดูดีเหลือเกินในสายตาเธอ
หญิงสาวหลับตาพริ้มประหนึ่งจะจดจำ สัมผัสที่เขามอบให้ในครั้งนี้เอาไว้ ให้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำไว้นานเท่านาน จมูกโด่งของเขาละจากคองามระหง เลื่อนต่ำลงไปดูดดื่มกับเกสรทั้งสอง ที่บัดนี้ได้ถูกเขาปลดกระดุมออก พร้อมทั้งบราตัวน้อยที่ถูกปลดตะขอออกมาจากด้านหน้า ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเพ่งมองบัวคู่งามที่ชู่ช่อสลอน ประหนึ่งจะรอการดอมดมจากเขาก็ไม่ปาน

ร่างบางถูกแขนอีกข้างของเขา รั้งเข้ามาหาแผ่นอกกว้างของเขาอย่างตั้งใจ มืออีกข้างก็เคล้าคลึงอย่างสุขใจกับความอ่อนละมุนจากอกอิ่ม มือเธอเผลอเอื้อมไปโอบกอดแผ่นหลังของเขาอย่างลืมตัว ประหนึ่งไม่อยากจะให้เขาหลุดหายไปไหน

“อย่าค่ะ....อย่าค่ะ” เสียงห้ามปรามของเธอดังขึ้น เมื่อมือของเขาเลื่อนต่ำลงไปหากระโปรง ที่สั้นแค่เข่า และมันก็เป็นการเตือนสติเขาได้ดีทีเดียว เขาต้องจำใจหักห้ามความต้องการอันแรงกล้าที่มีต่อเธอเอาไว้แค่นั้น แต่แท้ที่จริงแล้วเขาช่างไม่อยากจะผละออกจากร่างเธอเลย แม้แต่วินาทีเดียว แต่เขาก็ต้องทำ เพื่อเป็นการให้เกียรติเธอ เพราะลำพังที่เขาทำอยู่ตอนนี้ ก็เป็นการรังแกเธอมากพออยู่แล้ว

หน้าผากที่มีแต่พองามถูกเขาประทับจูบลงไปอย่างนุ่มนวล หลังจากที่เขาจัดการติดกระดุมเสื้อให้เธออย่างรวดเร็ว
“คุณจะยอมรับกับผมได้หรือยัง ว่าคุณหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะหนีผม หรือหนีหัวใจคุณเอง” เขาไม่วายที่จะเตือนความจำเธอในเรื่องที่คุยค้างเอาไว้ และมันก็ทำให้เธอนึกขึ้นได้ และเห็นด้วยกับเขา

“ฉันไม่เคยหนีค่ะ คุณต่างหากที่หนีฉันไป” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้น สั่นเครือเต็มที จนเขารู้สึกใจหาย มันช่างเหมือนกับน้ำเสียงที่เธอพูดกับเขา เมื่อตอนที่เธอรู้ว่าต้องเสียพ่อ และทุกอย่างให้เขาไม่มีผิด นี่เขาทำร้ายเธอหรือนี่
“วา...ผมขอโทษ” เขาเรียกชื่อสั้น ๆ ของเธออย่างคนคุ้นเคยและเดินเข้ามาโอบกอดเธอเอาไว้อีกครั้ง ประหนึ่งจะเป็นการขอโทษและปลอบโยนเธอ กับความผิดที่เขาบังอาจไปหาพันธนาการมาจำกัดอิสระให้กับตัวเอง ด้วยการหมั้น ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็รู้ว่าหัวใจตัวเองนั้นอยู่ที่ใคร ไม่มีคำพูดใด ๆ จากวันวิวาห์ นอกจากน้ำตาที่หลั่งไหลออกมากับอกกว้างของเขา

“คุณกลับไปเถอะค่ะ....กลับไปหาคนที่เขาเป็นเจ้าของ ๆ คุณ เธอกำลังรอคุณอยู่ แล้วก็ขอบคุณนะคะ สำหรับข้าวของ ฉันคงจะอ้วนไปได้อีกเป็นเดือน ๆ ฝากบอกป้าสุขด้วยว่าฉันคิดถึง” เธอบอก พร้อมทั้งเอาตัวเองให้ออกจากอ้อมกอดของเขา แล้วก็หนีเข้าไปในห้องน้ำในที่สุด ทิ้งให้เขานั้นยืนทบทวนสิ่งต่าง ๆ คนเดียว ไม่นานประตูห้องที่เปิดแค่แง้ม ๆ เมื่อครั้งแรก ก็ถูกเขาเปิดอ้าออก และก็เดินลงบันไดไปหารถและขับหายไป

หญิงสาวเปิดประตูออกมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงรถของเขาขับออกไป “มันสายไปแล้วจริง ๆ ค่ะ คุณชนะชล” เธอพูดอยู่คนเดียว ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยหากแต่ก็เต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลรินออกมา พร้อม ๆ กับแววตาที่แฝงความเจ็บปวดเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจ







Create Date : 29 กันยายน 2551
Last Update : 29 กันยายน 2551 9:57:43 น. 0 comments
Counter : 474 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.