Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
17 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ชลวาห์กาล ๒ (ธัญรัตน์)




“เอามานี่นะ....พี่วา....นี่ของ ๆ ตาต่างหาก เอามานะ” ดุสิตาแย่งชุดสีขาวของพี่สาว ที่เพิ่งจะได้เป็นรางวัลจากผู้เป็นปู่ เนื่องจากเรียนจบ ป. หกแล้ว และก็สอบได้ที่หนึ่งด้วย ทั้งสองยื้อแย่งชุดกันไปมา จนชุดที่สวยกลายสภาพเป็นยับยู่ยี่คามือแทน
“นี่อะไรกัน....ยายวา ทำไมแย่งของ ๆ น้องอย่างนั้นฮ้า” กัมลาเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น และมาทันได้เห็นเหตุการณ์พอดี เพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของลูกสาวคนเล็ก แล้วเธอก็จะดุวันวิวาห์ ก่อนที่จะถามเรื่องราวว่าเป็นมายังไง และมันก็จะเป็นแบบนี้แทบทุกครั้ง
“คุณแม่ขา...พี่วาแย่งของ ๆ ตาค่ะ” ดุสิตาที่ตอนนี้อายุสิบปีแล้ว เพราะเธอนั้นอ่อนกว่าวันวิวาห์แค่ปีเดียว เธอรีบวิ่งมาฟ้องมารดาอย่างเคยตัว และเบ้หน้าใส่พี่สาวที่ยืนหน้าจ๋อย เพราะถูกมารดาเอ็ดเอา
“เอาให้น้องไปสิยายวา” มารดาบอก

“คุณแม่คะ....นี่มันชุดของวานะคะ...คุณปู่ซื้อให้เป็นรางวัลค่ะ ไม่ใช่ของยายตาซักหน่อย” เธอบอกผู้เป็นมารดา “คุณปู่นอนป่วยอยู่ จะมาซื้อให้เราได้ยังไงยะ เอาให้น้องนะ” เธอดุ “คุณปู่ให้ป้าแขไปซื้อให้วาต่างหากค่ะ ไม่เชื่อคุณแม่ก็ถามป้าแขดูสิคะ จริงไหมคะป้าแข” เธอพยายามหาเพื่อน และก็เห็นดวงแขนั้นกำลังยกของว่างมาพอดี
“แม่ดวงแขหน่ะเหรอ จะเป็นพยานให้เธอ ไหนบอกฉันหน่อยได้ไหม ว่าคุณพ่อให้เธอไปซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ยะ....ว่ายังไงแม่แข เธอจะเป็นคนบอก หรือจะให้ฉันบอกมันเอง” กัมลาพูดท่าทางออกจะขู่ดวงแข จนดวงแขนั้นถึงกับพูดอะไรไม่ออกได้แต่เงียบ

“ว่าไงยะ....แม่แข เธอจะเป็นคนบอก หรือจะให้ฉันบอกมันกันยะแม่แข” กัมลาพูดอีกและมองหน้าดวงแขอย่างมีเลศนัย
“เอ่อ...เปล่าค่ะ ดิฉันไม่ได้ไปซื้อให้คุณวาค่ะ” เธอตอบและก็รีบเลี่ยงไปด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด แต่ก็ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น จะมีก็คงจะเป็นเพียงกัมลาเท่านั้นที่สังเกตเห็น และเธอก็ยิ้มออกด้วยความสะใจ ในชัยชนะที่ได้รับ
“ไม่จริงค่ะ คุณปู่ซื้อให้วาค่ะคุณแม่ ขอวาเถอะนะคะ” เด็กน้อยอ้อนวอนผู้เป็นมารดา และน้ำตาก็ไหลนองหน้าออกมา ด้วยความเสียใจ ที่ไม่มีใครคอยให้ความช่วยเหลือ และห้ามผู้เป็นมารดาได้อีกแล้ว จะมีก็คงปู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่มารดาดูจะให้เกียรติและเกรงใจอยู่มาก แต่มันก็คงจะเปล่าประโยชน์ไปแล้ว เพราะผู้เป็นปู่นั้นนอนป่วยจนลุกไม่ขึ้น มานานนับเดือนแล้ว

“เสียงเอะอะ โวยวายอะไรกันห๊า....ดังน่ารำคาญ” สุเมธเดินเข้ามาดูด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“ก็แม่ลูกสาวตัวดีของคุณหน่ะสิ แย่งของ ๆ น้องอย่างน่าไม่อาย ไม่ใช่ของ ๆ ตัวก็ยังจะมาแย่งเอา ไม่รู้มันได้เลือดใคร” กัมลาพูดกระทบเขาอย่างจงใจ
“ยายวา....เอาให้น้องไป เดี๋ยวพ่อจะหาซื้อให้ใหม่ก็ได้ จะซื้อให้สักโหลยังได้เลย มีเงินซะอย่าง อะไร ๆ มันก็ซื้อได้ทั้งนั้นหล่ะ แม้กระทั่งคน” เขาพูดกระทบกลับ ทำให้กัมลานั้นตาลุกเป็นไฟ

“คุณหมายความว่ายังไง....คุณเมธ....ถึงเงินคุณจะซื้ออะไร ๆ ได้ แต่ก็ซื้อใจคนไม่ได้หรอกนะฉันจะบอกให้” เธอตอบกลับ
“คุณพ่อคะ นี่ชุดที่คุณปู่ซื้อให้วาค่ะ วาไม่อยากได้ของคนอื่น” เธอบอกไป “นี่ฉันก็เป็นพ่อแกนะ แล้วจะเป็นคนอื่นที่ไหน เอาให้น้องไป แล้วจะไปไหนก็ไป....ไป๊ เสียงดังน่ารำคาญ” เขาบอกอย่างไม่แยแส ต่อความรู้สึกบุตรสาว

“ยายตา....เอาคืนมันไป...ไม่ต้องไปเอาของ ๆ มันหรอก แม่ซื้อให้ใหม่ก็ได้ ไอ้ชุดสับปะรังเคนี่ ของแค่นี้มันก็เสียสละให้น้องไม่ได้ นังวามันก็ใจดำ พอ ๆ กับพ่อมันนั่นแหล่ะ ไปเรา....ที่นี่มันไม่มีความสุข ก็ไปหาที่อื่นอยู่กันดีกว่า” กัมลาพูดแล้วก็ดึงชุดออกจากมือลูกสาว แล้วขว้างใส่หน้าเด็กน้อยอย่างไม่แยแส พร้อมกับจูงมือลูกสาวคนเล็ก และเดินออกจากห้องไป

“คุณจะไปไหนอีกหล่ะ กัมลา นี่ก็เพิ่งจะกลับมาไม่กี่วันเองไม่ใช่เหรอ แล้วคุณพ่อก็นอนป่วยจะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้ คุณไม่เห็นเหรอ คุณพ่อรักคุณนะ ใจจริงคุณไม่คิดจะอยู่ดูใจท่านเลยหรือยังไง” เขาด่าเธอ
“คุณพ่อคุณหน่ะ....ท่านคงจะไม่เป็นอะไรวันนี้พรุ่งนี้หรอกนะ ฉันจะไปบ้านคุณพ่อ มีอะไรก็โทรไปก็แล้วกัน” เธอบอก

“จะไปบ้านคุณพ่อ หรือจะไปหามันกันแน่......เธออย่าคิดนะ ว่าคนอย่างฉันจะโง่” เขาโพล่งออกมาในที่สุด และมันก็ทำให้สีหน้าของกัมลานั้นถึงกับถอดสีจนซีดเลยทีเดียว แต่ไม่นานเธอก็ตั้งสติได้
“ก็แล้วแต่คุณจะคิดสิ ถ้าไม่พอใจเราจะหย่ากันก็ได้นะ ฉันพร้อมเสมอ” เธอบอกแล้วก็จูงลูก และเดินจากไป ทิ้งให้สุเมธถึงกับเข่าอ่อนและนั่งทรุดตัวลงที่เก้าอี้อย่างหมดแรง เพราะทุก ๆ ครั้งที่ทะเลาะกัน กัมลาก็จะงัดไม้ตายคือการขอหย่าออกมาท้าเขาทุกครั้ง และมันก็เป็นเรื่องที่เขาทำไม่ได้เลย เพราะเขานั้นรักเธอเหลือเกิน ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกมาโดยตลอด ว่าเธอไม่ได้รักเขาเลย

