Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
16 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ชลวาห์กาล ๑ (ธัญรัตน์)




รถคันหรูหรา ใหม่เอี่ยม ราคาแพงลิบ ซึ่งบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของรถได้ดี ถูกเลี้ยวเข้าไปในเขตรั้วที่ถูกสร้างเอาไว้สูงลิบลิ่วราว ๆ สามเมตร ประหนึ่งกับมีเจตนาที่จะปกปิด หรือซุกซ่อนสิ่งที่อยู่ด้านในรั้วเอาไว้ ไม่ให้ผู้คนภายนอกที่ผ่านไปมาได้รู้เห็นอย่างจงใจ เมื่อรถที่วิ่งผ่านเขตรั้วเข้าไป โดยนายส่ง ชายสูงอายุ วัยห้าสิบกว่า ๆ ที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ประหนึ่งว่าเขาได้เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่ก็ไม่ปาน

ถนนซิเมนต์ขาวที่ถูกสร้างเอาไว้ ถูกล้อยางบดไปบนถนนอย่างช้า ๆ ราวกับคนขับ มีเจตนาให้หญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปีที่ นั่งอยู่ด้านหลัง ได้ค่อย ๆ ระลึกถึงความหลังครั้งก่อนเก่า ที่เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเคยได้อาศัยอาณาบริเวณนี้ สายตาคู่งามเหม่อมองออกไปทางหน้าต่างรถ สนามหญ้า และต้นไม้นานาพันธุ์ ดูเหมือนจะยังคงอยู่ครบเหมือนเดิมแทบทั้งสิ้น ในความรู้สึกของหญิงสาว

หากจะเปลี่ยนไปในสายตาเธอ ก็คงจะมีแค่ตรงที่บัดนี้ มันได้เติบโต และพากันยื่นลำต้นให้สูงขึ้น เพื่อใบจะได้ไปรับกับแสงแดด เอามาหล่อเลี้ยงให้ตัวมันเองเติบโตขึ้น ตามวาระเวลาของกฏเกณฑ์แห่งธรรมชาตินั่นเอง

บึงน้ำที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อเลียนแบบธรรมชาติ ถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดกว้างใหญ่ กินอาณาบริเวณค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้สนามหญ้าที่เขียวขจีที่อยู่ล้อมรอบบึงไว้ มีพื้นที่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย.....ดอกบัวหลากหลายพันธุ์ ที่พร้อมใจกันชูช่อสลอนอยู่เต็มบึง บางดอกก็กำลังชูช่อที่ตูมปริ่มน้ำ บางดอกก็ชู่ช่อที่บานเบ่งเพื่อต้อนรับกับแสงของอรุณรุ่ง เผยให้เห็นสีสดใสสวยงามของกลีบดอก และเกสรที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายใน เมื่อยามที่อาทิตย์อับแสงของวันวาน

หญิงสาวสามารถจินตนาการภาพของหมู่ภมร ที่ต่างก็พากันโบกโบยบินมาดอมดม และดูดดื่มความหอมหวานจากเกสรมันได้โดยไม่ยาก ด้วยเพราะภาพเหล่านี้ เป็นภาพที่เธอชินตามาตั้งแต่วัยเด็กนั่นเอง.....รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าเนียน เมื่อมองไปเห็นใบบัว ที่ลอยใบอยู่เหนือน้ำแผ่ก้านใบออกไป เพื่ออวดอ้างความกว้างใหญ่ของมัน ให้ผู้ที่ได้พบเห็นได้ตะลึงกับความสวยงาม และพื้นที่ของบึง ก็ถูกใบบัวพวกนี้จับจองอาณาบริเวณแทบจะเต็ม

