Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
22 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ชลวาห์กาล ๗ (ธัญรัตน์)




รถของชนะชลแล่นเข้าไปจอดที่ลานจอดในเวริเวณน้ำตกที่ไม่ไกลบ้านนัก แล้วเขาก็มองไปยังเพื่อนร่วมทาง ที่ตั้งแต่ขึ้นรถมา ก็เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดจาอะไรอีกเลย เขารู้สึกเห็นใจเธอยิ่งนัก ที่จะต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้อีก....มือหนานุ่มของเขาเอื้อมไปกุมมือน้อย ๆ ของเธอเอาไว้อย่างตั้งใจ

“ผมเสียใจด้วยนะ แต่คุณก็ควรจะฟังป้าแขอธิบายให้รู้เรื่องก่อน ว่าอะไรเป็นอะไร และถึงแม้ว่าเรื่องระหว่างพ่อคุณกับป้าแขมันจะเคยเกิดขึ้น อย่างที่ป้าใจเขาบอก แต่มันก็นานมาแล้ว ตอนนี้พ่อคุณก็จากไปแล้ว ป้าแขเองก็ไม่เคยทำอะไรที่มันไม่ดีกับคุณไม่ใช่เหรอ” เขาเตือนสติเธอ และบีบมือเธอเอาไว้เพื่อเป็นการเตือนสติ

“ฉันเคยคิด ว่าทำไมแม่ถึงหงุดหงิดทุกครั้ง ที่เจอหน้าป้าแขกับฉัน ก็ได้แต่โทษตัวเอง ว่าคงจะเป็นเพราะป้าแขรักฉันและเอาใจฉันมาก จนทำให้แม่เกลียดฉัน แล้วก็พลอยเกลียดป้าแขไปด้วย แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ฉันจะทำยังไงดีคะ ฉันเหนื่อยที่จะต้องมารับรู้เรื่องอะไรต่อมิอะไร ที่ฉันคิดไม่ถึง แล้วมันจะมีอะไรมาอีกมั้ยที่ฉันยังไม่รู้....ให้ฉันเป็นหนี้สินคุณเพิ่มมาอีกสองเท่า มันยังจะดีเสียกว่าให้ฉันรู้เรื่องพวกนี้” เธอพูดด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ซึ่งต่างกับตอนที่เขาอุ้มขึ้นรถอย่างสิ้นเชิง

“คุณควรจะกลับไปคุยกับป้าแขให้รู้เรื่องนะ ป้าแขก็คงจะเสียใจมากที่จู่ ๆ เรื่องที่ปกปิดเอาไว้มานาน ต้องมาถูกเปิดเผยขึ้น” เขาบอกทั้ง ๆ มือยังคงกุมมือเธอเอาไว้ จนเธอรู้สึกได้ถึงการสัมผัสมือกับเขา มันช่างอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลย ใบหน้าเขาในเวลานี้ช่างไม่เหมือนกับหลาย ๆ ครั้งที่เธอเห็น


“คุณวาของป้า ไปไหนมาคะ ป้าห่วงแทบแย่ ขอบคุณค่ะคุณชนะชล ที่พาคุณวากลับมา ป้าว่าเราเข้าบ้านเถอะค่ะ เย็นมากแล้ว” สุขรีบเดินไปจับมือเธอเอาไว้ หลังจากที่รถเขาแล่นมาจอดไว้หน้าคฤหาสน์ ไม่มีคำพูดใด ๆ จากปากเธอ นอกจากใบหน้าที่เรียบขรึม....ความตั้งใจที่จะคุยกับดวงแขไว้แต่แรกนั้น ได้ถูกล้มเลิกไป เมื่อวันวิวาห์มาพบกับดวงแขที่นั่งรอที่ห้องโถงแล้ว

“วาเหนื่อยค่ะ อยากจะพักผ่อน วาไม่อยากฟังเรื่องที่ไร้สาระ และกับคนที่ไร้สาระอีกแล้ว ขอตัวค่ะ” เธอพูดและมองหน้าเขาเพื่อเป็นการขอโทษ ที่ไม่สามารถทำได้อย่างที่ตกลงกันเอาไว้ แล้วก็วิ่งขึ้นห้อง แล้วปิดประตูเงียบหายไป ชนะชลหันมามองดวงแข แต่ก็ไม่คิดจะไตร่ถามอะไร เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานแล้ว เขาเองก็ไม่อยากจะเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
“ปล่อยไปสักพักเถอะครับป้า เดี๋ยวอีกหน่อยเขาก็คงจะดีขึ้นเอง” เขาบอกสุข

