6 วันในการเดินทาง "หมู่เกาะสุรินทร์-น้ำตกหงาว" [วันที่สี่บนเกาะสุรินทร์]
วันที่ 8 ม.ค 52"วันที่สี่บนเกาะสุรินทร์ การจากลา การเดินทางอีกครั้ง"วันนี้ผมไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลยเมื่อนอนก็ไม่หลับ ก็เลยออกมาเดินเล่นยามเช้าเห็นฝรั่งออกมาวิ่งจ็อกกิ้งริมหาดและก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาวิ่งด้วยเห็นแล้วอยากวิ่งเหมือนกันแฮะ แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า-_-' เดินเล่นริมหาดสักพัก ก็ไปล้างหน้า แปรงฟัน และก็กินอาหารเช้าซึ่งเป็นทูน่ากระป๋องสุดท้ายพอดีเวลาตอนนั้นยังไม่ 7 โมงเช้าผมเดินไปที่ จุดรอรับเรือ คือยังไม่ได้จะไปไหนหรอก แต่แค่อยากมาเดินเล่นๆนึกได้ว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปแกะสลักที่เป็นเหมือนสัญญาลักษณ์และที่เคารพของชาวมอร์แกนเลยแฮะจำไม่ได้แล้วว่าเขาเรียกว่าอะไร ^^'วิวยามเช้าของจุดรอเรือที่ชายหาดมีชายต่างชาติคนนึงมายืนรอและก็ถ่ายรูปเล่นอยู่เหมือนกันแล้วเขาก็เข้ามาทักทาย เขาถามว่า ผมไปดำน้ำ(แบบดำน้ำลึก)ด้วยหรือเปล่าผมก็ตอบไปว่า ไม่ได้ดำน้ำ เขาก็บ่นๆว่า เจ้าหน้าที่นัดเขา 7 โมงครึ่ง แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นมีใครเลยผมก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ ;pตอนเดินกลับ ก็เจอฝรั่งคนนึงเดินมาผมก็ลองทักทายดู ถามเขาว่าจะไปดำน้ำลึกเหรอเขาก็บอกว่า ใช่ก็บอกเขาไปว่า เห็นมีคนรออยู่ที่นั่นเหมือนกันเขาก็เลยรีบเดินไปเลยจริงๆ ควรจะบอกเขาว่าไม่ต้องรีบก็ได้ เพราะสต๊าฟยังไม่มาสักกะคน-_-' แต่ไม่ทันพูด เขาก็รีบเดินไปแล้วเดินกลับมาที่เต๊นท์ ก็เจอจีอึนและก็โซเฟียก็ทักทาย แล้วก็บอกเธอว่า วันนี้ฉันคงกลับแน่นอนแล้วละแต่ก่อนกลับ อยากจะขอถ่ายรูปร่วมกันไว้พวกเธอก็บอกว่า ดีๆๆ แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ(คือเพิ่งตื่นกันฮ่าๆ)แล้วพวกเธอก็ถามว่า ตกลงผมจะไปไหนต่อหรือจะกลับกรุงเทพฯเลยผมก็บอกว่า ตอนแรกตั้งใจจะไปที่อุทยานแห่งชาติ เขาสก ที่สุราษฎแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว รู้สึกว่ามันไกล และยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่เลยจะไปที่ "น้ำตกหงาว" ระนอง แทนเพราะเท่าที่เช็คข้อมูลคร่าวๆ ค่อนข้างไปง่ายมากที่นั่นก็มีจุดให้ถ่ายรูปพอควร มีภูเขาหญ้า มีบ่อน้ำร้อนให้แช่ก็เลยคิดว่า น่าไปที่สุดผมก็หยิบสมุด พาสปอร์ท อุทยานแห่งชาติมาให้ดูแล้วก็ชี้รูปน้ำตกหงาวให้พวกเธอดูในรูปค่อนข้างอลังการมากเพราะน้ำตกหงาวจะไหลมาจากเขาสูงลงมาแต่ผมรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้น้ำมันแห้งจะตายคงไม่เป็นแบบในรูปหรอกพวกเธอก็เข้าใจดี