เรือพายลำกระทัดรัดที่เธอคุ้นตา ยังคงถูกผูกเอาไว้ที่สะพานไม้ ที่ถูกสร้างไว้จากริมบึงยื่นเข้าไปในน้ำราวสองเมตรกว่า ๆ สภาพของมันดูจากระยะห่างที่นั่งไปในรถที่ค่อย ๆ แล่นอยู่นั้น ยังคงแข็งแรง พร้อมที่จะทำหน้าที่รับน้ำหนักตัวเธอได้อีก โดยไม่หวาดหวั่น ใบหน้าที่เรียบขรึมเผยยิ้มออกมาอีกครั้ง อย่างสุขใจยิ่ง เมื่อนึกถึงครั้งที่มีร่างหนูน้อย ที่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บดอกบัวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยมีหนุ่มน้อยอีกคน ที่คอยพายเรือให้ แล้วก็บังคับให้เรือไปในทิศทางต่าง ๆ ตามแต่คำสั่งการของเด็กหญิง เพื่อเก็บเอาดอกบัว ให้เธอด้วยความเต็มใจ
ประตูทึบบานเล็กทำด้วยไม้ที่เคยมีอยู่ตรงข้างกำแพง ยังคงมีไว้เหมือนเมื่อก่อน ในที่สุดรถหรูก็ได้สิ้นสุดการแล่นจากทางที่ลาดยาว เอาไว้ที่ตรงหน้าคฤหาสน์หลังงาม ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในเนื้อที่นับสิบ ๆ ไร่ ในเขตอำเภอปากช่อง
หญิงสาวก้าวลงมาจากรถ โดยมีนายส่งคนรถที่รีบกุลีกุจอ ลงมาเปิดประตูให้เธอด้วยความนอบน้อม และด้วยสีหน้าที่ปีติยิ่ง กับการกลับมาของเจ้านายสาว เขามองดูแล้วยิ้มให้กับเจ้าของใบหน้าที่สวยได้รูป ผมดำยาวสลวยไปถึงกลางหลัง ที่ถูกรวบเอาไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย ดวงตากลมโตดำขำถูกปกปิดเอาไว้ด้วยแว่นสายตา ที่ถูกจัดสรรมาให้เข้ากับใบหน้าเรียวรูปไข่ และมันก็เป็นเครื่องช่วยทำให้เจ้านายสาวของนายส่งนั้น ดูน่าเกรงขามเหลือเกิน เมื่อยามได้สวมใส่สิ่งนี้เอาไว้
เรียวขายาวที่ถูกปกปิดเอาไว้ด้วยกางเกงยีนส์ ก้าวลงจากรถ นำพารูปร่างที่ผอมบาง สูงโปร่ง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เมื่อหันไปหาผู้ที่เอื้ออาทรเปิดประตูให้กับเธอ ด้วยความอ่อนโอน
หญิงสาวยืนมองสถานที่ ๆ เธอจากไปนานนับสิบปี โดยที่เธอไม่ได้กลับมาเยี่ยมอีกเลย เหตุผลไม่ใช่เพียงเพราะเธอไม่ว่าง จนไม่มีเวลาที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านเพียงสักครั้งสองครั้งเลย แต่หากเป็นเพียงเพราะ ผู้ที่อาศัยอยู่บ้านหลังนี้ต่างหาก ที่แทบจะไม่ได้สนใจ หรืออยากจะเห็นการกลับมาเยี่ยมเยือนของเธอเลยต่างหาก รอยยิ้มแห่งความดีใจค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้า เมื่อความคิดนั้นหวนไปนึกถึงเรื่องเมื่อในอดีต
“พ่อคงจะดีใจที่เธอไปเรียนในที่ ๆ ไกลหู ไกลตาเสียที”
นั่นคือประโยคที่เธอเก็บเอาไว้ในใจเสมอมา และเธอยังจำได้ว่าแทบจะทุก ๆ ครั้งที่บิดากับมารดาทะเลาะกัน ด้วยมีเธอนั้นเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง
“เพราะแกคนเดียวเลย แม่แกเขาถึงไม่อยากจะอยู่บ้าน”
และนั่นคือคำพูดของบิดา เมื่อเวลาที่โมโหขึ้นมา แล้วในยามนี้หล่ะ ยามที่ไม่มีเธออยู่บ้าน บิดาเธอก็คงจะโล่งใจเต็มที เพราะตลอดเวลาที่เธอเรียนอยู่ที่นั่น การสื่อสารระหว่างพ่อกับลูกที่พึงจะเป็นนั้น มันช่างมีน้อยเต็มทีกับพ่อลูกคู่นี้ กว่าโทรศัพท์จะถูกใช้เป็นเครื่องสื่อสารกันในแต่ละครั้งก็ดูจะนานเต็มที และยิ่งในระยะเวลาสองปีให้หลัง ก่อนที่เธอจะกลับมานี้ เธอแทบจะไม่ได้ยินเสียงบิดาเลยด้วยซ้ำ
“คุณผู้ชายไม่อยู่ค่ะคุณวา”