“คุณชนะชลรู้จักคุณวาน้อยไปสิคะ รายนี้เห็นข้างนอกเงียบ ๆ ไม่มีอะไร แต่คุณวาจำนานค่ะ ดูแต่ศพคุณผู้ชายสิคะ คุณวากลับมาตั้งนานแล้ว ไม่ยอมไปไหว้เลย พอป้าพูดถึงก็เลี่ยงเอาดื้อ ๆ ค่ะ” สุขบอกชนะชลขณะทรุดตัวลงไปนั่งใกล้กับดวงแข ที่เอาแต่ร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“ป้าสุขพูดถูกค่ะ คุณชนะชล คุณวาไม่ลืมอะไรง่าย ๆ ค่ะ แล้วเธอก็คงจะไม่อภัยให้ป้าเหมือน ๆ กับ ที่ยังโกรธคุณผู้ชายอยู่แน่ ๆ เลยค่ะ...ถึงคุณวาไม่พูด ป้าก็รู้ว่าคุณวาโกรธ ที่คุณผู้ชายไม่ค่อยจะรักเธอ แถมสร้างปัญหาเอาไว้ให้อีก” ดวงแขพูดและน้ำตาก็ไหลออกมา

“ป้าอยากจะบอกผมหรือเปล่าครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เขาถามในที่สุด
“เรื่องมันสับสนไปกันหมดเลย ป้าขออนุญาตไม่เล่านะคะ อย่างน้อย ๆ ก็ให้เกียรติคุณผู้ชายที่ตายไปแล้ว ป้าไม่อยากจะรื้อฟื้นเรื่องเก่า ๆ และอีกอย่างป้าสัญญาไว้กับคุณท่านแล้วค่ะ ถ้าคุณวาจะโกรธก็ให้โกรธป้าคนเดียวก็พอ อย่าทำให้คุณวาโกรธคุณผู้ชายมากไปกว่านี้เลยค่ะ” ดวงแขบอกเขา
“แต่ฉันว่าเราควรจะบอกคุณชนะชล หรือไม่ก็บอกคุณวาให้รู้เรื่องได้แล้วนะแม่แข เธอปิดบังมันมานานแล้วนะ” สุขเข้ามาบอก

“ไม่เป็นอะไรครับ ในเมื่อป้าแขไม่สะดวกจะบอกในตอนนี้ ก็แล้วแต่ครับ ผมต้องขึ้นเหนือพรุ่งนี้แล้ว สงสัยต้องยกเลิก เพราะผมไม่อยากจะทิ้งบ้านไปในสภาพแบบนี้เลย” เขาบอกแล้วก็ลุกเดิยตรงไปที่ห้องทำงาน

วันวิวาห์เดินลงมาจากห้องด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขานั่งรอที่ห้องอาหาร พร้อมดวงแข และสุข อาหารเช้าเสร็จไปด้วยความเงียบ ไม่มีเสียงใด ๆ ดังออกมาจากปากวันวิวาห์เลยแม้แต่คำเดียว และแม้แต่หน้าดวงแข วันวิวาห์นั้นก็แทบไม่อยากจะมอง แล้วก็เดินหายไปที่บึงน้ำ ซึ่งเป็นที่โปรดของเธอ เมื่อเวลามีเรื่องไม่สบายใจ ชนะชลได้แต่เงียบ และเฝ้ามองดูหญิงสาวอยู่ห่าง ๆ จนวันทั้งวันหมดไป โดยที่เขานั้นไม่ได้พูดคุยกับเธอแม้แต่คำเดียว และเขาก็ขึ้นเหนือในรุ่งเช้าของอีกวัน เพราะเห็นว่าคงจะไม่มีอะไรแล้ว...ส่วนวันวิวาห์ก็ออกไปทำงานแต่เช้า โดยไม่ได้ปริปากพูดกับใครเลย