ว่าช่วงนี้ของไทยน้ำตกจะไม่ค่อยมีน้ำนักประมาณ 8 โมงได้ ผมก็เดินไปลงชื่อกับเจ้าหน้าที่ไปที่หมู่บ้านมอแกนตอนแรกเห็นมีคนมาลงชื่อไว้คนเดียวยังคิดว่าใช่ฝรั่งที่สักพุทธเจ้าคนนั้นป่าวหว่าจากนั้นผมก็เดินไปรอที่จุดรอรับเรืออีกครั้งระหว่างทางเดิน ผมก็เดินเข้าโพรงนิดหน่อย อยากจะถ่ายมานานเป็นแอ่งน้ำที่มีบัว อยู่ใกล้ๆ กับที่พักเจ้าหน้าที่เสียดายไม่ได้เอาเลนส์เทเลมา เลยได้แค่นี้แหละ ;pเดินไปที่จุดรอเรือแล้วก็นั่งเล่นดูฝรั่งที่ทยอยๆ กันมาขึ้นเรือเพื่อดำน้ำตื้นกันพอ 9 โมง ทุกคนก็เริ่มไปรายงานตัวเพื่อขึ้นเรือเราก็ไปบ้าง แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า หมู่บ้านมอแกนให้รอก่อนประมาณว่า ท้ายสุดเลย ;pพอคนไปหมด ก็มาถึงคิวเราไปขึ้นเรือดีกว่าที่เราบอกไปว่า ทริปนี้เราถูกโฉลกกับคนเกาหลีมันเป็นโคตรจะถูกโฉลกเลยล่ะเพราะ กลุ่มที่ไปหมู่บ้านมอร์แกนกับผม ก็เป็นกรุ๊ปเกาหลี กรุ๊ปที่เมื่อวานให้เหล้าเรากินนั่นแหละรวมถึงกรุ๊ปสามสาววัยรุ่นด้วย > < พอขึ้นเรือ ผมก็ทักทายเจ้าหน้าที่ ที่จะพาเราไปยังหมู่บ้านมอร์แกนและก็บอกว่า "ขอขับแบบช้าๆ นุ่มๆ นะครับ ^^'"ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาก็รู้แหละคนที่ไปหมู่บ้านมอร์แกน ส่วนใหญ่ก็คือเน้นถ่ายรูปกันอยู่แล้วช่วงระหว่างเดินทางสาวเกาหลี(ที่ไม่ใช่กรุ๊ปสามสาวนะ >< ) ก็ทักผมเป็นภาษาไทยเล่นผมงงไปเหมือนกันเธอพูดและฟังภาษาไทยได้เยอะทีเดียวแต่พูดและฟังภาษาอังกฤษไม่ได้ -_-' เลยยิ่งงงไปกันใหญ่คือเธอถามเรื่องหมู่บ้านมอร์แกนว่า เขาทำอาชีพอะไรผมก็ไม่แน่ใจนัก แต่ก็ตอบไปว่า พวกเขาคงใช้ชีวิตแบบดั่งเดิม( มั้ง)หาปลา ไม่ใช้เงินไรแบบนี้แหละมั้งแต่พอถามเจ้าหน้าที่ เขาบอกว่า เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้วชาวมอร์แกน ก็ทำงานกับอุทยานแห่งชาตินั่นแหละเอาเงินซื้อข้าวกินจะมีช่วงที่หาปลาแบบจริงจัง ก็ช่วงที่เกาะปิด(พฤษภา - พฤศิจิกา)เพราะไม่มีงานของอุทยานนั่นเองชาวเกาหลีเขาก็แซวว่า ดีจัง เรามีไกค์คนไทยแนะนำละ ผมก็เอ่อ...ผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรเหมือนกัน(ตอนอธิบายชาวเกาหลีคนนี้ ผมติงต๊องมากเลย พูดภาษาไทยแบบไม่ชัดๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ไปพูดตามเขาเฉย -_-')และแล้วเราก็มาถึงที่อยู่ของชาวมอร์แกนมาถึงฝั่ง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า เดินเล่นตามอัธยาศัยเลยมีเวลาชั่วโมงครึ่งเจอกันอีกทีที่เรือ 