เสียงของสุข หรือไม่ก็ดวงแข ซึ่งเป็นแม่บ้านและเป็นคนเก่าแก่ที่นี่ ได้บอกเล่าให้เธอฟังไปตามสาย เมื่อเวลาที่เธอเป็นฝ่ายลดทิฐิ ยอมโทรมาหาและสอบถามสารทุกข์สุกดิบก่อน แต่บิดาก็ไม่มีเวลาว่างสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากปู่อันเป็นที่รักยิ่ง และเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอยังอยู่ เธอก็คงจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว ปู่คงจะเฝ้านับวัน เวลา และรอคอยการกลับมาของเธออย่างใจจดใจจ่อ แล้วเมื่อนำมาเปรียบกับผู้เป็นบิดา มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
ตลอดระยะเวลาที่เธอไม่อยู่บ้าน ความเป็นพ่อของสุเมธ ได้แสดงออกมา เพียงแค่การส่งเงินไปให้เธอใช้อย่างสบาย โดยไม่ขาดมือเท่านั้น
“แล้วเธอจะหวังอะไรจากพ่ออีก....วันวิวาห์ ก็ในเมื่อเธอไม่ใช่ลูกที่พ่อและแม่รัก เหมือนกับยายตา” หญิงสาวคิดแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ กับชะตาชีวิตของตัวเองไม่ได้ ที่เกิดมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมาย จนใคร ๆ ในละแวกนี้ต้องอิจฉาไปตาม ๆ กัน
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เธอนั้นยังขาดซึ่งความรักและความอบอุ่นจากผู้ที่ให้กำเนิด ซึ่งตลอดเวลาตั้งแต่เธอจำความได้ เธอแทบจะไม่เคยปฏิบัติตัวออกนอกลู่นอกทางเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เธอกลับพยายามทำให้ผู้เป็นปู่ ให้พ่อและแม่ได้ภูมิใจไม่มีว่างเว้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การวางตัว กิริยามารยาท ที่สงบ เสงี่ยม เรียบร้อย ความรู้จักโต รู้จักกาลเทศะ และเรื่องอื่น ๆ ที่ลูกพึงจะกระทำมิให้เสื่อมเสียไปยังผู้ให้กำเนิด แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้เป็นพ่อกับแม่ รักและเอ็นดูเธอมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย หรือแม้แต่ให้ความรู้สึกที่พิเศษ ๆ ให้มากกว่าฐานะคนในบ้าน เธอก็ไม่เคยได้รับมันเลย.....หรือหากแม้มีใครจะมาบอก ว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อกับแม่ แต่กลับเป็นลูกเด็กรับใช้ หรือเด็กที่ถูกขอมาเลี้ยง เธอก็คงอยากจะเชื่อเหลือเกิน แต่มันก็ไม่ใช่ และนั่นคือสิ่งที่เธอผิดหวังมาโดยตลอด
ดวงตาคู่งามมองกวาดไปดูรอบ ๆ ภายนอกของคฤหาสน์ ที่ยังคงถูกสีขาวบริสุทธิ์ฉาบเอาไว้ เหมือนเมื่อก่อน ๆ ที่เธอจะจากไป ไม้ดอกไม้ประดับรอบ ๆ ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม เธอจำได้ว่าวันที่เธอจากที่นี่ไป สภาพบ้านยังไม่สวยเท่านี้เลย
แต่วันนี้ดูช่างสวยงามเหลือเกิน และมันก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นยิ่งนัก สำหรับคนที่ได้พบเห็น แต่มันค่อนข้างจะตรงกันข้าม กับใบหน้างามในยามนี้เหลือเกิน แววตาของเธอนั้น ดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้นึกถึงเรื่องราวความหลังที่เกิดขึ้น ภายในอัครสถานอันโอ่อ่าหลังนี้
“ยายวา.....ก็เป็นลูกแกเหมือน ๆ กับยายตานะเจ้าเมธ แกอย่าลืมสิ แล้วแกจะจงเกลียดจงชังลูกไปถึงไหนกัน ให้ความอบอุ่นกับลูกบ้าง หรือไม่ก็สงสารยายวาบ้าง....อะไรกันวัน ๆ เอาแต่ดุด่าลูก”