สีหน้าที่คร่ำเคร่งและดูจะเหนื่อยหน่าย ของผู้เป็นลูก ที่กำลังเดินเข้าบ้านมานั้น ทำให้เอมอรที่รอเขาอยู่ก่อนแล้ว รู้สึกเห็นใจเขายิ่งนัก เพราะตั้งแต่พ่อตายไป ลูกชายเธอก็ต้องทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว เมื่อก่อนก็ยังพอจะมีตาและยายคอยให้คำปรึกษาบ้าง

แต่ตอนนี้ทั้งสองจากไปแล้ว เขาก็ไม่ค่อยจะนำเรื่องมาปรึกษาเธอสักเท่าไหร่ ด้วยเธอเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องธุรกิจ บวกกับความที่เขาไม่อยากจะเอาเรื่องไม่สบายใจ มาใส่ให้เธอหนักใจด้วยกระมัง

“วันนี้เป็นอะไรไปลูกแม่ ดูทำหน้าเข้าสิ ยังกับคนแก่อายุห้าสิบยังไงยังงั้นเลย” เธอแซวลูกชาย เพื่อให้เขาได้ผ่อนคลายบ้าง

“แหม...คุณแม่ครับ เล่นเอาผมไม่อยากจะเดินเลยครับ” เขาตอบมารดา ขณะทรุดตัวลงนั่งที่ชุดรับแขกที่ระเบียงบ้าน
“เป็นอะไรลูก มีอะไรจะบอกแม่มั้ย” เธอถามเป็นงานเป็นการ
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับแม่ แค่ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ทำให้กำไรได้น้อยลงเท่านั้นเอง คนงานก็หายากขึ้นทุกวัน ๆ หนีเข้ากรุงเทพฯ กันหมด ถ้าไม่ให้ค่าแรงมาก ๆ เขาก็ไม่อยู่.....ขอบใจนะฝ้ายคำ” เขาบอกมารดา และก็กล่าวขอบใจสาวใช้ที่ยกเบียร์เย็น ๆ มาให้เขา
“แล้วชลจะแก้ไขปัญหายังไงหล่ะลูก แล้วพวกหุ้นส่วนเขาว่ายังไงกัน” เธอถาม

“ยังไม่รู้ครับแม่ ต้องรอประชุมกับพวกผู้ถือหุ้นก่อนครับ แต่ถ้าจะให้ผมคิดหาวิธีแก้ไขในตอนนี้ ก็คงต้องหาที่ตั้งโรงงานใหม่ อาจจะต้องไปเปิดใหม่ที่พม่าก็ได้ เพราะค่าแรง และค่าอื่น ๆ ที่นั่นถูกกว่าที่นี่ เพราะถ้าจะให้เอาแรงงานพม่าเข้าประเทศ ก็ต้องเดือดร้อนการขึ้นทะเบียนอีก ไหนจะหาที่อยู่ให้อีก แค่นี้ปัญหาก็มีไม่เว้นแต่ละวันแล้วครับ” เขาบ่นกับมารดา
“แล้วที่ปากช่องเป็นยังไงบ้างลูก” เธอถาม “ก็ค่อยยังชั่วครับแม่ คนที่โน่นส่วนใหญ่จะเป็นคนอีสาน และก็เป็นคนเก่าคนแก่ทั้งนั้น บางคนทำงานมาจะสามสิบปีแล้ว นี่ถ้าไม่ได้กำไรจากที่โน่นมาคอยเกื้อไว้ เราก็จะแย่เหมือนกันครับ” เขาสารภาพออกไป

“แล้วหนูวาเป็นยังไงบ้างหล่ะลูก เรื่องกับแม่ดวงแข ตกลงกันได้หรือยังจ๊ะ” เธอถามเขา เพราะรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาเล่าให้ฟัง ตั้งแต่กลับมาแล้ว
“ยังไม่รู้เลยครับแม่ เอาไว้กลับไปก่อนแล้วผมจะเล่าให้ฟังนะครับ งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะครับ ผมหิวแล้ว อีกหน่อยเจ้าชาติกับเจ้าพงศ์ก็คงจะตามมา” เขาพูด พร้อมทั้งประคองมารดาให้เดินตรงไปที่โต๊ะอาหาร

“สองหนุ่มนั่นหน่ะเหรอ โทรมาบอกแม่ตั้งแต่บ่ายแล้ว ว่าให้ทำกับข้าวเผื่อเยอะ ๆ บอกว่าอยากจะกินแกงฮังเล กับไส้อั่ว แม่ก็เลยรีบให้ฝ้ายคำทำไว้ให้เยอะเลย” เธอบอกลูกชายออกไปด้วยใบหน้าที่สุขใจกับสองคนที่เธอพูดถึง