“คุณพ่อ ๆ คุณพ่อคะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” วันวิวาห์เดินมาหาบิดา ด้วยความเป็นห่วง เพราะเห็นผู้เป็นพ่อทำท่าเหมือนคนจะสิ้นใจ

“พ่อไม่เป็นอะไรหรอก” เขาบอกและดึงตัวลูกสาว เข้ามาสวมกอดเอาไว้อย่างคนขาดความอบอุ่น และมันก็ทำให้วันวิวาห์นั้นแปลกใจไม่น้อย แต่เธอก็อบอุ่นเหลือเกินที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของบิดา ถึงแม้ว่าจะไม่บ่อยครั้งเท่ากับได้อยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นปู่ก็ตามที แต่เธอก็รักพ่อแม่และน้องมาก เพราะพวกเขาคือคนในครอบครัวของเธอ และนั่นคือคำสั่งสอนของกุศล ที่พร่ำสอนเธอมาโดยตลอด



เสียงพระสวดอภิธรรมดังกึกก้องไปทั่วศาลา ที่หนาแน่นไปด้วยผู้คน ที่มาร่วมแสดงความเสียใจ กับการจากไปของเจ้าของรูปทั้งสาม ที่ถูกตั้งตระหง่านเอาไว้หน้าหีบศพ....สาวน้อยผมยาวในชุดดำ ที่นั่งปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อายแขกเหรื่อ ถัดไปก็มีหนุ่มน้อยในชุดเสื้อผ้าสีเดียวกัน
รวิทย์รู้ดีว่า วันวิวาห์ต้องเสียใจมากแค่ไหน ที่ต้องสูญเสียปู่ ผู้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้เธอมาตั้งแต่ยังแบเบาะ เพราะในความรู้สึกของรวิทย์แล้ว นอกจากคนรับใช้เก่าแก่ กับป้าดวงแขและป้าสุขแม่บ้านประจำครอบครัวแล้ว วันวิวาห์แทบจะไม่เหลือใครอีกเลย ส่วนสุเมธผู้เป็นบิดา ที่นั่งอยู่ด้านหน้ากับแขกผู้ใหญ่นั้น ทำให้รวิทย์อ่อนใจยิ่งนัก ความรู้สึกของสุเมธก็คงจะเป็นเหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไป

คือเสียใจแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน ที่จู่ ๆ ก็เสีย ภรรยาและลูกสาวคนเล็ก ไปอย่างกระทันหันด้วยอุบัติเหตุ ในระหว่างเดินทางกลับจากหัวหิน เพราะจะรีบกลับมาร่วมงานศพกุศลนั่นเอง แต่ก็กลับกลายเป็นว่ากัมลากับลูก ต้องกลายมาเป็นศพเสียเอง แต่น่าแปลกเหลือเกินในความรู้สึกของรวิทย์ในเวลานี้ ที่ในรถที่เกิดอุบัติเหตุนั้น ยังมีชายที่ชื่อนิพนธ์เป็นคนขับมาด้วย และก็เสียชีวิตไปพร้อม ๆ กัน

ซึ่งนายคนนี้ไม่มีใครรู้จักเขาเลย ส่วนศพก็ถูกญาตินำไปประกอบพิธีทางศาสนาในวันต่อมา แต่เขาเองก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าที่ไหน เพราะนั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจใคร่อยากจะรู้ และตั้งคำถามกับศพชายนิรนามผู้นี้ แม้กระทั่งสุเมธเอง ที่ดูจะไม่ใส่ใจด้วยซ้ำกับเรื่องนี้ จะมีก็แต่ความเงียบขรึม ซึ่งปกติเขาก็เป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว

แต่ครั้นพอเสียคนรักทั้งสามคนไป เขาก็ยิ่งเงียบขรึมลงไปอีก อาการเงียบของเขาทำให้รวิทย์นั้นรู้สึกกลัว และมันก็พลอยทำให้เขากลัวสาวน้อยที่นั่งข้าง ๆ เขาไปด้วย เพราะอิริยาบทที่เงียบขรึม ของวันวิวาห์เวลามีเรื่องกลุ้มใจ จนแก้ไขไม่ได้นั้น แทบจะได้สุเมธมาเกือบทั้งหมด ส่วนความเป็นคนอารมณ์เย็น ฉลาด รอบคอบ และแววตาที่ส่อแววแห่งความปราณี ต่อผู้คนรอบข้างนั้น ดูเหมือนเธอจะได้จากผู้เป็นปู่มาเกือบทั้งหมด

แต่น่าแปลกใจนัก ที่เธอแทบจะไม่ได้อะไร จากผู้เป็นแม่เลย แม้กระทั่งหน้าตา และกิริยามารยาท เรียกได้ว่าแทบจะต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวันวิวาห์กับดุสิตาถึงไม่ลงรอยกันเท่าไหร่ เพราะดุสิตาออกจะได้นิสัยแม่เสียส่วนใหญ่ ข้อเสียอีกอย่างของดุสิตาก็คือ ชอบหนีโรงเรียนเที่ยวเป็นประจำ แต่ดีตรงที่ได้ความฉลาดหลักแหลมจากพ่อไปบ้าง จึงทำให้เรื่องเรียนพอรอดตัวไปได้

สิ้นเสียงพระสวด แขกเหรื่อแทบจะทุกคน ก็พากันทยอยมาแสดงความเสียใจกับเจ้าภาพ และขอตัวกลับ โดยมีสุเมธ กับพ่อแม่ของรวิทย์ คอยช่วยเหลือขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน ซึ่งทั้งสองก็เหน็ดเหนื่อยกับการช่วยสุเมธมาตั้งแต่งานวันแรกแล้ว จนพรุ่งนี้จะเป็นวันเผา ลำพังสุเมธเองนั้น ทำอะไรแทบไม่ค่อยจะถูกเลย เพราะความเสียใจและตั้งตัวไม่ทันกับเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่เขาก็โชคดีเหลือเกิน ที่มีคนในบ้านที่ดูจะจงรักภักดีต่อเจ้านายพวกเขา คอยช่วยการช่วยงานอย่างรู้งานและแข็งขัน
“หักห้ามใจบ้างเถอะนะหนูวา คุณปู่กับคุณแม่ และหนูตาไปสบายแล้ว น้ำตาจะทำให้คนทั้งสามไม่ได้ไปสวรรค์นะลูก” บรรจงเข้ามาปลอบปะโลมเธอ ขณะที่แขกเหรื่อกลับไปหมดแล้ว จะเหลือก็แต่คนใกล้ชิดเท่านั้น

“ป้าเห็นด้วยกับคุณลุงนะลูก ต่อไปนี้วาจะต้องเข้มแข็งแล้วนะ คุณพ่อก็ไม่เหลือใครแล้ว” พุดซ้อนเห็นด้วยกับผู้เป็นสามี
“คุณปู่ไปสบายแล้วยายวา” สุเมธเดินเข้ามาสมทบและโอบกอดลูกสาวเอาไว้ ด้วยความเศร้าใจไม่น้อย “คุณสุเมธด้วยครับ หักห้ามใจบ้างเถอะครับ เดี๋ยวลูก กับคนในบ้านจะเสียขวัญไปกันใหญ่” บรรจงบอกด้วยความหวังดี