ผู้เป็นปู่มองร่างหลานสาวที่วิ่งผ่านหน้าเขาไป เพื่อจะหนีขึ้นชั้นบนด้วยความเสียใจ.....ไม่นานกุศล....ชายวัยเจ็ดสิบเก้าปี ก็ถูกนายส่งประคองให้เดินมาในห้องโถงที่มีสุเมธ ผู้เป็นบุตรชายนั่งดื่มอยู่ กุศลต่อว่าบุตรชาย ที่วัน ๆ เอาแต่ดื่มจัด หลังจากเสร็จสิ้นจากงานประจำ และก็จะคอยดุด่าหนูน้อยที่มีวัยแค่แปดขวบ ที่แทบจะหาความผิดไม่ได้เลยในสายตาของผู้เป็นปู่ หากแต่พ่อก็จะหาเรื่องดุได้ไม่เว้นแต่ละวัน

“ขอบใจมากนายส่ง จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ฉันจะคุยกับเจ้าเมธมันก่อน แล้วมีอะไรฉันจะเรียก” กุศลผู้ที่เมื่อก่อนนั้น ทั้งแข็งแรง และเก่งการงานทุกอย่างในสายตานายส่ง ที่อยู่กับเขามานาน แต่ในเวลานี้ เขาแก่ชราแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเดินเหินเองได้แล้ว จนนายส่งต้องคอยมาให้การปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด นายส่งก้มหัวให้ผู้เป็นนายด้วยความนอบน้อม แล้วก็เดินออกไปจากห้องโถงอย่างสุภาพ
“คุณพ่อ.....ผมจะสั่งสอนลูกผมบ้าง ไม่ได้เลยเหรอครับ ทำไมคุณพ่อต้องคอยมาให้ท้ายยายวาทุกครั้งเลย คุณพ่อรู้มั้ยว่าทุกวันนี้ ยายวาหน่ะ....จะรักคุณพ่อมากกว่ารักผมซะอีก” เขาตัดพ้อผู้เป็นบิดา และก็ยกแก้วเหล้าเทรวดเดียวเข้าปาก
“เด็กหนะ....ใครดีกับมัน ๆ ก็รักเป็นธรรมดา” เขาบอกลูกชายพร้อม ๆ กับทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามเขา และส่ายหน้าอย่างผิดหวังกับอาการที่เมามายของลูกชาย นี่ถ้าเขาย้อนเวลาไปได้ เขาก็อยากจะทำอะไร ๆ ให้มันถูกต้องเสียจริง ๆ เขาจะไม่มีวันที่จะตามใจลูกชาย ที่เอาแต่ใจตัวเองแม้แต่น้อย ก็ไม่เพราะความใจอ่อนของเขานี่หรอกหรือ ที่ทำให้อะไร ๆ มันยุ่งยากไปเสียหมด

ด้วยเมื่อหลายปีมาแล้ว สุเมธเคยขอร้องให้ผู้เป็นพ่อ ช่วยไปสู่ขอหญิงสาวที่เขารักให้....นั่นก็คือ กัมลา ผู้ที่เป็นมารดาของวันวิวาห์ และดุสิตาผู้เป็นน้องในเวลานี้นั่นเอง....กุศลเคยใช้อำนาจเงิน ไปเป็นเครื่องต่อรองในการขอสะใภ้ให้บุตรชาย
เมื่อเขาถูกทางผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงบอกปฏิเสธไปในครั้งแรก ที่เขาไปทาบทาม โดยบิดาของกัมลาให้เหตุผลว่า ลูกสาวมีคนรักอยู่แล้ว นั่นก็คือ นิพนธ์ ยังความเสียใจให้บุตรชายเขายิ่งนัก เมื่อได้รับรู้ในครั้งแรก
แต่จนแล้วจนรอด กุศลก็ได้กัมลามาให้บุตรชายสมใจ เมื่อเงินเข้าไปมีบทบาทต่อครอบครัวที่ยากจนของกัมลา ในสายตาของเขาแล้วกัมลานั้น ไม่ได้ปลื้มบุตรชายเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็จำเป็นต้องอยู่กินกันมานานนับสิบปี แต่ชีวิตคู่ของทั้งสองก็กระท่อนกระแท่นเหลือเกิน
ด้วยกัมลากับดุสิตาลูกคนเล็ก.....วัน ๆ แทบจะไม่เคยอยู่ติดบ้าน เอาแต่ไปขลุกอยู่ที่บ้านของผู้เป็นพ่อและแม่ มากกว่าจะอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้ แต่ในความรู้สึกของกุศล ก็ยังพอปลื้มลูกสะใภ้อยู่บ้าง ตรงที่เธอยังคงทำหน้าที่เป็นสะใภ้ที่ดี โดยการให้เกียรติเขา และดูแลเขาเป็นอย่างดี
หรืออาจจะเป็นเพราะแววตาที่ดูมีความปราณี พร้อม ๆ กับความรู้สึกผิด ที่กุศลมีให้ต่อเธอนั่นเอง แต่ยังไงกัมลาก็มีความบกพร่องอยู่ นั่นก็คือ เธอแทบจะไม่ได้รักวันวิวาห์ ลูกสาวคนโตเลยแม้แต่น้อย ซึ่งกุศลเองก็รู้เหตุผลดี และก็พอ ๆ กับสุเมธ ที่รักลูกสาวคนโตน้อยกว่าคนเล็ก จนทุกคนในบ้านหลังนี้รู้ดี