วัน ๆ ของวันวิวาห์ หมดไปกับความยุ่งเหยิง คนไข้เยอะแยะมากมายเหลือเกิน น่าแปลกใจยิ่งนัก ที่อำเภอนี้เป็นแค่อำเภอเล็ก ๆ และห่างจากกรุงเทพฯ เป็นร้อยกิโลเมตร แต่ผู้คนเจ็บป่วยไม่รู้มาจากไหน หรืออาจจะเป็นเพราะ อำเภอนี้เป็นทางผ่านไปหลาย ๆ จังหวัดในภาคอีสาน ก็เลยทำให้ผู้คนมากมายบนท้องถนน และก็มีการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งนั่นเอง

วันวิวาห์รักษาคนไข้คนแล้วคนเล่า อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งที่โรงพยาบาลประจำ และที่โรงพยาบาลเอกชนที่รับทำไว้ และกว่าจะได้กลับบ้านแต่ละวันได้ก็ดึกดื่นค่อนคืนแทบทุกวัน
แต่ระหว่างวันทำงานที่เหน็ดเหนื่อย วันวิวาห์ก็เผลอไปคิดถึงเจ้าของร่างสูงใหญ่ กำยำล่ำสัน ใบหน้าหล่อเหลา คมคายอย่างลืมตัว

“เขาหายไปจะเป็นสี่เดือนแล้ว”
และเธอก็สังเกตว่าพักนี้ไม่เห็นดวงแขเข้ามาให้เธอเจอหน้าสักเท่าไหร่ แต่เธอก็ไม่ใส่ใจที่จะไตร่ถามจากสุข และสุขเองก็ไม่คิดจะปริปากพูด เพราะกลัวกับใบหน้าที่เงียบขรึม ที่วัน ๆ เอาแต่ทำงาน กลับบ้าน แล้วก็ปิดตัวเงียบในห้อง พอถึงวันหยุดที่พอจะได้คุยกันบ้าง เธอก็จะนั่งทำงานในห้องทำงานเสียส่วนใหญ่ คล้าย ๆ จะหลบหน้าผู้คนเอาเสียอย่างนั้น

“คุณวาครับ....วันนี้แม่สุข ให้ลุงไปซื้อของให้ที่ตลาด คุณวาจะเอาอะไรหรือเปล่าครับ” นายส่งคนรถถามเธอ หลังจากที่ส่งเธอที่โรงพยาบาลอีกแห่ง หลังจากเสร็จจากงานประจำ
“ไม่ค่ะ ลุงส่งไปเถอะค่ะ” พูดแค่นั้นร่างเธอก็เดินหายเข้าไปด้านในโดยไม่ได้หันมอง นายส่งที่มองเจ้านายจนลับเข้าประตูไป แล้วก็ส่งสายตาที่เห็นใจเธอเหลือเกิน

“คุณวาจะทำยังไงอีกน๊า....ถ้าหากรู้ว่ายังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ยังรอให้คุณวารับรู้อยู่อีกมาก” เขาบ่นคนเดียวก่อนจะขับรถออกไป
วันนี้คนไข้ที่นี่ดูจะบางตากว่าทุกวัน สร้างความแปลกใจให้เธอมาก
“หรือจะเป็นเพราะที่นี่ มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จะเหมาะก็แต่คนที่มีเงินเท่านั้น ไม่เหมือนกับที่โรงพยาบาลของอำเภอเมื่อเช้า แทบจะไม่ได้พักเลยก็ว่าได้” เธออดคิดไม่ได้
“วันนี้คุณหมอคงจะไม่เหนื่อย เหมือนเมื่อวานค่ะ คนไข้น้อย” พยาบาลทักทายเธอ