11 โมงตรงชาวเกาหลีเขาก็งงๆ นิดหน่อย เพราะว่าไม่มีไกค์แนะนำอะไรอีกก็มีถามผมว่า ตรงนั้น(ชี้ไปที่มีเสาธง) คืออะไรเหรอผมก็บอกว่า เป็นโรงเรียน พวกเธอก็เลยเดินไปที่โรงเรียนกันส่วนผมก็เดินมาที่จุดให้ข้อมูล ซึ่งจะมีประวัติความเป็นมาต่างๆตรงนี้ให้ความรู้มากๆเลยเขาใช้ภาษาเขียนแบบไม่เป็นทางการนักอ่านแล้วจะขำๆ หน่อยตัวอย่างเช่น "ชาวมอร์แกนแปลว่าอะไร?" คำตอบคือ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ไม่ที่มา -_-' ยังมีหน้ามาเขียนอีกแฮะแต่ก็ขำๆ ดีแหละ ยืนอ่านสักพักเห็นเด็กคนนี้อยู่ในมุมแสงที่น้อยดีผมก็เลยลองถ่ายดูจากนั้นผมก็ว่าจะเดินไปทางโรงเรียนของชาวมอร์แกนแต่ดันเหลือไปเห็นป้าย "เส้นทางศึกษาธรรมชาติ 800 เมตร"ไอ้เราก็คิดว่า ก็ไม่ไกลนี่นาน่าลองแฮะ ก็เลยซ่าเดินขึ้นไปคนเดียวทางขึ้นโหดเอาเรื่องเหมือนกันแต่เขาก็ทำเส้นทางไว้ดีทีเดียว มีเชือกไว้ช่วยจับในการปีนป่ายเล็กน้อยซึ่งจะมีป้ายบอกสถานีเป็นระยะๆ มีทั้งหมด 18 สถานีก็จะบอกเรื่องราวของธรรมชาติแต่ผมไม่ค่อยสนใจหรอก -_-'ผมสนใจแต่วิวสวยๆ น่ะเดินๆๆๆ เหงื่อแตกผลั่กๆ สภาพเริ่มเน่าทางก็ดูลึกเข้าไปทุกที แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นใจแต่อย่างไรเพราะดูทางแล้วเขาก็ทำเส้นทางไว้ดีพอควรเดินจนมาถึงจุดปลายทางเป็นอีกฝั่งนึงของเกาะวิวสวยอยู่เหมือนกัน ทรายขาวกับโขดหินแต่มีข้อเสียคือ ในโซนนี้จะเป็นโซนขยะที่พลัดเข้ามาขยะเยอะมาก เข้าใจว่าคงไม่ค่อยมีคนมาเก็บด้วยแหละส่วนผมเดินมาถึงนี้ ก็ไม่ได้ติดถุงขยะมา ก็เป็นอีกคนที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ได้เก็บขยะไปไม่รู้ว่าธรรมชาติลงโทษหรือเปล่า...ในตอนเดินกลับทุกอย่างก็เหมือนจะปกติดีผมจำได้ว่า ผมเดินมาถึงป้ายสถานีที่ 8จากนั้นก็ไปเจอทางแยก????ผมก็เหวอเลย เฮ้ย ตอนมามันไม่มีทางที่เป็นสองทางนี่หว่าแล้วมันยังไงกันละนี่แต่ผมก็ยังมองโลกในแง่ดีคิดว่าสองทางเนี่ย คงไม่มีอะไร อาจจะเป็นทางที่ประจบกันก็ได้ก็เลยเดินไป เดินไปสักพัก ไปเจอต้นไม้ที่มีหนามทั้งต้นขวางเรายังบ้า เดินฝ่าเข้าไป (มาคิดอีกตอนนี้ ทำไมไม่ฉุกคิดว่ามันแปลกๆวะ)สภาพผมตอนนี้เริ่มเละหนักกว่าเดิมหนามตำมือและเท้าเยอะพอควร แสบแปร๊บๆ แต่ก็ยังไหว ;pและผมก็เพิ่งนึกได้ว่ามันไม่ใช่แน่ๆแล้วละ ตอนเรามา ไม่ต้องฝ่าดงหนามขนาดนี้ก็เลยเดินกลับมาแล้วเลือกเดินอีกทางทีนี้เริ่มไปกันใหญ่ครับเป็นทางที่มีดงหนามเหมือนกันแถมทางเริ่มจะฉีกออกไปทางชันลาดลงข้างทางด้วยตอนนั้นเริ่มเครียด เครียดอย่างหนัก ตอนนั้นท่องพุทธโทๆๆ นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่าง พระพุทธ พระคริสต์ ตอนนี้ใครก็ได้ช่วยผมที ขาเริ่มสั่น คือสัญญาณมือถือบนนี้ก็ไม่มีแล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าเราแม่งมาเดินตรงนี้คนเดียว รู้สึกหลอนและใจเสียมากๆดูเวลาแล้วตอนนั้น 10 โมง 20 ได้เริ่มตั้งสติ ยังมีเวลาก่อนเรือออกใจเย็นๆ แล้วก็ลองเดินถอยหลังกลับคือตอนนั้นผมหันตัวกลับทันทีแล้วค่อยๆ เดินทีละก้าวอย่างใจเย็นเลยนะกลับมาที่แยกเมื่อสักครู่ก่อนจะหลงแล้วลองมองทางให้ดีๆผมพบว่า จริงๆ มันมีอีกทาง ที่เราไม่ได้สังเกตุก็คือปีนขึ้นทางอีกนิดเดียว แล้วก็จะพบทางเดินไปต่อตอนนั้นเริ่มรู้สีกดีมากๆและพอเจอป้ายสถานี แอบภาวนาว่า อย่าเป็น 8 นะมึงไม่งั้นมีเครียดอีกรอบแต่แล้วมันเป็น 6 -_-'แต่ก็ช่างมันเหอะ เอาเป็นว่าเรารอดแล้ว ตอนนั้นดีใจฉิบเป๋งเลยและแล้วผมก็กลับมาจนได้เจอเจ้าหน้าที่ก็เข้าไปทักทาย แล้วก็เล่าให้เขาฟังเขาก็บอกว่า อันตรายนะนั่น น่าจะติดต่อเจ้าหน้าที่ให้พาไปไม่น่าไปคนเดียวผมก็บอกไปแบบซื่อๆ ว่า คิดว่ามันคงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เข็ดแล้วเดินกลับมาได้นี่ พอละ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ > <เจ้าหน้าที่ก็หัวเราะ แล้วก็หาน้ำมาให้เราดื่มรู้สึกชื่นใจโคตรๆเดินมาเจอกับกลุ่มเกาหลีสาวเกาหลีที่พูดไทยได้ เขาตกใจกับสภาพผมมากบอกว่า ผมมีเลือดออกด้วยเลือดออกตรงหน้าผาก ที่โดนหนามเกี่ยวนั่นแหละเธอก็เอากระดาษมาเช็ดผมก็บอกว่า เมื่อกี้ผม lost เธอฟังเป็น "ร้อนเหรอ" > <เลยต้องเป็นบอกเป็นภาษาไทยว่า "หลง"เธอก็ โอ้วววส่วนสามสาววัยรุ่นเกาหลี ก็เหมือนจะเมาท์ๆ ไรผมสักอย่างแล้วก็ทักเป็นภาษาอังกฤษว่า how old are you?ผมก็งงๆ ถามแบบนี้มันแปลกๆไม่เคยคุยกันมาก่อน ดันมาถามอายุ -_-'แต่ด้วยความที่พวกเธอน่ารัก จะไปด่าก็ยังไงอยู่(ไม่รู้จะด่ายังไงด้วย ฮา)พอผมตอบไป เธอก็เมาท์เกาหลีกันต่อ -_-'สรุปมันคิดว่า ไอ้นี่อายุป่านนี้ทำตัวติงต๊องป่าววะชักไม่น่ารักซะละ ;pผมดูเวลาแล้วยังมีเวลาเหลืออีก 15 นาทีเลยถ่ายภาพต่อดีกว่า สภาพจิตใจตอนนี้ กลับสู่ภาวะปกติแล้วววบ้านของชาวมอร์แกนชายหาดของที่นี่มาเจอเด็กมอร์แกน กำลังเล่นโฟมกันอยู่เด็กที่นี่ไม่กลัวกล้อง เราก็เลยยิ่งสนุกในการถ่ายภาพเด็กที่นี่เล่นกล้องและก็จะสงสัยเวลาเราเอาเลนส์ไปใกล้ๆก็จะหัวเราะแล้วพยายามเอามือมาจับเลนส์ เราก็จะถอยออกเด็กๆ ก็จะหัวเราะ เหมือนแกล้ง ตลกดีเหมือนกัน ^^มาดูโรงเรียนของชาวมอร์แกนบ้างมีสนามฟุตบอลด้วยนะอันนี้เป็นเรือจำลอง(มั้ง) เป็นเสมือนเรือที่ชาวมอร์แกนใช้จริงๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่กับทะเลแต่ปัจจุบันเห็นว่าไม่ค่อยมีแล้ว