“คุณพ่อก็พูดอย่างนี้ทั้งปี ผมเบื่อที่จะฟังแล้ว ถ้าในความคิดของคุณพ่อ คิดว่าผมไม่ได้รักยายวา แล้วผมจะไปรักใครได้อีกครับ ก็ในเมื่อยายวา.....เป็นลูกของผมเหมือนกันนะครับ ถึงแม้ว่า...เอ่อ...” เขาพูดได้แค่นั้น แล้วก็หยุดเอาไว้ให้เป็นที่รู้กัน ระหว่างพ่อลูก
“เอาหล่ะ ๆ ฉันขี้เกียจจะเถียงกับแก แล้วนี่เมียแกกับยายตาไปอยู่บ้านพ่อเขาอีกตามเคยหล่ะสิท่า ทำไมแกปล่อยให้เมียไปขลุกอยู่แต่ที่นั่น ฉันไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย” เขาบ่น
“คุณพ่อยังไม่ชินอีกหรือครับ ตั้งแต่แต่งงานกันมา เขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่แต่แรกแล้วนี่ครับ ผมเองต่างหาก ที่ดึงดันเอาเขามาอยู่ที่นี่ด้วย....ปล่อยเขาไปเถอะครับคุณพ่อ ผมน่าจะรู้ตั้งนานแล้ว ว่าระหว่างผมกับเขา เราคงจะหาความสุขในชีวิตคู่ไม่ได้อีกแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง แล้วมันก็ไม่แพ้กับผู้เป็นพ่อเลย เพราะสุเมธเริ่มจะชาชินกับความห่างเหิน ที่ภรรยายที่เขารักนักรักหนามอบให้ แทบจะตั้งแต่ที่เขา ได้เธอมาเป็นภรรยาก็ว่าได้
กัมลาแทบจะไม่เคยลืมผู้ชายที่เธอรักเลย แม้แต่วินาทีเดียว ถึงแม้ว่าสุเมธจะพยายามทำดีกับเธอมากแค่ไหนก็ตาม แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะไปรั้งเธอเอาไว้
สำหรับความรู้สึกของสุเมธที่มีต่อเธอในเวลานี้ เขามีแต่แววตาที่เคียดแค้น ที่เข้ามาแทนความรักที่เคยให้ไว้ เพราะเรื่องที่เขาได้รับรู้มาจากพิธานเพื่อนรัก ที่บังเอิญไปพบภรรยาของเขากับใครคนหนึ่ง ที่เพื่อนเขาไม่รู้จัก ทั้งคู่ได้นัดแนะกันไปพักผ่อนที่ทะเลอย่างสุขใจ
แต่สุเมธเองก็ยังไม่อยากที่จะปักใจเชื่ออะไร หากไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเอง แต่เขาค่อนข้างจะมั่นใจ เพราะเพื่อนเขาก็ไม่เคยเอาเรื่องที่ไม่จริง มาบอกเขาเลยตั้งแต่คบกันมา
“แกมันก็คิดซะแบบนี้ เมียมันถึงไม่อยากจะอยู่บ้าน อยู่ช่อง ถ้าเมื่อก่อนแกฟังคำฉันสักนิด ครอบครัวมันก็คงจะไม่เป็นแบบนี้หรอก โบราณเขาว่าไว้ ว่าอย่ารักคนที่เรารักเขา ให้รักคนที่เขารักเรา แกก็ไม่เชื่อฉัน แล้วเป็นยังไงหล่ะทีนี้ มานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า” ผู้เป็นบิดาบ่นลูกชาย ที่เอาแต่นั่งดื่ม จนไม่ได้สนใจอะไรเลย
“พอเถอะครับคุณพ่อ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว มาพูดตอนนี้มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วหล่ะครับ....ว่าแต่ทำไมวันนี้คุณพ่อลุกมาเดินเหินอีกหล่ะครับ หมอบอกให้คุณพ่อพักผ่อนมาก ๆ ไม่ใช่เหรอครับ” เขาอดห่วงบิดาไม่ได้ เพราะด้วยวัยที่แก่ชราและก็ถูกโรคร้ายคอยรุมเร้า จนมีอาการสามวันดี สี่วันไข้
“ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก ฉันไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก เพราะฉันห่วงยายวา นี่ถ้าสิ้นบุญฉันแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ไม่เอาแล้ว ฉันขี้เกียจเถียงกับแก.....เจ้าส่ง ๆ เจ้าส่งเอ้ย....มาพาฉันไปเอนหลังหน่อยเถอะ...เจ้าส่งเอ้ย” เขาไม่วายที่จะบ่นลูกชายทิ้งท้าย ก่อนที่จะเรียกคนใกล้ชิด