“เหรอค่ะ แต่หมอไม่ค่อยเหนื่อยหรอกค่ะ ถ้าได้รักษาคนไข้ แต่ก็ขอบคุณนะคะ” เธอตอบพร้อมกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มให้เพื่อนร่วมงาน แต่มันก็น้อยครั้งเต็มที ที่พวกเขาจะได้เห็น แล้วเธอก็หายเข้าไปในห้องตรวจคนไข้ และก็ใช้เวลาที่เหลือของวัน ให้หมดไปกับการรักษาคนไข้
“ยังมีคนไข้อีกหรือเปล่าคะ คุณพยาบาล” เธอถาม เพราะแฟ้มประวัติคนไข้ที่พยาบาลเอามาวางไว้ให้นั้น หมดไปจากโต๊ะแล้ว ขณะที่ตัวเองก็ลุกขึ้นยืน บิดตัวไปมาเพื่อคลายความเหนื่อยล้า และยกข้อมือดูก็พบว่าจะสองทุ่มอยู่แล้ว

“หมดแล้วค่ะ...คุณหมอ” พยาบาลบอก
“ยังเหลืออีกหนึ่งครับ....คุณหมอ” เสียงดังมาจากประตู ทำเอาทั้งเธอและพยาบาลตกใจไปพร้อม ๆ กัน เพราะเขาเล่นมาเงียบ ๆ
“รวิทย์....มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมไม่โทรบอกกันบ้าง” เธอเรียกชื่อเขา ปากก็ตำหนิ แต่สีหน้านั้นบ่งบอกได้ว่าดีใจเหลือเกิน ที่เขาเข้ามาได้จังหวะพอดี

“ถ้าบอกแล้วเขาจะเรียกว่า เซอร์ไพรส์หรือจ๊ะ.....คุณหมอสุดสวย” เขาบอกพร้อมกับเดินเข้ามา จนพยาบาลทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่เห็นมีประวัติคนไข้เหลืออยู่ และบวกกับใบหน้าหล่อเหลาและดูดีของรวิทย์นั่นเอง
“เอ่อ....เพื่อนหมอเองค่ะ เชิญคุณพยาบาลตามสบายค่ะ” เธอรีบบอก ยังผลให้พยาบาลมีสีหน้าคลายกังวลลงไปได้มาก แล้วก็ออกจากห้องไป เพื่อให้ทั้งสองมีเวลาคุยกันตามลำพัง เพราะคนไข้ไม่มีแล้ว “จะเลิกงานหรือยังจ๊ะวา” เขาถาม

“อีกไม่ถึงชั่วโมงจ๊ะ มาเมื่อไหร่ ไหนบอกว่าอีกสามเดือนไง โกหกเราอีกแล้วนะวิทย์” เธอต่อว่าเขาอย่างจริง ๆ จัง ๆ เสียที “เราทนคิดถึงนายไม่ไหว ก็เลยกลับก่อนหนะ มาตั้งแต่เช้ามืดแล้ว แต่ก็งีบเอาแรงก่อน นั่งเครื่องมานานเมื่อยน่าดูเลย.....เอ่อนี่.....เสร็จแล้วไปหาอะไรกินนะ เราบอกลุงส่งให้กลับบ้านไปแล้ว” เขาบอกอย่างหน้าตาเฉย แต่คนฟังนั้นมองเขาอย่างค้อน ๆ เพราะเขารู้งานไปหมด แต่ก็ยิ้มให้เขาในที่สุด...

“เพื่อนคุณหมอวานี่.....โคตรหล่อเลยเธอ ดูสิผิวขาวยังกะหิมะ สูงยาวเข่าดีจริง ๆ เลย พระเอกละครเห็นยังอายเลย ใครกันนะ” พยาบาลที่ตอนนี้ปลอดคนไข้ พูดถึงเขาหลังจากที่ทั้งสองหายไปจากประตูโรงพยาบาลแล้ว
“แฟนหรือเปล่าเธอ ดูหมอวาสิวัน ๆ ยิ้มออกซะที่ไหน พอคุณคนนี้มาสิ ยิ้มไม่ยอมหุบเลย เราว่าแฟนแน่ ๆ” พยาบาลอีกคนพูดต่อ

“สาธุ...อย่าเป็นแฟนเลยนะ เราเสียดาย ผู้ชายอะไรหล๊อ...หล่อ....หล่อเหลือเกิน ดูขาว สะอาดเหมือนเขาเป็นหมอเลยเธอว่ามั้ย”
“หน๋อยแน่ยายแพ ไม่ต้องไปอธิษฐานอะไรเลย มันของตายอยู่แล้ว ระดับหมอวา จะมีแฟนทั้งที ต้องอย่างนี้หล่ะ ถึงจะสมกับฐานะ ดูสิรวยแสนรวย มาทำงานก็ต้องมีคนขับรถให้ ไม่รู้จะทำงานไปทำไม เป็นเรานะจะนอนอยู่บ้านเฉย ๆ ยังได้เลย” เก๋พยาบาลอีกคนที่ดูมีอายุกว่าแพพูด