เพราะมาอยู่ฝั่งกันมากกว่ามาดูแปลงผักของที่นี่กันบ้าง เขียวสดใสดีจริงๆถ่ายรูปตรงนี้สนุกมาก(ลืมที่ขาสั่น เกือบตายตอนหลงป่าไปเลย)และก็ถึงเวลากลับตอนกลับ ชาวเกาหลี(ไม่ใช่คนที่ถ่ายรูปนะ) ก็ชวนผมคุยเป็นภาษาไทยถามว่า ผมจะกลับวันนี้เหรอผมก็บอกว่า ใช่ ผมว่าจะไปเที่ยวระนองต่อ แล้วพวกคุณละเขาก็กลับวันนี้เหมือนกันผมก็เลยถามต่อว่า แล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่าเขาก็บอกว่า จะไประนองเหมือนกัน จะไปแช่น้ำร้อนผมก็จริงอะ เขาบอก ล้อเล่น -_-'(กวนตีนโคตรๆ)ผมก็เลยอดถามไม่ได้ว่า ทำไมคุณพูดและไทยภาษาไทยได้เยอะจังเขาบอกว่า เขาอยู่ที่ภูเก็ต ทำงานมา 10 ปีแล้วเขาเองเคยมาที่นี่แล้วครั้งนึงครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง พาญาติมาเที่ยวซึ่งก็คือคนที่ถ่ายรูป และพอพูดภาษาอังกฤษได้นั่นแหละเขาถามผมว่า ผมอยู่ที่ไหนผมก็บอกไปว่า กรุงเทพฯ แถวพระรามสองเขาบอกว่ารู้จัก ที่นั่นคนเกาหลีเยอะนะ พูดแล้วคิดถึง RCA รูท66 ผมก็เฮ้ยย นั่นมันพระราม 9เขาก็ หัวเราะ ผมเริ่มคิด ที่มันพูดมาทั้งหมดนี่ มันอำตูป่าววะ กวนตีนฉิบเป๋งกลับมาที่เต๊นท์ จีอึนเห็นสภาพผมก็ตกใจผมก็เล่าให้พวกเธอฟัง เธอก็บอกว่า ดีแล้วที่ปลอดภัยและผมก็ขอตัวไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวกลับอาบน้ำเสร็จ ก็มาเก็บเสื้อผ้า ของต่างๆระหว่างเก็บอยู่ ก็มีแมวตัวนึง ไม่รู้ของใคร วิ่งเข้ามาในเต๊นท์เฉยเลยจับมันออกไปแล้ว มันก็วิ่งเข้ามาอีก ไม่รู้ว่ามันเข้าใจผิด คิดว่าเป็นเต๊นท์เจ้าของมันหรือเปล่าจีอึนมาเห็นเข้าก็จับมันมาอุ้มเล่นผมก็เลยถ่ายรูปจีอึนกับแมวไว้เป็นที่ระลึกจากนั้นก็จับเจ้าแมวไปชายหาดและถ่ายรูปแต่เจ้าแมวดูกลัวมากเลยแฮะพอถ่ายเสร็จ ก็รีบจับมันไว้ตรงแถวๆ ที่กางเต๊นท์เหมือนเดิมและผมก็เก็บของ และก็เก็บเต๊นท์ตอนเก็บเต๊นท์ใช้เวลานานมากเพราะลมแรง ทุลักทุเลสุดๆกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ประมาณเที่ยงครึ่งผมก็รีบสุดๆ เพราะอยากจะกินข้าวก่อนขึ้นเรือ เรือจะออกจากที่นี่บ่ายโมง ;pผมก็ชวนจีอึน โซเฟีย และน้องของโซเฟียไปกินข้าวกันไปถึงก็ถามเจ้าหน้าที่อีกทีว่า ถ้ากินข้าวจะทันไหมเนี่ยตอนนั้นมันเที่ยง 40 ได้ เจ้าหน้าที่บอกว่าทัน ให้แจ้งตอนสั่งข้าวว่าจะกลับวันนี้เขาจะทำให้ก่อนจากนั้นก็มานั่งที่โต๊ะกันและผมก็ชวนให้ทุกคนมาถ่ายรูปกันเถอะกำลังจะเดินไปถ่ายรูปข้าวของผมก็มาถึงพอดีพวกจีอึนก็ อะ ทำไมได้เร็วมากผมก็บอกไปว่า เจ้าหน้าที่ให้แจ้งว่าเราจะกลับวันนี้ เขาจะรีบทำให้ก่อนเลยผมเลยขอให้เจ้าหน้าที่ ที่มาส่งกับข้าว ช่วยถ่ายรูปพวกเราให้หน่อย(ไปใช้เขาอีก)(เสื้อแดงคือโซเฟีย ส่วนคนที่ยืนของคือน้องของเธอ ส่วนอีกคนที่ใส่แว่นดำก็จีอึน)และทุกคนก็พลัดให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปด้วยกล้องของแต่ละคนได้รูปสมใจแล้ว ก็กลับมากินข้าวต่อ ตอนนั้น เที่ยง 50 ละ ^^'ทางอุทยานก็ประกาศให้คนท่ีกลับวันนี้เตรียมไปรอที่จุดขึ้นเรือ 200 เมตรได้แล้วผมก็รีบๆ กิน พอกินเสร็จก็ให้เบอร์กับคนเกาหลีไว้ เผื่อว่าถ้ากลับมากรุงเทพฯอาจจะได้เจอกันอีกผมก็ไม่แน่ใจว่า พวกเธอใช้เบอร์จากประเทศตัวเอง หรืออะไรแน่ก็เลยให้เบอร์แบบ 66089... -_-' (มารู้ทีหลังว่าให้ผิด จริงๆ มันต้อง +6689...)และก็ร่ำลาทุกคนแบบทุลักทุเล(ตามสไตล์เรา ฮา)ตอนเดินไป ก็เจอกับกลุ่มเกาหลีอีกพวกเขาก็ขนของกลับตอนแรกผมคิดว่าเรือคงจะมารอรับเราใกล้ๆที่ไหนได้ จอดไกลมากเดินกันกางเกงเปียกหมดเลย ;pแจ้งให้ทราบเลยว่า วันกลับนี่ ใส่ขาสั้นจะดีกว่า ไม่งั้นเปียกหมดแน่พอขึ้นเรือหางยาว ผมก็คิดว่าพวกเราจะได้กลับทันทีที่ไหนได้ เรือไปจอดที่อ่าวช่องขาดพร้อมกับแจ้งว่า เรือจะออกบ่ายสอง T_T ให้เรารีบแทบตายทำไมฟะ ;pทุกคนก็ลงเรือ แล้วก็ถ่ายรูปเล่นเรื่อยเปื่อยส่วนผมก็ไปนั่งดื่มน้ำฟรีในโรงอาหาร และก็คุยกับเจ้าหน้าที่ก็คุยเรื่องทั่วๆ ไป นักท่องเที่ยวไรประมาณนี้เจ้าหน้าที่คนนี้เดิมอยู่อุทยานแถวขอนแก่นบอกว่า มาอยู่ที่นี่แล้วดีมาก เพราะได้เงินครบทุกเดือนไม่เคยขาดตอนอยู่ขอนแก่น มีช้าบ้าง แต่ที่นี่ไม่มีช้าเลย(ที่ภูกระดึง เจ้าหน้าที่ได้เงินช้า 3 เดือน T_T )อย่างว่าแหละ อุทยานทางทะเล รายได้ดีกว่าเจ้าหน้าที่ก็สบายไปด้วยพอบ่ายสองเจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกอีกทีผมถ่ายรูปนี้ไว้เป็นที่ระลึกก่อนจะลาจากเกาะสุรินทร์แน่นอนว่ามันไม่ใช่รูปสุดท้ายระหว่างที่นี่กับผมแน่ๆเพราะผมมั่นใจว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะมาเพียงครั้งเดียวอย่างแน่นอน :Dสำหรับเรือกลับ ผมได้ขึ้นเรือสปีดโบ๊ทกลับเพราะช่วงนี้คนไม่เยอะนัก คนที่ซื้อตั๋อเฟอร์รี่ จึงได้กลับสปีดโบ๊ทด้วยก็เป็นสิ่งที่ควรรู้นะ มาเที่ยวช่วงคนไม่เยอะ ซื้อตั๋วเฟอร์รี่ดีกว่าเพราะยังไงก็ได้นั่งสปีดโบ๊ท ไม่ต้องจ่ายแพง ไปอีก 600 นะ ฮ่าๆๆส่วนเรื่องเวลากลับ เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่ว่าจะสปีดโบ๊ท หรือเฟอร์รี่ไม่ต่างกันมากเพราะเรือเฟอร์รี่จะออกบ่ายโมงส่วนสปีดโบ๊ทจะออกบ่ายสองถึงฝั่งประมาณ 4 โมงทั้งคู่ เพราะฉะนั้นฟันธงว่า