หนูน้อยที่นั่งซุกหน้าไว้เข่ากับอยู่ที่ริมบึงเพียงลำพัง.....ครั้นเมื่อนึกถึงคำดุด่าของบิดาและมารดา ก็อดที่จะน้ำตาไหลออกมาไม่ได้ พร้อมกับคำถามที่ว่า......ทำไม ทั้งพ่อ และแม่ถึงได้รักและเอ็นดูเธอ น้อยกว่าน้องยิ่งนัก ทำไม ไม่ว่าเธอทำอะไร ก็จะไม่ถูกหูถูกตาผู้เป็นพ่อแม่ ไปซะทั้งหมด
คงจะมีเพียงปู่ กับบรรดาคนรับใช้คนเก่าคนแก่ที่อยู่คฤหาสน์หลังนี้มานาน ๆ เท่านั้น ที่ดูเหมือนว่าจะให้ความรักเธอ ทดแทนสิ่งที่พ่อแม่ให้เธอไม่ได้ คงด้วยเพราะคนเหล่านี้ อยู่กับปู่เธอมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม เป็นสาว กระมัง พวกเขาจึงได้เห็นความเป็นมา ของคนในบ้านนี้และเข้าใจอะไร ต่อมิอะไรได้ดี
แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะตำหนิติติงใครเลย และก็ยังคงปักหลักอยู่กับปู่เธอมาด้วยความจงรักภักดีมาโดยตลอด ด้วยเพราะ กุศลนั้นได้สานต่อเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ซึ่งก็คือพวกเขาจะเลี้ยงคนที่ใจ ไม่เคยแล้งน้ำใจกับผู้ที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกันเลย ซึ่งเขาเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำก็ได้ ด้วยเพราะเขามีฐานะร่ำรวย เพราะมีมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษมาเป็นรุ่น คงจะมีคนไม่น้อยที่อยากจะมาพึ่งใบบุญเขา ไม่ว่าจะเลี้ยงคนเหล่านั้นดีหรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็ยังคงรักษาความดีนี้เอาไว้ตลอดมา
แม้เขาจะร่ำรวย แต่กระนั้นเขาเองก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เขาขยันสร้างความร่ำรวยให้ครอบครัว ซึ่งทำให้มีฐานะการเงินที่มั่นคงยิ่งขึ้น จากธุรกิจต่าง ๆ ที่สานต่อมาเป็นรุ่น ๆ กุศลรักคฤหาสน์หลังนี้มาก เพราะมันเป็นรังรักของปู่ทวดและย่าทวด จนตกมาเป็นสมบัติของเขาและภรรยาในรุ่นต่อมา และมันก็กำลังจะตกมาเป็นของสุเมธกับภรรยาในอีกไม่ช้า
แต่เด็กน้อยที่นั่งเศร้าอยู่ตรงนี้ ก็ไม่ได้มีสีหน้าที่ปลื้มกับทรัพย์สมบัติ ที่บิดากำลังจะได้มาเลยแม้แต่น้อย ด้วยเพราะบิดาของเธอนั้น ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากปู่มาก สุเมธจะเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อน เป็นคนผูกใจเจ็บ ใครทำอะไรให้ ก็จะต้องทำให้เจ็บกลับเป็นสองเท่า
เพราะเหตุนี้เองกระมัง ถึงทำให้เขาและภรรยามักจะมีเรื่องขัดแย้ง และทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ และก็ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ผู้เป็นแม่ก็จะหอบเอาดุสิตา น้องสาวคนเดียวของเธอกลับไปอยู่บ้านของตาเสมอ แต่แม่ไม่เคยพาเธอไปเลยสักครั้งเดียว
“วา....แอบมาร้องไห้ตรงนี้อีกแล้วนะ สงสัยจะโดนคุณลุงดุมาอีกหล่ะสิท่า” เสียงหนุ่มน้อย ที่มีแววตาที่ดูจะสดใสอยู่ตลอดเวลาดังมาจากด้านหลัง แล้วก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ หนุ่มน้อยในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น พร้อมทั้งหมวกแก็ปที่สวมไว้บนศีรษะ กับรองเท้าผ้าใบคู่โปรด
“...วิทย์...” หนูน้อยเงยหน้าไปหาเจ้าของเสียง
“หยุดร้องได้แล้วหล่ะ ...ไป....วันนี้เราขี่จักรยานไปเล่นบนโน้นกันดีกว่า” เขาพูดและก็ชี้มือไปสนามหญ้าที่กว้างใหญ่ และเขียวขจีอยู่ทั่วอาณาบริเวณอย่างสวยงาม แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอ
“หรือว่าจะพายเรือไปเก็บดอกบัวอีก แต่วันนี้.....วา....ต้องพายเองนะ วิทย์ไม่พายแล้ว เมื่อวานแขนยังไม่หายระบมเลย” เขาบอกอีก