“เอ่อ...ใช่สิ แต่หมอวาคงจะรักการเป็นหมอมั้ง ดูสิคนไข้จะมากจะน้อย ไม่เคยปริปากบ่นเลย กว่าจะกลับบ้านแต่ละวันก็ดึกดื่น” พยาบาลแพพูด
“พอ ๆ พอได้แล้ว...โน่นคนไข้มาแล้วพอ ๆ” เก๋พูดพร้อมกับบอกให้ทุกคนหยุดบทสนทนาเอาไว้แค่นั้น เพราะมีคนไข้เดินเข้ามา


“พรุ่งนี้เราจะมากินข้าวเที่ยงด้วยนะวา....บอกป้าสุขเอาไว้แล้ว” เขาบอกเธอ ขณะที่จอดรถไว้หน้าบ้านเธอ “นี่วิทย์บอก หรือสั่งเรากันแน่จ๊ะ” เธออดแหย่เขาไม่ได้
“แหม...ก็ทั้งสองอย่างแหละ จะว่าบอกก็ได้ จะว่าสั่งก็ได้ จะว่าอะไรก็แล้วแต่วาก็แล้วกันนะ ไปเข้าบ้านได้แล้ว ดึกมากแล้วนะคุณหมอ อะไรทำงานดึกดื่นค่อนคืนทุกวันเลย” เขาบอกเธอและก็ทำเสียงล้อเลียนเธออีก
“นี่ก็สั่งอีกแล้วนะ” เธอแหย่เขาต่อ

“ไปได้แล้ว....ฝันดีนะคนดี แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ” เขาบอกและกลับไปนั่งในรถ แล้วก็ขับรถหายลับประตูไป
วันวิวาห์เดินเข้าบ้านด้วยสีหน้าที่แจ่มใสกว่าหลาย ๆ วัน “คุณวาคะ คุณวิทย์กลับแล้วเหรอคะ” สุขที่นั่งดูทีวีที่ห้องนั่งเล่นทักขึ้น เพราะรวิทย์แวะมาที่บ้าน และถามสุขว่าวันวิวาห์อยู่ที่ไหนก่อนจะไปหาเธอแล้ว แต่สุขก็ทำสีหน้าที่ไม่แน่ใจ กับเรื่องที่อยากจะบอกให้เธอรู้ดีหรือไม่
“ป้าสุขยังไม่นอนอีกเหรอคะ เดี๋ยวจะไม่สบายนะคะ วาขี้เกียจรักษา” เธอบอกและยิ้มออกมาบาง ๆ

“ยังค่ะก็รอคุณวาอยู่นี่ไงคะ พอคุณรวิทย์มานี่ วันนี้ยิ้มออกได้นะคะ” สุขแหย่เธอ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับออกมาจากเธอ
“เอ่อ....คุณวาคะ...แม่แข...ไปได้หลายวันแล้วนะคะ” สุขบอกออกไปในที่สุด หลังจากที่คิดและชั่งใจเจ้านายสาวอยู่หลายวัน แล้วก็ทำให้สีหน้าของวันวิวาห์ที่กำลังแจ่มใส กลับไปเป็นเรียบเฉยจนเกือบจะเป็นขรึมลงไปอีกครั้ง
“ไปไหนคะ” เธอถามในที่สุด “ไม่ได้บอกค่ะ แต่ไปแล้ว และคงจะไม่กลับมาอีกแล้ว” สุขบอกไป

“ปล่อยเขาไปเถอะค่ะป้าสุข วาไม่อยากจะได้ยินอะไรอีก เราเลิกพูดเรื่องนี้กันนะคะ วาจะพักแล้วรู้สึกเหนื่อย” เธอบอกและเดินขึ้นห้องไปเอาดื้อ ๆ และมันก็เป็นอากัปกิริยาของเธอที่ทำเป็นประจำอยู่แล้วนั่นเอง