จ่ายราคาเฟอร์รี่คุ้มกว่าครับบนเรือสปีดโบ๊ทผมได้นั่งหน้า เพราะมาช้าไปหน่อยโดนแย่งที่นั่งหมดนั่งหน้ารู้สึกระทมมากเพราะคลื่นแรง เป็นลูกระนาด กระแทกทีก้นพังครับเจ้าหน้าที่เลยบอกว่าให้ไปยืนข้างในดีกว่ายืนก็จริง แต่สบายกว่านั่งเยอะยืนไปสักพัก เริ่มเมื่อยเลยนั่งตรงถังน้ำแข็งของชาวเกาหลีที่เขานำมาเองตอนที่นั่งอยู่ ฝรั่งคนนึงก็มองๆ เสื้อเราแล้วก็พึมพำๆ จีซัสแมรี่ เชนผมก็ไม่รู้ว่า เขาบ่นไร หรือว่าชอบวงนี้เหมือนเราหว่า อิๆ :Dประมาณ 3 โมงครึงได้เราก็มาถึงฝั่งพอขึ้นฝั่งเจ้าหน้าที่ของซาบีน่า ก็มีน้ำผึ้งมะนาวไว้บริการฟรีด้วยนะชื่นใจหลายๆและผมก็เจอกับกลุ่มพี่คนไทยสามคน ที่เจอกันตอนมาพวกพี่เขาขึ้นเรือมาอีกลำนึงแต่ก็รอรถจากซาบีน่าไปส่งเหมือนกันซึ่งรถคันแรก เต็มไปด้วยฝรั่งแต่ทางซาบีน่าก็บอกว่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวสักพักก็มีอีกคันผมเองก็โทรหาที่บ้าน ว่าถึงฝั่งปลอดภัยแล้วนะโทษทีที่ติดต่อไม่ได้เลย เพราะที่เกาะไม่มีสัญญาณและก็โทรไปหาทางอุทยานน้ำตกหงาวอีกทีถามเรื่องสภาพอากาศ และก็การเดินทางว่าจากจุดที่รถโดยสารจอด ผมต้องเดินไกลมากน้อยแค่ไหนเขาบอก 500 เมตร ผมก็โอเค สบายมากและรถของซาบีน่าก็มาพาพวกเราไปส่งกลุ่มพี่สามคนเขาไปลงรถอีกจุดนึงส่วนผมให้เขามาส่งที่ท่ารถคุระบุรีจุดตอนที่ผมมานั่นแหละมาถึงที่นี่ 4 โมงตรงพอดีสอบถามรถที่จะไปทางระนอง มีตอน 4 โมงครึ่งให้ซื้อตั๋วบนรถได้เลยระหว่างรอเวลาก็ไปซื้อยาไทลินนอนมากินเพราะรู้สึกมึนๆ ปวดหัวตั้งแต่บนเรือแล้วกินยาเสร็จ ก็เดินข้ามฝั่งมาขึ้นรถอีกฝั่งนึงผมมานั่งเล่นตรงวินมอร์ไซค์และก็ชวนพี่ที่วินมอไซค์คุย^^' แบบว่ามาเที่ยวคนเดียวแต่ชวนเขาคุยไปเรื่อยแหละครับพี่เขาบอกว่า เขาอยู่ที่นี่มา 10 ปียังไม่เคยไปที่เกาะสุรินทร์สักทีทั้งที่จริงๆ เขานั่งเรือฟรีด้วยซ้ำ เพราะรู้จักกับบริษัทเรือผมก็ ไปเลยพี่ ถ้าเรือฟรีนะ สบาย ประหยัดไปเยอะพี่เขาก็บอกว่า นั่นสิ ฟังผมเล่าแล้ว รู้สึกจะต้องไปจริงๆ สักทีผมนั่งคุยกับพี่เขาเรื่อยเปื่อย จนพี่เขาบอกว่า รถมาแล้วนะผมก็ขอบคุณพี่เขาแล้วก็วิ่งขึ้นรถไปรถที่ผมขึ้นเป็นรถ กระบ่ี-ระนอง ป.2ราคาตั๋ว 110 บาท เป็นรถแอร์เย็นสบายบนรถเปิดมิวสิคเพลงลูกทุ่ง ^^'ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่า หลงรักนางเอกมิวสิคลูกทุ่งจริงๆน่ารักทุกคนเลยอะอยากรู้ว่าสาวโรงงาน(ในมิวสิค) มันอยู่ไหนกันทำไมนางเอกมันน่ารักจังฟะ ฮ่าๆผมได้ดูมิวสิคเพลงนึงเคยได้ยินบ่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าชื่อเพลงอะไรที่ร้องประมาณว่า "เหงาาาาา