“เราไม่อยากจะไปไหนทั้งนั้นหล่ะวิทย์ มีอย่างอื่นให้ทำอีกมั้ย ที่ไม่ใช่สองอย่างนี้หน่ะ.... เราเบื่อเต็มทีแล้ว” เธอเอ่ยขึ้น “งั้น.....ไปบ้านเรากันดีมั้ย วันนี้แม่ทำขนมตาลด้วย ของโปรดวาไม่ใช่เหรอ แม่บอกว่าถ้าวาไม่ไปกิน จะให้เรายกมาให้....งั้นก็ไปเถอะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว” เขาพูด
“งั้นก็ได้.... แต่เราไม่ได้เห็นแก่กินนะ เราเบื่อไม่อยากจะอยู่บ้าน...ไปกันเถอะ” เด็กหญิงรับข้อเสนอ
“แต่ต้องไปขออนุญาตคุณปู่ก่อน” รวิทย์บอกเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกวิทย์ ถ้าปู่ไม่เห็นเราสองคนเล่นอยู่ตรงนี้ ก็แปลว่าเราอยู่บ้านนายนั่นหล่ะ อีกไม่นาน ป้าแขก็คงจะไปตามเราเอง....ไปเถอะ”
ว่าแล้วหนูน้อยก็จูงมือเด็กชายวิ่งลัดสนามหญ้า มุ่งหน้าตรงไปที่ด้านข้างรั้ว ที่ทำประตูทึบเล็ก ๆ เอาไว้ และมันก็เป็นสื่อสัมพันธ์ระหว่างกุศล กับบรรพบุรุษของนายบรรจง และพุดซ้อน ผู้เป็นพ่อแม่ของรวิทย์มานานนับสิบ ๆ ปี เพื่อใช้ไปมาหาสู่กัน และยื่นไมตรีที่ดีต่อกัน ผ่านอาหารหวาน คาวที่ต่างฝ่ายก็ผลัดกันแบ่งปันมาให้กันและกันมานาน
และดูเหมือนว่าทั้งวันวิวาห์ และรวิทย์ ก็คงจะสานต่อความสัมพันธ์ของตระกูลเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นเพื่อนเล่นกันมานาน ตั้งแต่จำความได้แล้ว เพราะพวกเขาเกิดในวันเดียวกัน และปีเดียวกัน พอโตมาก็ได้เรียนที่เดียวกันอีกด้วย
แต่จะต่างกันก็ตรงที่ ฐานะของคุณกุศลนั้นร่ำรวยกว่าบรรจงและพุดซ้อนมาก แต่ว่าครอบครัวของเขาและภรรยา กลับมีความอบอุ่นกว่า และมันก็ทำให้รวิทย์นั้น ดูจะเป็นเด็กที่อารมณ์ดี ไม่ค่อยจะมีเรื่องให้เครียดเลยแม้แต่น้อย แต่ตรงกันข้ามกับวันวิวาห์ ที่เป็นคนค่อนข้างจะเงียบขรึม คร่ำเคร่งกับตำหรับ ตำรา และก็เรียนได้ที่หนึ่งแทบทุกปี
เธอฝันอยากจะเป็นหมอ จะได้มารักษาคุณปู่ให้หาย จะได้ไม่ต้องจากเธอไปไหน นั่นคือความคิดของเด็กน้อยผู้นี้ ส่วนรวิทย์นั้น ก็อยากจะเป็นหมอตามวันวิวาห์ไปด้วย แต่การเรียนนั้นไม่เก่งเท่าวันวิวาห์ แค่ปานกลางแต่ก็ค่อนไปทางดี เพราะเขาจะขยันอ่านหนังสือ และบางครั้งก็ต้องให้พ่อแม่ช่วยติวให้บ้าง เลยพลอยทำให้วันวิวาห์ ได้รับอานิสงค์ส่วนนี้จากครูบรรจงและครูพุดซ้อนไปในตัวด้วย
“พอเรียนจบ ป. หก แม่กับพ่อ จะให้เราไปเรียนหมอที่เมืองนอกนะ แล้วคุณปู่จะส่งวาไปมั้ย” เขาถามเธอ ขณะเดินจูงมือกันเดินไปตามสนามหญ้า ในบริเวณบ้านของเขา ถึงแม้ฐานะของบรรจงจะไม่ดีเท่ากุศล แต่เขาก็จัดว่าร่ำรวยกว่าหลาย ๆ ครอบครัวในละแวกนี้
“ไม่รู้สิ ไม่เห็นคุณปู่ว่ายังไง แต่ถ้าไม่ได้ไป วาก็จะสอบให้ติดแพทย์ที่บ้านเราให้จนได้นั่นแหละ....นายก็รู้ว่าเราอยากจะเป็นหมอมากแค่ไหน” เธอบอก
“พอเราได้เป็นหมอแล้ว กลับมาจากเมืองนอก เราจะให้พ่อแม่มาขอวานะ วาสัญญากับเราเอาไว้แล้วนะ ว่าเราจะแต่งงานกันตอนเราโตขึ้น” หนุ่มน้อยพูดไปโดยไม่ได้คิดอะไร เพราะนั่นคือคำสัญญาของเด็กทั้งสอง ที่ตกลงกันเอาไว้ตามประสา เพราะรวิทย์ไม่อยากจะเห็นวันวิวาห์ถูกพ่อแม่ดุอีกแล้ว จึงอยากจะเป็นคนคอยปกป้องเธอ
“นายอย่าเอาแฟนแหม่มมาก็แล้วกัน เวลากลับมาหน่ะ” เธอบอกไปโดยไม่ได้คิดอะไรเช่นกัน “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า วิทย์จะไม่ทิ้งวาหรอก ถ้าวาแต่งงานกับวิทย์แล้วนะ เราจะไม่ยอมให้คุณลุงกับคุณป้าดุวาเลย ไม่เชื่อคอยดูสิ” เขารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“ตกลงเราจะรอดูนายก็แล้วกันนะ แล้วอย่าลืมสัญญาหล่ะ.....เราวิ่งแข่งกันไหมวิทย์ ใครจะถึงบ้านนายก่อนกัน” เธอบอก และก็ท้าเขา พร้อมทั้งรีบออกวิ่งนำหน้าไปก่อน เพราะรู้ดีว่ารวิทย์นั้น ต่อให้เธอวิ่งนำหน้าไปไกลแค่ไหน เขาก็จะเป็นฝ่ายชนะเธออยู่ดี “ได้เลย” เขารับคำท้าและก็วิ่งตามเธอไปติด ๆ