ห้องหนังสือของปู่ถูกเปิดออกอย่างเบาที่สุด เพราะวันวิวาห์ไม่สามารถที่จะข่มให้ตาหลับลงได้ กับเรื่องของดวงแข ถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยมาจากงานแค่ไหน แต่ก็อดคิดและผิดหวังไม่ได้ ผู้คนในบ้านหลับสนิทกันหมดแล้ว แต่เธอก็มักจะนอนดึกหากวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด และเธอก็นัดกับรวิทย์เพื่อจะไปเที่ยวน้ำตกใกล้ ๆ หลังจากข้าวเที่ยงเสร็จ ซึ่งเป็นที่ ๆ ทั้งสองเคยปั่นจักรยานไปเล่นเมื่อสมัยเด็ก ๆ

ไฟในห้องถูกเปิดขึ้น เฉพาะดวงที่จำเป็นเท่านั้น เธอยืนเลือกหนังสือที่คิดว่ายังไม่ได้อ่านมาสองเล่ม แล้วตัวเองก็พบว่าหนังสือหลาย ๆ เล่มนั้น เธอไม่เคยเห็นมันเลย

“หรืออาจจะเป็นเขาที่สรรหามันมาไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็คงจะมีนิสัยรักการอ่านอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว”

เธอเผลอคิดไปถึงเจ้าของทรัพย์สินคนใหม่อย่างลืมตัว ไม่นานเธอก็ออกมาจากห้องพร้อม ๆ กับหนังสือ
แต่ก็ต้องตกใจจนตัวสะดุ้ง เพราะเหมือนกับจะมีเงาของใคร ที่หลบอยู่ในมุมมืด เธอพยายามจะมองดูว่ามันคืออะไร หรือเป็นใคร แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้จนเธอต้องค่อย ๆ ย่องตามไปดูให้แน่ใจ แต่ก็รู้สึกว่าเงานั้นวิ่งออกจากตัวบ้านไปทางด้านหลังครัว และก็เปิดประตูทิ้งเอาไว้ แล้วเธอก็เห็นร่างตะคุ่ม ๆ นั้นหายลับไปทางสนามหญ้าหลังบ้าน

เธอรีบล็อคประตูที่เจ้าเงานั้นเปิดเอาไว้ด้วยความตระหนก แล้วก็ได้คิดขึ้นมา ว่าตัวเองนั้นไม่ควรที่จะตามเจ้าเงานั้นไปเลย เธออาจจะได้รับอันตรายกับความกล้าของตัวเองก็เป็นได้ และอาจจะไม่มีใครช่วยอะไรได้ทันเวลาเลย เพราะถ้าจะนับไปแล้ว บ้านหลังใหญ่นี้จะมีก็แค่เธอกับสุขและดวงแขเท่านั้นที่อยู่ที่นี่

ส่วนคนสวนและนายส่งคนรถพร้อมกันเด็กรับใช้คนอื่น ๆ อยู่ที่ห้องแถวที่ปลูกไว้เฉพาะให้คนงานอยู่นั่นเอง หญิงสาวคิดแล้วก็กังวลไม่หาย เพราะถ้าหากเกิดมีใครเข้ามาหมายจะทำร้ายหรือขโมยข้าวของก็คงจะช่วยอะไรกันได้ไม่มากนัก แต่เธอก็ยังอุ่นใจที่ยังมี รปภ. ที่ชนะชลจัดหาเอาไว้อยู่หน้าประตูบ้านนั่นเอง

หญิงสาวต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อหันมา...ดวงตาเธอเบิกกว้าง ปากก็อยากจะร้อง แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทำให้เธอนั้นร้องไม่ออก อาจจะเป็นเพราะไอ้เงามืดที่มายืนอยู่ตรงหน้านี่กระมัง ไม่ทันที่จะได้มองเห็นอะไรชัด ๆ ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคืออะไร ร่างของเธอก็ล้มลงไปกองที่พื้นด้วยความตกใจสุดขีด

“วันวิวาห์ ๆ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

เขารีบตรงมาหาเธอ และเรียกชื่อเธอด้วยเสียงแทบจะกระซิบ เพราะไม่อยากให้คนในบ้านแตกตื่น แต่วันวิวาห์ก็แน่นิ่งไปแล้ว ในที่สุดร่างเธอก็ถูกชนะชลช้อนขึ้น แล้วก็ตรงขึ้นไปยังห้องของเธอ







 

Create Date : 22 กันยายน 2551
0 comments
Last Update : 22 กันยายน 2551 7:54:07 น.
Counter : 351 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.