ไม่มีวันหยุด อยากให้ใครมาฉุดออกจากความเหงา"ประมาณๆ เนี่ยชอบนางเอกมิวสิคอะ น่ารักดี :Dประมาณ 6 โมงเย็นพนักงานก็บอกเราว่า ถึง น้ำตกหงาวแล้วครับบบผมก็รีีบๆลงรถทันทีแต่ก็ไม่ลืมถามว่า อุทยานไปทางไหนพนักงานก็บอกว่า ฝั่งตรงข้ามเลยครับมาถึงที่นี่ฟ้าก็เริ่มมืดนิดๆ ละผมก็เลยรีบเดินไปที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีการทำถนนไว้อย่างดีเดินไปสบายๆ เลยละเดินมาตรงจุดตรวจของอุทยาน ก็เจอลุงเจ้าหน้าที่ทักทายผมก็ถามว่า ผมจะกางเต๊นท์ตรงไหนได้บ้างลุงเขาก็แนะนำให้กางตรงแถวๆ สำนักงานเลยข้างๆ มีห้องน้ำด้วยเดินขึ้นไปอีก 100 เมตรผมก็ไม่รอช้า เพราะตอนนั้นเริ่มมืดแล้วรีบไปกางเต๊นท์ทั้งทียังดีที่ตรงห้องน้ำมีแสงไฟ พอมองเห็นบ้าง เลยกางเต๊นท์ไม่ยากนักจากนั้นผมก็เริ่มมองหาร้านอาหาร ซึ่งปิดสนิทT_Tตายละ หิวก็หิว เอาไงดีวะเนี่ยพอดีลุงเข้าขี่รถขึ้นมาพอดีลุงบอกว่า ตรงน้ีไม่มีไรกินแล้วถ้าจะกินข้าวเดี๋ยวลุงขี่ไปส่งให้ ไม่ไกลนักผมก็ขอบคุณมากๆ ครับจากนั้นก็ไปอาบน้ำ ห้องน้ำที่ อุทยานน้ำตกหงาว สะอาดครับ สะดวกสบายมากเลยอาบน้ำเสร็จ ก็เดินไปหาลุง รบกวนให้เขาพาไปส่งร้านอาหารลุงเขาก็ขี่รถไปส่ง ร้านอาหารตรงปากทางเข้า บ้านหงาวตอนเห็นร้าน แอบกลัวว่า จะเจอร้านราคาแพงไหมเนี่ยคือเป็นร้านอาหารเลยแต่ลุงบอกร้านนี้ไม่แพงหรอกมาที่ร้าน ผมเกรงใจลุงแก เลยบอกว่าไม่ต้องรอกลับหรอกครับเดี๋ยวเดินกลับเองได้มีไฟฉายมาลุงก็บอกว่า ได้แน่นะ คือแกดูเป็นห่วงผมพอควรผมก็บอกไม่เป็นไรครับ สบายมากและผมก็เดินเข้าร้านสั่งอาหารมื้อแรกที่ระนองอาหารร้านนี้ราคาไม่แพงนัก จานละ 30 ได้ผมเลยสั่งแบบป๋าๆ หน่อย สั่งข้าวราด และส้มตำ :Dส่วนรสชาติ ออกหวานเกินไปหน่อย ^^' ไม่ค่อยถูกปากนัก แต่ก็อิ่มท้องดีมื้อนี้ 65 บาทเอง :Dตอนถ่ายรูปอาหาร พนักงานในร้านก็มองเราแบบแปลกๆประมาณว่า บ้าป่าว ถ่ายอาหารเนี่ยนะ ^^'กินเสร็จผมก็เดินกลับไปที่อุทยานที่นั่นมืดมากเหมือนกันแต่ผมก็คิดว่าปลอดภัยดีนะ ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ผมเดินไปที่จุดตรวจ ถามลุงเกี่ยวกับบ่ำน้ำแร่ที่ว่าอยู่ในเขตอุทยานลุงก็บอกว่า อยู่ห่างพอควรประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วต้องเดินอีก 2 กิโล --'แต่ลุงบอกผมว่า ให้มาตอนเช้าสิเดี๋ยวลุงขี่ไปส่งให้ แต่ต้องประมาณ 7 โมงกว่าๆ นะ8 โมงลุงออกเวรแล้วผมก็โอเค ๆ ประทับใจน้ำใจลุงเขาจริงๆจากนั้นผมก็กลับมานอนคืนนั้นนอนหลับๆ ตื่นๆ บ้าง แต่อากาศที่นี่ สบายๆรู้สึกนอนสบายกว่าที่เกาะสุรินทร์นะ :D
เคยไปเมื่อตอนเป็นเด็กๆค่ะ รู้สึกคิดถึง อยากเห็นอีกจัง