“ครับคุณบรรจง....ผมต้องขอบคุณ คุณสองคนมากนะครับ ตาวิทย์ด้วย ที่ช่วยงานตั้งแต่วันแรก เลยต้องเหนื่อยกันหมดทั้งบ้านเลย” เขาบอกด้วยสีหน้าที่ตื้นตัน “ไม่เป็นไรครับคุณเมธ เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันมานานตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ และที่สำคัญที่สุด คุณปู่ท่านก็มีบุญคุณกับเราไม่น้อย กับการที่เรามาช่วยงานแค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ” บรรจงบอก

“เสร็จงานแล้วคุณเมธจะเอายังไงต่อคะ” พุดซ้อนถาม
“ก็คงต้องเหมือนกับที่ตอนคุณพ่ออยู่หล่ะครับ ผมคงต้องรักษาทุกอย่างเอาไว้ คุณพ่อท่านรักที่นี่มาก คนในบ้านก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนเก่าทั้งนั้น ผมก็คงต้องรับหน้าที่เลี้ยงพวกเขาต่อไป” เขาบอกด้วยแววตาที่ไม่เป็นกังวลสักเท่าไหร่ คงจะเป็นเพราะธุรกิจของเขานั้น แทบจะไม่ต้องทำอะไรอีกเลย เขาแค่รักษาและพัฒนามันไปตามวาระเท่านั้นเอง เพราะกุศลได้วางรากฐานเอาไว้อย่างดีแล้ว และเขาเองก็สานต่อธุรกิจมาตั้งแต่ผู้ที่เป็นบิดายังไม่เสียด้วยซ้ำ

“ผมจะส่งตาวิทย์ไปเรียนหมอที่เมืองนอก อาทิตย์หน้าแล้วนะครับ หลักสูตรการแพทย์ที่โน่นทันสมัยกว่าที่บ้านเรา กลับมาแล้วจะได้เอาความรู้มาพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญต่อไป แล้วยายวาหล่ะครับ คุณสุเมธจะให้ไปด้วยกันหรือเปล่า” บรรจงบอกและถามถึงสาวน้อย ที่เขาและภรรยาต่างก็เอ็นดูเหมือนกับลูกอีกคน เพราะทั้งสองไม่มีลูกสาว มีเพียงลูกชายโทนคนเดียวเท่านั้น

“ผมก็คงต้องตามใจยายวาครับ อาจจะตามพ่อวิทย์ไปก็ได้ แต่ก็ต้องเดินเรื่องก่อนครับ....ว่าไงยายวา....จะไปเรียนกับรวิทย์หรือเปล่า....เรา” เขาถามลูกสาว พร้อมทั้งเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธอ
“แล้วแต่คุณพ่อค่ะ” เธอตอบแค่นั้น แล้วดวงตาก็ฉายแววที่น้อยใจอยู่ในที เพราะเธอคาดหวังว่า ผู้เป็นบิดาคงจะอยากให้เธออยู่ใกล้ ๆ เพราะทั้งบ้านเหลือทายาทคนเดียวคือเธอ แต่ก็ไม่มีวี่แววอะไร
“พ่อก็คงจะไม่อยากเห็นหน้าเธอ และก็ต้องรีบส่งเธอไปให้พ้น ๆ นั่นเอง” นั่นคือสิ่งที่เธอคิดได้ในเวลานี้

“ผมต้องขอตัวกลับก่อนนะคุณเมธ” นายกำพล บิดาของกัมลาที่มาร่วมงาน เดินเข้ามาบอกลาผู้เป็นลูกเขย “ครับคุณพ่อ ขอบคุณมาก ๆ ครับ ผมจะให้คนรถไปส่งครับ” เขาบอกพร้อมทั้งพยักหน้าให้นายส่ง โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก นายส่งก็รู้หน้าที่ดีแล้ว

“ยายกัมลากับยายตาไปดีแล้ว ก็คงไม่มีอะไรแล้ว พ่อก็คงจะไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่เท่าไหร่นะ....เพราะช่วงนี้ก็ยุ่ง ๆ น่าดู...” กำพลบอกเล่าให้เขาฟัง เพราะโดยปกติแล้ว เขากับสุเมธก็ไม่ค่อยได้พบปะกันสักเท่าไหร่เลย คงจะเป็นเพราะฐานะทั้งสองนั้นห่างกันลิบลับ บวกกับสุเมธเองก็ไม่ค่อยประทับใจพ่อตาสักเท่าไหร่นั่นเอง