 

Create Date : 16 กันยายน 2551
12 comments
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 10:31:17 น.
Counter : 503 Pageviews.

 

นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ แล้วจะตามอ่านค่ะ

 

โดย: น้องค่ะ (หนึ่งมณี ) 16 กันยายน 2551 10:59:12 น.  

 

แนะนำให้คุณน้องรีบ ๆ ค่ะ
เพราะสนุกอย่าบอกใครเลยนะคะ

และเรื่องนี้เป็นเวอร์ชั่น rewrite ด้วยค่ะ
รับรองว่ายังไม่มีใครได้อ่านก่อนคุณแน่ ๆ

อ้อ ลืมไปค่ะ ยินดีต้อนรับสู่กระท่อมน้อยนะคะ

 

โดย: ธัญรัตน์ IP: 202.149.25.225 16 กันยายน 2551 11:05:38 น.  

 

สวัสดีคะ
เรื่องนี้ไม่เคยอ่านเลยค่ะ เดี่ยวตามอ่านนะค่ะ

 

โดย: LOVE IP: 203.170.131.11 16 กันยายน 2551 12:26:27 น.  

 

อ้าว...จริงเหรอคะ

คิดว่าคุณ Love เคยอ่านแล้วซะอีก

ขอบอกว่าซึ้ง เศร้า เหงา เคล้าน้ำตาค่ะ

เตรียมทิชชู่ไว้ด้วยนะคะ

 

โดย: ธัญรัตน์ IP: 202.149.25.235 16 กันยายน 2551 14:50:11 น.  

 

เอ่ะไม่แน่ใจค่ะ คุ้นๆ สงสัยตอนที่ได้อ่านไม่ได้อ่านช่วงแรกแน่ๆ อาจจะเป็นช่วงตั้งแต่กลางๆ ไป

อ่านเยอะจนลืม

 

โดย: LOVE IP: 203.170.131.11 16 กันยายน 2551 19:09:19 น.  

 

เข้ามาเจอเรื่องใหม่ เดี๋ยวมาตามอ่านนะคะ เรื่องนี้เคยลงจบไปแล้วเหรอคะ นิยายคุณธัญเพิ่งได้อ่านก็เรื่องหนูข้าวเรื่องเดียวเองคะ แต่เคยเห็นลงรอยอาญาในเว็บพี่ตาด้วยแต่ตอนนั้นไม่กล้าอ่านเพราะกลัวคำล่ำลือว่ามันเศร้าอ่า...

 

โดย: keng IP: 202.149.25.234 16 กันยายน 2551 20:29:21 น.  

 

เชื่อว่าคุณLove อ่านเยอะจริง ๆ ค่ะ

คุณKeng ไม่รู้ว่าใครไปปล่อยข่าวคะ
ว่านิยายของดิฉันเศร้า ขอบอกว่า
อย่าไปชื่อคำล่ำลือ จนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองนะคะ

แต่แนะนำให้ไปหาอ่านเรื่อง ฐานันดร ก่อน
แล้วค่อยมาอ่านเรื่องนี้นะคะ

 

โดย: ธัญรัตน์ IP: 202.149.25.236 16 กันยายน 2551 22:47:48 น.  

 

เหมือนเคยอ่านเเล้วเลยค่ะ
คุ้นๆ เเต่นึกไมออกว่าที่ไหนละค่ะ

 

โดย: fordear 17 กันยายน 2551 10:16:02 น.  

 

ในพันทิพ ยาหยี สิรินดา

เคยโพสมาแล้วค่ะคุณ Fordear

 

โดย: ธัญรัตน์ IP: 202.149.25.234 17 กันยายน 2551 11:56:51 น.  

 

เรื่องนี้ยังไม่เคยอ่านเลยค่ะ นู๋อ่านช้ามากแล้วมีเวลาน้อยในการอ่านด้วยค่ะ อย่าเพิ่งรีบลบนะคะพี่ จะพยายามอ่านทุกเรื่อง
ให้ได้วันละตอนค่ะ แต่เรื่องรอยอาญานี่ชอบมาก
อ่านแล้วอ่านอีก ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเหมือนรึป่าว
ขอไปอ่านก่อนนะคะ (^o^)

 

โดย: Dozaemon IP: 212.30.211.225 28 กันยายน 2551 8:07:16 น.  

 

พี่หนูบรรยายจนทำให้จิตนาการภาพได้เลยค่ะ

 

โดย: ACEI IP: 118.172.61.58 2 ตุลาคม 2551 21:40:27 น.  

 

ขอบคุณค่ะ แอ้น

 

โดย: ธัญญะ 3 ตุลาคม 2551 8:55:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.