“ตาไปนะยายวา ถ้าจะไปเมืองนอก ก็อย่าลืมไปหาตาก่อนไปนะลูก” เขาบอกผู้เป็นหลานที่เหลืออยู่แค่คนเดียว “ขอบคุณค่ะคุณตา วาจะเดินไปส่งนะคะ พรุ่งนี้คุณยายจะมางานเผาหรือเปล่าคะ” เธอถามพร้อมทั้งประคองกำพลไป โดยมีรวิทย์ประคองอีกข้าง
“ยายมาไม่ไหวแล้วหล่ะลูก เอาแต่ร้องไห้เสียใจ จนจะไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว แต่ถ้ามาไหวตาก็จะพามา อยู่กับพ่อก็เป็นเด็กดีนะลูก พ่อเขาจะได้ไม่ดุเราบ่อย ๆ” เขาสั่งเธอ

“ค่ะ....คุณตารักษาตัวด้วยนะคะ วากราบค่ะ” เธอกราบที่อกเขา “ไหว้พระเถอะหลานตา อย่าลืมนะลูก จะไปเมืองนอกเมื่อไหร่ อย่าลืมไปลาตากับยายด้วยหล่ะ” กำพลไม่ลืมที่จะกำชับหลาน
“ค่ะคุณตา...ค่อย ๆ นะคะ” วันวิวาห์รับคำพร้อมกับค่อย ๆ ประคองกำพลให้เข้าไปนั่งในรถได้อย่างสะดวกขึ้น พร้อมกับปิดประตูรถให้ เมื่อกำพลเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว และก็ยืนมองรถที่พาเขาวิ่งออกไปจากศาลาวัดด้วยดวงตาที่เศร้าสร้อยยิ่งนัก

“กลับไปหาคุณลุงกันเถอะวา...ท่านรออยู่ จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน วาร้องไห้มาตั้งแต่คุณปู่เสีย จนจะถึงพิธีเผาศพท่านอยู่แล้วนะ หักห้ามใจบ้างเถอะนะ” รวิทย์เตือนเธอ แต่ก็ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากสาวน้อย นอกจากจะเดินกลับเข้าไปในศาลา รวมกลุ่มกับคนที่บ้าน

ชัตเตอร์ถูกกดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของหนุ่มน้อยกับสาวน้อยจะกลับเข้าไปในศาลา และกระจกรถที่เปิดเอาไว้ แค่ครึ่งหนึ่ง ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากที่เด็กหนุ่มได้รับรู้ความเป็นมา ของทายาทผู้ที่จากไปได้อย่างละเอียด
พร้อม ๆ กับใบหน้าแทบจะทุกคนที่เกี่ยวข้อง ก็ถูกเขาจารึกเอาไว้กับสิ่งที่ถืออยู่ในมือ แล้วในความคิดของเขาก็เต็มไปด้วยคำถาม ที่ไม่รู้ว่าจะหาคำตอบได้หรือไม่ แล้วในที่สุดรถก็ค่อย ๆ เลื่อนออกไปจากบริเวณวัดทันทีที่เขาพยักหน้าให้คนขับ








 

Create Date : 17 กันยายน 2551
2 comments
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 10:30:29 น.
Counter : 374 Pageviews.

 

ที่รักจ๋า ไฉนนิยายถึงได้มากมายอย่างนี้ ข้าพเจ้าตามอ่านไม่ทัน

 

โดย: Airis_Ai 19 กันยายน 2551 8:47:05 น.  

 

อืม...จะบอกว่าขยันก็ให้กระดากปากสักนิด
เอาเป็นว่าคนมันรักก็แล้วกัน

 

โดย: ธัญญะ 3 ตุลาคม 2551 8:56:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.